คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชั่วโมงแนะแนว และการหายตัวไปของปานภพ
2
ชั่วโมงแนะแนว และการหายตัวไปของปานภพ
น้ำเย็นๆ ไหลเอื่อยจากฝักบัวทำให้เด็กสาวสดชื่น และรู้สึกตื่นเต็มตา อชิอาบน้ำด้วยอากัปกิริยาไม่เร่งร้อน เนื่องจากทั้งบ้านมีห้องสำหรับอาบน้ำอยู่ห้องเดียวแยกอยู่นอกตัวบ้าน อชิจึงมักจะป้องกันความวุ่นวายด้วยการตื่นแต่เช้ามาชิงอาบน้ำก่อนเพื่อที่เธอจะได้ใช้เวลากับความสะอาดส่วนตัวอย่างเต็มที่
น้ำจากฝักบัวหยุดไหลลง จังหวะเดียวกับที่หยดน้ำไหลหยดลงเรือนผมสีดำ กระทบบ่าเล็ก อชิคว้าผ้ามาพันตัวไว้ ก่อนจะเอื้อมหยิบผืนเล็กอีกผืนมาคลุมบ่ารองน้ำซึ่งหยดจากเรือนผมไว้ไม่ให้เปียกพื้น แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องด้วยว่าลืมเสื้อผ้าไว้ข้างบน จริงๆ แล้วอชิค่อนข้างเป็นเด็กขี้อายแม้แต่กับคนที่บ้าน แต่เนื่องจากบ้านของเธอค่อนข้างเป็นพื้นที่ส่วนตัว รวมทั้งเวลานี้ก็ยังไม่มีใครตื่นนอน เธอจึงไม่รู้สึกขัดเขินเท่าไหร่
เมื่อเข้ามาถึงห้อง เด็กสาวจัดแจงหยิบชุดที่จะใส่ ก่อนที่สายตาพลันไปสะดุดกับเจ้าของปัญหาซึ่งเธอวางไว้บริเวณโต๊ะเครื่องแป้ง มันค่อนข้างจะโดดเด่นเพราะคำว่าโต๊ะเครื่องแป้งของเธอนั้นมีแต่แป้งวางอยู่จริงๆ พอดีกับที่แสงภายในห้องกระทบกับผิวโลหะจนสะท้อนมาเตะตาเธอจนได้ อชิจึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูมัน
‘ชะ...วาลา...’
‘ชวาลา...’
วูบหนึ่งที่โสตประสาทของอชิแว่วได้ยินเสียงกระซิบเรียกดุจเสียงของลมพัดผ่าน เธอเหลือบมองนอกหน้าต่าง วางกล่องโลหะลงอย่างเบามือ ก่อนจะกลับไปสวมใส่เสื้อผ้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากเธอรู้สึกติดใจนัก ที่ผิวโลหะซึ่งควรจะเย็บเยียบ....เธอกลับรู้สึกไปเองว่ามันมีไออุ่น
“เฮ้! อชิ”
เสียงหนึ่งตะโกณเรียกเธอจากทางด้านล่าง ร้อนให้เด็กสาวต้องรีบสวมเสื้อสีเหลืองอ่อนเข้าทีหัว จัดแจงเครื่องแต่งกายสักพักจึงจะชะโงกหัวออกไปนอกหน้าต่างได้
“ชานุ!”
เธอโบกมือตอบพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง แม้จะเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนเธอนั้นบอกบุญไม่รับเท่าไหร่
“ฉันเรียกเธอตั้งนาน เสร็จหรือยัง”
“หา?”
เด็กสาวกระพริบตา รู้ว่าชานุคงตำหนิอะไรเธอสักอย่าง แต่ก็ยังคงตอบกลับไปไม่ถูกอยู่ดี
“เสร็จหรือยางงงงง!!”
คนรออยู่ด้านล่างตระโกณซ้ำอีกครั้งด้วยเริ่มจะหงุดหงิด อชิมักจะทำเป็นใจเย็นอยู่เรื่อย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวปล่อยให้ต้องเรียกนานขนาดนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วจะไปโทษอชิก็ไม่ได้ เพราะปกติแล้วคนแรกที่จะได้ยินเสียงเรียกของชานุนั้นมักจะเป็นปานภพพ่อของเธอ จากนั้นพ่อของเธอจึงจะมาเร่งเธอแทนอีกที
ทว่าในวันนี้พ่อของเธอไม่อยู่ อันเป็นเรื่องผิดวิสัยซึ่งเด็กสาวจะได้รู้ต่อจากนี้
“เสร็จแล้วๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้!”
อชิตะโกณตอบ ก่อนจะเร่งคว้ากระเป๋าสะพายที่ทำด้วยผ้ากับพวงกุญแจ แล้วเดินออกไปอย่างห้องอย่างรวดเร็ว
...กล่องโลหะยังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม
“พ่อคะ!”
เด็กสาวเคาะห้องเรียก เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาแสดงว่าพ่อของเธอคงไม่ได้อยู่ด้านในห้อง ทว่าครั้นเด็กสาวเดินลงบันไดมาข้างล่าง...ก็ยังคงไม่พบใครอยู่ดี
...ที่ห้องน้ำก็ไม่มี หรือจะออกไปแล้ว? เด็กสาวขมวดคิ้วยุ่ง เพราะเรื่องนี้จัดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปกติสำหรับเธอ เนื่องจากทุกครั้งที่พ่อของเธอจะไปไหนหรือออกนอกบ้าน ก็มักจะบอกให้เธอรู้ก่อนเสมอ หรือถ้าเร่งด่วนจริงๆ ก็จะแปะโน๊ตบอกไว้
อชิส่ายหัวเล็กน้อย ปัดความสงสัยออกไป ก่อนจะเร่งวิ่งออกไปหาชานุซึ่งรอเธออยู่นานแล้ว
“ยังไม่สายเสียหน่อย”
เด็กสาวยิ้มทะเล้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอยืนหน้าบึ้งรออยู่
“แฟนฉันมาด้วยวันนี้”
ชานุเฉลย ขณะโบ้ยหน้าไปทางรั้วด้านนอก พอเด็กสาวมองตามก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนรออยู่จริงๆ เพียงเท่านี้อชิก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงสาเหตุที่เพื่อนของเธอหัวเสียขนาดนี้
“อ้อออ!” เด็กสาวส่งเสียงล้อเลียน “ถ้าเธอบอกแต่แรกนะ ฉันจะรีบพุ่งมาเหมือนเทเลพอร์ตเลย”
“ยังจะเล่น ใครเขาเอาเรื่องเทเลพอร์ตมาพูดเล่นๆ ”
ชานุดุ ในขณะที่ตัวเด็กสาวเองก็เพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองพลั้งปากด้วยความคะนองมากไป หรืออาจจะเป็นเพราะเมื่อวานเธอเพิ่งจะได้เห็นการเทเลพอร์ตมากับตาก็ได้
“เธอไปหาแฟนเธอเถอะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะขี่จักรยานตามอยู่ด้านหลัง”
เด็กสาวยังคงทำทะเล้นกลบเกลื่อนด้วยการยักคิ้ว หากในใจเธอในยามนี้นั้นวิ่งไปถึงโรงเรียนแล้ว เธอคิดถึงเพื่อนคนสนิทของเธอ เป็นคนเดียวที่เธอไว้วางใจจะเล่าทุกเรื่องให้ฟัง ยิ่งตอนนี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่อัดอั้นอยู่ข้างใน
เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียน ชานุกับแฟนสาวของเขาก็ขอแยกตัวไปยังชั้นเรียนอื่น เธอกับชานุนั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก ด้วยเหตุนี้ที่บ้านของเธอจึงไว้วางใจในตัวชานุให้คอยดูแลกัน และวานให้ชานุซึ่งบ้านอยู่ใกล้เดินทางไปเรียนพร้อมกันกับอชิ ซึ่งในเรื่องนี้ออกจะทำให้ชานุรู้สึกรำคาญอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอชิก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป และแม้ว่าอชิจะเรียกขานชานุเหมือนเพื่อน แต่แท้จริงแล้วชานุแก่กว่าอชิอยู่สองปีได้ ทว่าอชิค่อนข้างเรียนเร็ว จึงเรียนรองจากชั้นของชานุอยู่แค่ชั้นปีเดียว
เครื่องแบบในการมาเรียนของที่นี่กำหนดให้นุ่งผ้านุ่งทั้งหญิงและชายเพื่อความเรียบร้อย นอกจากนั้นแล้วเครื่องแบบในการมาเรียนก็ไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก อาจจะด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความแตกต่างของเพศชายและหญิงมีการลดช่องว่างระหว่างลง อชิคิดถึงกางเกงผูกซึ่งเป็นเครื่องแบบเมื่อเธอยังเด็กซึ่งสวมใส่ได้สบาย คล้ายกับว่าเครื่องแบบที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอโตขึ้นนั้นมีไว้เพื่อที่จะย้ำเตือนให้เราต้องรู้จักสำรวมมากขึ้น
ในวัยอย่างอชิถือเป็นวัยที่ใกล้ผู้ใหญ่แล้ว ปีหน้าต้องเริ่มการสอบเพื่อคัดเลือกเรียนต่อในระดับสูง ผู้คนในโลกใหม่นั้นจะมีช่วงวัยเยาว์ที่สั้น ช่วงวัยทำงานที่ยาวนาน ก่อนจะแก่ชราและตายลงดุจดอกไม้โรย ด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
“อชิ”
ชายคนหนึ่งเอ่ยทัก ครั้นเด็กสาวหันไปเจอะก็เร่งค้อมศรีษะคำนับ
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“วันนี้ครูไม่มีคาบที่ต้องสอนเธอ แต่มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย”
อาจารย์อธิต หรืออาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องทอดมองเธอด้วยความเอ็นดู กระนั้นสีหน้าก็ยังแฝงความตึงเครียดอยู่ด้วยพอให้อชิสังเกตได้ อาจารย์ท่านนี้อายุอานามใกล้วัยชราแล้ว เรือนผมเริ่มมีสีขาวแซม แต่ความชราก็ไม่ได้พรากความกระตือรือร้นที่ยังคงมีอยู่เสมอในการอบรมลูกศิษ์อยู่เสมอ
“เรื่องผลการเรียนของเธอ” ผู้เป็นอาจารย์เปรย “จริงอยู่ว่ามันจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับที่ที่เธออยากจะเรียนต่อหรอกนะ เธอยังต้องการการเรียนเสริม”
เด็กสาวไหวตัวเล็กน้อย เรื่องการเรียนเสริมค่อนข้างเป็นเรื่องที่ใหญ่โตสำหรับเธอ เนื่องจากว่าโดยปกติแล้วไม่ค่อยมีเด็กคนไหนต้องเรียนเสริม เพื่อนเธอสักคนก็ไม่เห็นจะมีใครคิดจะเรียนข้างนอกเพิ่มเติมแต่อย่างใด ด้วยความคิดนี้จึงทำให้อชิเริ่มจะกังวลขึ้นมา
“ประเดี๋ยวจะมีชั่วโมงแนะแนวให้เธออีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอเรียนไม่ดีหรอกนะ แต่...” น้ำเสียงของอาจารย์ทอดลงนุ่มนวล เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ขมวดคิ้วยุ่ง “อาชีพที่เธอต้องการค่อนข้างจะพิเศษ”
“ไม่มีใครตั้งใจจะเรียนต่อที่เดียวกับหนูเลยหรือคะ”
อาจารย์ของเธอเงียบนิ่งไป...ครุ่นคิด
“ในสถาบันของเรา...ไม่มี”
จากนั้นอาจารย์ก็ปลีกตัวไปจัดการธุระอย่างอื่นต่อ ทิ้งให้เด็กสาวเดินเคว้งขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนราวกับผีดิบ มีความคิดหลากหลายพุ่งเข้ามาในความคิดเธอ ทว่าเธอไม่อาจจัดการกับมันได้
“เฮ้ อชิ!!”
เด็กสาวสะดุ้ง หันไปทำหน้าเหรอหราใส่คนเรียก
“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่ธีมา”
“เธอเหม่อนะ” เพื่อนหญิงของเธอทำน้ำเสียงตำหนิ ก่อนจะเริ่มไล่เรียงซักถาม “คิ้วก็ผูกกันจะเป็นโบอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่”
เด็กสาวถอนหายใจ
“เรื่องที่ที่ฉันจะเรียนต่อ อาจารย์อธิตบอกว่าฉันควรจะต้องเรียนเสริม”
คราวนี้ธีมาอุทานออกมาเสียงดังจนคนทั้งห้องต้องหันมามอง ร้อนให้อชิต้องยิ้มแหยๆ แล้วโบกไม้โบกมือแสดงท่าที่ว่าไม่มีอะไร
“หาคนเก่งเท่าเธอนี่ยากแล้วนะอชิ! แล้วเธอก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านผลทดสอบบุคลิกภาพด้านนี้ด้วย”
ท้ายประโยคธีมาเริ่มลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวทำท่าจุ๊ปากด้วยสายตาตำหนิ อันที่จริงแล้วอชิไม่ได้เก่งอะไรมากมายหรอก อาศัยว่าเป็นคนมีเป้าหมายจึงได้พยายามทำให้ได้เท่านั้นเอง ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่เหนือกว่าอย่างเช่นหัวหน้าห้องคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่ไง
“ก็เธอไง”
“แต่ฉันไม่ผ่านผลทดสอบทางบุคลิคภาพแบบเธอ”
“ก็เธอไม่ได้สนใจด้านนี้”
อชิแย้งอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นการถกเถียงกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฟังนะอชิ การที่เธอต้องเรียนเพิ่มหมายได้หมายความว่าความสามารถของเธอมีไม่พอ แม้แต่พ่อแม่ของฉันยังพูดเลยว่าคุณสมบัติของเธอเพียบพร้อม อาจจะขาดอะไรอีกนิดหน่อยซึ่งอาจารย์ธนิตกำลังหาทางสนับสนุนเธออยู่”
เห็นเพื่อนเธอพูดด้วยท่าทางจริงจังขนาดนี้ อชิก็ได้แต่พยักหน้าลงอย่างจำยอม อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้กลัวเรื่องว่าตัวเองมีความสามารไม่พอเท่าไหร่ เพราะใจหนึ่งเธอก็ยังไม่ได้มุ่งมั่นขนาดนั้น กลับกลายเป็นว่าการได้เจอนารานั้นทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ
‘รู้ไหมว่านักประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในอาชีพที่มักจะถูกล่า’
ใช่..อชิใฝ่ฝันจะเรียนประวัติศาสตร์ หากแต่เธอยังไม่แน่ใจนักว่าตนเองต้องการจะใช้ชีวิตในอนาคตโดยทำอาชีพนี้จริงๆ อีกอย่างคือเธอยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก จากประสบการณ์รอบตัวของเธอแล้วคือนักประวัติศาสตร์มักจะเป็นบุคคลที่ค่อนข้างลึกลับ พวกเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
เธอเคยปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ ทว่าแม่ของเธอกลับเห็นด้วยง่ายๆ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องการอะไร กลายเป็นพ่อของเธอเสียอีกที่มีท่าทีคัดค้าน ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะพยายามไม่แสดงออกมาให้เธอเห็น
“อืม...ช่วงนี้ฉันมีแต่เรื่องให้ตั้งสติไม่ทัน” เด็กสาวว่าเบาๆ
“อชิ” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขัดขึ้นมาทักเธอกลางวงสนทนา เวลานี้อชิชักจะหลอนเวลามีคนเรียก “อาจารย์ธนิตเรียกเธอไปพบที่ห้องแนะแนว”
เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อย ลอบหันไปสบตากับธีมา
“เราค่อยคุยกัน”
ธีมาบอก ขณะแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจ
อชิหยุดยืนอยู่หน้าห้องแนะแนว ยามนี้ประตูที่เธอเคยเดินเข้าออกอย่างสะดวกใจกลับหนักอึ้งราวกับประตูหิน เด็กสาวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด บอกให้กำลังใจตัวเองเรียบร้อยจึงเลื่อนบานประตูเปิดแล้วก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง
…ห้องแนะแนวหรือ? ห้องสอบสวนดูจะถูกต้องมากกว่ามั้ง
ภาพที่เห็นตรงหน้าถึงกับทำให้เด็กสาวยืนตะลึง ตัวแข็งราวกับถูกสาปให้เป็นหินตั้งแต่หัวจรดเท้า กระนั้นเส้นผมที่ไหวตามแรงลมที่เล็ดลอดเข้ามายังพอเรียกให้เธอกลับมาตั้งสติได้ ยิ่งแล้วกับเมื่อมีสายตาถึงสี่คู่มองตรงมาที่เธออย่างพินิจพิจารนา คนหนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์ในระดับชั้นสิบสองหรือระดับชั้นสุดท้ายของโรงเรียนที่เธอจะเรียนด้วยในปีหน้า กับอีกสองคนซึ่งเธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน แต่อะไรก็คงไม่ทำให้เธอผวาเท่ากับการจัดที่นั่งให้เธออยู่ฝั่งตรงข้ามของคนทั้งสี่ โดยต้องนั่งอยู่ท่ามกลางระหว่างสายตาที่คมปลาบทั้งหมดนั้น โชคดีที่ยังมีอาจารย์ธนิตซึ่งเธอคุ้นเคยนั่งอยู่ด้วย จึงพอจะช่วยให้เด็กสาวรู้สึกอุ่นใจได้บ้าง
“ขออนุญาตินั่งนะคะ”
อชิค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อบต่ออาวุโสทั้งสี่ท่าน
.”ตามสบายเถอะ ไม่ต้องเกร็ง” อาจารย์ที่สอนระดับสิบสองท่านนั้นบอก สายตาจ้องตรงมาที่เด็กสาว “อยู่ชั้นสิบเอ็ดใช่ไหม ครูจำเธอได้ แนะนำตัวเสียก่อนสิ”
อชิไม่เคยเห็นความแตกต่างของคำใช้เรียกแทนตัวจนกระทั่งวันนี้ การที่อาจารย์ท่านนี้ใช้คำเรียกแทนว่าครูนั้นทำให้อชิรู้สึกถึงการมองมาอย่างเมตตา และช่วยให้เด็กสาวอุ่นใจขึ้นมามาก แม้ว่าใบหน้านั้นจะปราศจากรอยยิ้มก็ตาม
“หนูชื่ออชิหรือชวาลาค่ะ ชื่อที่เลือกชั่วคราวคืออชิ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นสิบเอ็ด ปีนี้อายุสิบสี่ค่ะ”
เลือกชั่วคราวคือการเลือกชื่อในวัยเด็กแบบปากเปล่าไม่มีการจดทะเบียน เมื่ออายุครบกำหนดแล้วทำการลงทะเบียนเรียบร้อยจึงจะกลายเป็นชื่อที่ใช้ถาวรอย่างแท้จริง
“คุณเข้าเรียนก่อนเกณฑ์?”
สตรีมีอายุเพียงท่านเดียวในห้องเปรยขึ้นมาเป็นเชิงถาม
“ค่ะ”
เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ถ้าอย่างนั้นก็ปีหน้าล่ะสิ ถึงจะบรรลุนิติภาวะ”
หากโลกเก่านับที่อายุยี่สิบจึงจะเป็นผู้ใหญ่ โลกใหม่ของเธอซึ่งมอบเวลาในช่วงวัยเยาว์ให้เพียงสั้นๆ เท่านั้นก็เริ่มนับความเป็นผู้ใหญ่กันที่สิบห้า
“ครูจะแนะนำอาจารย์ทั้งสี่ท่านก่อนนะ” อาจารย์ธนิตซึ่งนั่งอยู่ริมสุดท้ายซ้ายมือเธอเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก “อาจารย์ท่านนี้เธอคงเคยเห็นบ้างแล้ว สอนอยู่ระดับเตรียมขั้นสิบสองที่สถาบันของเราชื่ออาจารย์เจตน์ อาจารย์ผู้หญิงท่านนี้คืออาจารย์รดา สอนในระดับอุดม”
ระบบการศึกษาในโลกของอชิแบ่งเป็นสองระดับ คือระดับเตรียมซึ่งมีสิบสองชั้นปี และระดับอุดมที่แปลได้ว่าระดับสูงสุด มีอยู่ทั้งหมดสี่ถึงแปดชั้นปี ดังนั้นโดยทั่วไปเด็กจะเริ่มเรียนเมื่ออายุห้าขวบ และเรียนจบเมื่ออายุได้ไม่เกินยี่สิบสี่
อชิกวาดตามองตามมือของอาจารย์อธิต เห็นอาจารย์เจตน์ซึ่งมองตรงมาที่เธอ อาจารย์เจตน์นั้นดูอ่อนวัยกว่าอาจารย์อธิตอยู่มาก เด็กสาวคาดเดาอายุไว้ที่ราวสามสิบกลางๆ ทว่าอายุเพียงเท่านี้กลับเริ่มมีผมขาวแซมเสียแล้ว แม้จะยังดูน้อยเมื่อเทียบกับอาจารย์อธิตซึ่งแทบจะขาวโพลนไปทั้งศีรษะก็ตาม
อาจารย์เจตน์นั้นมีเอกลักษณ์พอให้เธอจำได้คือไว้ผมยาวระต้นคอและเส้นผมหยักศกเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ อันเป็นสาเหตุให้เธอรู้สึกเกรงๆ ยามเดินผ่านทุกครั้งไป
อาจารย์ผู้หญิงอีกท่านที่ชื่อรดาคาดว่าอายุคงขึ้นเลขสี่ปลายแล้ว หากแต่เธอเป็นผู้หญิงที่ดูแลตัวเองดี ท่าทีดูสง่า แววตาคม เรือนผมสั้นเมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเป็นสีน้ำตาลเข้มไม่ถึงกับสีดำ เค้าโครงหน้าของอาจารย์ท่านนี้ดูใจดี ทว่าใบหน้ายามนี้กลับราบเรียบเสียจนเธออ่านไม่ออก
“ส่วนท่านนี้คืออาจารย์เทวา เป็นอาจารย์พิเศษระดับอุดม”
อชิปรายตามองเพียงแวบเดียวก็มั่นใจว่าคุณลักษณะของอาจารย์ท่านนี้ซึ่งนั่งนิ่งอยู่ริมสุดราวกับใกล้จะหลุดไปยังอีกโลกหนึ่งนั้นไม่ธรรมดา สายตาคมปลาบภายใต้เลนส์แว่นนั้นแสกนเธอจนพรุนนับตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง อาจารย์เทวามีสีผิวที่ค่อนข้างคล้ำแดดผิดกับมาดอาจารย์ทั่วไป ใบหน้าคมคายไว้ผมยาวและสวมแว่นตากลม เป็นอาจารย์ที่ดูอ่อนวัยที่สุดในทั้งสี่คน เมื่ออาจารย์ธนิตแนะนำตัวมาถึง เขาก็ค้อมศรีษะลงเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ
“เราเรียกเธอมาเพื่อแนะแนว ดังนั้นหากมีข้อสงสัยก็ถามได้เลย” อาจารย์เจตน์เอ่ย
เด็กสาวกลืนน้ำลาย เห็นๆ กันอยู่ว่ามาดแต่ละคนเหมือนจะมาสอบสวนเธอเสียมากกว่า
“เป็นเรื่องใหญ่หรือคะ ที่หนูจะเรียนต่อด้านประวัติศาสตร์”
อชิโพล่งถามออกไปอย่างที่เธอนึกอยากจะตะบันหน้าตัวเองนัก
“ไม่ใหญ่หรอก แต่ค่อนข้างจะ...พิเศษสักหน่อย”
อาจารย์เจนต์นิ่งคิดไปครู่หนึ่งราวกับพยายามสรรหาคำตอบที่เหมาะสม ก่อนจะตอบเด็กสาวออกมา ทว่าอชิกลับลอบไปเห็นว่าอาจารย์เทวาซึ่งวางตัวนิ่งเงียบมาตลอดลอบพยักหน้าให้ ซ้ำยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“ทำไมถึงอยากเรียนประวัติศาสตร์” อาจารย์เจตน์ถามต่อ
“หนูมีความสนใจในโลกเก่าค่ะ ตรงที่โลกเก่ามีทั้งความคล้ายคลึงและแตกต่างกับโลกที่หนูคุ้นเคย หนูสนใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่ออดีต”
อชิตัดสินใจจะพยายามตอบคำถามตามความจริง โดยปิดบังเรื่องห้องสมุดต้องห้ามไว้อย่างมิดชิด
“สนใจในโลกเก่าหรือ...”
อาจารย์รดาเปรย จ้องมองมาที่เธออย่างครุ่นคิด
“พวกเราทุกคนเห็นผลการเรียนของเธอแล้ว และเห็นตรงกันว่าเธอสามารถเรียนต่อประวัติศาสตร์ได้ แต่ในเรื่องของการเรียนเพิ่มที่อาจารย์อธิตได้พูดไปนั้น เมื่อเธอได้เรียนก็จะเข้าใจเองว่าทำไมถึงจำเป็น”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง...เด็กสาวรู้สึกราวกับว่าอาจารย์เจตน์เร่งสรุปการแนะแนวครั้งนี้
“เดี๋ยวก่อน...อชิ!”
เด็กสาวเดินออกจากห้องหลังจากที่ชั่วโมงแนะแนวอันยาวนานในความรู้สึกได้ผ่านพ้นไปด้วยความรู้สึกตัวเบาๆทว่าหลังจากที่เธอเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว กลับมีเสียงหนึ่งเรียกให้เธอหันกลับมามอง
เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะค้อมศรีษะลงเมื่อเห็นว่าผู้ที่เรียกเธอนั้นเป็นใคร
“อาจารย์เทวา”
“ผมให้คุณไว้อ่าน”
เขาพูดเร็วๆ อย่างกระชับและเรียบง่าย ก่อนจะเดินเข้ามายัดหนังสือเล่มให้กับเธอซึ่งกำลังยืนเซ่ออยู่ด้วยว่ายังจับใจความเรื่องไม่ทัน ก่อนที่เขาจะหันหลังหายกลับเข้าไปในห้องแทบจะทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนอชิคงไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันเคยเกิดขึ้น
…หากเธอไม่ได้ก้มมองหนังสือที่คาอยู่ในมือเธอ
เสียงลมเย็น แว่วพัดพาเข้ามาภายในห้องผสมผสานกับเสียงจากแมลงร้องดังหวี่ๆ หลังจากที่บานหน้าต่างถูกผลักให้เปิดออกจนหมดช่วยให้บรรยากาศภายในห้องที่ค่อนข้างอึมครึมดูปลอดโปร่งมากขึ้น
ชายหญิงในวัยที่แตกต่างกันไปทั้งสี่ยังคงพูดคุยเพื่อปรึกษาหารือกันต่อหลังจากที่การสัมภาษณ์เด็กสาวคนหนึ่งได้จบลงไปแล้ว กระทั่งช่วงเวลาราวครึ่งชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป ธนิตและเจตน์จึงขอตัวออกไปก่อนเนื่องจากมีคาบเรียนที่ต้องไปสอน ภายในห้องขณะนี้จึงเหลือเพียงรดา และเทวาสองคน
“เธอรู้มากเกินไป”
รดาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นภายในห้องหลังจากที่อาจารย์อีกสองท่านได้ขอตัวไปก่อน หากความเงียบนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากขาดบทสนทนา...แต่เป็นการรอจังหวะ
“สำหรับคนที่จะเรียนต่อประวัติศาสตร์ก็ถือว่าไม่มากไป” เทวาแย้งเรียบง่าย “ผมเห็นว่าให้ส่งชื่อเธอไปได้เลย”
“ฉันดูออกว่าเธอรู้มากกว่าที่ได้ตอบพวกเรา จริงอยู่ฉันก็เห็นว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีและน่าสนใจ เพียงแต่ข้องใจในวิธีการเลี้ยงดูของครอบครัว...ไม่กลัวถูกต้องสงสัยหรือไงนะ”
หญิงวัยกลางคนมีร่องรอยของความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้า น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงความตึงเครียด
“นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เราต้องรบกวนอาจารย์เพื่อที่จะพูดคุยกับผู้ปกครองของอชิอีกที”
เทวาแย้มยิ้มสุภาพ ในใจนึกภาพของเด็กสาวที่พยายามตอบคำถามของอาจารย์เจตน์อย่างตกอกตั้งใจและระมัดระวังคำพูดจนตัวเกร็ง อันที่จริง โดยหลักๆ แล้วการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของอาจารย์เจตน์ เนื่องจากลักษณะความเป็นอาจารย์ในระดับเตรียมคงทำให้เด็กสาวผ่อนคลายได้มากกว่า แต่เพราะอะไรบางอย่างที่ออกจะเกินคาดไปบ้างในตัวอชิ จึงทำให้หญิงที่ล่วงเลยมาถึงวัยกลางคนและมากด้วยคุณวุฒิอย่างรดาอดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกมาซักถามในบางครั้ง
“ผมคงหมดหน้าที่ของผมแล้ว”
เทวาเปรย อันที่จริงเขาไม่ใช่อาจารย์หรอก เพียงแค่ได้รับเชิญมาสอนในระดับอุดมไม่กี่ครั้งไม่อาจทำให้เขากล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ได้ ในวันนี้เขาเพียงแต่มาประเมินตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น
“ฉันเชื่อคนมีความสามารถอย่างคุณแล้วกัน” รดาถอนหายใจ “ฉันเพียงแต่ไม่ต้องการให้ใครจากไปเพราะการรู้ลึกในประวัติศาสตร์อีก”
“ใครจะเป็นคนมาสอนเธอเพิ่มหรือครับ”
ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อฉุกคิดได้
“คนที่เธอก็รู้จักดี” รดาตอบ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก
อีกครั้งที่เทวาต้องครุ่นคิด
...ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นอีกหน้าที่หนึ่ง
ตะวันเริ่มตกดิน ท้องฟ้าเจือสีแดงส้มอวดแสงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของวันนี้ก่อนจะลาลับ…
อชิกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าปกติเนื่องจากไม่ได้แวะที่ไหนเป็นพิเศษ เธอตั้งใจรีบเร่งกลับบ้านทันทีที่คาบเรียนสุดท้ายสิ้นสุดด้วยรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด และแม้ว่าเด็กสาวรู้สึกเหนียวตัวอยากจะอาบน้ำแล้วนอนพักสักตื่น หากสิ่งแรกที่เธอทำคือมองหาพ่อของเธอซึ่งหายไปตั้งแต่เช้า
ห้องอาหาร ห้องน้ำ สวนหลังบ้าน ห้องนอน...อชิล้วนแต่ไม่พบตัวพ่อของเธอสักที่
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก หงายท้องแขนของตัวเองขึ้นมาและลูบผ่านผิวเนื้อบริเวณนั้นอย่างเบามือ มีรหัสประหลาดขึ้นมาก่อนที่หน้าจอใสขนาดเล็กจะลอยตัวปรากฏอยู่เหนือบริเวณท้องแขน ด้วยเทคโนลียีซึ่งอาศัยพลังงานชีวิต เธอพยายามติดต่อพ่อของเธอด้วยหมายเลขติดต่อ แต่กลับพบว่าปานภพตั้งค่าไม่เปิดรับการติดต่อ
“หายไป...? ไม่ใช่หรอก…”
เธอพึมพำและเพียรย้ำบอกกับตัวเอง ความไม่สบายใจเริ่มแผ่คลุม เด็กสาวส่ายหน้าเบาๆ เพื่อที่จะสลัดความคิดร้ายๆ ออกและพยายามสงบใจเอาไว้ อาจจะด้วยสภาพแวดล้อมของโลกใหม่ที่ไม่ค่อยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ดังนั้นแม้ว่าเธอจะสังหรณ์ใจไม่ดีแค่ไหน ก็ยังคงไม่อาจจินตนาการถึงภาพเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับพ่อของเธอได้
ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น คงเป็นเพราะหมู่นี้มีแต่เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งไป...เด็กสาวคิดพลางเปลี่ยนทิศทางการเดินขึ้นไปยังด้านบน
ไม่นานอชิก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องส่วนตัว เด็กสาวครุ่นคิด...ก่อนจะเลื่อนบานประตูห้องออกและปิดลงอย่างเบามือ เธอมองผ่านบานหน้าต่างออกไปแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเดินตรงไปทางเตียงนอนและทิ้งตัวลงอย่างอ่อนล้า สายตาของเธอพลันไปสะดุดกับเจ้ากล่องเจ้าปัญหา จึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ทันได้เล่าเรื่องนี้ให้ธีมาฟัง เพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องการเรียนต่อ และ...
พ่อของเธอหายไปไหนกันแน่
ความคิดเห็น