{Ricdy one-shot} Happy Valentine
Ricdy
ผู้เข้าชมรวม
1,185
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ยะฮู้! อันยอง เมืองจีน”
ผมตะโกนร้องเสียงดังพร้อมกับชูมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวด้วยความดีใจทันทีที่เท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นสนามบิน
“นายคิดว่าลำพังแค่หน้าตานาย มันยังเดนไม่พอหรือไง”
ชายอีกคนที่เดินอยู่ข้างๆถัดจากผมบ่นอุบอิบด้วยเสียงเหมือนกับโมโห แต่จริงๆเขาไม่ได้โมโหหรอกครับ..เขาก็แค่พยายามกลบเกลื่อนอาการเมาเครื่องบินค้างก็แค่นั้น... ผมก็เลยได้แต่ส่งยิ้มหวานๆแทนคำตอบให้ซะเลย ซึ่งนั้นก็ทำให้ผู้จัดการสุดเฮี้ยบของผมคนนี้ได้แต่ถอนหายใจแบบหน่ายๆ
ผมชอบครับ...เวลาที่ผู้จัดการผมทำหน้าแบบนี้ แอบสะใจ!
แต่อย่าพึ่งไปสนใจเขาเลยครับ..นี่ๆ พวกคุณรู้ไหมวันนี้วันอะไร? ...วันนี้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ครับ..หนึ่งวันก่อนวันวาเลนไทน์ และตอนนี้ผมก็อยู่ที่เมืองจีนซะด้วย...
อา...ปีนี้ผมจะได้ฉลองวันวาเลนไทน์กับแฟนๆชาวจีนซะด้วย น่าตื่นเต้นจังครับ ไม่รู้นอกจากดอกไม้ ช็อกโกแลต แล้วก็ของขวัญ พวกเขาจะมีแต๊ะเอียให้ผมบ้างไหมนะ ? ชักอยากรู้แล้วซิ..
ล้อเล่นครับ..ผมล้อเล่น...ก็แหม..พึ่งเลยตรุษจีนไปหน่อยเดียวเอง..ก็เลยลองเล่นมุขนี้ดู อ่ะ...อะไรนะครับ ไม่ขำเหรอ ว้า...แอนดี้ถึงกับเซ็ง
แต่ไม่เป็นไรครับ..เดี๋ยวผมจะแอบไปคิดมุขมาใหม่
อืม...พรุ่งนี้วาเลนไทน์แล้ว...ไม่รู้ชาวจีนเขาฉลองวาเลนไทน์แบบที่เกาหลีหรือเปล่านา.... แต่คงเหมือนละมั้ง ให้ดอกไม้ ให้ของขวัญ และก็กินดินเนอร์ แล้วก็อาน่ะ...ที่เหลือก็รู้ๆกัน แต่จะว่าไป...เหมือนผมจะลืมอะไรบางอย่างหรือเปล่านะ...เหมือนจะ...
“แอนดี้...โทรศัพท์นาย”
แล้วอยู่ๆผู้จัดการสุดที่รักก็ยื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นบางเฉียบของเขามาให้ผมด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายอีกเช่นเคย...พี่ๆเปลี่ยนสีหน้าบ้างก็ได้ ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวต.ม.ไม่ให้ผ่านนะพี่
เออ...แล้วใครกันนะ โทรมาตั้งแต่ผมพึ่งแตะสนามบินยังไม่ทันจะได้เดินออกไปข้างนอกเลยเนี่ย ใครกันนะ....
ผมรับโทรศัพท์ในมือพี่เขามา..พลางดูชื่อที่แสดงบนหน้าจอ เอ่อ..คือว่า..ผมไม่รับได้ไหมเนี่ย
ทันทีที่ผมเห็นชื่อก็ได้แต่ทำหน้าเบะแบบคนรู้ชาตะกรรม พลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังผู้จัดการที่รัก..แต่พี่เขาก็เอาแต่โบกมือเป็นเชิงให้รับๆไปเถอะลูกเดียว
เอาเถอะครับ...ไม่รับตอนนี้...มีหวังโทรศัพท์ได้ดังทั้งวันแน่เลย
“ฮัลโหล...”
“แอนดี้! ทำไมนายไม่บอกฉันว่านายไปเมืองจีน...แล้วแถมนายไม่บอกฉันอีกตั้งหากว่านายไปตอนวันวาเลนไทน์ แล้วนี่ฉันจะไปกินกับใครล่ะ แอนดี้ยา..นี่นายทิ้งฉันอย่างนี้ได้ยังไงอ่ะ... ทั้งที่สัญญากันไว้แล้วนะ นายนิสัยไม่ดีเลย ผิดสัญญากับเอริคโอปาคนนี้ได้ไง?..”
แล้วทันทีที่ปลายเสียงได้ยินเสียงผมก็ตั้งต้นบ่นเป็นชุดทันที จนผมได้แต่เอามือถือออกห่างหูและทำท่าเหนื่อยหน่ายครับ... นี่ละครับ..สิ่งที่ผมกำลังคิดว่าลืม.. ผมลืมบอกพี่เอริคเรื่องที่ผมจะมาเมืองจีนช่วงวันวาเลนไทน์อ่ะดิ!
งานนี้ผมต้องหูชาแน่ๆกว่าพี่เอริคจะบ่นเสร็จ...แต่เดี๋ยวนะเมื่อกี้เหมือนจะได้ยินเขาเรียกตัวเองว่า “เอริคโอปา” งั้นเหรอ?
“ทำไมเมื่อกี้พี่เรียกตัวว่าเอริคโอปาล่ะ?”
ผมเอ่ยขัดการบ่นที่ดูไม่มีที่สิ้นสุดเขาขึ้นมาด้วยความสงสัย..ก็โอปา..มันใช้สำหรับน้องสาวเรียกน้องชายนี่นา..ไม่งั้นก็ต้องแฟนสาวใช้เรียกแฟนดิ
“ว้าว..นี่แปลว่านายตั้งใจฟังฉันนะเนี่ย”
ใช่ซะที่ไหน..ก็ไอ้คำนี้มันมาสะดุดหูผมพอดีตั้งหากเล่า!
“ก็ตอนนี้ฉันยังไม่มีใครสักคนมาเรียกเอริคโอปา...ดังนั้นนายก็เรียกฉันว่าโอปาแล้วกันนะ แอนดี้ยา”
ไม่ใช่แล้วละพี่เอริค...นี่พี่เห็นผมเป็นตัวสำรองขนาดนั้นเชียว
“งั้นก็แค่นี้ล่ะกันนะ..เอริคโอปา”
ผมพูดอย่างหมดอารมณ์คุยโดยแกล้งเน้นเสียงเรียกชื่อเขาให้มันชัดๆ อยากฟังนักก็ฟังไปเลยล่ะกัน...
“อ๊า...อย่านะแอนดี้ยา...”
พี่มีสิทธิ์ห้ามผมด้วยเหรอ....ได้ข่าวว่าค่าโทรคราวนี้ ปลายสายอย่างผมจ่ายนิ...
“แอนดี้ยา..นายทิ้งฉันวันวาเลนไทน์แล้วฉันจะไปกินกับใคร????”
เริ่มอีกแล้วการบ่นงองแงงแบบเด็กๆของพี่เอริคที่ดูไม่สมกับหน้าตาและอายุ
“พี่ก็ไปกินกับพี่ซอง ไม่ก็พี่ดงวานซิ ไม่งั้นก็ไอ้จอนจิน”
ผมพยายามเสนอคนที่พอจะเป็นตัวเลือกให้พี่เอริคได้..แต่..พี่เขาไม่เคยจะคิดล่ะว่ามันดี
“ไอ้ดงวานมันไม่โผล่หัวมาเจอฉันหรอกน่า...มันกำลังง่วนกับการอัดอัลบั้มใหม่มัน ส่วนไอ้จอนจิน...นายคิดจะให้ฉันไปเป็นก้างขวางคอมันหรือไง? ป่านนี้มันโทรนัดสาวๆเรียบร้อยแล้วแหง ส่วนเฮซอง...”
ไม่ต้องต่อแหละ...ผมรู้..ถ้าพี่ไปด้วยกัน...ผมว่า...ไม่ไปชวนกันทะเลาะก็คงเมากันหัวราน้ำแหง
“แอนดี้ยา..นายไม่ควรทิ้งฉันแบบนี้นะ..นายสัญญากับฉันแล้วนิ”
และเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องมาอ้อนผมทันที เอาซิครับ..อ้อนได้อ้อนไป..ถ้าอยู่ต่อหน้าผมคงหวั่นสายตาที่เขามองผมแน่..แต่อันนี้แค่เสียง...ไม่ได้ผลหรอกครับ
“แล้วพี่จะให้ผมทำไงล่ะ?..ก็ผมติดงานนิฮะ?...ไว้เดี๋ยวกลับไปผมไปเลี้ยงพี่ก็ได้”
ผมพยายามเอ่ยอย่างประนีประนอมที่สุด...เออ..ถ้าจะให้พูดที่พี่เอริคพูดมันก็ถูก...คือผมไปสัญญากับเขาว่าจะไปเป็นเพื่อนกินดินเนอร์กับเขาทุกวาเลนไทน์ที่เขาไม่มีใคร.. สัญญาออกไปเพียงเพราะ...เห็นเขาเหงาเมื่อไม่มีใคร..ใครจะไปคิดล่ะ ผ่านไปหลายปีเอริค มุนคนนี้ก็ยังคงหาคนไปกินไม่ได้...ผมล่ะชักสงสัย...เขาหาไม่ได้หรือไม่ได้หากันแน่นะ!
“ไม่เอาอ่ะ....เลยวันวาเลนไทน์ไป มันก็หมดความหมายซิ”
เขายังคงไม่เลิกทำเสียงน่ารักต่อไป...
“งั้นพี่ก็มาที่เมืองจีนดิ”
ผมแกล้งบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่แฝงไปด้วยการประชดประชันเล็กๆ
“ไม่มีตังค์”
เอ่อ..โทษนะครับพี่เอริค ถ้าพี่ไม่มีตังค์ งั้นผมคงหมดตัวเลยล่ะพี่...
ผมคุยกับเขาไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาต่อคิวตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง...อีกไม่กี่คนก็จะถึงคิวผมแล้ว...ผมควรจะวางสายซักที
“พี่ฮะ..ผมต้องวางสายแล้ว..กำลังจะผ่านด่านตรวจ ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ แล้วผมจะซื้อของไปฝาก”
ซึ่งพี่เขาก็ยอมวางสายไปอย่างโดยดี แม้จะมีเสียงบ่นนิดๆหน่อยๆ...เหอ...เมื่อไหร่เขาจะรู้ตัวซะทีนะว่านั้นมันไม่ใช่เสียงที่คนวัยสามสิบเขาทำกัน
หลังจากที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย เดินฝ่าแฟนๆที่มารอรับอย่างแน่นขนัด..ผมและทีมงานก็ตรงดิ่งไปยังโรงแรมอันเป็นที่พัก
ทันทีที่ถึงยังห้องพัก...ผมก็รีบทิ้งตัวลงนอนไปบนเตียงใหญ่นุ่ม
เหนื่อย..เหนื่อยเหลือเกิน ตอนนี้อยากจะนอน..นอน..แล้วก็นอนจริงๆเลย แต่พอผมหลับตาลงก็กลับเห็นแต่ภาพของคนที่โทรมาคุยกับผมเมื่อชั่วโมงก่อน... ป่านนี้ไม่รู้งอนผมไปหรือยัง แล้วไอ้หน้าหล่อนั่นของเขาจะกำลังทำหน้ายังไง? ยิ่งคิดก็ภาพของเขาก็ยิ่งชัดขึ้น...
ทำไมกันนะ..เขาก็แค่พี่ชาย..ทำไมเราถึงต้องคิดถึงเรื่องของเขาด้วย? ทำไมต้องแคร์ขนาดนี้...
และแล้วผมก็เผลอเข้าห้วงนิทราไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ พร้อมกับภาพของพี่เอริคที่ผมกำลัง จินตนาการอยู่
แล้วเช้าวันใหม่อันสดใสของวันวาเลนไทน์ก็มาถึง...นี่ผมเผลอหลับไปทั้งอย่างนี้เลยเหรอเนี่ยเมื่อคืน...เฮ้อ..พอมาคนเดียวแบบไม่มีพวกชินฮวาแล้ว...มันก็เงียบเกินไปแบบนี้ซินะ...เหอ...
ขณะที่ผมกำลังลุกขึ้นมาส่องกระจกพลางจับลูบหัวตัวเองที่ชี้โด่...ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น
“นายตื่นหรือยังแอนดี้?”
“คิดว่าตื่นแล้ว”
ผมตอบแบบกวนกลับไปยังปลายสายซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล..ผู้จัดการส่วนตัวของผมนั้นเอง..
“งั้นก็รีบลงมากินได้แล้ว...อ๋อ..มีคนฝากของไว้ให้นายที่ฟร้อนท์ด้วย อย่าลืมและไปเอา”
พอพูดจบเขาก็วางสายในทันที ไม่คิดที่จะเปิดโอกาสให้ผมถามต่อเลยใช่ไหมเนี่ย? เอาเถอะ..ลงไปดูเองก็ได้..ชิ
พอคิดได้เช่นนั้น ผมก็รีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเรียบร้อย แล้วลงไปยังชั้นแรกมุ่งตรงไปยังฟร้อนท์อันเป็นเป้าหมาย...
“Sorry, someone tell me that...”
ยังไม่ทันทีผมจะเอ่ยถามจบ..พนักงานต้อนรับตรงหน้าฟร้อนท์ก็รีบพงกหัวแล้วเดินไปเอาบางสิ่งบางอย่างนั้นให้ผมทันที
ทันทีที่ได้เห็นเจ้าของที่ว่า ผมก็ถึงกับอ้าปากค้าง...คือแบบว่ามันคือ.....
...ช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่มากพร้อมกับมีการ์ดวาเลนไทนติดมาด้วย แล้วยังมีโน้ตเล็กๆอีกหนึ่งแผ่น ถ้าผู้จัดการผมเรียกมาให้รับเองอย่างนี้ แสดงว่าคงม่ใช่ของแฟนคลับ..ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องของเขาคนนั้นแน่
...พี่เอริค...
ผมรับมันมาไว้ในอ้อมกอด พลางเปิดอ่านการ์ดที่แนบมา...การ์ดสีสวยเป็นรูปหมีถือรูปหัวใจหวานแหวว ข้างในเขียนเพียงประโยคสั้นๆแค่ว่า
“ซารางเฮ แอนดี้ยา!”
ผมอ่านข้อความเดิมๆที่ถูกเขียนลงการ์ดวาเลนไทน์ทุกปี ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยมีเพิ่ม...และไม่เคยสั้นลงอย่างยิ้มๆ แม้มันจะเป็นข้อความเดิมทุกปี แต่มันก็ยังคงเรียกรอยยิ้มจากผมได้เสมอ...ถึงแม้มันจะเป็นคำที่เขาชอบพูดจนชินปากก็เถอะ...
เมื่ออ่านการ์ดจบ ผมก็จัดการเก็บมันลงในซองตามเดิม ก่อนที่จะเปลี่ยนไปสนใจกับโน้ตสั้นๆอีกอันที่ติดมากับช่อดอกไม้
ถึง แอนดี้ยา...
Happy Valentine’s day ! การที่นายไม่อยู่เกาหลีมันช่างสร้างความลำบากในการส่งดอกไม้ให้ของเอริคปาคนนี้ซะจริง...แต่เอาเถอะ..ให้อภัย..เห็นแก่ว่าช่วงนี้ทำงานหนักหรอกนะ..ขอบอก..ขอบอก
ดอกไม้ช่อนี้ฉันอุตส่าห์สั่งแบบไม่มีวันตายให้ นายต้องถือกลับมาด้วยนะแอนดี้ยา... หานายไม่ถือกลับมา...นายตายแน่!
แล้วกลับมานายสัญญาจะเลี้ยงข้าวฉันแล้วนะ...ห้ามเบี้ยวล่ะ
ไว้เจอกันวันพรุ่งนี้นะ...ซารางเฮ แอนดี้ยา...!
จาก
เอริคโอปาสุดหล่อ
โน้ตนี่มันช่างทำลายความรู้สึกดีๆเมื่อครู่ได้อย่างรวดเร็วจริง...เหอ...
ผมได้แต่ถอนหายใจกับโน้ตในมือพลางมองไปที่ช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ในอ้อมแขนผม...ผมได้รับแบบนี้ทุกปีแหละครับ...แล้วความรู้สึกตอนที่รับก็เหมือนกันทุกปี....ทั้งรู้สึกดีใจแล้วก็เสียใจในเวลาเดียวกัน...ก็ปกติเขาซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงกันไม่ใช่เหรอเนี่ย...ผมล่ะสงสัยจริงๆพี่เขาคิดอะไรของเขากันแน่..คิดอย่างนั้น..หรือเปล่า?
“แอนดี้..ลงมาแล้วก็ไปกินข้าวสักทีซิ”
ไม่ทันที่ผมจะได้คิดไปไกลกว่านั้น ผู้จัดการส่วนของผมก็เดินมาเรียกซะก่อน ใช่แล้ว...เวลานี้ไม่ควรมาคิดฟุ้งซ่านแบบนี้ ผมต้องรีบไปกิน..วันนี้มีคิวงานยาวเหยียดเลยด้วย ถ้าไม่ได้กินตอนนี้มีหวังน็อคไปก่อนแน่...
หลังจากตอนนั้น วันนั้นทั้งวันก็ไม่มีช่วงเวลาใดหลงเหลือให้ผมฟุ้งซ่านอีกเลย...ด้วยตารางที่แน่นขนัดเพราะเวลาอันจำกัดที่ผมจะอยู่ในจีน...จึงมีงานมากมายให้ผมทำ...ทั้งแจกลายเซนต์ ออกรายการ ถ่ายปกนิตยสาร สัมภาษณ์ และยังอื่นๆอีกมากมาย ถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกที่ได้ทำ
จนในที่สุดตารางงานสัมภาษณ์ชิ้นสุดท้ายก็จบลง ไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่งคนเราจะทำงานได้เยอะขนาดนี้...เหอ..เหนื่อยจริงๆเลย
“โอเค..ตารางงานของวันนี้หมดแล้ว...พรุ่งนี้มีสัมภาษณ์กับนิตยสารอีกนิดหน่อย...แล้วก็บินกลับตอนเย็นนะแอนดี้”
ไม่ต้องห่วงฮะพี่...ผมจำตารางงานได้หมดแล้ว...แต่ตอนนี้ผมหิวจังเลย...
“...หิวจัง..”
ผมแกล้งส่งเสียงบ่นโอดครวญออกมาดังๆหมายจะให้อีกคนได้ยิน ซึ่งก็ไม่ได้พลาดไปจากความคาดหมาย
“เดี๋ยวไปกินที่โรงแรมแล้วกัน...ฉันจองโต๊ะไว้ให้นายแล้ว”
ว้าว...สมแล้วที่เป็นผู้จัดการสุดที่รักของผม....รู้ใจผมจริงๆ
และทันทีที่ถึงโรงแรม ผมก็รีบตรงแน่วไปยังห้องอาหารของโรงแรมทันที อ๋อ..แต่แน่นอนผมเป็นนักร้องที่ดีครับ ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มและเอ่ยทักทายเหล่าแฟนๆที่มายืนรอเจอผม
อาหาร..อาหาร..พระเจ้าหิวมากๆเลย เมื่อเที่ยงผมก็ไม่ได้กินอะไรเพราะตารางงานมันต่อกันยาวเลย...แบบว่าตอนนี้กินหมีทั้งตัวเป็นอาหารก็ยังไว้
“คุณแอนดี้เชิญทางนี้ครับ”
ทันทีที่ผมไปถึงด้านหน้าห้องอาหาร พนักงานเสริฟ์หนุ่มคนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามาเชิญผมในทันทีอย่างรู้งาน...และแน่นอนไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำว่าใช่ผมไหม..ก็คนหน้าตาดีแบบผมคงมีไม่เยอะ..ถ้าไม่นับสมาชิกคนอื่นในชินฮวานะ
เขาเดินนำผมไปยังโต๊ะให้เตรียมไว้... โต๊ะตัวนี้มันแอบซ่อนอยู่ในมุมในสุดของห้องอาหาร แทบจะเรียกว่าปลีกวิเวกได้ดีทีเดียว ซึ่งก็นับว่าดี เพราะผมก็ไม่อยากกินไปมีคนจ้องไปเท่าไหร่นักหรอก...แต่เอ๊ะ! ไอ้ดำๆบนโต๊ะนั่นมันอะไร..หน้าตาคล้ายๆกับ...
..โน้ตบุ๊คผมเลยอ่ะ...
ไม่ใช่เหมือนแหละ...มันใช่เลยนิหว่า..ไหงมันมาอยู่ตรงนี้ล่ะเนี่ย
“เออ..ทำไมโน้ตบุ๊คผมมาอยู่ตรงนี้ละครับ...”
ผมเอ่ยถามอย่างสงสัยแต่เขาก็หาได้ตอบผมไม่ ยังคงปล่อยให้ผมทำหน้างงต่อไป บนหัวก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
...นี่มันอะไรกันเนี่ย...
ผมนั่งลงพลางกวาดสายตาไปบนโต๊ะจนทั่ว....อ่ะ...มีโน้ตอีกแล้ว
เปิดคอม แล้วเล่นเอ็มคุยกับฉันนะ แอนดี้ยา
...เอริคโอปา..
พี่เอริคงั้นเหรอ....นี่เขาเล่นอะไรของเขาเนี่ย
และความสงสัยก็ชักนำให้ผมรีบกดเปิดเครื่องและเปิดเอ็มเอสเอ็มขึ้นมาทันที...ซึ่งผมก็ได้พบว่า เจ้าบุรุษผู้ซึ่งทิ้งโน้ตให้ผมงงงวยกำลังออนอยู่พอดี
I’m Andy! ## Let’s go to
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : ไงแอนดี้ยา...
I’m Andy! ## Let’s go to
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ก็ต้องกินข้าวเย็นด้วยกันไง
พอพี่เขาพิมพ์ประโยคนี้ขึ้นเสร็จพี่แกก็เปิดระบบกล้องขึ้นมา เผยให้เห็นหนุ่มหล่อหน้าตาดีในชุดที่โคตรดูดี...กำลังส่งรอยยิ้มตามแบบฉบับของเขามายังผม
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : นายเปิดระบบกล้องดิแอนดี้ อย่าให้ฉันเหมือนคุยคนเดียวดิ
ผมก็ได้แต่อมยิ้มขำๆ ไม่น่าเชื่อเขาคิดได้ไงเนี่ย..ความคิดแบบนี้ สมแล้วที่เป็นอีที...
I’m Andy! ## Let’s go to
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : เยี่ยม!
ผมได้แต่ยิ้มกับประโยคที่เขาพิมพ์ตอบมากับท่าทางยกนิ้วแบบตลกๆที่เขาส่งมาให้
I’m Andy! ## Let’s go to
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : หมายถึงอะไรล่ะ?
I’m Andy! ## Let’s go to
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : ก็คนมันฉลาด หุหุ
หือ..คนมันฉลาดงั้นเหรอ..น่าเกลียดจริงๆ แล้วยังไอ้ท่าหัวเราะนั่นอีก
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : แอนดี้ยา..นายมองปากฉันนะ...
แล้วผมก็จับจ้องไปที่ปากเขาอย่างสนใจ...วันนี้เขากะจะทำให้ผมผระหลาดใจทั้งวันเลยหรือไงนะ
และสิ่งที่ผมเห็นก็ถึงกับทำให้ผมน้ำตาซึม
เอริค มุนที่ปกติจะแลดูนิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก (ที่ไม่ใช่ชินฮวา) กำลังเอ่ยคำว่า “ซารางเฮ” ให้ผม พร้อมกับเอามือสองข้างปักไปที่หัวทำเป็นรูปหัวใจน่ารักๆ
แม้จะไม่ได้ยินว่าเขาพูด..แต่ก็มั่นใจว่าใช่คำนั้นอย่างแน่นอน..คำ..ที่เขาชอบมากอดและกระซิบบอกผม
คำที่ผมก็ไม่รู้ว่า..จริงๆเขาหมายความว่าไงกันแน่...
คำพูดที่คลุมเครือ..และแอบทำใจผมหวั่นไหวได้เสมอ
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : แอนดี้ยา..นายเป็นอะไรหรือเปล่า?
ตายแล้ว...ผมลืมไปว่าเขามองเห็นผมนี่นา...
ผมลืมยกมือขวาขึ้นมาปาดน้ำตาที่คลออยู่ในเบ้าออก แล้วส่งยิ้มแก้มป่องตามสไตล์กลับไป
I’m Andy! ## Let’s go to
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : ใครบอก..ฉันให้เขาเรียกเก็บเงินในชื่อนายแล้ว แอนดี้ยา...
คำพูดนั้นถึงกับทำเอาผมอ้าปากค้าง...ความรู้สึกดีๆที่เอ่อล้นเมื่อครู่หายไปแล้ว ตอนนี้ผมจะแปลงร่างเป็นปีศาจไปงับหัวพี่เอริคแทนดีกว่า...
แต่ถ้าไอ้ข้อความนั้นไม่ขึ้นซะก่อน
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : ฉันรักนายนะแอนดี้ นายเป็นคนสำคัญของฉัน...ถึงแม้ว่าวาเลนไทน์นี้นายจะหนีฉันไปจีนโดยไม่บอก..แต่ฉันก็ดีใจนะที่อย่างน้อยเราก็ยังได้กินข้าวด้วยกัน แม้จะอยู่คนละที่... ฉันอยากบอกนายว่า..ดีใจที่เราได้พบเจอกัน...ดีใจที่นายมักมาอยู่เคียงข้างฉัน...ดีใจที่นายเป็นห่วงฉัน...ดีใจที่ฉันได้รักนาย....
คำพูดเหล่านี้..มันใช่คำสารภาพรักไหม...หรือแค่บอกเรื่อยๆเปื่อยเพราะอารมณ์พาไปกัน...
กังวลใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
Andy Yaa! Don’t forget my pizza!! : ทุกอย่างที่พิมพ์ออกมาจากใจฉันทั้งหมดนะ แอนดี้ยา ซารางเฮ!
แล้วเขาก็ทำท่าหัวใจน่ารักๆอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้อารมณ์ซึ้งหายไปในทันที แปรเปลี่ยนกลายเป็นเรียกเสียงหัวเราะจากผมแทน...
ตอนนี้ผมว่าเรื่องความกังวลที่ว่าช่างมันไปก่อนเถอะ....
อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่มีใครสามารถแก้ไขได้
อนาคตคืออะไรไม่มีใครรู้
ตอนนี้ผมสนเพียงแค่..ปัจจุบันคือกาลเวลาของเรา
เอริค...และ...แอนดี้
ก็พอแล้ว
ผลงานอื่นๆ ของ ++*WizzE*++ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ++*WizzE*++
ความคิดเห็น