คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้ 3
ไก่ทอง
ในเรื่อง "แด จังกึม" จะมีไก่ประเภทหนึ่ง เรียกว่า "ไก่ทอง" แต่ความจริงแล้ว มันคือ " ไก่ทองพุงแดง "
เป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง อยู่ในแถบ "เหอหนาน" "เสฉวน" และ "กวางสี" ของจีน ปัจจุบันเป็นสัตว์อนุรักษ์
ด้วยแต่ว่า คนสมัยก่อนจับไก่ทองไว้ไม่ใช่เพื่อรับประทาน แต่ต้องการนำขนมาทำเครื่องประดับมากกว่า
จริง ๆ แล้วประเทศเกาหลีก็มีไก่ป่าหลายพันธุ์ มีประเภทหนึ่งเรียกว่า "ไก่จื้อ" แต่สมัยก่อนฮองเฮาของ
ฮ่องเต้ "เล่าปัง" มีนามว่า "หลี่จื้อ" ชาวบ้านไม่กล้าเชือด "ไก่จื้อ" เกรงจะลบหลู่ฮองเฮา เลยเปลี่ยนชื่อ
เป็นไก่ป่านับแต่นั้น ชาวเกาหลีทานไก่ป่ามีกำหนดเวลา จากเดือน8 ของทุกปีถึงเดือน2 ปีหน้า นอกนั้น
เนื้อไก่อาจมีสารพิษ ทำให้เสียรสชาติ
ที่มาของ . . . หมั่นโถว
หมั่นโถวที่เราทาน ก็คือทำจากแป้งหมี่,นึ่งให้ร้อนก็ทานได้ แต่สมัยก่อน คำว่า "หมั่นโถว" หมายรวมถึง
ซาละเปากับเกี๊ยวด้วย และนี่ก็เรียกเป็นหมั่นโถวได้เช่นกัน
จากตำนานสามก๊กของจีนในอดีต หมั่นโถวเกิดจากสมัยที่ "ขงเบ้ง" จะไปตีชนเผ่า "หนานหมาน" จับตัว สรรพคุณของ . . . โสม โสมถูกขนานนามว่าเป็นยาเทวดามาแต่โบราณ และ เกาหลี ก็เป็นดินแดนที่อุดมด้วยโสม กล่าวกันว่า สมัยก่อนโสมแพงยิ่งกว่าทองคำอีก ต่อให้ยากจนแค่ไหน ชาวบ้านทุกครัวเรือนก็ต้องมีโสมไว้บำรุง โดย หม้อไฟเกาหลี ถ้าใครเคยมาเที่ยวเกาหลี จะรู้ว่าหม้อไฟของเกาหลีนั้น เป็นวัฒนธรรมการกินที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง เทียบกับเดี๋ยวนี้ สบายขึ้นเยอะ เพราะหม้อไฟมีให้เลือกทั้ง เนื้อวัว , เนื้อไก ่, เนื้อหมู เป็นต้น ที่มาของสุกี้เกาหลีก็มีตำนานเหมือนกัน สมัยก่อนพอทหารสู้รบเสร็จ ก็ถอดหมวกแล้วหงายขึ้น วิธีการปรุงแบบนี้ ไม่เพียงชาวบ้านนิยม แม้แต่คนในวังรู้ ก็พลอยนิยมตาม
ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน หม้อไฟเกาหลี ถ้าใครเคยมาเที่ยวเกาหลี จะรู้ว่าหม้อไฟของเกาหลีนั้น เป็นวัฒนธรรมการกินที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง เทียบกับเดี๋ยวนี้ สบายขึ้นเยอะ เพราะหม้อไฟมีให้เลือกทั้ง เนื้อวัว , เนื้อไก ่, เนื้อหมู เป็นต้น ที่มาของสุกี้เกาหลีก็มีตำนานเหมือนกัน สมัยก่อนพอทหารสู้รบเสร็จ ก็ถอดหมวกแล้วหงายขึ้น วิธีการปรุงแบบนี้ ไม่เพียงชาวบ้านนิยม แม้แต่คนในวังรู้ ก็พลอยนิยมตาม
ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน
"เมิ่งฮู่" ได้ ขากลับเจอมรสุม เมิ่งฮู่บอกว่าเพราะทหารที่ถูกฆ่ามารังควาน ต้องใช้หัวคน 49 หัวเซ่นไหว้
แม่น้ำ แต่ขงเบ้งไม่ต้องการฆ่าคน จึงเอาแป้งหมี่มาทำเป็นเปลือก ยัดไส้ด้วยเนื้อหมู สมมุติเป็นหัวคน 49
หัว....ตอนนั้นเรียกว่า "หมานโถว" แปลว่าหัวของชาว "หนานหมาน" นานเข้าก็แผลงเป็น "หมั่นโถว"
2 พันปีที่แล้ว ชาวเกาหลีเริ่มรู้จักการปลูกต้นโสม โสมในอดีตจะนิยมสีขาว จนเมื่อ 800 ปีที่แล้ว,จึงมีโสม
แดงปรากฎ
เฉพาะอาหารในวังนั้น ยิ่งต้องใช้โสมเป็นส่วนประกอบ เพราะมีสรรพคุณในการแก้เหนื่อยล้า เพิ่มภูมิ
ต้านทาน บำรุงโลหิต บวกกับตัวยาอื่น ๆ ยิ่งทำให้สรรพคุณดีเลิศมากขึ้น แต่นอกจากอาหารแล้ว การใช้
ยาพิษของชาวเกาหลี ก็นิยมผสมด้วยโสม เพื่อให้พิษออกฤทธิ์เร็วขึ้น
เพราะคนสมัยก่อนอยู่ได้ด้วยการล่าสัตว์ อาหารจึงเป็นพวก กระต่ายป่า , หมูป่า เป็นต้น
ใส่น้ำซุปลงไป,เติมผักต่างๆ แล่เนื้อบางๆ อังอยู่ขอบหมวก เพียงแค่นี้ก็ทานได้แล้ว
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
เพราะคนสมัยก่อนอยู่ได้ด้วยการล่าสัตว์ อาหารจึงเป็นพวก กระต่ายป่า , หมูป่า เป็นต้น
ใส่น้ำซุปลงไป,เติมผักต่างๆ แล่เนื้อบางๆ อังอยู่ขอบหมวก เพียงแค่นี้ก็ทานได้แล้ว
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
สรรพคุณของ . . . โสม
โสมถูกขนานนามว่าเป็นยาเทวดามาแต่โบราณ และ เกาหลี ก็เป็นดินแดนที่อุดมด้วยโสม กล่าวกันว่า
2 พันปีที่แล้ว ชาวเกาหลีเริ่มรู้จักการปลูกต้นโสม โสมในอดีตจะนิยมสีขาว จนเมื่อ 800 ปีที่แล้ว,จึงมีโสม
แดงปรากฎ
สมัยก่อนโสมแพงยิ่งกว่าทองคำอีก ต่อให้ยากจนแค่ไหน ชาวบ้านทุกครัวเรือนก็ต้องมีโสมไว้บำรุง โดย หม้อไฟเกาหลี ถ้าใครเคยมาเที่ยวเกาหลี จะรู้ว่าหม้อไฟของเกาหลีนั้น เป็นวัฒนธรรมการกินที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง เทียบกับเดี๋ยวนี้ สบายขึ้นเยอะ เพราะหม้อไฟมีให้เลือกทั้ง เนื้อวัว , เนื้อไก ่, เนื้อหมู เป็นต้น ที่มาของสุกี้เกาหลีก็มีตำนานเหมือนกัน สมัยก่อนพอทหารสู้รบเสร็จ ก็ถอดหมวกแล้วหงายขึ้น วิธีการปรุงแบบนี้ ไม่เพียงชาวบ้านนิยม แม้แต่คนในวังรู้ ก็พลอยนิยมตาม
ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน
เฉพาะอาหารในวังนั้น ยิ่งต้องใช้โสมเป็นส่วนประกอบ เพราะมีสรรพคุณในการแก้เหนื่อยล้า เพิ่มภูมิ
ต้านทาน บำรุงโลหิต บวกกับตัวยาอื่น ๆ ยิ่งทำให้สรรพคุณดีเลิศมากขึ้น แต่นอกจากอาหารแล้ว การใช้
ยาพิษของชาวเกาหลี ก็นิยมผสมด้วยโสม เพื่อให้พิษออกฤทธิ์เร็วขึ้น
เพราะคนสมัยก่อนอยู่ได้ด้วยการล่าสัตว์ อาหารจึงเป็นพวก กระต่ายป่า , หมูป่า เป็นต้น
ใส่น้ำซุปลงไป,เติมผักต่างๆ แล่เนื้อบางๆ อังอยู่ขอบหมวก เพียงแค่นี้ก็ทานได้แล้ว
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
หม้อไฟเกาหลี
ถ้าใครเคยมาเที่ยวเกาหลี จะรู้ว่าหม้อไฟของเกาหลีนั้น เป็นวัฒนธรรมการกินที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง
เพราะคนสมัยก่อนอยู่ได้ด้วยการล่าสัตว์ อาหารจึงเป็นพวก กระต่ายป่า , หมูป่า เป็นต้น
เทียบกับเดี๋ยวนี้ สบายขึ้นเยอะ เพราะหม้อไฟมีให้เลือกทั้ง เนื้อวัว , เนื้อไก ่, เนื้อหมู เป็นต้น
ที่มาของสุกี้เกาหลีก็มีตำนานเหมือนกัน สมัยก่อนพอทหารสู้รบเสร็จ ก็ถอดหมวกแล้วหงายขึ้น
ใส่น้ำซุปลงไป,เติมผักต่างๆ แล่เนื้อบางๆ อังอยู่ขอบหมวก เพียงแค่นี้ก็ทานได้แล้ว
วิธีการปรุงแบบนี้ ไม่เพียงชาวบ้านนิยม แม้แต่คนในวังรู้ ก็พลอยนิยมตาม
ข้าวเกาหลี การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ " ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ " ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว ตำหนักแทเพียง ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ข้าวเกาหลี
การบริโภคของชาวเกาหลีส่วนใหญ่จะมีข้าวเป็นหลัก แต่ว่า ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้กินข้าวทุกมื้อ
ส่วนใหญ่จะกินเศษข้าวหรือข้าวเปลือก ถ้าเป็นข้าวสาร ต้องรอถึงวันเกิดหรือมีงานฉลองพิเศษถึงจะได้กิน
ชาวเกาหลี แม้จะกินข้าวเหมือนกัน แต่ด้วยฐานะยศศักดิ์,ทำให้มีการแบ่งแยก
ข้าวที่พระราชาเสวยเรียกว่า " ซูชิ "
ข้าวที่ผู้ใหญ่กินเรียกว่า " ชินแจ "
ชาวเกาหลีในอดีตมีธรรมเนียมว่า หากมีญาติพี่น้องเดินทางไกล ทุกมื้อที่กินข้าว
จะวางข้าวหนึ่งชามไว้ที่ตำแหน่งของเขา เพื่อแสดงให้รุ้ว่า คนที่บ้านยังห่วงและเอาใจช่วยอยู่
รวมทั้งขอให้เดินทางปลอดภัย
ตำหนักแทเพียง
ในสมัยราชวงศ์ " โชซอน " มีสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเรียกว่า " ตำหนักแทเพียง " เป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองที่สำคัญ เนื่องจากจีนกับเกาหลีมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
เกาหลีรู้ว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ จึงให้ความยำเกรงและสวามิภักดิ์ ส่วนจีนก็เป็นมิตรที่ดีกับเกาหลี
เพื่อป้องกันการรุกรานของต่างเผ่า
แม้ว่า ขุนนางที่จีนส่งมาจะไม่ใช่ตำแหน่งสูง แต่พระราชาเกาหลีก็ให้การต้อนรับอย่างดี
บางครั้งถึงขนาดเสด็จออกรับด้วยพระองค์เอง ถ้าทูตคนนั้นจะไปไหน ขุนนางท้องที่ก็ต้องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีทูตจีนมาพัก เกาหลีจะส่งนางกำนัลที่มีประสบการณ์ มาดูแลเรื่องอาหารการกิน
ความคิดเห็น