ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่05 การปรากฏตัวของเพื่อนข้างห้อง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.34K
      89
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 05



    ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น
     ประโยคบอกเล่าของหมอยาเมื่อคืนทำเอาผมหมดอารมณ์ไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ออฟฟิศเปลี่ยนเป็นมาเดินเล่นในมหาวิทยาลัยใกล้ที่ทำงานซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไม่นานาพันธุ์และเด็กวัยเจริญเติบโตแทน
    แม้ไม่ได้จบจากที่นี่แต่ผมกลับชอบมหาวิทยาลัยนี้โดยเฉพาะในส่วนที่จัดเป็นสวน มีสระน้ำขนาดเท่าสนามวอลเล่บอลอยู่ตรงกลางเหมือนสวนสาธารณะ ตอนเย็นๆจะมีคนมาจ๊อกกิ้งบ้าง แต่บรรยากาศยังถือว่าเงียบสงบ เป็นพื้นที่เล็กๆในป่าคอนกรีตที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนแบบผมรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด



    “ตอนแรก พี่ก็คิดว่าจะขอกันต์เป็นแฟนวันที่จบนั่นแหละ เราคุยกันมาระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ไม่กล้า ทั้งๆที่รู้ว่ากันต์คงไม่ปฏิเสธ..”


    “พี่ชอบกันต์นะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ตอนนั้นพี่มั่นใจด้วยว่ากันต์ก็คิดเหมือนกัน แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยอะไรหลายๆอย่างมันก็เปลี่ยน ช่วงแรกๆรับน้องหนัก พี่ได้ส่งตัวเป็นเดือนคณะด้วยเลยยุ่งๆ ยอมรับแหละว่าพี่ติดสังคม ลืมกันต์ไปเลย หลังงานประกวดเดือนดาวพวกรุ่นพี่ก็พากันไปเลี้ยง เพิ่งกินเหล้าครั้งแรก ตื่นเช้ามาอีกทีก็ได้เมียเป็นดาวคณะเฉย”


    “พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็ไม่กล้าติดต่อกันต์ไปอีก... ต้องรับผิดชอบเขาด้วย ยังไงพี่ก็เป็นผู้ชาย”




    เออ ดี เจริญ ต้องรับผิดชอบเขาเพราะเขาเป็นผู้หญิง ส่วนความรู้สึกกูเนี่ยช่างแม่งเถอะ บอกตรงๆครับพอได้ยินแล้วรับไม่ได้ ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบกันจะมายุ่งด้วยทำไม หรือถ้ารักถ้าชอบกันจริง แล้วเพราะอะไรถึงหลงระเริงไปกับปัจจัยภายนอกได้ง่ายดายขนาดนี้ ฟังจบผมแทบอยากจะเอาน้ำร้อนราด แต่ติดที่พี่เอิร์ธก็ขอโทษแล้ว จะให้มันย้อนเวลากลับไปแก้ตัวใหม่ก็คงไม่ได้ ตอนนั้นก็ยังเด็กๆกันอยู่ วุฒิภาวะของเด็กวัยเพิ่งพ้นหัวเกรียนได้สดๆอย่าไปเรียกว่าโตเลย ไม่ได้พยายามหาเหตุผลแก้ตัวให้มันนะ พอนึกถึงภาพตัวเองตอนนั้นก็คิดแบบเดียวกันว่าต่อให้ยืดขนาดไหนที่ตัวเองเป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัยมาก็เป็นไอ้ลูกหมาไม่ประสาโลกเท่านั้น ก็นั่นแหละ เหตุผลเหี้ยๆทั้งหมดทั้งมวลที่วิ่งวนๆอยู่ในหัว สุดท้ายก็ทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอดีต  อดีตที่ทำผมนอยด์แดกเป็นวันๆ



    “เฮ้ย กันต์”


    เสียงที่ตะโกนชื่อผมดังออกมาจากอีกฝั่งของถนนในม. ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนตลิ่งริมน้ำครับ ไม่รู้เป็นอะไร ชอบมาก บรรยากาศที่เราได้นั่งบนหญ้าที่ชื้นดินแล้วมองปลาว่ายน้ำไปมาเนี่ย แต่ที่นี่ไม่มีหรอกครับปลา ผมเลยมองใบไม้ที่หล่นจากต้นร่วงลงมาบนผิวน้ำแทน ทันทีที่สิ้นเสียงเรียกผมจึงถอนสายตาจากใบไม้กรอบเปียกน้ำสีน้ำตาลไปยังต้นตอ ผู้ชายคิ้วหนาตาคม มีหนวดและเคราแพะนิดๆ เจาะหูทั้งสองข้างโบกมือให้ผมหยอยๆ ความจริงหมอนั่นมันรุ่นเดียวกับผมครับ ไม่สนิทกันเท่าไหร่



    “มาทำอะไรวะ?”


    “ออฟฟิศกูอยู่ตรงข้าม ม.” 


    ผมตอบ ภูมินทร์วิ่งข้ามถนนมาพลางหยิบเรย์แบนด์ขึ้นมาใส่ปิดออร่าพระเอก มันเป็นดาราครับ ที่จริงผมว่าก็สมควรอยู่เพราะแม่งหล่อ มันมีเชื้ออิตาลีปนอยู่นิดๆ ไม่ได้ดูฝรั่งจ๋า แต่หน่วยก้านดูก็รู้เลยว่าไม่ใช่เลือดไทยแท้ หน้าคมเหมือนพี่สาว



    “แล้วมึง มาทำอะไร?”


    “รับเด็ก” 


    ภูมินทร์ตอบหน้าซื่อ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆผมหยิบกิ่งไม้แถวนั้นขึ้นมาด้วย ลุคมันแบดบอยสุดๆครับ ดูเหมือนเป็นคนมีอะไรน่าค้นหา แต่ไม่รู้ทำไม้ทำไมเวลาเล่นละครถึงได้บทเป็นคุณชายแสนสุภาพไปได้



    “พี่เมเป็นไงบ้าง?”


    ผมถาม มินเป็นน้องชายแท้ๆของเมธาวี ตั้งแต่เลิกกันไปก็ไม่ได้ติดต่อทั้งพี่เมทั้งไอ้มิน ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรไปเป็นประเด็นโทรไป ที่รู้ว่าพี่เมยังไม่มีใครก็จากเฟสบุคเท่านั้นแหละ อย่าคิดว่าผมจะมีเครือเพื่อนฝูงสัมพันธ์กับทางฝั่งนั้น พี่เมเป็นพวกไม่ชอบอวดแฟน แล้วก็ไม่ชอบให้แฟนสังสรรค์กับเพื่อน อาจเป็นเพราะอายุเราต่างกันเกินไป



    “ก็ปกติ แล้วมึงอะ?”


    “เรื่อยๆ แล้วมานั่งกับกูเด็กมึงไม่รอเหรอ?”


    “เออ ช่างเถอะ บังเอิญดีว่ะ กูมารับมันหลายครั้งไม่เห็นเคยเจอมึงเลย ไปกินข้าวด้วยกันดิ”


    “มึงไปเหอะ ไม่อยากเป็นกขค.”


    “เฮ้ย อะไร นานๆเจอกัน ไปกับกูสองคนก็ได้ เดี๋ยวโทรบอกน้องมันก่อน ยังอยู่ที่เดิมปะ กูว่าจะแวะไปดูที่คอนโดด้วย”


    ภูมินทร์คะยั้นคะยอ ผมเลยตกลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้มินปลีกตัวไปโทรศัพท์แป๊บเดียวก็กลับมาพาผมไปที่รถ มันบ่นอุบเรื่องซื้อรถใหม่ว่าแพงงั้นงี้ พอผมถามว่าจะซื้อรุ่นอะไร เสือกตอบว่าแลมโบกินี่  สมควร



    “เออ มึงทำงานอะไรวะ”


    ภูมินทร์ถาม มันลากผมมากินซิสเลอร์ ร่ำๆว่าอยากกินสเต๊กแล้วลากผมเข้าร้านเฉย บริกรมองผมกับมินสลับกันแล้วอมยิ้ม ผมไม่ได้สนใจนักหรอก แต่ไอ้มินนี่มีข่าวว่าเป็นเก้งพาดหัวอยู่หลายฉบับอยู่ พนักงานจะตีความว่าผมเป็นคู่ขามันก็ไม่แปลก



    “วิศวะ แต่อยู่ออฟฟิศทำงานไม่ต่างจากเสมียน”


    “เออ หน่วยก้านมึงค่อยเหมาะกับวิดวะหน่อย ไม่เหมือนเด็กคนนึงที่กูรู้จัก หน้าตาแม่งจิ้มลิ้มมากเสือกเรียนวิดวะ “ มันบ่นหัวเสีย ผมเลยแกล้งถาม “ผู้หญิงผู้ชายวะ?”


    “ผู้ชาย ทำไม? มึงไม่รู้เหรอว่ากูเป็น?”


    ผมส่ายหัวระวิง “พี่เมไม่เคยบอก แล้วนี่มึงจะไม่เถียงสักหน่อยเหรอ? ยอมรับออกมาโต้งๆว่าเป็นเกย์เนี่ยนะ”


    “กูไม่รู้ว่าใครอายนะ แต่กูไม่อาย เป็นแบบไหนก็บอก ดีกว่าพวกแอบแล้วคบผู้หญิงบังหน้าเยอะ”


    มันไหวไหล่ ผมหัวเราะร่วน นึกถึงพี่เอิร์ธขึ้นมาเลย ตอนแรกวันนี้มันก็จะมาหา แต่ผมห้ามไว้ก่อน ยังไม่อยากเจอหน้า เกลียดมัน ทำใจรับเหตุผลไม่ได้



    “แล้วเมื่อกี๊เด็กมึงไม่โวยวายเอาเหรอ?”


    “นิดหน่อย ช่างเถอะ เดี๋ยวกูไปตักสลัดก่อน มึงเฝ้าโต๊ะนะ” พูดจบก็ลุกไปเลย มันกลับมาอีกทีพร้อมผักเต็มจาน อีกมือถือซุบเห็ดมาด้วย กินท่าทางน่าอร่อยครับ ผมเลยลุกไปตักบ้างแต่ไม่เยอะเท่ามัน ไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวจุกกินสเต๊กไม่ได้




    หลังจากมื้อเย็นแบบไม่ได้ตั้งใจของผมจบลงภูมินทร์ก็แวะมาที่คอนโดที่พี่เมซื้อไว้ห้องติดกับผม มันรื้อกุญแจในเก๊ะหน้ารถแล้วเดินมาด้วยกัน ผมแยกกับมินตรงหน้าประตู มันเข้าห้องร้างของมันไป ส่วนผมก็เข้าห้องเงียบๆของตัวเอง อาบน้ำสระผมได้แป๊บเดียวก็มีเสียงออดเรียก



    “มีไม้กวาดป่าววะ?”


    ภูมินทร์ถามทันทีที่เปิดประตูออกไป ผมเดินมาหยิบไม้กวาดแถมไม้ถูให้มัน แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ บอกขอแค่ไม้กวาดเฉยๆ เดี๋ยวมันค่อยจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทีหลัง วันนี้แค่เอาไปกวาดแมงสาบที่ตายอยู่ในห้องเท่านั้น หลังจากหายไปพักใหญ่ มันก็มากดออดหน้าห้องผมอีกรอบ



    “คืน มีน้ำเย็นไหม? ร้อนฉิบหาย”


    ผมพยักหน้าให้มันเดินเข้ามาในห้อง แล้วบอกให้นั่งรอที่โซฟา ภูมินทร์เปลี่ยนช่องหนังของผมเป็นการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ดึงหมอนกาฟิวส์ผมมากอดนั่งขัดสมาธิบนพื้น



    “เหี้ย ตัวมึงเหนียวเหงื่อเอาหมอนมากอดทำไม สกปรก เอ้านี่น้ำ แล้วโซฟาก็มีเสือกไม่นั่งนะ”


    ภูมินทร์รับน้ำมาดื่มทีเดียวรวดเกือบครึ่งแก้ว ผมยื้อหมอนไปจากหน้าตักมันแล้วดมๆ อื้อหือ เหม็นมาก



    “ทำเป็นรังเกียจ ว่าแต่ อาบน้ำได้เปล่า?”


    “ไม่กลับไปอาบที่บ้านล่ะ?”


    “มันเหนียวตัว เอาน้ำราดๆก็ได้ ไอ้แล้งน้ำใจ”


    นั่น มายืมไม้กวาดกู มาแดกน้ำห้องกู มาดูการ์ตูนห้องกูแล้วยังด่ากูแล้งน้ำใจอีก ผมยกตีนขึ้นเตะมันเบาๆ ไอ้มินก็มองตาขวาง



    “อย่าเล่นตีน กูไม่ชอบ”


    ผมหัวเราะแทนที่จะรู้สึกผิด นั่งบนโซฟากอดหมอนกาฟิวส์ที่แย่งไอ้มินคืนมา ตอนคบพี่เม พี่เมชอบบ่นความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของภูมินทร์ให้ผมฟังบ่อยๆ มันค่อนข้างเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เกรงใจคนอื่น อาจเป็นเพราะโตมาจากต่างประเทศ เพิ่งมาอยู่กับพี่สาวช่วงม.ปลายที่ไทยนี่เอง



    “จะอาบก็ไปอาบ น้ำอะ เดี๋ยวกูไปดูชุดให้ น่าจะมีที่ใส่ได้บ้าง”


    ภูมินทร์หันมายิ้มโชว์เขี้ยวให้ผม พอมันลุกไปห้องน้ำผมก็ไปรื้อเสื้อผ้าให้มัน มีเสื้อยืดกับกางเกงบอล ให้มันสวมกลับไปก่อน วันหลังจะได้มีข้ออ้างไปที่คอนโดหลักที่มันกับพี่เมอยู่บอกว่ามาเอาชุดคืน แหม่ะ ฉลาดล้ำโลกจริงๆชนกันต์ ผมยิ้มค้างกระทั่งเสียงโทรศัพท์สั่นจากหัวเตียงดังครืดเลยเดินไปรับสาย 



    “ครับ พี่เอิร์ธ”


    “เมื่อกี๊โทรไปไม่รับ ทำอะไรอยู่”


    “กันต์เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ พี่เอิร์ธมีอะไรหรือเปล่า?”


    ถามไปทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีอะไรหรอก โทรมาคุยเล่นนั่นแหละ “ไม่มีแล้วโทรหาไม่ได้เหรอ?” นั่นปะไร ผมเงียบไป ไม่ต่อล้อต่อเถียง พี่เอิร์ธก็เปลี่ยนเรื่องคุย


    “วันนี้ไม่ไปกินเลี้ยงกับไอ้ขุนเหรอ? วันเกิดน้องที่แผนกไม่ใช่หรือไง?”


    “ขี้เกียจอะพี่ เบื่อๆ อยากอยู่คนเดียว”


    “แล้วเรื่องเมื่อวาน รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”


    เรื่องที่บอกว่ามันเผลอไปนอนกับคนอื่นเลยเลิกยุ่งกับผมน่ะเหรอ? ถ้าลืมตาตื่นมาแล้วหายก็ไม่ต้องขายกันหรอกครับ เพลงอกหักน่ะ ผมแค่นหัวเราะพอดีกับไอ้มินเดินออกจากห้องน้ำชะโงกหน้าแค่ผ่านประตูห้องนอนเข้ามา



    “กูลืมผ้าเช็ดตัว”


    ผมรื้อผ้าเช็ดตัวในตู้ ส่วนหูก็หนีบโทรศัพท์เอาไว้ พอเจอก็ยื่นให้ภูมินทร์มันเอาไปพันเอวกันอุจาด แต่ดูเหมือนพี่เอิร์ธจะได้ยินเสียงมินเลยถามเสียงขรม


    “กันต์อยู่กับใคร?”


    “เพื่อนครับ เจ้าของห้องข้างๆ เรื่องมันยาว ไว้เดียวกันต์เล่าให้ฟังนะ”


    “ไม่เป็นไร พี่ฟังได้ เล่ามาสิ”


    “แต่กันต์ไม่สะดวกเล่า”


    ผมเป็นพวกไม่ชอบอธิบายครับ ยิ่งคิดว่าไม่ใช่สาระต้องอธิบายยิ่งไม่ชอบอธิบาย แต่ดูเหมือนพี่เอิร์ธจะไม่ชอบแบบนั้น ปลายสายยังถามผมต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ 



    “อยู่ด้วยกันสองคนหรือเปล่า?”


    “ครับ”


    “งั้นเดี๋ยวพี่ไปหา”

    พูดจบก็ตัดสายอีกแล้ว ผมได้แต่โยนโทรศัพท์ลงเตียงด้วยความหงุดหงิด หลับตาลงซักพักภูมินทร์ก็เดินเข้ามาในห้อง สวมแต่กางเกง เอาเสื้อพาดบ่า อวดซิกแพคกะกล้ามอกเป็นมัด เห็นแล้วมองเพลิน จนมันถามว่าจะให้ตากผ้าเช็ดตัวไว้ไหน แล้วจะฝากชุดให้ผมซักด้วยเลยละสายตาจากหุ่นน่ากัดของมันมาทำตาตำหนิ แม่งไม่เคยได้ยินหรือที่โรงเรียนไม่เคยสอนร้องเพลงความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีหรือไงวะไอ้ห่านี่ อ้อลืมไป จบประถมจากนอก



    “มึงเอาไปใส่ตะกร้าเลย”


    พูดจบผมก็หลับตาลงต่อ กระทั่งแรงยวบบนเตียงเกิดขึ้นถึงได้ลืมตามองคนรบกวนตาขวาง



    “อะไรอีก?”


    “ออกไปดูการ์ตูนเป็นเพื่อนหน่อยดิ”


    “ไม่กลับบ้านกลับช่อง?”


    “ค้างด้วย”


    ถ้าผมบอกว่าไม่ จะถูกด่าว่าแล้งน้ำใจอีกไหมวะ ไอ้มินดึงหมอนกาฟิวส์ที่หน้าตาเหมือนใบข้างนอกมากอด ทำหน้าตาน่าสงสารแล้วยกเหตุผลขึ้นมาเสริม



    “พรุ่งนี้กูจะจ้างคนมาทำความสะอาดห้องโน้น ถ้ากลับไปก็ต้องมาใหม่ ค้างด้วยคืนนึง กูไม่ปล้ำมึงหรอก”


    ผมจิ๊ปากรำคาญ ไม่ได้กลัวมันปล้ำหรอกครับ นี่ภูมินทร์พระเอกดาวรุ่งของวงการเลยนะ มันไม่ต้องมาวอแวผมหรอก กระดิกตีนเรียกเดี๋ยวก็มีเด็กๆวิ่งเข้าหาเอง เป็นพี่เอิร์ธน่ะว่าไปอย่าง


    “แต่เดี๋ยวพี่กูแวะมา”


    “เออ กูจะนั่งเรียบร้อย สัญญา” 

    มันว่า แล้วกระตุกชายเสื้อผมเชิงท้วงว่า แล้วการ์ตูนเน็ตเวิร์คกูล่ะ ผมถอนหายใจลุกขึ้นจากเตียงเดินนำมันออกไปจากห้อง นั่งรอคนอยากดูการ์ตูนบนโซฟาได้สักพักภูมินทร์ก็เดินตามมาพร้อมผ้านวมผืนใหญ่



    “ไอ้เหี้ย เอาออกมาทำไม”


    “หนาว”


    มันว่า พระเอกหนุ่มนั่งลงบนพื้นพรม นอนคว่ำหน้ากอดหมอนกาฟิวส์แล้วห่มผ้าผมชึ้นมาปิดจนถึงเอวแค่นั้นไม่พอ มันเรียกผมให้ไปนั่งเป็นเพื่อนมันอีก


    “บอกให้มาดูเป็นเพื่อน ทำไมไม่นั่งด้วยกัน”


    “แล้วทำไมมึงไม่มานั่งบนโซฟา”


    “ไม่ถนัด”


    “กูก็ลงไปนอนบนพรมไม่ถนัดเหมือนกัน”


    เถียงกันได้พักเดียวภูมินทร์ก็เลิกเซ้าซี้ มันนอนดูการ์ตูนโดยที่ผมหยิบหนังสือที่เคยอ่านค้างไว้มาเปิดอ่านเป็นเพื่อนมัน พักใหญ่เสียงออดหน้าห้องก็ดัง ผมลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยไม่ลืมบอกให้มินลุกขึ้นนั่งดีๆ คราวนี้มันเลื้อยขึ้นโซฟา แต่ก็ไม่ลืมดึงผ้าห่มขึ้นมากอดด้วย




    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×