ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักเร่

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่14 ชนกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.91K
      83
      28 ก.พ. 59



    Dahlia 14




    ขณะนี้เวลา 23นาฬิกา 40นาที

    ผมกำลังอยู่ในคลับย่านอนุเสาวรีย์ มีนักดนตรีเครื่องเป่าแสดงฝีมืออยู่บนฟลอ เพลงที่บรรเลงส่วนใหญ่เป็นเพลงต่างประเทศที่ไม่ใช่เพลงตลาด ผมเพิ่งรู้สึกถึงความอินดี้ของพี่เอิร์ธนิดๆก็ตรงนี้ มันมักจะมีรสนิยมที่ต่างจากคนเมืองทั่วไปเล็กน้อย หนึ่งในหลายอย่างก็อยู่ตรงหน้าผมนี่ เบียร์ดำสองไพน์



    “กันต์นึกว่าปกติพี่เอิร์ธไม่ดื่มแอลกอฮอล์ วันก่อนที่ร้านหมูกะทะเห็นกินไม่ถึงแก้ว”


    พี่เอิร์ธยิ้ม ยกไพน์ขึ้นดื่ม ผมก็ด้วย



    “ดื่มนะ แต่พี่เลือก ไม่ใช่อะไรทำให้เมาได้ก็ซัดหมด”


    “โฮะ... ไฮโซ”


    “มันเป็นเรื่องของรสนิยม”


    หนุ่มแว่นยักคิ้วให้หนึ่งที หล่อตายล่ะ ผมหัวเราะเอนตัวพิงไหล่มัน อันที่จริงหมดไปหลายไพน์แล้ว สำหรับผมน่ะเริ่มตึงๆเหมือนกันเลยปล่อยให้คนมาด้วยนั่งโอบเอวสบายใจเฉิบ พี่เอิร์ธหัวเราะไหล่สั่น ผมเลยเหลือบตาขึ้นมองมันว่าหัวเราะอะไรแต่เจ้าของลักยิ้มเก๋กลับส่ายหน้าเบาๆ



    “กันต์ตอนเมาน่ารักดีว่ะ แบบนี้ต้องจับมอมบ่อยๆ”


    “เฮ้ย เมาอะไร เปล่าสักหน่อย”


    “ไม่เมาก็เวอร์แล้ว ตัวเองกินไปเท่าไหร่รู้ตัวหรือเปล่าครับ”


    พี่เอิร์ธก้มหน้ามาจูบหน้าผากผม พอจะถอยผมกลับไม่ยอมปล่อยยกมือขึ้นโอบรอบคอแกร่งให้เลื่อนลงต่ำกว่าหน้าผาก ผมชอบจูบของพี่เอิร์ธ จูบที่เหมือนปรนเปรอให้ผมมัวเมา



    “ไม่รังเกียจที่พี่เป็นผู้ชายเหรอ?”


    พี่เอิร์ธถามทั้งๆที่ปากยังคลอเคลียไม่ห่าง เดี๋ยวเลื่อนไปที่แก้ม แล้วกลับมางับตรงจมูก ผมรำคาญเลยดึงมาจูบที่ปากอีกทีแล้วไชหัวมุดกับคอคนมาด้วย “กันต์ไม่เคยรังเกียจพี่เอิร์ธ มีแต่พี่เอิร์ธแหละที่ทิ้งกันต์”


    “พี่ขอโทษ...”


    “โคตรใจร้าย”


    “พี่รู้ กันต์เสียใจมากไหมตอนนั้น?”


    “ที่สุด... เหมือนจะขาดใจเลย มีแค่ไอ้ใหญ่ที่คอยปลอบไปตบหัวไป”


    พี่เอิร์ธเงียบไปแป๊บเดียว มันกระชับวงแขนรอบเอวผมให้แน่นขึ้น



    “พี่ขอโทษ พี่ก็เสียใจไม่แพ้กันต์หรอก ยิ่งพี่เป็นคนทำทุกอย่างพังเองยิ่งเสียใจ... แต่พี่สัญญานะ จะไม่ทำให้กันต์เป็นแบบตอนนั้นอีกแล้ว”


    ผมพยักหน้าทั้งๆที่ไม่รู้ว่าควรเชื่อหรือเปล่า พี่เอิร์ธใช้คางเกยหัวผม เราทอดมองออกไปที่นักดนตรีวงใหม่ซึ่งขึ้นมาบรรเลงเพลงพร้อมนักร้องสาวสวย


    “กันต์เชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม?”


    “ไร้สาระ”


    “แต่พี่เชื่อนะ....” พี่เอิร์ธพูด ผมรอฟังประโยคถัดไปแต่อีกฝ่ายกลับเงียบ ผมเอื้อมมือไปหยิบไพน์เบียร์มาดื่มอีกแต่คราวนี้พี่เอิร์ธกลับดึงออก


    “พอก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานไม่ไหว”


    “ไหวน่า นี่ชนกันต์นะ ให้หมดไพน์นี้ก่อนแล้วพอ”


    “งั้นพี่กินให้แล้วเดี๋ยวไปส่ง น้องเชคบิลเลยครับ” พี่เอิร์ธรวบรัดตัดความ มันยกภาชนะบรรจุเครื่องดื่มที่ขนาดอยู่ระหว่างเหยือกกับแก้วที่เหลืออยู่ไม่เยอะนักขึ้นดื่มจนหมดให้ผมมองตาละห้อย งกว่ะแม่ง กินคนเดียวหมดเลย



    “ไป กลับ... ลุกเร็ว ฮึบ”


    พี่เอิร์ธยิ้มตาปิดพลางดึงมือทั้งสองข้างของผมให้ยอมลุกตาม ผมเดินโซซัดโซเซเกาะเจ้าของเสื้อเชิร์ตพับแขนมาจนถึงรถ พอได้แอร์เย็นๆปะทะหน้าก็หลับเป็นตาย รู้ตัวอีกทีตอนอีกฝ่ายพยุงผมออกจากเบาะ



    “ตื่นแล้วเหรอ เดินไหวไหม? มาพี่ช่วย”


    ผมพยักหน้าหงึกๆ ถูกพี่เอิร์ธหิ้วปีกซ้ายเดินตุหลัดตุเหล่กันจนถึงลิฟท์ของคอนโดจนถึงหน้าห้อง พี่เอิร์ธก็เอาผมมาวางแปะหน้าประตูก่อนหันไปรื้อกุญแจในกระเป๋าแดปเปอร์คู่กายของผม พักเดียวประตูบานสีขาวก็ถูกเปิดออก พี่เอิร์ธพยุงผมเข้าไปนอน กระซิบบอกว่าเดี๋ยวมาแล้วหายไปจากประตูที่เพิ่งก้าวผ่านไป ผมกุมขมับเพราะรู้สึกปวดตื้อในสมอง ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากินไปมากขนาดไหน รสชาติเบียร์ดำมันอร่อยกลมกล่อมเข้ากับบรรยากาศและคนพาไปจนผมไม่คุมตัวเองเหมือนทุกครั้ง เหมือนกับเมื่อหกปีก่อน... ผมพูดคุยและปล่อยตัวเองสบายๆหลังจากเบียร์เข้าปากไปแค่สองไพน์แรกเท่านั้นด้วยซ้ำ ไอ้พี่เอิร์ธจงใจมอมกูหรือเปล่าวะ ทำไมกูเมาอยู่คนเดียว

    ผมลุกขึ้นมาอีกทีสะบัดอาการมึนงงที่ศรีษะ ควานหาไฟแชคกับบุหรี่ได้ก็ลุกออกมาริมระเบียง ไฟระเบียงของห้องข้างๆเปิดไว้กับผู้ชายอีกคนที่กระฟัดกระเฟียดใส่ผมไปเมื่อเย็น พอมันหันมาเห็นผมคาบบุหรี่ไว้ที่ปากเท่านั้นภูมินทร์ก็อัดลมหายใจเข้าแรงจนปลายมวนบุหรี่ของมันเป็นสีแดงวาบ 

    ผมไม่ทักมัน มันไม่ทักผม เราต่างยืนสูบบุหรี่ที่ระเบียงห้องตัวเองเงียบๆโดยปราศจากการพูดคุยครู่ใหญ่



    “ไปแดกเหล้ามาเหรอ?”


    ในที่สุดผู้ชายระเบียงติดกันก็ทักก่อน ผมพยักหน้าพลางรับคำในลำคอ ภูมินทร์เคาะมวนบุหรี่กับกระป๋องเบียร์ที่ถูกตัดเป็นที่เขี่ยบุหรี่ของตัวเองแล้วปรายตามองผม



    “เมา?”


    “อืม...แล้วนี่ อยู่คนเดียวเหรอ?”


    คนถูกถามพ่นลมหายใจออกมายาว ถ้าให้เดาผมคิดว่าคำตอบคงเป็นไม่ จากสภาพการแต่งตัวแล้วดูท่าคงเพิ่งเสียตัวมาหมาดๆ มีแค่ผ้าเช็ดตัวสีครีมพันท่อนล่างของมันเอาไว้ ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าโชว์กล้ามเนื้อเป็นมัดของตัวเองเต็มภาคภูมิ



    “เรื่องมึงกับเจมส์มันคนละเรื่อง.. อย่าเอามาคิดได้ไหม? เจมส์ก็อยู่ส่วนเจมส์ มึงก็อยู่ส่วนมึง”


    ผมเงียบ ไม่ตอบ ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ระหว่างผม มิน พี่เอิร์ธ และก็เจมส์ บุคคลต่างๆที่โผล่เข้ามาในชีวิตแบบไม่ได้คาดหมาย แต่กลับสร้างความปั่นป่วนเต็มไปหมด 



    “เรื่องมึงกับพี่เอิร์ธต่างหากที่มึงควรคิด.. กูเคยเตือนมึงแล้วใช่ไหมกันต์ว่ารุ่นพี่มึงมันอันตราย ทำไมไม่เชื่....”


    “อย่าดิสเครดิตคนอื่นโดยที่ไม่มีหลักฐานสิ ภูมินทร์”


    เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้ไอ้มินเงียบเสียงหันไปอัดมะเร็งเข้าปอดแทน พี่เอิร์ธถือถุงเซเว่นที่มีเครื่องดื่มแก้เมาค้างเดินออกมานอกระเบียง จ้องเสี้ยวหน้าไอ้มินเขม็ง



    “ถ้าคิดจะจีบกันต์ก็สู้กันตรงๆ อย่าดิสเครดิตแบบนี้ มันไม่แมน”


    “จะทางไหนก็ต้องสู้แหละวะ! อะไรที่ทำให้มึงไม่ได้กันต์ไปกูก็ต้องสู้ กูจะทำทุกอย่าง!  ทุกๆอย่าง...”


    ผมสะดุ้งหันกลับไปมองภูมินทร์ มันกำบุหรี่ในมือตัวเองทั้งๆที่ไม่ดับไฟจนผมได้กลิ่นไหม้ของเนื้อ ดวงตาสีอ่อนที่เคยขี้เล่นวาวโรจน์จ้องกลับคนข้างหลังผมแบบไม่ถอย พี่เอิร์ธหัวเราะในลำคอนิดเดียวแล้วโต้ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง



    “ประกาศตัวตรงๆเลยก็ดี พี่จะได้พูดว่าพี่ก็ไม่ยอมปล่อยกันต์ไปรักคนอื่นเหมือนกัน... วันนี้พอแค่นี้ก่อน กันต์ ถ้าโอเคแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยจะได้มาดื่มนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุกไปทำงานไม่ไหวจะมาโทษพี่เอา”


    หัวใจผมเต้นตึกตัก ทั้งหน้าร้อนผะผ่าว ไม่กล้าสบตาทั้งภูมินทร์ทั้งพี่เอิร์ธ กระทั่งคนในรั้วระเบียงเดียวกันจูงผมเดินเข้าห้องถึงยอมขยับตัว พอหย่อนตัวลงโซฟาปุ๊บก็หมดแรงลุกไปล้างหน้า พี่เอิร์ธยัดเครื่องดื่มแก้อาการเมาค้างเย็นๆให้ผม ก่อนหายไปอีกครั้งและกลับมาอีกทีพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก ไออุ่นของน้ำร้อนที่ชุบมาทำให้ผมรู้สึกสบายตัว เภสัชกรหนุ่มไล่มาเช็ดตามลำคอ ปลดกระดุมเสื้อเชิร์ตผมออกแล้วลากผ้าเปียกๆผ่านตลอดลำตัว แผ่นอกและท่อนแขน ผมเอนตัวลงนอนบนโซฟาแผ่หรา พี่เอิร์ธส่ายหน้านิดเดียวแล้วเลื่อนมาปลดเข็มขัดกับสแลคของผมให้ทั้งร่างเหลือเพียงแค่บอกเซอร์
     
    บอกตรงๆตอนนี้ผมทั้งเมาทั้งชอค ขณะที่พี่เอิร์ธกลับสงบกว่าที่ควร หลังจากเช็ดตัวให้ผมเสร็จมันก็เดินเข้าไปในห้อง ลากผ้าห่มมาคลุมตัวผมบนโซฟาหนังโดยปล่อยชายครึ่งหนึ่งตกระลงมาบนพื้น พี่เอิร์ธโยนหมอนกาฟิวส์ใบที่หิ้วมาพร้อมกันลงบนพรมแล้วลุกไปปิดไฟ แสงจากดวงจันทร์สาดทะลุกระจกให้ผมเห็นเพียงเงาไหวๆของอาคันตุกะที่เดินกลับมาหา หมอยาโน้มตัวลงจูบหน้าผากผมเบาๆพลางเลื่อนมือไปนวดขมับทั้งสองข้าง



    “อย่าเพิ่งคิดอะไรกันต์ นอนไปก่อน เดี๋ยวคืนนี้พี่อยู่เป็นเพื่อน....”


    คนพูดลูบหัวผมอีกครั้งแล้วพาตัวเองลงไปนอนบนพื้นพรม ผมกับพี่เอิร์ธห่มผ้าผืนเดียวกันโดยมีแค่มือใหญ่เท่านั้นที่จับกันไว้ เปลือกตาบางของผมค่อยๆปรือปิดลง หวังว่าเรื่องน่าปวดหัวทั้งหมดทั้งมวลจะเป็นแค่ฝัน แค่เพียงความฝันบ้าๆบอๆที่มีผมเป็นตัวเอก

    แต่ไหนแต่ไรผมเกลียดการต่อสู้โดยการเอาตัวเองเป็นเดิมพันไม่ว่าจะด้วยใครก็ตาม ผมผ่านจุดนั้นมาหลายครั้ง จุดที่เราเป็นคนทำลายคนที่เรารักด้วยตัวเอง ผมเคยจะหยุดเหตุการณ์ที่รีเพลครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิตด้วยการตกลงคบกับพี่เมจริงจัง มันมีความสุขเมื่อเราบาลานซ์คนสองคนไว้ในมือได้ก็จริงแต่เชื่อเถอะว่าท้ายที่สุดแล้ว เราต่างหากที่จะเจ็บปวดที่สุดเมื่อถึงคราวที่’ต้องเลือก’


    การเป็นชนกันต์ เป็นที่รักของคนทั้งหลายไม่ใช่เรื่องน่าดีใจหรอกครับ
    มีแต่ปัญหาทั้งนั้นเมื่อเราลองตรองตรึกดีๆ..
    มีแต่ปัญหา...


    เช้าวันถัดมาผมตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ในมือถือ คนที่อยู่ด้วยตลอดทั้งคืนกลับไปแล้ว เหลือเพียงโน๊ตแผ่นเล็กๆเขียนว่า ‘พี่เข้าเวรเช้า’ ทิ้งไว้เท่านั้น ผมลุกขึ้นบิดตัวไล่อาการเมื่อยขบตามร่างกาย นอนโซฟานี่ปวดหลังชะมัด ไม่รู้คนนอนพื้นจะเมื่อยตัวมากกว่าแค่ไหน ช่างมันเถอะ มันเป็นหมอยา ถ้ามันป่วยหรือเป็นอะไรประเดี๋ยวก็ปรุงยาเสพเองได้ ไม่ต้องกังวล คิดโน่นคิดนี่ได้พักเดียวก็ผ่านไปห้านาทีแล้วเลยรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานก่อนไม่ทันตอกบัตร



    คนหลายคนเรียกวันนี้ว่าวันสุข


    ตอนเย็นหลังเลิกงานพวกที่ออฟฟิศนัดกันไปเที่ยวอีกแล้ว คราวนี้ผมขอบายเพราะเมื่อคืนก็เพิ่งแอบไปดื่มมาจนเมาปลิ้น ปล่อยไอ้ต้นไอ้ขุนเฮละโลกับคนอื่นๆถึงร้านที่จะไปนั่งวันนี้ขณะที่ตัวเองเก็บเอกสารลงกระเป๋า สายเรียกเข้าดังขึ้นก่อนผมแสกนบัตรออกด้วยซ้ำ



    “ครับพี่เอิร์ธ”


    “เลิกงานหรือยัง?”


    “เลิกแล้ว เนี่ยกำลังเก็บของ พวกไอ้ขุนจะไปเที่ยวกันต่อคืนนี้ด้วยแต่กันต์ไม่ไป โดนด่ามาตั้งแต่เที่ยง”


    “ฮ่าๆ แล้วทำไมไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆล่ะ ไอ้ขุนมันบ่นกับพี่ใหญ่เลยว่าเดี๋ยวนี้กันต์ไม่ค่อยสังสรรค์กับเพื่อนๆที่ทำงาน”


    “เหนื่อยๆ อยากกลับไปนอนอะ วันนี้พี่เอิร์ธเข้ามาที่คอนโดหรือเปล่า กันต์จะได้ฝากซื้อของกิน”


    “อยากให้ไปหรือเปล่าล่ะ?”


    “แล้วอยากมาหรือเปล่าล่ะ?”


    ปลายสายหัวเราะร่วน “ถามแบบนี้พี่ก็แพ้สิ โอเคครับ เดี๋ยวเข้าไปหา ดึกๆหน่อยนะกันต์ พี่ต้องแวะไปทำธุระให้แม่ก่อน ถ้าหิวหาอะไรรองท้องไว้เลย แล้วจะรีบไป”


    “โอเค กันต์จะเข้าลิฟท์แล้ว แค่นี้นะพี่เอิร์ธ ไม่มีสัญญาณ”


    พอวางสายพวกที่แผนกก็ขนกันเดินเข้าลิฟท์ตามผมมาจนเต็ม ไอ้อ้วนขุนศึกทำปากขมุบขมิบมองผมด้วยหางตา ท่าทางเคืองมากครับที่ผมไม่ยอมไปเที่ยวกับมันคืนนี้แล้วดึงไอ้ต้นเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนจะกระซิบกระซาบแต่เสียงนี่จงใจพูดให้ได้ยินกันโดยทั่วกัน



    “ต้น ดูพี่มึงนะ มีแฟนแล้วทิ้งเพื่อน”


    “เฮ้ย จริงดิ พี่กันต์มีแฟนแล้วเหรอ? สวยปะวะ?”


    ไอ้ขุนหัวเราะ ผมที่เข้าลิฟท์มาคนแรกอยู่ด้านในสุด แต่คนรอบๆตัวเริ่มหันกลับมามอง สิบกว่าคนนี่รู้จักกันดีครับ พี่ๆน้องๆในแผนกทั้งนั้น



    “ไม่รู้ว่ะ ก็ขาว แว่น ปากแดง ลูกคนจีนน่ะ เป็นเภสัช สงสัยยาดี จับไอ้กันต์อยู่”


    “หูยยย งั้นเด็ดเลยดิ นมใหญ่ป่าวพี่กันต์”


    ผมแทบหัวเราะพรืดตอนไอ้ต้นหันมาถาม ขุนศึกเบะปาก “เล็ก”


    “เออ ผมก็ว่างั้น หายากนะพวกหมวยๆที่จะอึ๋มๆน่ะ แต่ไม่เป็นไรพี่ ถ้าเป็นผมก็ขาวผ่านละ”


    ไอ้ต้นยังไม่รู้ครับว่าคนที่ถูกอ้างถึงตอนนี้ไม่ใช่เพศแม่ ผมไม่เถียงอะไรมันแต่กลายเป็นคนอื่นเริ่มซักไซ้ให้ผมพามาเปิดตัว เปิดตัวเหี้ยอะไร ไอ้ระยำขุนเล่นกูอีกแล้ว



    “เพ้อเจ้อกันใหญ่แล้ว ไปฟังอะไรไอ้ขุนมันมาก”


    ผมส่ายหัวขำๆกระชับสายสะพายกระเป๋า โบกมือลาเพื่อนๆในลิฟท์เมื่อถึงฉันกราวด์ ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับบ้านไปก่อนแล้วเจอกันที่หมายตอนสามทุ่มครึ่ง บางคนหันมาย้ำผมเผื่อเปลี่ยนใจตามไปแต่บอกตรงๆขอบาย อยากพักจริงๆ





    เย็นวันศุกร์ที่ป้ายรถเมล์คนแน่นพอตัวตามปกติ แสงแดดทอเป็นสีส้มลอดผ่านทางยกระดับมากระทบหน้าให้ทำตาหยีหรี่ลง รถเมล์วิ่งมาจอดแล้วผ่าน จอดแล้วผ่านหลายคันกระทั่งแลมโบกินี่สีแดงแปร๊ดขวางทางแทนที่ เสียงบีบแตรกู่ก้องดังลั่นจนทุกสายตาหันไปตำหนิเจ้าของรถนิสัยมักง่าย ไม่รู้กฏจราจรซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงผมด้วย รวยอย่างเดียวไม่ได้แม่งต้องระยำ ป้ายรถเมล์ทาขาวเหลืองเห็นๆยังมาจอดขวางทางหน้าด้านๆ ทว่าผมและบรรดาผู้คนทั้งหลายยังไม่ทันด่าคนขับทางสายตาให้สมใจ กระจกข้างติดฟิล์ม60มม.ก็ถูกปรับลดลงมาเสียก่อน ไม่ทันที่จะใครจะพูดอะไรผมเร่งเปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วให้คนขับรีบออกให้พ้นช่องทางรถเมล์ก่อนโดนด่ามากกว่านี้ทันที ภูมินทร์สสวมแว่นกันแดดไว้ค่อนหน้าแต่ยังไม่มองผมเลยสักนิด



    “จอดรถได้เหี้ยมากๆ แล้วนี่ไปเอารถใครมาขับ”


    “ก็มึงอยู่ตรงนั้นจะให้กูไปจอดไหน แล้วเป็นไง รถเพื่อนกู นี่เอามาลองเครื่องก่อน กลับจากญี่ปุ่นกูว่าจะไปถอยมาซักคัน เท่ห์ระเบิ๊ด”


    “เบิ๊ดพ่อง! รถไม่ใช่ราคาบาทสองบาท ทำไมให้ยืมง่ายๆวะ”


    “เครียดห่าอะไร คนรวยเขาไม่มาหยุมหยิมเรื่องแค่นี้หรอก แล้วเมื่อคืนยังไง มันเอามึงหรือยัง”


    “นั่นปากเหรอ?”


    “กูแค่ถามที่สงสัย ยังก็บอกยังสิวะ ไม่เห็นจะเสียศักดิ์ศรีตรงไหน”


    พ่อมึง! ผมส่งค้อนวงใหญ่เขวี้ยงใส่หน้ามัน ไอ้มินหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมขึ้นไปจูบมึนๆ


    “กวนส้นตีน แล้วมึงผ่านมาแถวบริษัทกูได้จังหวะพอดีเลยเนอะ”


    ผมดึงมือกลับแสร้งเปลี่ยนเรื่องคุย ไอ้มินท้าวแขนกับขอบประตู บังคับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว



    “ผ่านมาอะไร กูรอมึงอยู่หน้าบริษัทตั้งนาน ตาถั่วชะมัด แลมโบกินี่ทั้งคันจอดอยู่ไม่เอะใจเหี้ยไร เดินผ่านหน้าตาเฉย”


    “จะรู้ไหม โทรศัพท์มีไม่โทรเรียกล่ะ แล้วมึงมารอกูทำไม?”


    “จะพาไปดินเนอร์”


    “เฮ้ย ไม่เอา กูให้พี่เอิร์ธซื้อมาเผื่อแล้ว”


    ไอ้มินเงียบ ผมเองก็เริ่มไม่แน่ใจว่าประโยคเมื่อกี๊ใช่เรื่องที่ตัวเองควรพูดไปหรือเปล่า รถในเมืองเวลาห้าโมงครึ่งค่อนข้างติดครับ ขยับนิดหน่อยก็จอดนิ่ง ไม่รู้ติดกันมาตั้งแต่แยกไหน สภาวะในรถที่ไม่ขับเคลื่อนตอนนี้เลยทำผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่



    “ตอนอยู่กับมึง กูเคยพูดเรื่องเจมส์ไหม?”


    ผมส่ายหัว ภูมินทร์ขยับตัวเลื่อนข้ามฝั่งมาหาผม ใช้จมูกชนๆที่แก้มสองสามทีผมเลยเบือนหน้าหนี พระเอกหนุ่มพูดเสียงล้อๆ “ไม่เอาน่า หันหน้ามาให้กูหอมหน่อย”


    “ครวย... เล่นเหี้ยอะไร?”


    “เล่นอะไร นี่กูหอมจริงไม่ใช้ตัวแสดงแทนเลยเหอะ น้าาา นะ.. คิดถึงมึงใจจะขาด  มาให้กูหอมที”


    “กวนตีนแล้วแม่ง ขับรถไปเลย คันหน้าขยับแล้วมึงเห็นไหม?”


    “ทำเป็นอายๆ อยากแดกอะไรมื้อนี้ว่ามา เดี๋ยวกูเลี้ยง”


    ผมจิ๊ปากหงุดหงิดนิดๆ บ่นพึมพำว่าไม่แดก พอรถผ่านเซ็นทรัลภูมินทร์ก็เลี้ยวเข้าไปจอดเฉย ตอนแรกกะจะรวนทำเป็นไม่ลงแต่ไอ้มินเสือกทำท่าจะขังผมไว้บนรถจริงเลยตาลีตาเหลือกลุกแทบไม่ทัน ส่วนคนกวนส้นตีนก็โน่น ยืนหัวเราะร่าที่แกล้งกันได้


    “ไอ้เหี้ย สันดาน” ผมกลายเป็นคนไม่สุภาพตั้งแต่รู้จักมันนี่แหละครับ เมื่อก่อนเรียบร้อยมาก บอกเลย


    “ก็ตอนบอกให้ลงไม่ลง ลีลา แล้วเอาไง แดกอะไร”


    “กูบอกว่ากูรอพี่เอิร์ธ”


    “เลิกสนใจไอ้เนิร์ดนั่นสักชั่วโมงจะตายไหม?  เร็วๆเลือกร้านมา“


    “ไม่ตาย แต่กูนัดเขาไว้แล้วเข้าใจไหม”


    “มึงก็โทรไปแคนเซิลสิ วันนี้อยู่กับกูก่อนไม่ได้เหรอ? พุธหน้ากูไปญี่ปุ่นเป็นเดือนเลยนะ”


    ภูมินทร์หันมองผมตาอ้อน คิดว่ากูจะหลงกลมึงเหรอ ฝันไปเถอะ มึงไม่ได้ล่ามโซ่กูนี่ ผมเกินแยกไปประตูทางออก ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆก่อนไหล่จะถูกกระชาก มินดันผมติดกำแพงห้างแถวๆนั่นแล้วล้วงมือหยิบไอโฟนแย่งไป



    “ไอ้มิน เอาคืนมา”


    หัวขโมยไม่ตอบ มันเดินหนีไปจิ้มโทรศัพท์ผมไปด้วย ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นในห้างกับคนที่ผมเดินไล่นี่เป็นดารานะผมวิ่งไปกระชากคืนมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อครู่ผมกับไอ้หล่อก็กำลังตกเป็นเป้าสายตาผมเลยได้แต่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามโทรศัพท์ไปเนียนๆ ไม่รู้ไอ้มินทำอะไร พักเดียวมันก็เอามาคืนผมพร้อมหน้าจอที่โชว์หราว่าใครโทรเข้า



    “พี่เอิร์ธ”


    “กันต์ไปกินข้าวกับมินเหรอ?”


    “คือกันต์...”


    “.... กันต์จะทำแบบนี้จริงๆใช่ไหม?”


    ปลายสายถามเสียงนิ่ง ผมหันไปยกนิ้วกลางสรรเสริญภูมินทร์ที่ทำท่าแคะขี้หูออกมาดีดไม่สนใจหนึ่งทีแล้วตอบเสียงสลด



    “ปะ...เปล่า พี่เอิร์ธ เดี๋ยวกันต์กลับแล้ว”


    “ช่างเถอะ ถ้าพี่ต้องคอยคอนโทรลกันต์ตลอดก็ไม่ไหวเหมือนกัน ดูแลตัวเองดีๆ วันนี้พี่คงไม่เข้าไป กินข้าวให้อร่อยนะ”


    ผมเงียบ ไม่ตอบ ให้ถูกต่อว่ายังดีเสียกว่า พี่เอิร์ธวางสายไปแล้วทั้งๆที่ผมยังไม่ได้อธิบายอะไร สมควรแล้วที่พี่เอิร์ธจะโกรธ สมควรมากเท่าๆกับที่ผมจะถูกโกรธ สายตาจ้องโฟกัสที่โทรศัพท์อยู่นาน กระทั่งถูกไอ้ตัวดียื้อไปอีกครั้งผมก็ทำหน้ามุ่ย



    “ไปซูปเปอร์ก็ได้...”


    ไอ้มินพูดทั้งๆที่ไม่มองหน้าผม


    “เดี๋ยวทำกับข้าวกินกันที่ห้อง มึงชวนพี่เอิร์ธมาก็ได้ อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ได้ไหม...”


    “………..”


    “กูขอโทษ...”




    TBC
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×