ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่03 เธอยัง..?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.09K
      100
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 03



    ผมลืมตาขึ้นมาช่วงบ่ายแก่ๆของวันเสาร์ เสื้อผ้ายังทรงชุดเดิมปลดแค่กระดุมสองเม็ดกับตะขอกางเกงให้หลวมพอนอนสบาย สาบานครับว่าไม่ได้เมา และไม่ได้กลับมาดึกดื่นจนไม่มีแรงไปอาบน้ำหรอก ก็แค่นอนลืมตามองเพดานมืดๆของห้องนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนผล็อยหลับในสภาพเน่าๆเท่านั้น ส่วนไอ้สาเหตุที่ทำให้ผมต้องตาค้างหลับลงซักเกือบๆตีสี่ได้ ก็เป็นตัวเดียวกันกับที่ไลน์มาหาให้ผมลืมตาตื่นนี่แหละ



    Earth said ตื่นหรือยัง

    Gun said ยัง

    Earth said ละเมอคุย?

    Gun said พี่เอิร์ธมีอะไร?

    Earth said วันนี้พี่ออกเวรสองทุ่ม เดี๋ยวไปหาที่คอนโดนะ

    Gun said กันต์ไม่ว่าง



    ผมตอบไปแค่นั้น เห็นมันกดอ่านแล้วเงียบไปเลยยันตัวเองลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ นอนดึกแล้วกล้ามเนื้อแม่งล้าทั้งคัวจริงๆ ผมยืดเส้นยืดสายพักใหญ่แล้วเดินมาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า ต้องซักผ้าแล้ว ดองมาเกือบๆเดือน


    ชีวิตชายโสดก็แบบนี้ครับ ทำในสิ่งที่คิดว่าจำเป็น กางเกงในหมดค่อยขนเสื้อผ้าส่งร้านซักรีด เปลืองสัตว์อะแต่จะให้เป็นคนทำอะไรเองน่ะฝันไปเถอะ งานแบบนี้ผมยกให้สุภาพสตรีเลดี้เฟิร์สครับ ว่าแล้วก็อยากมีแม่บ้านส่วนตัวมาดูแลเหมือนกันนะ ติดอยู่ตรงว่าจะไปหาจากไหนให้ถูกใจว้า

    คิดพลาง ทำความสะอาดร่างกายตัวเองไปพลาง พอสระผมเสร็จก็ใช้ผ้าเข็ดตัวเช็ดหัวเดินออกจากห้องน้ำ ร่างกายส่วนอื่นปล่อยให้มันโตงเตงโทงเทงไป ห้องนี้อยู่คนเดียวจะไปอายใคร ที่จริงผมชอบด้วยซ้ำแก้ผ้าอยู่ห้องเนี่ย สบายตัวดี ไม่เปลืองชุดอีก พอผมเริ่มหมาดก็โยนผ้าพาดพนักพิงเก้าอี้เป็นการตาก ไปห้องครัวรื้อๆมาม่ากระป๋องออกมาได้ก็เสียบกาน้ำร้อน เปิดแชนแนลจีโอกราฟฟิคทิ้งไว้ให้มีเสียงช้างร้องแปร๋นปรั๋นเป็นเพื่อน กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังเลยวิ่งเข้าห้องนอนไปใหม่ ใครวะ ไม่ได้เม็มเบอร์ไว้ โทรมาเรื่องงานนี่กูด่าจริงเหอะ มันวันเสาร์แห่งชาตินะครับ



    “สวัสดีครับ”


    “ทำอะไรอยู่?”


    “แก้ผ้ารอน้ำเดือดครับ กำลังจะต้มมาม่าแดก นั่นใครครับ”


    “ฮะๆ อะไรของเราเนี่ย พี่เอง..”


    พี่เอง..



    พี่เอิร์ธ..

    ไอ้เชี่ยขุน!



    “ไปแต่งตัวก่อนไหม เดี๋ยวไม่สบาย พี่ถือสายรอได้”


    “อ่า ไม่เป็นไรพี่ มีอะไรหรือเปล่าโทรหากันต์เนี่ย”


    “เย็นนี้กันต์ไปไหนเหรอ?”



    เวรละ.. สคริปสด! ผมตวัดลิ้นเลียปากนิดๆ กรอกตาใช้ความคิด ไปไหนดีวะ



    “กันต์ว่าจะไปซื้อของเข้าคอนโดอะพี่ เนี่ยที่ห้องไม่มีอะไรเลย ต้องกินมาม่าแล้ว”


    “อ้อ เหรอ งั้นเดี๋ยวรอพี่ก่อนนะ จะพาไป กันต์ไม่มีรถไม่ใช่เหรอ”


    “ไม่เป็นไรพี่ ตั้งไกล กันต์ไปเองได้ครับ”


    “แต่พี่อยากไปหา โอเคนะ จะซื้ออะไรทำลิสท์ไว้เลย คนไข้มาแล้ว เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ”



    เออครับ  ตามสบายครับ

    เดี๋ยวนะ.. ทำลิสต์ซื้อของใช้ในบ้าน นี่มันแม่บ้านชัดๆเลยครับพี่เอิร์ธธธธธธ  ผมทำตาเหลือกมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายของตัวเองไปแลวด้วยอาการดิ้นเร่า แลกซ์เหี้ยอะไรวะชนกันต์ มึงโหลดช้าแรมต่ำอะไรขึ้นมาถึงปล่อยให้มันตีรันฟันแทงโป๊ะป๊ะโป๊ะเป้งได้ฝ่ายเดียว สุดท้ายมายืนอ้าปากพะงาบๆเพราะแย้งไม่ทัน อยากจะสำรอกความโง่เขลาของตัวเองออกมาจริงๆเลย

    ผมเกาหัวแกรกๆ จะทิ้งตัวลงนอนเสียงกาน้ำร้อนก็ดีดให้ผมต้องแบกสังขารปลวกๆของตัวเองหยิบถ้วยกระดาษรักษ์โลกไปกดน้ำร้อนต้มมาม่ามานั่งกินหน้าทีวี เปลี่ยนช่องมาดูมวยไปกินมื้อแรกของวันไป พออิ่มก็เรอเบิ้กออกมาแล้วเอาช้อนส้อมไปดองรวมกับจานที่ยังไม่ได้ล้างเมื่อสามวันก่อนและปล่อยให้มันหมักหมมเข้าสู่วันที่สี่ ส่วนตัวเองก็หมุนตัวกลับมาทิ้งร่างลงบนโซฟานุ่มนิ่ม คว้าเอาบ็อกเซอร์ที่เคยใส่แล้วโยนไว้แถวนั้นมาสวมลวกๆกอดหมอนกาฟิวส์ยักษ์ที่ซื้อช่วงที่โลตัสลดราคาเหลือ199แนบอก หมอนโง่ๆนี่ผมมีสองใบ อีกใบเอาไว้กอดนอนบนเตียงเป็นสีส้มเหมือนกันทั้งคู่ ตอนตัดสินใจซื้อห้องนี้พี่เมก็เป็นอีกคนที่ยุให้ผมซื้อแทนเช่าหอเหมือนสมัยเรียน โดยพี่เมก็ซื้อห้องติดๆกันไว้ด้วยแต่เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมาอยู่กับผมมากกว่าสุดท้ายห้องนั้นเลยปล่อยเช่าแล้วเปลี่ยนเป็นซื้อของใช้เข้ามาอยู่กินกับผมในช่วงหนึ่งแทน หมอนนี่ก็เป็นสมบัติหนึ่งในหลายอย่างที่พี่เมทิ้งไว้ดูต่างหน้า ไหนจะสลิปเปอร์ต่างไซต์ แก้วกาแฟคู่รัก ขวดพริกไทกับเกลือ โอย เรียกได้ว่าตอนลา หญิงสาวอายุมากกว่าแทบไม่เอาอะไรไปเลยนอกจากตัวและหัวใจ แถมไว้ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสให้ผมหลาบจนบัดนี้ โชคดีอย่างเดียวของผมคือพี่เมไม่ได้ทิ้งผมไปมีคนใหม่ ยังเป็นอาจารย์เมธาวีคนเดิมคนดีให้ผมแอบรอลึกๆว่า บางทีเธอวันที่เธอเหงาเกินจะอยู่คนเดียวอาจจะหันกลับมา


    เข็มนาฬิกาค่อยๆหมุนไปเรื่อยเอื่อยในวันเสาร์ ผมหมดเวลากับการดูโทรทัศน์ก่อนขยับขยายเก็บเสื้อผ้าที่กองระเกะระกะตลอดวันทำงานลงตะกร้า กว่าจะเปิดม่านสีครีมน้ำตาลวันนี้ได้ก็พบว่าข้างนอกเป็นสีดำหลังพระอาทิตย์ตกดินเสียแล้ว ปกติของหน้าหนาว แค่หกโมงฟ้าก็มืด แต่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอุณหภูมิไม่ยักจะลดมากพอให้รื้อเอาเสื้อกันหนาวมาใส่เหมือนสมัยประถม ว่ากันว่าโลกร้อนขึ้นท่าจะจริง

    ผมเดินวนไปวนมาหาถุงเท้าที่ไม่ครบคู่อยู่พักใหญ่ ลอนดรีใต้คอนโดเปิดถึงสองทุ่มครึ่งดังนั้นควรขนผ้าลงไปซักก่อนร้านปิด สายวันอาทิตย์จะได้ไปรับผ้าคืนทันใส่วันจันทร์ แวะมินิมาร์ทข้างร้านซักผ้าซื้ออะไรมารองท้องสักหน่อยน่าจะพอดีกับเวลาที่พี่เอิร์ธบอกจะมาหา ไม่ได้ตั้งตารอหรอกครับ แต่พอนึกๆดูไปห้างแล้วชวนมันไปซื้อชุดไปงานแต่งก็ดีเหมือนกัน ผมมั่นใจว่ารสนิยมพี่แกน่าจะเวิร์คกว่าผมเยอะ แต่งเสร่อๆไปเดี๋ยวจะถูกไอ้จ๊อบเจ้าบ่าวขี้เต๊ะแขวะกลางงาน ผมกับมันไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ก็เจ้าสาวของมันเนี่ยผมเองก็เคยหม้ออยู่พักหนึ่งก่อนคบกับพี่เม รายนั้นพอรู้ว่าแฟนตัวเคยชะแว้บแอบคุยกับผมลับหลังก็กลายเป็นมองหน้ากันไม่ค่อยติด โชคดีที่ไม่ได้ไปถึงขั้นไหนต่อไหน พอผมตกลงปลงใจกับพี่เมก็เลิกยุ่งกับเอ้ขาด ระหว่างผมกับไอ้จ๊อบเลยกลายเป็นแค่เคืองกันนิดๆ นิดเดียวจริงๆ



    “กันต์”


    เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นก่อนเวลา ผมสวมเสื้อกล้ามตาห่านกับบ็อกเซอร์ลงมาส่งผ้าซัก ตอนนี้กำลังยืนรอลิฟท์ พอได้ยินพี่เอิร์ธเรียกก็หันกลับไปยิ้มแหย กอดตะกร้าผ้าสีฟ้าเอาไว้ “ไหนว่ามาสองทุ่มไงพี่”



    “พี่แลกเวรน่ะ เห็นว่าเราต้องไปซื้อของ กลัวช้าแล้วห้างจะปิด เอาผ้าลงมาซักเหรอ?”


    “ครับ งั้นเดี๋ยวพี่ขึ้นไปรอกันต์แป๊บนึงนะ ขอแต่งตัวหน่อย ไปชุดนี้คงไม่ไหว”


    พี่เอิร์ธหัวเราะร่วนรุนหลังผมพอดีกับประตูลิฟท์ที่เปิดออก เมื่อวานพามาส่งหน้าคอนโดแต่ไม่ได้บอกห้อง วันนี้คงได้ข้อมูลมาจากไอ้ระยำขุนเลยกดเลขชั้นให้เสร็จสรรพ แถมพอถึงก็เดินนำหน้าไปหยุดที่ห้องผมโดยพลการอีกด้วย



    “ไอ้ขุนบอกอะไรพี่มาบ้างเนี่ย”


    “ก็บอกว่ากันต์โสด เพิ่งเลิกกับอาจารย์สอนมหาลัยอายุมากกว่าได้ครึ่งปีแล้ว”


    ผมหัวเราะแล้วเถียง “เพิ่งเลิกแค่ห้าเดือนเอง ขุนแม่งโม้”


    “มันปัดขึ้นมั้ง พี่นั่งรอที่โซฟานะ”


    “เอาเลยพี่ รีโมทอยู่ตรงนั้นแหละ”


    “เฮ้ย จะให้เอาเลยเหรอ ใจร้อนว่ะ”


    เป็นเรื่องปกติธรรมดาครับที่ผู้ชายจะพูดอะไรซันไลๆแบบนี้ออกมา ผมน่ะไม่ถือหรอกถ้าไม่ติดว่าไอ้คนพูดน่ะมันจ้องจะ เอา ผมอยู่จริงๆ ด้วยอารมณ์เซ็งๆปนหมั่นไส้เลยถอดเสื้อกล้ามเหม็นเหงื่อออกมาม้วนแล้วปาใส่มัน พี่เอิร์ธหัวเราะร่วนแต่ยังไม่หยุดพูดจาทุเรศ “ถอดเสื้อยั่วอีกนั่น”



    “พอเหอะพี่เอิร์ธ นั่งดูทีวีเงียบๆไปเลย”


    ความสัปดนมันเติบโตตามอายุ เชื่อเถอะครับ เมื่อก่อนพี่เอิร์ธไม่ใช่แบบนี้นะ จะเป็นเหมือนคุณชายๆหน่อย พูดน้อย เรียบร้อย อบอุ่น กิริยาทะลึ่งทะเล้นนี่เพิ่งเห็นเหมือนกัน ไม่รู้ไปหัดมาจากไหน พวกหมอพวกเภสัชเขาน่าจะเรียบร้อยไม่ใช่เหรอ? หรือผมเข้าใจอะไรผิดไป??



    หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คุณชายก็พาผมนั่งแคมรี่ไฮบริดจ์สีขาวออกจากคอนโด พี่เอิร์ธอารมณ์ดีเหมือนครั้งที่แล้วที่เจอกัน ทันทีที่จอดรถก็พาเดินเข้าซูปเปอร์ แม้ผมจะมาที่ห้างนี้บ่อยครั้งจนแทบจะสัปดาห์เว้นสัปดาห์ แต่ซื้อของเข้าห้องนี่ก็เลิกทำตั้งแต่อยู่ตัวคนเดียว พอได้มาจับรถเข็นก็อดไม่ได้ที่จะเขินหน่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะกำลังชอปปิ้งเหมือนพวกผู้หญิงหรือเพราะที่มากับอีกคนซึ่งเป็นผู้ชาย มิหนำซ้ำยังหล่ออีกด้วยกันแน่



    “พวกอาหารกึ่งสำเร็จรูปเพลาๆหน่อยดีไหม ของพวกนี้กินมากๆเข้าจะอันตรายนะ”


    ครับ คุณพ่อ

    ผมก้มลงสวดอาเมนให้ลังมาม่าที่ยกใส่รถเมื่อสองนาทีที่แล้วก่อนจะถูกหนุ่มแว่นยื้อมันกลับไปวางลงบนชั้นเดิม ของในรถเข็นตอนนี้มีแต่นม น้ำผลไม้ คุกกี้ ขนมปัง และธัญพืช มีถุงขนมก๊อบแก๊บจำพวกเลย์แผ่นเรียบสีเหลืองกับทาโร่นิดหน่อย บางทีแอบรู้สึกว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ชวนพ่อหมอยามาชอปปิ้ง แต่เอาเถอะ ไว้ซื้อมาม่ากระป๋องใต้คอนโดไปตุนอีกทีวันที่มันไม่อยู่ก็ได้



    “เอาอะไรอีกไหม กันต์กินผลไม้หรือเปล่า”


    “แอปเปิลก็ดีครับ เก็บไว้ได้นาน”


    ผมตอบ พอดีกับรถเข็นเลี้ยวไปยังโซนของสด ผลไม้จำพวกองุ่นเป็นอีกอย่างที่พี่เอิร์ธหยิบใส่ตะกร้านอกเหนือจากที่ผมเสนอ ทันทีที่ได้ของครบถูกใจคนมาด้วยก็เข็นรถไปจ่ายเงิน ผมรูดบัตรซื้อเผื่อมีแคชแบค หมดไปเกือบๆพัน



    “เดี๋ยวกินอะไรเลยไหม จะสามทุ่มแล้ว ครัวในห้างจะปิดเสียก่อน”


    “กันต์อยากได้เสื้อใส่ไปงานแต่งอะพี่เอิร์ธ”


    “หืม? เพื่อนแต่งงานแล้วเหรอ “


    “ครับ สิ้นเดือนนี้ กันต์ว่าจะซื้อเชิร์ตใหม่กับเนคไทค์ พี่เอิร์ธช่วยเลือกหน่อยสิ เดี๋ยวเสร็จแล้วพาไปเลี้ยงอาหารเวียดนามในซอย”


    คนตัวโตหัวเราะร่า คงไม่คิดว่าผมจะเอาของกินมาล่อ ร้านค้าในห้างทยอยปิดบ้างแล้วแต่พี่เอิร์ธมีแบรนด์ประจำแนะนำ ซึ่งโชคดีของผมที่ว่าร้านนั้นยังไม่ปิด



    “พี่ว่าเชิร์ตสีชมพูอ่อนกับเนคไทค์ลายนี้ก็ดีนะ”


    เป็นภาพที่ไม่ค่อยน่ารักหรอกครับเวลาที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งหิ้วถุงก๊อบแก๊บพะรุงพะรัง ส่วนผู้ชายอีกคนยกเสื้อเชิร์ตแขนยาวสองตัวขึ้นมาเทียบกันในร้านขายเสื้อแบรนด์ พนักงานขายยังยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยซ้ำตอนที่พี่เอิร์ธพยักเพยิดไปยังตัวสีหวาน แทนที่จะเป็นอีกตัวซึ่งเป็นสีเหลืองนวล



    “สีเหลืองก็สวยนะ” ผมทำท่าลังเล ถึงยอมรับว่าเชิร์ตสีชมพูกับเนคไทค์เส้นนั้นจะเข้ากันได้ดีกว่าแต่ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ คนมาด้วยสบตากับผมตรงๆแล้วยักยิ้ม “สีนี้แหละ เชื่อพี่”


    ไอ้คนแนะมองด้วยสายตาแบบมีเลศนัย ผมจึงกลั้นใจหันไปถามพนักงานซ้ำอีกรอบ เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคักกับตัวเองแล้วทำท่าเห็นดีเห็นงามไปกับพี่เอิร์ธ ไม่รู้ว่ามันดูดีเหมาะกับผมจริงหรือตอบส่งๆเพื่อเร่งปิดร้านกันแน่ 

    กระนั้นสุดท้ายผมก็ยอมพยักหน้าซื้อเสื้อพร้อมเนคไทค์เส้นดังกล่าว แต่พอจะยื่นบัตรเครดิตให้พี่เอิร์ธกลับร้องฮื่อแล้วส่งบัตรของตัวเองให้พนักงานแทนโดยอ้างว่าตัวเองเป็นลูกค้าประจำ มีส่วนลดของแบรนด์นี้อยู่แล้วหน้าตาเฉย



    “ไว้กันต์ค่อยคืนเป็นเงินสดดีกว่า”


    พี่เอิร์ธยิ้มสดใสบอก พนักงานคนเดิมเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมถุงกระดาษให้ผมรับไว้ จากนั้นก็พากันถือของพะรุงพะรังไปยังลานจอดรถ พี่เอิร์ธกดรีโมทให้ไฟหน้าแคมรี่คันเดิมกระพริบ วางถุงพลาสติกทั้งหมดไว้เบาะท้าย ส่วนผมก็นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถกอดถุงเสื้อผ้าไปตามระเบียบ คาดเข็มขัดเสร็จรุ่นพี่ใจป๋าก็เลื่อนเกียร์เคลื่อนรถ ไม่วายหันมาถามอีกรอบเพื่อความมั่นใจ “กันต์อยากกินอะไรนะ? อาหารเวียดนามเหรอ?”


    “ครับ มีร้านนึงอยู่ในซอยแถวๆคอนโด อร่อยสุดยอด พี่เอิร์ธลองไหม หรืออยากกินอย่างอื่นก็ได้นะ กันต์ไม่มายด์?”


    “เอาสิ อาหารเวียดนามก็ได้” สารถีว่าง่าย พูดจบก็ยกมือออกจากเกียร์มาคว้าเอามือผมไปจับหน้านิ่ง “กันต์ว่าไงพี่ว่างั้นแหละ”


    “งั้นกันต์ว่าพี่เอิร์ธปล่อยมือกันต์ดีกว่า”


    “แต่อันนี้พี่ไม่เห็นด้วยว่ะ” ไม่ใช่แค่รั้น พี่เอิร์ธยังดึงมือผมไปจูบหน้าด้านๆ “วันก่อนยังไม่ตอบพี่เลย”


    “ตอบอะไร?”


    “ที่ถามว่าคิดถึงกันบ้างหรือเปล่าไง”


    ความเงียบก่อตัวภายในห้องโดยสารแคบๆอีกครั้ง คราวนี้พี่เอิร์ธไม่ได้เค้นด้วยสายตา หากแต่ใช้เสียงลมหายใจบีบบังคับให้ผมพูดอะไรสักอย่าง



    “กันต์มีแฟนมาสองคนหลังจากเรียนจบ ยังไม่พอกับคำถามนั้นอีกเหรอ”  

    ถ้าคิดถึง ถ้ายังลืมไม่ได้จะมีคนอื่นได้ไง...
    ผมเลี่ยงที่จะตอบ แต่พี่เอิร์ธก็ยังไม่ตั้งใจนึกถึงจุดประสงค์ที่ผมพูดแบบนั้น



    “มันก็เป็นเรื่องที่จบไปแล้วไม่ใช่เหรอ แฟนกันต์น่ะ”


    ผมถอนหายใจผ่านโพรงจมูกยาว เอาหัวพิงกระจกรถทั้งๆที่มือยังถูกอีกฝ่ายบีบเล่นอยู่



    “กันต์ลืมมันไปหมดแล้ว เรื่องตอนนั้น...”


    ผมเว้นวรรคให้อีกฝ่ายพักใจ เบือนสายตาออกไปยังท้องถนนที่ยังมีแสงของไฟรถคลาคล่ำสีแดงสลับเหลือง “อดีตของกันต์ที่จบไปแล้วมัน คือกันต์กับพี่เอิร์ธต่างหาก”


    ภาพที่สะท้อนจากกระจกรถเป็นเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับผม ใต้แว่นกรอบดำสายตาคมจ้องออกไปไม่สิ้นสุดขณะที่กลีบปากกดยิ้มน้อยๆเหมือนสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องน่าขันมากเกินกว่าจะเก็บมาใส่ใจ 



    “งั้นเรามาพิสูจน์กัน ว่ากันต์ลืมมันจริงๆหรือเปล่า”


    พี่เอิร์ธละสายตาจากท้องถนนมาสบกับผมครู่หนึ่ง และกลับเป็นตัวผมเองจะเป็นฝ่ายเบือนหนีแววตาอ่อนโยนนั่นก่อน สารถีจึงค่อยกวาดตากลับไปจ้องมองบนทางสายยาวอีกครั้ง

     ถ้าบอกว่าเป็นการโกหกก็ไม่ใช่ พูดความจริงก็ไม่เชิง เรื่องราวระหว่างผมกับพี่เอิร์ธมันกำลังดำเนินไปสู่ธรรมนองคลองธรรมที่เหมาะสม ส่วนเรื่องของความปลาบปลื้มประทับใจนั่น ปล่อยมันไว้เป็นเพียงแค่เรื่องราวดีๆในชีวิตจะดีกว่า

    ผมถอนหายใจอีกครั้ง มองนาฬิกาหน้าคอนโซลรถเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม โชคดีที่ร้านอาหารดังกล่าวกำหนดปิดครัวตอนเที่ยงคืน ดังนั้นเมื่อรถเทียบจอดที่ลานจอดหน้าร้าน จึงยังพอมีลูกค้าอยู่บ้างประปราย  อาหารมื้อที่สองระหว่างเราไม่ได้อึดอัดเท่ามื้อแรก แต่ผมก็ยังไม่อาจหายใจได้ทั่วท้องอย่างที่ควร ถูกเล่นงานด้วยสงครามประสาทพักใหญ่ พอหนังท้องตึงได้ที่พี่เอิร์ธก็เรียกบริกรมาเก็บบิล ซึ่งทั้งๆที่ผมบอกว่าจะเลี้ยงแต่เภสัชกรหนุ่มก็เจ็บตัวไปตามระเบียบก่อนเดินนำผมกลับมาที่รถ



    "ขอบคุณครับ"

    เวลานี้แม้จะพยายามพูดอะไรสักอย่างทำลายเสียงเงียบที่น่าหนวกหูระหว่างเรา แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงการตบมือข้างเดียว เพราะอีกฝ่ายยังคงโนซิกแนล แคมรี่สีขาวเคลื่อนออกจากร้านอาหารมายังจอดบนลานจอดรถคอนโดในเวลาไม่นานนัก พี่เอิร์ธดับเครื่องรถแล้วหยิบถุงพลาสติกจากเบาะหลังเข้าสู่ตัวอาคารไม่ทันฟังคำทักท้วง เดินขึ้นลิฟท์กดชั้น กระทั่งไปหยุดยืนหน้าประตูห้องโดยไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตใดๆให้ผมจนปัญญาจะขับไล่

    ไม่ใช่รังเกียจอะไร แค่คิดว่ามันดึกเกินกว่าจะมานั่งเล่นที่ห้องผมแล้วก็เท่านั้น



    "จะค้างเหรอครับ"


    ที่ถามแบบนั้นเพราะพอไขประตูห้องเข้าไปอาคันตุกะก็เดินเอาของกินไปเก็บในครัว อาหารสดและนมถูกลำเลียงเข้าตู้เย็นแบบไม่มีทีท่าว่าจะกลับ หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ตรงคำถาม



    "กันต์ไปอาบน้ำก่อนเถอะ"


    พอเข้าโหมดสั่งนิ่งๆแบบนี้ผมก็หางลู่หูตกกันเลยทีเดียว เดินยีหัวยุ่งๆของตัวเองกลับเข้าห้องนอน คอนโดที่ผมอยู่เป็นห้องชุดที่มีห้องน้ำอยู่ข้างนอก พอหยิบผ้าขนหนูกับชุดนอนเสร็จก็ต้องออกมาใหม่ เห็นพี่เอิร์ธกำลังพับถุงพลาสติกเข้าเก๊ะตรงเคาท์เตอร์ครัวก็ไม่ได้ใส่ใจ เข้าไปอาบน้ำสระผม สวมเสื้อบอลกับบอกซ์เซอร์ให้สบายตัวสบายใจ เบื่อครับ ไม่ชอบอยู่ในห้วงอารมณ์ดราม่า พอล้างหัวเสร็จก็รู้สึกโล่งๆขึ้น กลับออกจากห้องน้ำมาอีกที คราวนี้เภสัชกรหนุ่มกำลังนอนดูทีวีอยู่บนโซฟาหน้าตาท่าทางดีขึ้นกว่าเดิมเหมือนกัน



    "อาบน้ำไหมพี่เอิร์ธ"


    "เดี๋ยวกลับไปอาบบ้าน"


    "อ้าว กันต์นึกว่าพี่จะค้าง"

    พี่เอิร์ธส่ายหัว เรียกผมให้ไปนั่งด้วย "เรื่องนี้สนุกดีนะ พี่ดูสามรอบแล้ว ลงไปนั่งพื้นไป เดี๋ยวเช็ดผมให้"


    "เฮ้ย ไม่เป็นไร"


    ถึงปากจะเถียง แต่พอหันไปเห็นตาดุก็ต้องยอมนั่งขัดสมาธิไปบนพรมหน้าโซฟาด้วยความจำนน พี่เอิร์ธโยนหมอนกาฟิวส์ให้ผมกอดขณะที่ตัวเองเริ่มละเลงมือบนหัวผมช้าๆ เมื่อก่อนพี่เมก็เคยเช็ดผมให้ นั่งท่าแบบนี้เลย แต่ไม่อยากจะเชื่ออย่างคือมือพี่เอิร์ธนิ่มกว่ามือพี่เมที่เป็นผู้หญิงอีก อาจเพราะอารมณ์ตอนที่ทำให้มันต่างกัน พี่เมติดจะหมั่นเขี้ยวเลยชอบแกล้งยีหัวผมแรงๆ ขณะที่พี่เอิร์ธเหมือนทำด้วยความเอ็นดู ทะนุถนอม 

    ผมถอนหายใจยาวอีกเฮือกใหญ่



    มันก็ดีอยู่หรอก ถ้าพี่เอิร์ธเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่ใช่หนุ่มแว่นตัวอย่างควายนี่อะนะ
     
     
     
     
    TBC


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×