ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    INSIDE แดจังกึม

    ลำดับตอนที่ #7 : สิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้ 5

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 49


    เนื้อวัว . . . อาหารชั้นสูง

    คนเกาหลีสมัยก่อนแทบไม่เคยทานเนื้อวัวเลย .เพราะเนื้อวัวในอดีต ถือเป็นของชั้นสูง

    จากบันทึกของประวัติศาสตร์เกาหลี พระเจ้ายอนซันโปรดเสวยเนื้อวัวเป็นที่สุด รับสั่งให้เชือดวันละ7 ตัว
    เพื่อส่งเข้าวัง แสดงให้เห็นว่าเป็นอาหารชั้นสูง แต่ชาวบ้านธรรมดา ถ้าจะได้กินเนื้อ,ส่วนใหญ่มาจากสัตว์
    ป่ามากกว่า เพราะสมัยก่อนเลี้ยงสัตว์มีน้อย ส่วนใหญ่จะใช้การล่าเอา สิ่งที่ชาวบ้านกินจึงเป็นหมูป่า,ไก่ป่า
    ถ้าใครอยากกินเนื้อก็ต้องสร้างผลงาน จนได้รับพระราชทานลงมา

    การเสวยของพระราชาเกาหลี

    การเสวยของพระราชาเกาหลี จะมีข้าวสองชาม ชามหนึ่งเป็นข้าวธรรมดา ส่วนอีกชามเป็นข้าวผสมข้าวเหนียว
    แล้วหุงด้วยน้ำถั่วแดงอีกที เพราะเชื่อว่าการกินข้าวแดง จะช่วยสะเดาะเคราะห์ให้พ้นภัย

    แต่จากที่ประวัติศาสตร์จารึก ในราชวงศ์ "โซซอน" มีพระเจ้า "คองจง" กับ "ซองโจ"
    ที่แม้จะมีข้าวสองชามอยู่หน้าพระพักตร์ ก็จะเสวยแต่ข้าวสวย

    สมัยก่อนพระราชาเกาหลีจะเสวยวันละ 5 มื้อ มื้อเช้าที่สุดก็ประมาณ ตี 5 ตี 6 เรียกว่า " มื้อรุ่งอรุณ"
    ส่วนมื้อเช้าก็ไปโน่นเลยครับ สิบโมงเช้า ต่อด้วยมื้อเที่ยง มือเย็น และสุดท้ายคือมื้อดึก
    ส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้ ขนมหวานหรือเกี๊ยว

    เต่าหญ้า

    เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่เป็นยา ถ้าใช้ "เทียนหม่า" 5 เซน บวกกับ "สือ เจี๊ยะหมิง"
    ต้มเป็นน้ำแกง "เทียนหม่าเต่าหญ้า" ทานแล้วจะเสริมสร้างธาตุหยางให้แข็งแกร่ง

    และถ้าใส่ "ไป่เหอ" พุทราจีนลงไป เป็นซุป "เต่าหญ้าพุทราจีน"
    ทานแล้วจะช่วยแก้โรคนอนไม่หลับได้ดี....

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    เต่าหญ้า

    เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่เป็นยา ถ้าใช้ "เทียนหม่า" 5 เซน บวกกับ "สือ เจี๊ยะหมิง"
    ต้มเป็นน้ำแกง "เทียนหม่าเต่าหญ้า" ทานแล้วจะเสริมสร้างธาตุหยางให้แข็งแกร่ง

    และถ้าใส่ "ไป่เหอ" พุทราจีนลงไป เป็นซุป "เต่าหญ้าพุทราจีน"
    ทานแล้วจะช่วยแก้โรคนอนไม่หลับได้ดี....

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    การเสวยของพระราชาเกาหลี

    การเสวยของพระราชาเกาหลี จะมีข้าวสองชาม ชามหนึ่งเป็นข้าวธรรมดา ส่วนอีกชามเป็นข้าวผสมข้าวเหนียว
    แล้วหุงด้วยน้ำถั่วแดงอีกที เพราะเชื่อว่าการกินข้าวแดง จะช่วยสะเดาะเคราะห์ให้พ้นภัย

    แต่จากที่ประวัติศาสตร์จารึก ในราชวงศ์ "โซซอน" มีพระเจ้า "คองจง" กับ "ซองโจ"
    ที่แม้จะมีข้าวสองชามอยู่หน้าพระพักตร์ ก็จะเสวยแต่ข้าวสวย

    สมัยก่อนพระราชาเกาหลีจะเสวยวันละ 5 มื้อ มื้อเช้าที่สุดก็ประมาณ ตี 5 ตี 6 เรียกว่า " มื้อรุ่งอรุณ"
    ส่วนมื้อเช้าก็ไปโน่นเลยครับ สิบโมงเช้า ต่อด้วยมื้อเที่ยง มือเย็น และสุดท้ายคือมื้อดึก
    ส่วนใหญ่ก็เป็นผลไม้ ขนมหวานหรือเกี๊ยว

    เต่าหญ้า

    เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่เป็นยา ถ้าใช้ "เทียนหม่า" 5 เซน บวกกับ "สือ เจี๊ยะหมิง"
    ต้มเป็นน้ำแกง "เทียนหม่าเต่าหญ้า" ทานแล้วจะเสริมสร้างธาตุหยางให้แข็งแกร่ง

    และถ้าใส่ "ไป่เหอ" พุทราจีนลงไป เป็นซุป "เต่าหญ้าพุทราจีน"
    ทานแล้วจะช่วยแก้โรคนอนไม่หลับได้ดี....

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    เต่าหญ้า

    เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่เป็นยา ถ้าใช้ "เทียนหม่า" 5 เซน บวกกับ "สือ เจี๊ยะหมิง"
    ต้มเป็นน้ำแกง "เทียนหม่าเต่าหญ้า" ทานแล้วจะเสริมสร้างธาตุหยางให้แข็งแกร่ง

    และถ้าใส่ "ไป่เหอ" พุทราจีนลงไป เป็นซุป "เต่าหญ้าพุทราจีน"
    ทานแล้วจะช่วยแก้โรคนอนไม่หลับได้ดี....

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    การปรุงอาหารเกาหลี

    พูดถึงอาหารเกาหลี หลายท่านคงนึกถึงความเผ็ด

    ความจริงสมัยก่อน การปรุงอาหารของเกาหลีไม่นิยมใช้เครื่องปรุงรสมากนัก
    และพริกก็เพิ่งแพร่หลายเมื่อศตวรรษที่ 16 ผ่านโปรตุเกส สเปนเข้ามาทางญี่ปุ่น
    คนโบราณของเกาหลีคิดว่า อาหารนอกจากทำให้อิ่มท้องแล้ว ยังมีผลด้านการบำรุง
    อาหารกับการแพทย์มาจากแหล่งเดียวกัน พืชผักทุกชนิดล้วนมีสรรพคุณทางยา
    ใช้รักษาโรคภัยและบำรุงร่างกาย

    ในวังหลวงยิ่งมีแพทย์ทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยดูจากพระพลานามัยของพระราชา
    หยินและหยาง 5 ธาตุ ปรับเป็นสูตรอาหาร 5 รส บางครั้งก็ให้งดของแสลง เพื่อป้องกันโรคภัย
    ทำให้นางกำนัลต้องพลอยมีความรู้ด้านนี้ไปด้วย
    นอกจากเน้นความอร่อยแล้ว สุขภาพของพระราชาก็เป็นสิ่งสำคัญ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    อาหารในวังหลวง

    อาหารในวังหลวง นอกจากมีนางกำนัลคอยดูแลแล้ว บางส่วนก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    หมายถึงใครหรือครับ ก็คือพ่อครัวมืออาชีพ ที่ชำนาญเรื่องอาหาร แต่ ต้องให้วังหลวงเรียกตัวก่อนนะครับ

    กว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ ก็ต้องศึกษาจากรุ่นพี่ ทำอาหารไม่ต่ำกว่า 20 ปี ถึงเข้าวังปรุงให้พระราชาเสวยได้
    ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่า เพราะวัตถุดิบบางอย่าง ผู้หญิงทำลำบาก
    เช่นว่า การล้มวัวซักตัว เพื่อเอากระดูกมาทำน้ำแกง หากเป็นผู้หญิงคงไม่ไหวน่ะครับ

    อีกกรณี ที่ต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญก็คือ นางกำนัลต้องปรุงอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน
    แต่ปกติ,ถ้าไม่มีพระบัญชา ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพึ่งตัวเอง

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ห้องเครื่องปรุง

    บรรดาแม่บ้านทั้งหลายชอบเอาเครื่องปรุงรสไปแอบไว้ข้างครัว

    แต่สำหรับ ราชวงศ์โชซอนแล้ว แค่ที่วางเครื่องปรุงรสอย่างเดียว จะต้องใช้ห้องใหญ่ถึงหนึ่งห้อง
    ห้องนี้เรียกว่า " ห้องเครื่องปรุง "

    ต้องเป็นที่ ๆ แดดส่องถึง อากาศถ่ายเทสะดวก
    มี " ซังกุง " หนึ่งคน และ นางกำนัลอีกหนึ่งคน คอยดูแล คนนอกห้ามเข้ามายุ่มย่าม

    โดยทั่วไปเครื่องปรุงจะแบ่งเป็นของสด , ค้าง , และ เครื่องปรุงหมัก
    ยิ่งเก็บไว้นานวัน สีของเครื่องปรุงก็ยิ่งเข้มข้น ทำให้กลิ่นยิ่งโชยหนัก

    เพราะมีเครื่องปรุงเหล่านี้ อาหารถึงมีรสชาติแตกต่าง
    นางเอกของเราทำอาหารเก่งก็เพราะพวกนี้ล่ะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×