ตอนที่ 2 : 6 days before christmas day
6 days before christmas day
สำหรับปาร์คชานยอล วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขารู้สึกผ่อนคลายกับหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มโปรด...
มือยาวเลื่อนไปเปิดหน้าหนังสือเรื่อยๆ สายตาก็พลางกวาดอ่านไปสองสามคำประโยคให้ศัพท์ภาษาอังกฤษทางเคมีเข้าหัวบ้าง เพื่อข้ามเวลาก่อนที่ช่วงพักกลางวันจะมาถึง
เพื่อนคนๆ อื่นที่เคยอยู่ในห้องเรียนก็หายหัวไปเหมือนเคยตามประสาวัยรุ่นหรรษาหาความสุขเรื่อยเปื่อย คงจะมีแต่เขากับ ‘รุ่นพี่ซีวอน’ และเพื่อนวัยเดียวกันสองสามคนที่พอจะเป็นสิ่งเติมเต็มความว่างเปล่าในห้องเรียนคณะแพทย์ที่นี่ได้ระยะหนึ่ง
“พี่ชานยอล ผมไม่เข้าใจโจทย์ข้อนี้อ่ะ” เสียงอู้อี้ของเด็กหนุ่มรุ่นน้องดังขึ้นเหมือนอีกฝ่ายพึ่งฟื้นจากอาการหลับใหล คนตัวสูงเพียงแค่เอี้ยวตัวหันไปให้คำตอบเจ้าเด็กไม่รู้จักจำด้วยน้ำเสียงโทนปกติแต่ฟังดูน่ากลัวจนน่าขนลุกยังไงชอบกล
“...แล้วตอนอาจารย์สอน นายไปไหน”
“โธ่พี่...ผมก็ต้องมีเวลาพักผ่อนบ้างสิครับ อีกอย่าง อาจารย์ก็ไม่ค่อยจะเข้าสอนอยู่แล้ว”
คนตรงหน้าถอนหายใจออกมากับประโยคแถไปเรื่อยของรุ่นน้องคนสนิท มันก็จริงอยู่ที่ว่าลักษณะการเรียนการสอนของอาจารย์มหาลัยคือการรับผิดชอบตัวเอง มีอะไรไม่เข้าใจต้องค้นหาคำตอบเอง แต่อย่างน้อย มันก็ควรให้ความสำคัญบ้างอะไรบ้างสิวะ?
“ว่าแต่พี่เหอะ มัวแต่นั่งเหม่อลอยอยู่นั่นแหละ”
“ไม่ได้เหม่อลอย” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับชูหนังสือเล่มใหญ่ขึ้นเหนือหัวเป็นหลักฐาน
“เฮอะ ผมเชื่อพี่เลย... เล่มบานตะไพเอาไปทำสากคั่วส้มตำแบบนั้นยังอ่านได้อยู่นี่ผมนับถือมากกกกห์” จุนฮเวเบะปากเลียนแบบรุ่นพี่ก่อนจะรีบยกมือขึ้นป้องหัวแล้วกระโจนวิ่งหนีหายออกจากห้องไป ก่อนที่จะโดนรุ่นพี่ชานยอลถือสากทุบหัวแหลกด้วยหนังสือข้างตัวอย่างที่เจ้าตัวว่าไว้จริงๆ
ให้ตายสิ...
“ทะเลาะอะไรกันแต่หัววันเนี้ย”
‘ชเวซีวอน’ ที่เรียกกันในชื่อของ ‘รุ่นพี่ซีวอน’ บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในห้องเรียนคณะแพทยศาสาตร์ซึ่งระดับไอคิวเฉียดเกือบระดับอัจฉริยะหันมายิ้มทะเล้นแหย่เจ้าของร่างสูงที่กำลังหงุดหงิดอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“แค่รู้สึกเหมือนมีพายุก่อในหัวน่ะครับ” คนตัวสูงยกมือขึ้นขยับนิ้วไปมาให้คนตรงหน้านึกภาพออก ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“นายควรจะชินนะชานยอล มีน้องอยู่ทั้งคนไม่ใช่หรือไงกัน”
“แบคฮยอนเขาดื้อก็จริงครับ แต่ไอ่จุนฮเวนั่นเรียกว่ากวนประสาทมากกว่า”
“รุ่นน้องฉันนี่ น่ารักกันจริงๆ” ชายหนุ่มจิ๊ปากอย่างอดอิจฉาไม่ได้เมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลมีท่าทีไม่ค่อยสนใจกับเรื่องบ้าๆ ของรุ่นน้องเสียเท่าไหร่ กลับกันเขาดูจะตั้งอกตั้งใจกับเนื้อหาตรงหน้าเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป “ฉันอิจฉานายจริงๆ นะ ปาร์คชานยอล”
“มาอิจฉาอะไรผมครับรุ่นพี่”
“ถ้าฉันสามารถมีใครก็ได้คนนึง ซึ่งไม่นับแม่หรือพ่อของฉันแล้ว ฉันอาจจะเลือกแบคฮยอนเนี้ยแหละ”
“...ฮะๆ พี่จะสื่ออะไรกันแน่ครับ”
“ฉันแค่อยากจะบอกว่าเด็กคนนั้นมันน่ารัก” รุ่นพี่ซีวอนยิ้มทะเล้นออกมาเหมือนอีกฝ่ายกำลังนึกถึงหน้าเด็กดื้ออยู่ในหัว สักพักนึงจึงหันกลับมาถามคนตัวสูงเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ “จะว่าไป...คราวก่อนที่นายพาแบคฮยอนมา...มันเมื่อไหร่นะ?”
“อ้อ...อืม ตอนนั้นแบคฮยอนอายุได้ซัก 10 ขวบ ก็ประมาณสองปีที่แล้วได้มั้งครับ”
“...เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”
“ตอนนั้น...เด็กนั่นก็แค่อยากจะดูว่า...ที่ที่ผมขลุกอยู่ทุกวันมันเป็นยังไงก็เท่านั้นเอง วันนั้น...พวกผู้หญิงคณะเราพากันหยิกแก้มกันยกใหญ่เลย”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่พวกเขาสองคนเคยอยู่ด้วยกัน จะว่าไปก็ไม่มีวันไหนที่เราไม่มีความสุข ถึงเขาจะงานยุ่งไปบ้างแต่แบคฮยอนก็รอเขาทั้งวันธรรมดาและวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพื่อมาเล่นด้วยกัน...
“สุดท้ายเด็กนั่นก็ร้องไห้แล้ววิ่งมากอดผม...”
เขาเชื่อเลยว่าถ้าตรงหน้าชานยอลเป็นเจ้าหลานสิบสองขวบ ไม่หนังสือวิชาวิทยาศาสตร์เล่มโปด คนตัวสูงคงจะเขกหัวเปาะใส่ไปแล้ว ไม่เคยนึกมาก่อนเลยแฮะว่าที่ผ่านมาจะมีเรื่องให้คิดถึงมากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกว่ามันไม่ต่างจากวันธรรมดาวันนึงซักนิดเดียว
แต่เปล่าเลย...
“เด็กมักจะกอดคนที่ทำให้รู้สึกว่า ‘เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้’ ”
“...”
“เอ่อ ฉันแค่รู้สึกว่าอย่างนั้นน่ะ” ชานยอลยิ้มบางๆ ให้กับรุ่นพี่ที่ยังคงชวนเขาคุยข้ามเวลาระหว่างรุ่นน้องกลับมาจากพักกลางวัน อ่า ยังพอมีเวลาอ่านได้อยู่ซักสองสามหน้า...
“แต่มันก็จริงนะ ตอนเด็กฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว... อาจจะเป็นเพราะแม่ของฉันมัวแต่ให้ความสนใจสามีใหม่ล่ะมั้ง”
“พี่ท่าจะรู้สึกแย่นะครับ”
“อืม มันบอกยากอยู่เหมือนกัน ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นคือ ต้องทำยังไงซะอย่างให้แม่หันกลับมาสนใจฉันอีกครั้ง”
“...”
“แต่แบคฮยอนเขาไม่ได้เป็นแบบที่ฉันเป็นนิ”
“...”
“เพราะนายอยู่ข้างๆ เด็กนั่นตลอดเวลา ถูกต้องไหม?”
<><><><>
หลังจากที่รุ่นน้องกลุ่มสนิท (รวมถึงไอ่จุนฮเว) กลับมาจากทานข้าวพักกลางวันแล้ว ชานยอลก็ขอเปลื่ยนเวรเพื่อไปกินข้าวต่อตามที่ตกลงไว้ โดยไม่ลืมที่จะชวนรุ่นพี่ซีวอนซึ่งเป็นรุ่นพี่ใหญ่ที่สุดในคณะไปด้วย แต่รุ่นพี่เขามักจะชอบปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าต้องอยู่เคลียร์งานตัวเองต่อเหมือนเคย จึงได้ฝากเขาซื้อกาแฟเย็นมาหนึ่งแก้วพอ
ระหว่างเดินเท้าเปล่าไปยังศูนย์กลางของมหาลัยซึ่งเป็นศูนย์รวมของโรงอาหาร และร้านกาแฟรายเรียงกันเป็นแถว จู่ๆ ก็เผลอนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่ซีวอนขึ้นมาได้
‘แต่มันก็จริงนะ ตอนเด็กฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว อาจจะเป็นเพราะแม่ของฉันมัวแต่ให้ความสนใจสามีใหม่ล่ะมั้ง’
มันคงจะพูดยากในเรื่องของความรู้สึก ถึงเขาจะไม่เคยเป็นแบบที่รุ่นพี่เป็น ยังไงก็ตามสิ่งที่เขาเป็นอยู่ในอดีตมันก็ไม่เชิงว่าจะเรียก ‘ดีกว่า’ ได้เต็มปากหรอก เพราะหลังจากที่ตัวเองอยู่กับคุณแม่หรือซิสเตอร์ และพี่เลี้ยงที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาได้หลายปีจนพอดูแลตัวเองได้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ความรู้สึกที่อยากจะพบพ่อแม่ตัวเองก็กลายเป็นศูนย์ลงทันที...
หรือบางทีอาจจะเข้าขั้นติดลบด้วยซ้ำไป...
ร่างสูงเหลือบมองตู้กระจกซึ่งสะท้อนให้เห็นเงาตัวเองจากอีกฝั่ง ชุดเสื้อคลุมคอเต่าสีขาวนวลขัดกับผมสีดำไม่จัดทรงของอีกฝ่าย มันน่าประหลาดใจมากเหลือเกินที่ยังมีผู้ชายลักษณะแบบนี้อยู่บนโลกอีก
มือซ้ายกขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือบอกเวลาว่าตอนนี้เที่ยงกว่าซึ่งเป็นเวลากินข้าวของนักศึกษาทั่วไปซะส่วนใหญ่ ยังพอมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่าก่อนจะเข้าเรียนช่วงบ่ายที่จะมาถึง หรือนั่นอาจจะหมายถึงหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มโปรดของเขาด้วย
เท้าทั้งสองข้างก้าวเข้ามาในร้าน café อัตโนมัติ จากนั้นจึงมีพนักงานสาวเสริฟออกมาต้อนรับคนสองคนเมื่อเห็นว่านักศึกษาหนุ่มเดินตัวคนเดียวมาไม่มีใครห้อยสอยมาด้วยเหมือนลูกค้าเบ้าหน้าหล่อๆ ซะส่วนใหญ่
“รับอะไรดีคะ~”
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองเค้กในตู้กระจกแช่เย็นอย่างใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง เขาเคยจำได้อยู่ว่าแบคฮยอนชอบช็อกโกแลตเป็นพิเศษ ถ้าอย่างนั้น...
“มีเค้กช็อกโกแลตชิ้นไหนที่เด็กชอบบ้างไหมครับ?”
“อืม เค้กช็อกโกแลตนุ่มก็ดีนะคะ”
ชานยอลใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ตัดสินใจเลือกเค้กช็อกโกแลตนุ่มที่แคชเชียร์เสนอมา กาแฟร้อนหนึ่งแก้วที่รุ่นพี่ฝากซื้อ และเค้กพายบลูเบอรรี่ของชอบของตัวเอง ก่อนจะเดินตรงมายังเก้าอี้ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ซึ่งเบื้องหน้าเป็นวิวธรรมชาติที่เขาชอบ
เพลงบันลาดเบาๆ สไตล์ฝรั่งคืออีกหนึ่งที่ทำให้เขาชอบมาที่ร้านนี้เป็นประจำ นอกจากการตบแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์นผสมกับวินเทจแล้ว คงไม่พ้นสถานที่จัดที่ทำให้ชานยอลชอบเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทุกที...
นี่มันก็นานมากแล้วสินะที่เคยรู้สึกว่าตัวเองต้องการที่พึ่ง ทั้งๆ ที่ผ่านมาเขาก็ดูแลตัวเองมาโดยตลอด ดูแลมาตั้งแต่เด็ก พวกพี่เลี้ยงที่เคยคิดว่าจะดูแลเราจนโตก็เปลื่ยนไปดูแลพวกเด็กๆ คนอื่น นั่นเขารู้ดี
วันเวลามันผ่านมาเร็วจริงๆ...
สมัยที่เขาเป็นเด็ก การต่อสู้กับความยากลำบากนับว่ายากแล้ว แต่การต่อสู้อยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางอุปสรรคที่หนานั้นยากยิ่งกว่า เราจะล้มเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ถ้าเรายอมแพ้ให้มันทับต่อไป...
ประสบการณ์สอนให้เขาเรียนรู้ในความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่สวยงาม ความด้านชาต่อโลกภายนอกมากยิ่งขึ้นจนเขาเริ่มทันต่อโลกและจบด้วยการดำรงชีวิตอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้...
“ขอโทษนะคะ...” ร่างสูงละจากภวังค์ความคิดก่อนจะพลิกหันไปทางเจ้าของเสียงผู้หญิงที่เรียกเขาไว้ ชายหนุ่มชะงักไปครู่นึงทันทีที่เห็นอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มมาให้แล้วชี้มาที่ตัวเธอเป็นลำดับถัดมา “คุณจำฉันได้ไหมคะ จองซูจอง?”
จองซูจอง...?
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดบุคคลตรงหน้าว่าเคยเห็นหรือเคยรู้จักกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ก่อนที่ดวงตาทั้งสองที่โตอยู่แล้วจะเบิกกว้างกว่าเดิมทันทีที่ภาพของเด็กสาวเมื่อ 7 ปีก่อนแวบเข้ามาในหัว
เธอยกมุมปากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางสีหน้าของอีกฝ่ายที่เปลื่ยนไป “ปาร์คชานยอลใช่ไหมคะ?”
ซูจอง...
<><><><>
“หน้านายตลกมากเลยนะตอนเห็นฉันครั้งแรกอ่ะ” หญิงสาวตรงหน้ายกปลายมือขึ้นปิดมุมปากก่อนจะคว้าแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบบางๆ “แบบว่า... ‘เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจำไม่ได้ว่ะ’ อะไรแบบเนี้ย”
“ก็มันจำไม่ได้จริงๆ นี่หว่า เห็นใส่ชุดคุณหนูซะขนาดนี้ นึกว่าทักคนผิดด้วยซ้ำไป”
ก็ไม่นึกเหมือนกันนั่นแหละว่ากับอีแค่เดินมาซื้ออาหารกลางวันเฉยๆ เป็นกิจวัตร จะดันบังเอิญมาเจอเพื่อนสาวสมัยประถมอย่าง ‘จองซูจอง’ ที่หลังจากได้ข่าวครั้งสุดท้ายก็ตอนที่รู้ว่าเธอย้ายไปเรียนที่อเมริกานู่นแล้ว
ถ้าเทียบกับตอนเป็นเด็กสาวในชุดเอี่ยมฝรั่งกับผู้หญิงมีฐานะตรงหน้านี้ บอกเลย แตกต่างกันลิบลับ...
“แล้วนี่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีการสบตากับอีกฝ่ายที่กำลังรอลุ้นคำตอบจากเขา ริมฝีปากเผลอเม้มเข้าหากันเพราะความอึดอัดที่ก่อขึ้นเมื่อถูกมองแบบนั้น มันแค่...ไม่ชินน่ะ “...เรียน”
“เห้...? นายยังเรียนอยู่อีกเหรอ” หญิงสาวขึ้นเสียงสูงอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อซักเท่าไหร่ จนกระทั่งเธอร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมานั่นแหละ “เฮ้ย ลืมไป ก็ที่นั่นเรียนจบเร็วกว่านี่นา...แต่นายดูโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“เธอต่างหากที่โตขึ้นเยอะจนฉันจำแทบไม่ได้” เด็กหนุ่มถลึงตาใส่หญิงสาวที่หลังจากฟังคนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงหงอย ก็ทำให้เธอถึงกับยกมือขึ้นป้องเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ไม่อยู่ออกมา “ที่นั่นคงดีสำหรับเธอทุกอย่างเลยล่ะสิท่า”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อยู่ที่นั่นอิสระก็จริง แต่ถ้าไม่รู้จักควบคุมตัวเองก็เสียคนเหมือนกันนะ”
หญิงสาวยกมือเรียวเสยผมยาวที่ลงมาปรกขึ้น ดวงตากลมโตเหมือนแมวของเธอกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างน่าค้นหาซึ่งนั่นคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชานยอลรู้ว่ามีผู้หญิงบนโลกนี้คนเดียวเท่านั้นแหละที่จะมีดวงตาน่าค้นหาแบบนี้...
“คงทำงานอยู่ที่นั่นเลยสินะ”
“ประมาณนั้นแหละ งานที่นั่นค่อนข้างเรื่อยๆ ว่างๆ ก็ไปเที่ยวได้ทั่วพื้นที่เลย”
เด็กหนุ่มฟังจากที่อีกฝ่ายกำลังพรรณนาถึงเมืองเขตตะวันตกก็อดอิจฉาในความสบายเหล่านั้นของเธอไม่ได้ เมื่อก่อนซูจองเคยเป็นเด็กผู้หญิงแมนๆ ที่ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นบนโลกนี้ การเป็นเพื่อนสนิทกันจึงทำให้เขารู้ว่าจองซูจองเปลื่ยนไปมากในบุคคลิก จะมีก็นิสัยเดิมๆ ที่พูดตรงไปตรงมาเนี้ยแหละที่เปลื่ยนยาก
“แล้วเธอมาทำอะไรที่มหาลัยล่ะ”
“ฉันแวะมาเยี่ยมน้องสาวน่ะ เธอเรียนที่คณะบริหาร พอมาเยี่ยมเสร็จก็เลยกะว่าจะไปสำรวจดูอาณาเขตเพลินๆ เผื่อจะเอาลักษณะการบริหารมาดัดแปลงกับธุรกิจตัวเองได้บ้าง”
ซูจองและเขาต่างรู้จักกันเพราะบ้านของเธออยู่ใกล้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ในทีแรกก็เตรียมใจไว้แล้วเหมือนกันว่าจะต้องทนเรียนตัวคนเดียวไม่มีเพื่อน แต่พอได้รู้จักซูจองในวันนั้นก็ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันจนทั้งคู่ต่างรู้นิสัยเสียของกันและกันหมดเปลือก
น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่เด็กสาวมีฐานะรวยอย่างเธอจะมาเรียนที่โรงเรียนชนบทพวกนี้ แตกต่างจากเด็กผู้หญิงคนอื่นที่ไฝ่ฝันอยากจะได้ทุนการศึกษาโรงเรียนเอกชนหนักหนา...
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำตอบจากซูจอง ก็ทำให้เขาไม่สามารถลืมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเธอเมื่อวันนั้นลงเลย...
‘ฉันน่ะ ชอบการเรียนแบบนี้มากกว่าการเรียนอะไรยุ่งยากที่เอกชนอีกนะ...ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่เวลาที่เราเป็นเด็ก เราไม่ต้องคิดหรอกว่าเราจะมุ่งอยู่กับอะไร...ขอแค่เราชอบ ให้เราได้ทำก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ มันก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ’
ตึกตัก...
“ชานยอล??”
“หืม...”
“เหมือนเดิมชะมัด...” เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ หลังจากที่หญิงสาวเอนหลังพิงกับผนังเบาะเหมือนเมื่อกี้เธอทำอะไรซักอย่างแต่เขาไม่ได้สนใจ เมื่อกี้เธอทำอะไรนะ... “เหม่อคิดนู่นคิดนี่เหมือนเคย พ่อคนคิดมาก”
ร่างบางเผยรอยยิ้มที่มุมปากพร้อมกับดวงตาขี้เล่นของเธอ มันไม่เคยแตกต่างจากเมื่อก่อนเลย ให้ตายสิ...
ไม่แปลกใจจริงๆ ว่าทำไมเขายังคงชอบเธออยู่ถึงแม้มันจะผ่านมานานกว่า 7 ปีแล้วก็ตาม
write on : 31/12/15
TALK WITH ME
ตอนที่สองมาแล้วค่า~ #จุดพลุ
ดูเหมือนอดีตของเขานั้นจะลึกกว่าที่เราคาดคิดไว้ซะอีก
รวมถึงเธอคนนี้ด้วย ;)
อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า ;)
happy new year
น้องเขาคิดถึงอ่ะ #ถึงผมแบคฮยอน
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

13 ความคิดเห็น
-
#3 SeALu (จากตอนที่ 2)วันที่ 3 มกราคม 2559 / 23:48เป็นงี้ไปได้ ชานยอลชอบมานานแบบนี้เรื่องก็ยากแล้วสิ#30
-
#1 KTwang (จากตอนที่ 2)วันที่ 31 ธันวาคม 2558 / 19:51ถ้าเราแอนตี้ผญ.นางนี้ เราจะผิดมั้ย?55555#10