ตอนที่ 7 : 1 days before Christmas day [THE END]
1 days before Christmas day
เสียงเคลื่อนยนต์ของเครื่องบินคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีเสียงเพลงประหลาดพวกนี้อยู่...
เขาปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความคิดมานานมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จนกระทั่งเสียงหวานของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดแขนยาวเข้ารูปของเธอเรียกสติเขาไว้... สีหน้าแสดงความเป็นห่วงของเธอฉายแววเด่นชัดแต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจกับภาพตรงหน้าเลย นอกจากความว่างเปล่าที่ก่อขึ้นท่ามกลางความสับสน...
“ชานยอล ถ้าไม่ไหวไม่ต้องมาส่งฉันก็ได้นะ” ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยรอยยิ้มบางเท่าที่เขาพยายามจะทำได้ แต่ดูเหมือนเขาจะพยายามได้แค่นี้จริงๆ...
“ขอโทษนะ...” น้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับโทษตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในภวังค์อีกแล้ว ให้ตายสิ อีกแล้วนะอีกแล้ว... “ขอโทษที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีไปด้วยนะ...”
“ฉันก็บอกนายแล้วไงว่ามันไม่ใช่ความผิดของนาย และก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ไม่มีใครผิดเข้าใจไหม” เธอทาบมือลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แต่มันก็ยังไม่ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยนอกจาก...ความรู้สึกผิดที่มากนับไม่ถ้วน
ถ้าเป็นไปได้ เขาจะไม่ทำแบบนั้นต่อหน้าแบคฮยอนเด็ดขาด ถ้ารู้ว่า...การทำแบบนั้นจะทำให้ตัวเองได้เห็นหน้าแบคฮยอนเป็นครั้งสุดท้าย...
“...ฉันก็แค่อยากจะสอนแบคฮยอนให้เป็นเด็กที่ดี”
“...”
“เป็นเด็กที่โตขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ...เป็นเด็กที่ไม่โกหก และ...”
“...”
“...ฉันผิดมากเหรอซูจอง?”
ครั้งนึงเขาเคยตั้งคำถามกับตัวเอง...ว่าการเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกตัวเอง...ไม่ใช่หลานตัวเอง...ไม่ใช่ตะกูลเดียวกับตัวเอง อาจจะลำบาก ยาก และ...มีอะไรหลายอย่างที่เขาต้องการเรียนรู้อีกเยอะ อะไรหลายอย่างที่เรียกว่าประสบการณ์
เพราะตัวเองไม่ใช่ทั้งพ่อ ไม่ใช่ทั้งน้า
แต่เป็นแค่ 'ปาร์คชานยอล' เด็กหนุ่มนักศึกษาปี 3 คนหนึ่ง...
“แบคฮยอนจะมีความสุขมากกว่านี้...ถ้าน้าคนนั้นไม่ใช่ ‘ฉัน’ ”
“...”
“ลองคิดดูสิ...ถ้าฉันไม่ได้อยู่กับแบคฮยอน ถ้าฉันไม่ได้เลี้ยงเด็กคนนั้น แบคฮยอนคง...”
“ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้วชานยอล...”
“...”
“อย่าขอร้องในสิ่งที่เรียกกลับมาไม่ได้แล้ว...เพราะมันไม่ได้ช่วยทำให้นายแก้ไขปัญหาได้หรอกนะ”
“...”
“ทุกคนกำลังช่วยตามหาแบคฮยอนอยู่ นายต้องเชื่อใจพวกเขา...และก็ตัวแบคฮยอนเองด้วย เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้มปนเศร้า พลางมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูเป็นพี่สาวคนโตขึ้นมาทันใด แต่เวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งอมทุกข์ไม่ใช่หรือไง เขาเฝ้ารอ...ที่จะพูดกับเธอมาโดยตลอดถึงสิ่งที่เขารู้สึกกับเธอ...จองซูจอง อย่าทำให้เรื่องนี้เป็นภาระต่อตัวเองสิปาร์คชานยอล
นายต้องบอกเธอตอนนี้นะ...
“ซูจอง...คือฉัน...” คนตัวสูงทำท่าจะพูดมันออกไป แต่ก็ต้องค้างคำพูดไว้ที่ประโยคเดิมทันทีที่เห็นว่าเธอเผยรอยยิ้มบางออกมาราวกับยอมรับในผลที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
นี่เธอรู้อยู่ก่อนแล้วงั้นเหรอ?
“ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร แต่เวลานี้...ฉันไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของนายกับแบคฮยอนต้องจบลงเพราะฉันคนเดียว”
“...”
“มันไม่ได้ฟังดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวหรอก นายเป็นคนดีนะชานยอล และฉันก็รู้ว่านายจะทำให้แบคฮยอนมีความสุขได้”
“...”
“...มีหลายครั้งที่คนเราสับสนกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ฉันรู้ว่านายรู้สึกยังไงเวลาที่ต้องตัดสินใจกับความรู้สึกของตัวเองตัวคนเดียว...เพราะฉันก็เคยเจอมาหลายครั้งแล้วนับไม่ถ้วน”
“...”
“แต่ฉันอยากให้นายรู้เสมอว่า...เมื่อนายตัดสินใจกับเรื่องใดเรื่องนึงไปแล้ว...นั่นหมายความว่านายอาจจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองในภายหลัง และฉันก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับนาย”
“...”
“ชีวิตไม่ได้เหมือนธุรกิจหรอกนะชานยอล ในบางครั้งเราก็ต้องยอมรับและเลือกสิ่งที่ส่งผลเสียต่อเราน้อยที่สุด แต่นั่นก็จะไม่ได้หมายความว่านายจะไม่มีความสุขตลอดไปนิ ถูกต้องไหม?”
“...”
“ถึงนายจะเลือกฉัน สุดท้ายนายก็จะกลายเป็นคนเสียใจมากที่สุด”
เพราะนั่นก็หมายความว่า...เขาจะไม่ได้เจอแบคฮยอนอีกตลอดไปเช่นกัน
“นายจะเจอฉันเมื่อไหร่ก็ได้...แต่แบคฮยอนน่ะ อาจจะไม่ได้เจออีกแล้วนะ”
“...”
“เพราะฉะนั้น...”
“...”
“ไปหาแบคฮยอนเถอะ”
<><><><>
ชายหนุ่มร่างสูงก้าวขายาวออกมาจากตัวสนามบินก่อนจะหันกลับไปมองเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีสวย จากนั้นรอยยิ้มบางเบาที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้น... ความคิดมากมายถลาเข้ามาเป็นคำถามที่แม้จะไม่ต้องตอบก็คงจะรู้อยู่ในใจอยู่แล้ว
ว่าเธอไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนที่เขารู้สึกอยู่เลย...นอกจากความเป็นเพื่อน
โคตรเฟลหนักเลยว่ะปาร์คชานยอล
จะว่าไปก็...
‘คุณเห็นรูปนี้ไหมคะ’ มิสฮวังเลื่อนรูปภาพรูปหนึ่งมาทางอีกฝ่าย ชายหนุ่มกดสายตาสั้นของตัวเองไปยังรูปภาพไม่เป็นรูปไม่เป็นร่างของเจ้าของรูปวาดปริศนา มันไม่ได้เดายากเท่าไหร่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้มีอยู่คนเดียวที่มิสฮวังกำลังพูดถึง
‘ผม...ไม่เข้าใจ’
มันก็แค่รูปของผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวสูงผิดมนุษย์มนา หูกาง ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขในชุดคริสต์มาสก็เท่านั้นเอง...
มันไม่ได้ต่างจากรูปทั่วไปเลยมากกว่า
‘ครูซานดาร่าบอกว่าเขาวาดรูปนี้ตอนคาบศิลปะก่อนเกิดเหตุการณ์’ เธอค่อยๆ อธิบายอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่ตัวสูงต้องทำใจลำบากเวลาที่ฟังเธอพูด ‘ หัวข้อก็คือ ‘สิ่งที่อยากได้ในวันคริสต์มาส’’
‘...’
‘และแบคฮยอนก็วาดรูปนี้ออกมา คุณคิดว่ายังไงคะ?’
ถึงมันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอแบคฮยอนอีก และเขาก็รู้ว่ายังไงซะเด็กนั่นคงไม่กลับมา...ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกของปาร์คชานยอลที่เชื่อมั่นอย่างนั้นว่าแบคฮยอนยังอยู่ที่เดิม
เพราะฉะนั้นเขาจึงขับรถตรงกลับมายังบ้านของตัวเองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความทรงจำที่ทั้งเขาและแบคฮยอนร่วมกันสร้างขึ้นมา...
‘แล้วตุ๊กตากวางตัวนี้...’ เธอเว้นจังหวะการพูดก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะหันไปมองตัวการรายที่สองซึ่งวางเด่นอยู่ริมโต๊ะทำงาน ‘ฉันไม่เข้าใจอยู่เหมือนกันว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี้หรือเปล่า...’
‘...’
‘พักหลังนี้แบคฮยอนเอาแต่เก็บตัวเล่นกับตุ๊กตาตัวนี้ เพื่อนพวกเขาเล่าให้ฟังว่าเด็กคนนั้นเองเหมือนจะคุยกับตุ๊กตาได้ราวกับ...’
มี 'ชีวิต' จริงๆ
ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าตัวบ้านแล้วปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับบ้านหลังยุโรปตรงหน้าอย่างเหม่อลอยขณะที่มือหนึ่งถือตุ๊กตากวางจมูกแดงไว้โดยมีความหวังอันน้อยนิดว่ามันอาจจะเป็นปริศนาบางอย่างที่นำไปสู่คำตอบของคำถามก็เป็นได้
สิ่งที่สัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้นั่นก็เพราะแบคฮยอน มันไม่ได้เป็นบ้านที่สวยงามกว่าบ้านหลังอื่น ไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา แต่มันก็เป็น ‘บ้าน’ ที่มีความทรงจำของพวกเรารวมอยู่...
เด็กหนุ่มชานยอลตอนอายุสิบแปดปีได้ตัดสินใจเก็บเงินซื้อบ้านเป็นของตัวเองครั้งแรกด้วยงานพิเศษที่ทำอยู่มาตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา ผสมกับค่าช่วยเหลือของทางบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าซะส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่ามันยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เพราะเจ้าของบ้านซึ่งเคยอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้วเห็นถึงความพยายามของเขา จึงลดหย่อนให้ครึ่งนึงพร้อมกับให้ดาวน์ได้อีกต่างหาก
นั่นเกือบจะเป็นฝันที่สมบูรณ์แบบที่เขาตั้งใจไว้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่สุดท้ายเมื่อเขาได้ข่าวเรื่องที่คุณลุงคนสนิทหรือก็คือพ่อของแบคฮยอน ที่ทำให้รู้ว่าต่อจากนี้แบคฮยอนจะต้องมาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า เพราะข่าวหน้าเศร้าของคุณลุงที่เกิดขึ้น
มันเหมือนกับเป็นการตัดสินใจที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตหนึ่งของเขาที่รับแบคฮยอนมาดูแลที่บ้านคุณลุง ก่อนที่บ้านหลังนั้นจะกลายเป็นบ้านของพวกเขาสองคนในปัจจุบัน
ความคิดแรกที่เข้ามาทันทีที่เห็นแบคฮยอนยืนร้องไห้หน้าหลุมศพของคุณลุงพร้อมกับเอาหน้าซุกแขนซิสเตอร์แล้วปล่อยโฮออกมาในวันนั้นยังตราตรึงในความรู้สึกเขา ว่าความรู้สึกที่เขาเคยถูกพ่อแม่ทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว...กับความรู้สึกตอนที่แบคฮยอนเป็นอยู่ตอนนั้น
มันไม่ได้มีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าแตกต่างเลย...
ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเข้าไปในบ้านหลังไม่ใหญ่มาก ขณะที่ภาพความทรงจำสมัยเก่าถูกฉายขึ้นอีกครั้งเหมือนกำลังนั่งดูภาพยนต์ข่าวดำเรื่องนึง
ภาพความทรงจำแรกคือตอนที่แบคฮยอนยืนจับมือเขาอยู่ทางเข้าบ้านแล้วมองมาด้วยแววตาของเด็กกลัวการเผชิญหน้าอนาคต แต่เด็กหนุ่มชานยอลในตอนนั้นกลับบอกกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มปลอบว่า ‘ไม่มีใครจะมาทำอะไรพวกเราได้’
ร่างสูงเหลือบมองไปยังห้องนั่งเล่นมุมซ้ายมือ และภาพความทรงจำที่สองก็เริ่มขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นตอนที่แบคฮยอนอายุ 7 ขวบกำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่กับเขาสองคน ทั้งสองกำลังแย่งป๊อปคอร์นถุงเดียวกันจนมันกระจัดกระจายหล่นเกลือนห้อง มองทีไรก็คิดถึงทุกครั้ง...
ขายาวก้าวตรงไปยังห้องถัดไปซึ่งก็คือห้องครัว ภาพทรงจำที่สามเริ่มขึ้นซึ่งเป็นตอนที่แบคฮยอนเตรียมตัวจะไปโรงเรียนเป็นครั้งแรก นับว่าตอนนั้นเด็กนั่นตื่นเต้นมากกับการได้ไปเรียนหนังสือ อีกฝ่ายยืดหลังตรงอย่างตื่นเต้น ในขณะที่เขากำลังทอดไข่ดาวในกระทะจนคนตรงหน้าบ่นว่า ‘เมื่อไหร่จะเสร็จ’ และ ‘ถ้าไปสายจะโทษน้าชานยอล’
มือใหญ่แตะขอบบันไดเนื้อไม้สีเก่าและภาพความทรงจำครั้งที่สี่เริ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นตอนที่แบคฮยอนสะดุดหกล้มหน้าบันได เพราะรีบวิ่งเล่นไม่ระวังตัวเองสุดท้ายก็เจ็บตัวอีกจนได้ แบคฮยอนร้องไห้ออกมาไม่หยุด แต่เขาซึ่งอยู่ตรงนั้นก็ช่วยปลอบโดยการทาบมือลงบนกลุ่มผมบางแล้วลูบไปมาพร้อมกับปลอบโยนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นนั้นว่า ‘แบคฮยอนต้องเข้มแข็งนะ’
จนกระทั่งถึงภาพความทรงจำสุดท้าย...
ชายหนุ่มหยุดก้าวเท้าสุดท้ายที่หน้าห้องอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา มันเคยเป็นห้องของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่ปัจจุบันนั้นกลับว่างเปล่าเพราะเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้...อีกต่อไปแล้ว
เขาใช้เวลาอยู่หน้าประตูห้องนอนอีกฝ่ายนานพอสมควรก่อนจะคลายความกังวลที่ค้างอยู่ในจิตใจออกไปให้หมด โดยการเปิดประตูบานนั้นเข้าไปประจันหน้า คล้ายกับผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเผชิญกับความจริงอีกครั้ง เขาแค่แอบหวังว่าเมื่อเปิดเข้าไปแล้วอาจจะเจอกับใครบางคน แต่ก็กลับพบแต่ความว่างเปล่าอย่างที่มันควรจะเป็น...
ควรจะโทษตัวเองดีไหมที่เอาแต่หวังมากเกินไปว่าแบคฮยอนอาจจะอยู่ในห้องนี้และรอเขาอยู่ ชายหนุ่มชำเหลืองมองไปยังเตียงขนาดเล็กซึ่งถูกพับผ้าเรียบร้อยเหมือนไม่เคยมีใครพักอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน แม้แต่ของเล่นที่เคยกระจัดกระจายก็ถูกจัดเก็บเข้าที่เหมือนไม่เคยมีเด็กเอาออกมาเล่นเช่นกัน
ร่างสูงตรงไปยังเตียงนอนเรียบอันว่างเปล่าก่อนจะสัมผัสมือใหญ่ลงบนผ้าห่มสีเนื้ออย่างถนุถนอม แสงไฟถนนในเวลากลางคืนจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด กลิ่นหอมหวานของความทรงจำสุดท้ายผุดขึ้นมาคล้ายกับจิ๊กซอร์นำไปสู่ก้นเบื้องลึกของหัวใจที่ถูกไขออก...
‘กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่าแบคฮยอน...’
‘อ่า ทำไมต้องใช้ชื่อผมด้วย ทำไมไม่ใช้ชื่อน้าอ่ะ’ เด็กน้อยยื่นปากไม่ชอบใจที่ชื่อตัวเองผุดขึ้นมาในนิทานที่อีกฝ่ายกำลังเล่า ความหนาวจากด้านนอกไม่ยั้งจะสะทนสะท้านเมื่อเทียบกับความอบอุ่นระหว่างคนสองคน
นั่นสินะ...ทำไมถึงต้องใช้ชื่อตัวเอกว่าแบคฮยอนด้วย...
‘น้าไม่ใช่เด็กดื้อเหมือนใครบางคนซักหน่อย’ พูดแหย่พร้อมกับแอบหรี่ตามองเจ้าเด็กดื้อที่ขดตัวอยู่กับผ้าห่มบนเตียงข้างๆ อีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นเด็กดื้อนามว่าแบคฮยอนก็ยังคะยั้นคะยอให้เล่าต่อ
ชายหนุ่มหลับตาพริ้มให้กับเตียงนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มบางอ่อนที่ปรากฏขึ้นเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่เรามีความสุขด้วยกัน...ที่บ้านหลังนี้
บ้านของเรา...
ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาพลางเหลือบมองไปยังข้างตัวซึ่งถูกมือเล็กอุ่นของใครบางคนข้างตัวประสานเข้ากับมือยาวเย็นยะเยือกของเขา...หากแต่ภาพของเด็กข้างตัวนั้นกลับดูเลือนลางไม่ต่างจากเทปเก่าๆ ที่หมดอายุการใช้งาน
พวกเราอยู่ในที่เดียวกันแต่แตกต่างกันในช่วงเวลา ถึงอย่างนั้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันเหล่านั้นก็มักจะมีรอยยิ้มของพวกเราปรากฏอยู่เสมอ
‘สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ...ปาร์คชานยอล’
ตลอดไป...
“สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ...บยอนแบคฮยอน”
write on : 2/4/16
THE END
#เสียงปรบมือดังสนั่นฮอลล์
สุขสันต์วันคริสต์มาส!! (หมายถึงในเรื่อง55555)
ฟิคของเราอาจจะมีบางส่วนที่ผิดพลาด ยังไม่ชำนาญในการแต่งเท่าไหร่
แต่เราก็ขอขอบคุณนักอ่านทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาแชร์ความรู้สึกให้อ่านกัน
เราขอขอบคุณจากใจจริงๆ ค่ะ! ^__^
และข่าวดีที่เราจะนำมาบอกก็คือ...
ฟิคเรื่องนี้จะมี Special part ทั้ง 2 part
ให้ได้ลิ้มรสความเป็นคริสต์มาสก่อนจะจากกันในเรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วยนะ ;)
(เป็นข่าวดีได้ไหมเนี้ย?555555)
#ถึงผมเเบคฮยอน
ที่สำคัญ ทุกเรื่องราวต้องมีข้อคิดเสมอถูกต้องไหมคะ? คือจะว่าไงดี5555 มันมีข้อคิดเยอะมากเลยอ่ะ หลายคนอาจจะได้ข้อคิดแตกต่างแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แต่สำหรับเรานะ ขอเป็นข้อคิดในวันคริสต์มาสเกี่ยวกับ ‘การให้’ แล้วกันนะคะ
อาจจะสงสัยว่า ‘การให้’ ในความหมายนี้หมายถึงอะไร ‘การให้’ ก็คือ การให้ ‘อภัย’ ต่อกัน เราคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีใครที่หัวเราะตลอดเวลาหรอก มันต้องมีบ้างที่คนสองคนมีปัญหากันในเรื่องต่างๆ แต่สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้อภัยเนี้ยแหละ เพราะถ้าต่างคนต่างเก็บไว้กับตัวเอง ไม่พูดจาและหันหลังใส่กัน บางทีนะ...เขาอาจจะหายไปจากชีวิตเราตลอดกาลเลยก็ได้...
เพราะฉะนั้น...อยู่เคียงข้างกันนะ ;)
#เป็น TALK ที่ยาวมากราวกับมหากาพย์จริมๆ 5555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

13 ความคิดเห็น
-
#13 멍령이 (จากตอนที่ 7)วันที่ 3 เมษายน 2559 / 12:00น้าชานจะได้เจอแบคมั้ยคะ อยากอ่านต่อ เราชอบมากเลยเรื่องนี้ มันแปลก ไม่เคยอ่านแนวนี้#130
-
#11 kkimmaggurren (จากตอนที่ 7)วันที่ 2 เมษายน 2559 / 21:20ยังไม่จบบริบูรณ์ใช่มั้ยคะ คือถ้าบริบูรณ์ตั้งแต่ตอนนี้เราจะเข้าใจว่าแบคตายแล้วอะ อะไรทำให้เข้าใจไปแบบนั้นเนี่ย ไม่โอเคกับชานยอลมากๆ#110