ตอนที่ 3 : 5 days before christmas day
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
5 days before christmas day
แต่ละวันที่ต้องไปโรงเรียน... เด็กน้อยขอบอกไว้เลยว่า มันไม่เคยมีวันไหนที่เขารู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากเท่าที่ต้องการ
ทำไมแบคฮยอนถึงต้องเกิดมาเป็นเด็กผู้ชายโชคร้ายหลายซ้ำหลายซ้อนอย่างนี้ด้วย
คนตัวเล็กบ่นพึมพำกับตัวเองในใจก่อนจะพาลอารมณ์เสีย เตะกองหิมะตรงหน้าด้วยแรงเตะอันน้อยนิดที่ตัวเองมีระหว่างทางกลับจากโรงเรียน
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน วันนั้นอาจารย์บอกพวกเราในชั้นเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ซึ่งก็คือวันคริสต์มาสอีฟในอีก 5 วันต่อจากนี้น่ะเอง
กิจกรรมพวกนี้มีอยู่ทุกปี ซึ่งแต่ละชั้นจะต้องจับฉลากเลือกกิจกรรมที่จะแสดงในงาน หนึ่งหัวข้อต่อระดับชั้น ปรากฏว่าห้องเราได้กิจกรรมแสดงละคร เป็นอันว่า อาจารย์ได้ทำการโหวตละครที่อยากเล่น สุดท้ายก็จบลงด้วยเรื่องซินเดอเรลล่าโดยเสียงค่อนมากของผู้หญิงในห้องซะส่วนใหญ่
เรื่องนั้นเขารู้ชะตาตัวเองตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าจะต้องมาจบในบทต้นไม้ข้างทาง หรือไม่ก็ฟักทองให้นางเอกขี่ไปงานเต้นรำ แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เขาคิดมันดันเกินความคาดหมายกว่าที่ตัวเองคาดการณ์ไว้สูงมาก...
‘ลูกสาวแม่เลี้ยงใจร้าย’
รู้สึกอยากจะขย่ำกระดาษขว้างใส่กล่องเช่นเดิม...
เด็กน้อยล่ะเกลียดการจับฉลากเลือกบทบาทแทนที่อาจารย์จะเป็นคนเลือกตามศักยภาพการแสดงของเด็ก หรือไม่ก็จัดโหวตกันเองอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเสี่ยงดวงแบบนี้...
แล้วดูสิ ได้บทอะไรมาก็ไม่รู้ ไหนจะต้องดัดเสียงเป็นผู้หญิงอีก แตกต่างกันจากบุคคลิกเขาดั่งขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้... จะให้ทำวิธีไหนมันก็ไม่มีทางมาบรรจบลงด้วยกันดี แฮปปี้เอนดิ้งหรอกปีเตอร์แพน...
บอกกับตัวเองดังๆ ว่าแค่ทำให้มันจบลงด้วยดีทั้งตอนซ้อมและตอนแสดงจริงก็โอเคแล้ว แต่พอเริ่มซ้อมบทกันไปพลางๆ มันก็เละเทะละเถิงไม่เหลือซากให้เรียกเค้าโครงเรื่องซินเดอเรร่าอีกต่อไป
สงสัยความสุขในวันคริสต์มาสจะหมดลงเพียงแค่นี้แล้วล่ะมั้ง...
ขาทั้งสองข้างหยุดยืนที่หน้าร้านค้าร้านหนึ่งแถบย่านกรุงโซล ป้ายชื่อร้านที่ถูกตบแต่งด้วยสีแดงสด และรอบๆ ร้านที่ถูกเติมเต็มด้วยต้นโอ๊กต่างๆ นานาหลากหลายสี แต่ดูเหมือนกลิ่นหอมของช็อกโกแลตร้อนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของร้านคุณป้าจะยังคงไม่เลือนหายจางไป...
กลิ่นหอมหวานพวกนั้นแหละที่ทำให้ใจเขานิ่งสงบลงอย่างน่าแปลก
มือทั้งสองข้างเผลอทาบกับตู้กระจกของร้านคล้ายกับต้องมนต์สะกด แสงไฟจากในร้านกับเสียงครึกครื้นของลูกค้าด้านในทำให้บรรยากาศเริ่มสลึมสลือคับคล้ายว่าเด็กน้อยหูอื้อไปชั่วขณะนึง...
แสงไฟของตู้กระจกจำลองค่อยๆ ซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์ปัจจุบันเหมือนจะดูดกลืนกินเข้าไป ไออุ่นๆ จรดลงกับริมฝีปากจนเกิดเป็นฝ้า ความหนาวของหิมะด้านนอกกำลังปกคลุมร่างคนตัวเล็กช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกไม่สะทนสะท้านต่อมันเพียงเพราะภาพตรงหน้าที่ทำให้รอยยิ้มบางนั้นขยับยกขึ้น...
แซนต้ากำลังยิ้มให้เขาจากด้านในตู้กระจกร้าน พุงพุยของชายแก่ในชุดสีแดงกับเครายาวรกบนใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นทำให้เด็กน้อยเลิกหุบยิ้มไม่ได้...
ผมเหนื่อยมากเลยครับแซนต้า...
คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับภาพซ้อนตรงหน้าเริ่มชัดเจนมากขึ้น แซนต้าซึ่งเคยนั่งอยู่บนรถลากภายใต้แสงสว่างแสบตาค่อยๆ จางลง แซนต้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว... หากแต่เป็นเด็กหนุ่มในชุดเรนเดียร์จมูกแดงยืนสบตากับเขาอยู่...
ถ้าจำไม่ผิด นี่มัน...กวางเรนเดียร์เมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ?
“นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ...” คนตัวเล็กถามเสียงเบา เพราะเขาเอง ก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงหรือฝันหวานๆ กันแน่ เจ้าเด็กหนุ่มในชุดกวางเรนเดียร์ยิ้มกว้างออกมาอย่างกับรอยยิ้มของพระอาทิตย์ก่อนจะตอบสั้นๆ ว่า
“ฉันเห็นนายยืนจ้องฉันอยู่”
“จ้อง? จ้องเนี้ยนะ??”
“ก็ฉันเห็น ...จากในนั้น” กวางน้อยชี้ไปยังตู้กระจกซึ่งเคยเป็นที่นอนของเขาก่อนหน้านี้ “แล้วฉันก็เดินออกมาจากร้าน...เพราะนายจ้องฉัน”
“ฉันไม่ได้จ้องซะหน่อย...”
“...นายจ้อง” เจ้ากวางน้อยชี้นิ้วคาดโทษอีกฝ่าย “และฉันก็เห็นนายจ้องฉันตาไม่กระพริบด้วย” พร้อมกับคำพูดซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเทปที่เสียแล้ว แต่คนเล่นก็เลือกที่จะกดดูต่อไปเพราะความน่าสนใจของมัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
“ฉัน...ฉันหิวข้าว”
ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ถึงเผลอพูดประโยคนั้นออกไป คนตรงหน้าเลิกคิ้วข้างนึงอย่างไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ หากนี่เป็นเกมตอบคำถาม แบคฮยอนคิดว่าเขาคงจะตกรอบไปตั้งแต่ด่านแรกแล้วให้ตายสิ
“งั้นก็กินข้าวสิ”
“ก็...” เด็กน้อยเว้นจังหวะคำพูดไปชั่วครู่นึงก่อนจะล้วงมือควักเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันหนาวเพื่อดูจำนวนเงินเล็กน้อยที่เหลืออยู่ไม่กี่บาท เสียงถอนหายใจออกมาพร้อมกับความหวังน้อยนิดที่เขารับรู้ได้ “...ลองไปหาอะไรกินดูล่ะกัน”
<><><><>
การเดินตามหาร้านขายขนมรองท้องระหว่างทางกลับบ้านจึงกลายเป็นภารกิจหลักของค่ำคืนนี้ไปโดยปริยาย ระหว่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังคงไม่หายสงสัยในสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้...
ไหนจะเรื่องแซนต้า แสงสว่างนั่นอีก แล้วยังจะกวางเรนเดียร์...หมายถึงคนในชุดกวาง ทั้งสามอย่างเหมือนมีอะไรเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่
คนตัวเล็กเหลือบมองคนข้างตัวซึ่งอยู่ห่างกันไม่กี่เมตรเสมือนพวกเรารู้จักกันดี เอาล่ะ เขาควรจะเริ่มต้นยังไงดีนะ...
“ฉันชื่อคิมมินซอก” เด็กหนุ่มในชุดกวางพูดขึ้นอย่างกับรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดอยู่ จมูกแดงแวววับเป็นอีกสิ่งที่เด็กน้อยไม่สามารถละสายตาได้เลย มันคับคล้ายคับคากับ...ลูกแอปเปิ้ล
ไม่ก็เชอรรี่...
โครกกก...
“เราใกล้ถึงแล้วล่ะ” มินซอกว่าพลางชี้ไปยังจุดพิกัดใกล้ๆ นี้ แบคฮยอนเองก็จำได้ว่าระหว่างทางมาโรงเรียน เขาผ่านทางพวกนี้มาก่อน แต่ก็ไม่เคยเข้าไปในร้านซักกะครั้ง นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ซื้อของกินด้วยตัวเองหลังจากที่ปล่อยให้น้าชานยอลซื้อให้ตลอดเวลา...
อยากให้น้าชานยอลอยู่ตรงนี้ด้วยจัง...
เด็กน้อยยกมือทั้งสองข้างทาบกับขอบกระจกหน้าร้านพลางโน้มหน้าประจบ พยายามดมกลิ่นหอมหวานจากในร้าน... อา ไก่อบมันฝรั่ง...
โครกกก...
ร่างเล็กก้มหน้าลงจับท้องตัวเองที่กำลังคำรามอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะอีกยาวหากเขายังไม่เอาอะไรลงท้องในตอนนี้ แล้วยิ่งมาส่องอาหารจากนอกร้านโดยไม่เข้าร้านอีกเนี้ยสิ...
“ทำไมไม่หาอะไรกิน?” อีกฝ่ายถามอย่างสงสัยพลางชะเง้อหน้ามองตามสายตาเด็กน้อยที่ตาจะละห้อยไปกับกลิ่นชวนหิวพวกนั้น แต่จะให้พูดยังไงดีล่ะ อยากกินมันก็อยากอยู่นะ...
“...มันแพงนิ”
“เรากินฟรีไม่ได้เหรอ?”
“พูดเป็นเล่น...ถ้าเป็นงั้นจริง ฉันคงไม่มายืนอยู่ด้านนอกเอาหน้าแนบกระจกแบบนี้หรอก” ดูก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังแข่งยั่วโมโหเขาอยู่ผ่านคำพูดติดตลกพวกนั้น มาด้วยกันแล้วยังพูดแบบนั้นอีก มันสมควรเหรอ...
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปร้านอื่นสิ” กวางน้อยว่าพร้อมกับชี้ไปจุดหมายปลายทางที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด...
“นายจะบ้าเหรอมินซอก ร้านพวกนั้นมันก็ร้านหรูๆ เหมือนกันหมดน่ะแหละ จะมีก็...”
“...”
มันมีอยู่นี่นา...
<><><><>
ซ่า...ซ่า...
กลิ่นหอมกรุ่นกับไอร้อนลอยขึ้นสู่อากาศหนาวจับใจในยามราตรีย่านกรุงโซล แสงไฟข้างถนนคืออีกหนึ่งสิ่งที่แบคฮยอนรับรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความมืดพวกนั้น...
อ่า มีมินซอกอยู่นี่นา
“หนาวเนอะ...” คนตัวเล็กว่าพลางลูบแขนทั้งสองข้างที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อกันหนาว มือข้างนึงถือมันเผาร้อนที่ซื้อจากร้านหมุนล้อของลุงเซโฮ ลุงแกชอบขับผ่านไปเรื่อยๆ ซึ่งในทีแรกแบคฮยอนไม่เคยสนใจของพวกนั้นเพราะคิดว่ามันพองปาก
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ซื้อมันด้วยเงินน้อยนิดที่เหลืออยู่...
พวกเขาทั้งคู่เลือกที่จะหลบความหนาวมานั่งจุมปุอยู่ซอกถนนซึ่งมีพอทั้งกล่อง (ที่ทิ้งไว้) สองกล่องสำหรับเก้าอี้เด็กสองคน ยังดีที่ตรงนี้ไม่ใช่ซอกทิ้งขยะ ไม่อย่างนั้นมีหวังคงแย่ไปกว่าเดิมแน่...
“แล้วนายไม่กลับบ้านเหรอมินซอก”
คนตัวเล็กรอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายระหว่างรอมันเผาในมือร้อนน้อยลงพอที่จะกัดเข้าปากได้ เขาซื้อมันเผาให้มินซอกอีกหนึ่งอันแต่ผู้ชายคนนั้นกลับถือมันไว้เฉยๆ เสมือนกับไม่เคยเห็นมันเผา แต่ก็ช่างเถอะ สำหรับตอนนี้มีคนอยู่ข้างๆ ก็อุ่นใจพอแล้วล่ะ...
จะว่าไป...พอพูดถึงเรื่องกลับบ้านก็เกือบลืมไปเลยว่าจุดประสงค์ของแบคฮยอนตั้งแต่แรกมันไม่ใช่การเดินหาอะไรกินแก้หิว แต่มันคือการเดินกลับบ้านอย่างที่ควรจะเป็นต่างหาก
นี่เขาทำบ้าอะไรอยู่เนี้ย นอกจากจะละเลยเส้นทางแล้ว ยังพาลจูงมินซอกมาร่วมนั่งกินด้วยกันอีก ทั้งๆ ที่ผู้ชายคนนั้นควรจะกลับบ้านไปหาครอบครัวตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย ทำยังไงดี...
“...ฉันต้องกลับบ้านตอนนี้” เด็กน้อยทำท่าจะยันตัวลุกจากกล่องแต่ก็ถูกสายตาของกวางมองมาเหมือนกับการที่เขาทำแบบนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ดีเท่าไหร่
“นายรู้เหรอว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน?”
จริงด้วย...
งั้นตอนนี้เขากับมินซอกก็ไม่ต่างจากเด็กที่หลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอน่ะสิ... โอย!
คนตัวเล็กค่อยๆ ย่อตัวทรุดนั่งกับกล่องเช่นเดิมเพื่อดึงสติให้กลับมาก่อนที่จะกระเจิดกระเจิงพาลไปไกลกว่านี้ เขาต้องใจเย็น ตอนนี้จะให้ทำอะไรลงไปมันก็เสียเปล่าแล้ว ทางที่ดี ถ้านั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าจะมีใครเดินผ่านมา อาจจะเป็นการตัดปัญหาที่ดีที่สุดก็ได้
เขาเชื่ออย่างนั้น...
“แล้วนายล่ะ จะนั่งเป็นเพื่อนฉันอยู่อีกงั้นเหรอ?” เด็กน้อยพยายามสงบสติตัวเองโดยการเปลื่ยนเรื่องคุย
“ฉันก็หลงทาง...เหมือนนาย”
“อะไรกัน ก็นายทำงานอยู่ที่ร้านคุณป้าไง นายจำอะไรไม่ได้เลยเหรอว่ามาที่นี่ได้ยังไง?”
แบคฮยอนถามอีกฝ่ายเหมือนเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องง่ายที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่ายังไงซะก็ไม่มีการหลงระหว่างทางเด็ดขาด ตลกดีเนอะ ทั้งๆ ที่เขาคิดแบบนั้น แต่ตัวเองก็ไม่ต่างจากสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญอยู่เลยซักเปอร์เซ็นเดียว... เฮ้อ พูดแล้วก็เศร้า
“ป่านนี้น้าชานยอลต้องบ่นหูชาแล้วแน่ๆ เลย”
“น้าชานยอล?”
“น้าของฉันเอง เขาเป็นน้าที่ตัวสูงมากๆ ตอนฉันเด็กฉันคิดว่าเขาตัวสูงเท่าโลก แต่พอโตขึ้นหน่อยฉันก็คิดว่าเขาตัวสูงเท่าทวีปเอเชียอยู่ดี”
“...”
“น้าชานยอลดูแลฉันมาโดยตลอด วันที่น้าชานยอลไปเรียน เขาจะวาดรูปกวางให้ฉันเป็นเพื่อน มันหน้าคล้ายๆ กับนายเลยแหละ”
“...”
“ฉันบอกน้าว่าฉันไม่ชอบกวางตัวที่น้าวาดเพราะเขามันไม่สวย แต่น้าก็ยังวาดอยู่เหมือนเดิม...”
คนตัวเล็กก้มหน้าลงกัดมันเผาในมือ แก้มตุ่ยๆ ทั้งสองข้างกับความร้อนอ่อนๆ ใต้กระพุ้งแก้มทำให้เขารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มินซอกนั่งฟังเด็กน้อยพูดอยู่กับตัวเองพร้อมยกมือขึ้นสัมผัสเขากวางของตัวเองอัตโนมัติ กวางน้อยหวังว่าเขาของเค้าจะสวยกว่าที่เด็กคนนั้นพูดนะ
ในเวลาสับสนวุ่นวายแบบนี้...บางทีการพูดคุยกันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาตอนนี้ก็ได้
“นายไม่กินมันเผาเหรอมินซอก?”
“ฉัน...ไม่รู้ว่ามันกินได้...แต่มันอาจจะกินได้” กวางเด็กกลอกตาแสดงความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นในความคิด แต่สุดท้ายมินซอกก็ก้มลงกัดมันเผาคำเล็กๆ เข้าปากหลังจากที่ลังเลอยู่เนิ่นนาน เคี้ยวอยู่นานสองนานจนแบคฮยอนไม่สามารถละสายตาจากภาพตรงหน้าได้เลย
ถ้าเขามีกวางเรนเดียร์ เขาก็จะตั้งชื่อว่ามินซอก
“หวานอ่ะ...” นั่นคือคำแรกจากปากของกวางอ่อนต่อโลก ก่อนจะตามมาด้วยอาการเบะปากเหมือนอยากจะคายเศษที่ตัวเองกินเข้าไปเต็มทน “ ...กินเข้าไปได้ยังไง”
อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางกวางอยากจะอ้วกสิ่งที่ตัวเองกินเข้าไป มันก็นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มีบทสนทนาร่วมกับเด็กวัยใกล้เคียงกัน และมินซอกก็เป็นอีกคนที่อยู่ในลิสต์นั้น
“ที่บ้านนายเป็นยังไงเหรอมินซอก”
“มันอบอุ่นนะ ฉันชอบนอนบ่อยๆ ตรงพรม ว่างๆ ก็นั่งคุยกับคุณลุงมีเครา ลุงเขาคุยสนุกดี” มินซอกเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเขานึกถึงช่วงเวลาที่เคยมีความสุขในอดีต “แต่มันก็มีความสุขได้แค่ช่วงคริสต์มาสเท่านั้นแหละ”
“...”
“คุณป้ามักจะร้องเพลงให้ฉันฟังช่วงคริสต์มาสอีฟ มันร้องยังไงน้า...” ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังพยายามนึกท่อนทำนองที่คุณป้าเจ้าของร้านเคยร้องให้ฟัง แต่นึกยังไงมันก็ไม่ออกมาเป็นเพลงนอกจากเสียงครางที่ไม่เป็นท่วงทำนอง
“ให้ฉันช่วยคิดไหม”
“เอาสิ”
กวางจมูกแดงปล่อยหน้าที่นั้นให้เป็นของแบคฮยอนต่อ เด็กน้อยหลับตาพริ้มพลางพยกหัวไปมาช้าๆ ตามทำนองเพลงที่เกิดขึ้นตามความรู้สึก แล้วค่อยๆ เปิดปากออกมาเป็นเสียงทำนองเพราะพริ้งเหมือนกับเเซกโซโฟนที่ถูกเล่นเป็นเพื่อนแก้เหงา...
“ถ้าถึง ‘เพลงนั้น’ เมื่อไหร่...บอกฉันด้วยนะ”
“อื้ม”
มินซอกพยกหัวไปตามท่วงทำนองเหล่านั้นช้าๆ รอยยิ้มทั้งคู่ปรากฏออกมาเมื่อเพลงหวานๆ เริ่มขึ้น มันให้ความรู้สึกเหมือนตัวโน้ตที่กำลังเต้นรำอยู่รอบตัวพวกเขา เสียงกระดิ่งดังเป็นจังหวะในวินาทีถัดมากับเสียงฉิ่งที่ดังบ้างเป็นบางจังหวะ
เสียงร้องของแซนต้าดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้างเหมือนกำลังหัวเราะให้กับความผิดหวังทุกอย่างบนโลกที่ไม่มีวันสิ้นสุด...
หากวันนี้คือวันผิดหวังที่สุดของโลก แบคฮยอนเชื่อว่าเขาจะสามารถยิ้มออกมาได้และหัวเราะไปพร้อมกับแซนต้า...
write on : 10/1/16
TALK WITH ME
บอกก่อนเลยว่าตัวละครตัวนี้ (หมายถึงเจ้ากวางมินซอก) สำคัญมาก
เหมือนเป็นไฮไลต์ของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้
ลืมภาพความสุขที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปได้เลย
เพราะตอนหน้าเราจะพาคุณเข้าสู่ดราม่าแล้ว ;)
ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรยังไง ติเตียนชมได้เลย!
*เราอาจจะได้ลงตอน 4 ช้าหน่อยนะคะ
เพราะอาทิตย์หน้ามีงานเยอะมากรออยู่ (ลาก่อย TOT)
แต่รับรองว่าไม่ควรพลาด ;)
“ผมอยากกลับบ้าน” #ถึงผมแบคฮยอน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

13 ความคิดเห็น
-
#4 SeALu (จากตอนที่ 3)วันที่ 11 มกราคม 2559 / 12:59ดูน่ารักกันจังเด็กน้อยหลงทาง แล้วต่อไปจะเป็นยังไงนะ เจ้ากวางสำคัญยังไง#40