Supernatural Sword King - นิยาย Supernatural Sword King : Dek-D.com - Writer
×

    Supernatural Sword King

    Supernatural Sword King (อภินิหารดาบจอมกษัตยร์) ตอน ราชันแห่งดาบ แต่งโดย ไม่เอกซ่อนรูป

    ผู้เข้าชมรวม

    154

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    154

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ค. 56 / 00:00 น.
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    การสูญเสียของวาเนว

                           

                    หากจะกล่าวไปแล้วโลกของเรานี้มีนิทานหลายเรื่องทุกเรื่องมีความหน้าอ่านแตกต่างกันแล้วแต่ผู้เขียนจะใส่อะไรลงไปในนิทานเรื่องนั้นและนิทานเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องของผู้ที่ชอบอ่านแนวผจญภัยแฟนตาซีผู้เขียนขอบอกเลยว่าสนุกมากๆ

              ท้องฟ้านั้นยังมีเทพองค์หนึ่งซึ้งเป็นบุตรมหาเทพอินทาผู้สร้างจักวาลและสรรพสิ่งได้ เทพอินทาได้ส่งบุตรตนเองลงมาบนโลกชื่อของเขาคือโอฟาซิน เขารับบัญชาให้สร้างอาณาจักบนโลก เขาสร้างอาณาจักต่างๆขึ้น รวมถึงรวมถึงดินแดนอมตะ และภูมิแห่งไฟ เขาได้สร้างสิ่งมีชีวิตต่างๆขึ้นตั้งแต่มดตัวน้อยถึงสัตว์ขณะใหญ่ขึ้น เขาแบ่งอาณาจักต่างให้เป็นอิสระต่อกัน เขาได้สร้าง มนุษย์ คนแคระ เอลฟ์ และอมนุษย์ขึ้น เขาได้ให้มนุษย์ที่เขาเรียกว่าอุโมลีตั้งถิ่นถานทางทิศตะวันออก ขณะนั้นมีมนุษย์ทั้งสิ้นห้าพันคน เขาได้ให้อุโมลีขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเผ่าพันมนุษย์คนแรกและเป็นต้นราชวงศ์อุโมลี  ส่วนคนแคระเขาให้ไปตั้งอาณาจักทิศตะวันตกตรงเทือกเขาซีนายและตั้งกรอริเป็นกษัตริย์คนแรกและเป็นต้นราชวงศ์กรอริ ส่วนพวกเอลฟ์พวกกึ่งมนุษย์กึ่งเพทนั้นเขาได้ตั้งอาณาจักทางทิศเหนือและตั้งเอววาสขึ้นเป็นกษัตริย์และเป็นราชวงศ์เอวลาส และสุดท้ายพวกอมนุษย์ได้ตั้งอาณาจักทางทิศใต้ชื่ออาณาจักเมอร์ธรอนอร์และตั้งฟาร์โดเซียร์ขึ้นเป็นหัวหน้าของอาณาจักโดยอาณาจักนี้ไม่มีกษัตริย์ปกครองเหมืออาณาจักอื่นเพราะเขาเห็นว่าพวกอมนุษย์กับเอลฟ์นั้นมีลักษณะที่คล้ายกันคือมีความเป็นอมตะต่างกันแค่เพียงรูปร่างและนิสัยเท่านั้น ยุคนั้นถือเป็นแรกเป็นยุคแห่งแสงสว่าง  อาณาจักคนแคระนั้นได้สินทรัพย์ใต้ดินกล่าวคืออัญมณีชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ เพชร พลอย โกเมน ฯ พวกคนแคระชื่นชอบในการค้นหาสินแร่ใต้ดิน ส่วนเอลฟ์นั้นพวกเขารักในความสงบและมีคุณธรรมสูงสุดใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการร้องเพลงและเฝ้ามองกิจกรรมต่างๆของคนแคระและมนุษย์ ส่วนมนุษย์นั้นมีกิจกรรมที่หลากหลายเช่นค้าขาย การเกษตร ช่างไม้ และอาชีพอื่นตามความถนัดของตน ส่วนพวกอมนุษย์นั้นมีความเป็นอยู่เหมือนกับเอลฟ์เพียงแต่พวกเขาต้องประกอบอาชีพเพื่อยังชีพ ยุคนั้นทุกอาณาจักไม่มีการสงครามเพราะทุกอาณาจักต่างไม่รุกรานกัน และเป็นอย่างนั้นมาถึงสองพันหนึ่งร้อยปี อาณาจักมนุษย์เป็นศูนย์กลางแห่งการค่าขายและแลกเปลี่ยนสินค้าไม่ว่าจะเป็นพืชผลการเกษตร อัญมณี และสินค้าต่างๆ ขณะนั้นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์อุโมลีรุ่นที่ยี่สิบสามเจ้าชายบารันบุตแห่งชินเต พระเจ้าชินเตเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงยึดความถูกต้องและรักความสงบเป็นที่สุด เมื่อพระเจ้าชินเตสิ้นพระชนเจ้าชายบรารันรับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองทอร์เรียเขาครองราชย์มาถึงสามสิบห้าปีจนเขาก้าวสู้วัยชราเขาก็ยังไม่มีรัชทายาทสืบราชวงศ์  วันหนึ่งพระเจ้าบรารันออกว่าราชการ มีเหล่าเสนาข้าราชบริพารได้พูดคุยถึงผู้ที่จะมาเป็นรัชทายาท เหล่าเสนาจึงทูนว่า "ข้าแต่ฝ่าบาทผู้เป็นเหนือหัวของข้า ข้าทั้งหลายคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์มีพระชายาเพื่อมีองค์รัชทายาท ข้าพเจ้าคิดว่าพระองค์ควรส่งราชสานไปยังแคว้นต่างๆให้เชิญธิดาของตนผู้ครองแคว้นนั้นเข้ารับเลือกเป็นพระชายา " พระเจ้าบรารันได้คิดเรื่องนี้มานานแล้ว จึงตรัสกับเหล้าเสนาว่า "อันตัวเรานี้ก็นับวันเหมือนไม้ใหญ่ที่ยืนต้นให้ร่มเงาแต่ไร้ผล มันคงถึงเวลาแล้วที่เรานั้นจะหาคู่ครองสักที เอาละท่านเสนาทั้งหลายจงให้คนส่งสานออกเดินทางไปยังแคว้นต่างๆ ให้ส่งธิดาของตนเพื่อร่วมคัดเลือกเป็นชายาแห่งเรา" หลังจากนั้นไม่นานคนส่งสารได้เดินทางไปถึงแคว้นต่างๆ และเหตุนี้เองข่าวนี้ได้ถึงหูของเอววาสกษัตริย์ของเอลฟ ขณะนั้นเอววาสมีธิดาคนหนึ่งชื่อวาเนวเจ้าหญิงแห่งวินทันเบอร์ ผู้นำแห่งแสงสว่างในอาณาจักรเอลฟ์ เธอได้รับพรจากมหาเทพอินทา วันหนึ่งวาเนวได้ไปเข้าเฝ้าพระบิดาในท้องพระโรงและได้ยินเรื่องที่เอววาสผู้เป็นบิดาสั่งกับขุนนางเอลฟ์ผู้หนึ่งให้ส่งราชทูตเพื่อไปแสดงความยินดีกับพระเจ้าบรารัน วาเนวจึงขอติดตามไปด้วยแต่เอววาสไม่ให้ร่วมเดินทางไปเพระเกรงว่าจะเกิดอันตราย วาเนวจึงกล่าวกับบิดาของตนว่า "บิดาแห่งข้า ขอท่านอนุญาตข้าไปกับราชทูตที่ท่านส่งไปด้วยเถิด ข้าขอไปร่วมยินดีด้วยเถิด " ซึ่งขณะนั้นเอววาสทราบความคิดของวาเนวก่อนหน้าแล้ว เอววาสจึงตรัสตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเบาราวกับเสียงกระซิบของสายลมไปว่าว่า "เรากับมนุษย์นั้นไม่ควรเป็นคู่ครองกัน เพราะมนุษย์ผู้มีความละโมบในวาสนาและอำนาจ จิตใจของเขาเปรียบดังมหาสมุดมีการผันแปลตลอดเวลา และที่สำคัญเขาไม่อมตะ หากลูกเลือกที่จะอยู่กับมนุษย์ แน่นอนลูกต้องทนทุกข์กับการต้องมองดูโลกเพียงลำพัง เพราะความตายจะพรากคนที่ลูกรักไปทุกคน" เมื่อวาเนวได้ยินดังนั้นเธอยิ้มที่มุมแก้มและเดินกลับห้องไปได้แต่หวนคิดถึงความหลัง ครั้งเมื่อตามเสด็จเอววาสไปยังทอร์เรียในงานปรงพระศพพระเจ้าชินเต ซึ้งในขณะนั้นเจ้าชายบรารันมีพระชนมายุสามสิบพรรษา ทรงฉลองพระองค์สีขาวราวกับปุยเมฆ พระพักตร์งามสง่าเกินกว่าราชนิกุลใดๆ วาเนวเดินเขาไปถวายพระพรเจ้าชายบรารันและถอยกลับมานั่งกับเอววาสได้แต่แอบชื่นชมในเจ้าชายบรารัน ราวกับต้องมนต์บางอย่างที่ตรึงตาตรึงใจของวาเนวตลอดมา เมื่อใกล้ถึงกำหนดวันเลือกพระชายาของพระเจ้าบรารัน วาเนวขออนุญาตบิดาไปยังเมืองดูรินอันเป็นที่อยู่ของฮอบบิท ฝ่ายเอววาสได้อนุญาตให้วาเนวไปยังดูริน(แต่ในใจลึกๆของเอววาสรู้อยู่แล้วว่าจุดประสงค์ของวาเนวไม่ได้อยู่ที่ดูรินแต่อยู่ที่ทอร์เรีย) วาเนวได้ขอเอาผู้ติดที่มีผีมือตามไปแค่สิบห้าคน และวาเนวได้ออกเดินทางไปยังดูรินระหว่างเดินทางวาเนวได้วางแผนเมื่อถึงดูรินให้ผู้ติดตามแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีเจ็ดคนให้เดินทางไปดูรินโดยให้หญิงรับใช้คนหนึ่งแต่งกายเหมือนเธอ วาเนวได้มอบผ้าคุมใบหน้าประจำตัวเธอผืนหนึ่งไว้ให้หญิงรับใช้คนนั้นโดยย่ำว่า ”ห้ามถอดผ้าคุมออกตลอดเวลาที่เราไม่อยู่” ส่วนวาเนวออกเดินทางไปกับผู้ติดตามอีกแปดคนไปยังยังทอร์เรีย ฝ่ายเจ้าชายบรารันคืนก่อนพิธีเลือกพระชายาสามวันได้ฝันว่าพระองค์ตกลงไปสู่ใจกลางทะเลเพลิงสีขาวเห็นคนมากมายต่างทุกข์ทรมารในทะเลเพลิงนั้น และเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอใส่ชุดสีขาวนวลรัศมีสีขาวเจิดจรัสส่องสว่างดุดดวงอาทิตย์เข้ามาใกล้และจูบเขาบนหน้าฝากและไฟสีขาวที่ลุกโชนนั้นก็ดับลง เมื่อพระเจ้าบรารันตื่นขึ้นมาและพบว่าเขาฝันไป และในเช้าวันต่อมาพระเจ้าบรารันได้ออกวาราชการกับเหล่าเสนาและมีรับสั่งให้เรียกโหราเข้ามาทำนายความฝันของพระองค์ โดยครั้งนี้สร้างความฉงนใจกับบรรดาเสนาและราชการต่างๆ เพราะตั้งแต่ครองราชย์บัลลังก์พระเจ้าบรารันไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะเรียกโหรามาทำนายความฝัน พระเจ้าบรารันได้เล่าความฝันให้โหราฟังโดยระเอียดราวกับว่าต้องการที่จะรู้ว่ามีอะไรในความฝันนั้นโหราได้ทำนายว่า "ความฝันของพระองค์นั้นข้าได้ตรวจดูแล้วว่า ในอนาคตเบื้องหน้านี้บัลลังแห่งอุโมลีจะถึงการพินาศ ผู้คนจะตกทุกได้ยากกษัตริย์จะต้องอยู่ป่า เมืองจะรกร้างราวกับป่าช้า" เมื่อพระเจ้าบรารันได้ยินดังนั้นทรงรับสั่งให้หยุดการทำนาย หลังจากนั้นได้ร่วมประชุมกับเหล่าเสนาพระเจ้าบรารันตรัสว่า "หากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นจริงดังคำของท่านโหราพูดนั้น ข้าเห็นที่อาณาจักที่บรรพบุรุษข้าเพียงสร้างนั้นต้องล้มสลายในยุคข้านั้น ข้าคงโดนสาปแช่งจากเหล่าบรรพกษัตริย์ผู้ล่วงลับ ข้าเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ทอร์เรียจะต้องมีกองทหารสักที่เพื่อปล้องกันอาณาจักเอกของมนุษย์  ท่านเสนาทั้งหลายจงไปติดประกาศให้บุรุษที่มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีขึ้นไปให้เข้ารับการฝึกทหาร" ฝ่ายเสนาต่างๆ ต่างมีข้อโต้แย่งกัน เพราะนับแต่อดีตเป็นต้นมาทอร์เรียไม่จำเป็นต้องมีเหล่าทหารประจำการพร้อมที่จะรบมาก่อน จะมีก็แต่กองทหารองค์รักษ์ขององค์พระเจ้าบรารันและเหล่าราชนิกุลของพระองค์เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าความกังวนความกลัวความหวาดระแวงจะคงมีอิทธิพลกับพระเจ้าบรารันเป็นอย่างมากเขาจึงออกการที่ประชุมและเรียกโหราเข้ามาถามโหราอีกครั้งว่า "หากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงจะมีทางแก้ไขหรือไม่" โหราตอบว่า "ยังมีหนึ่งสตรีผู้มีที่จะมาช่วยพระองค์"เมื่อพระเจ้าบรารันได้ฟังดังนั้นจึงหยุดคิดไปพักหนึ่งจึงกลับไปร่วมประชุมต่อกับเหล่าเสนา  พระเจ้าบรารันจึงถามกับเสนาอีกครั้งว่า "พิธีเลือกคู่ของเรานั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร"  เหล่าเสนาตอบว่า "อีกสองวันจะถึงพระราชพิธี ฝ่าบาท" เมื่อพระเจ้าบรารันได้ยินดังนั้นก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาแต่ละนาทีนั้นมันยาวนานเหลือเกิน ใจของเขาจดจ่ออยู่กับเวลาที่เหลือ ฝ่ายวาเนวได้เดินทางโดยเร็วที่สุดมุ่งหน้าตรงมายังทอร์เรียโดยเลือกเส้นทางลัดที่ต้องเดินตามแม่น้ำไวร์นอร์ แต่การเดินทางนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค์ที่รออยู่หนข้างหน้า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินที่อันตรายอย่างยิ่ง การเดินทางนั้นต้องผ่านป่าเพียลสโตนเป็นถิ่นของพวกทอร์ไกแอนด์ที่อาศัยยอยู่ในเขตแดนดูรินและและอาณาจักมนุษย์ พวกทอร์ไกแอนด์มีลักษณะเหมือกับม้าแต่มีท่อนบนเป็นอมนุษย์หน้าตาหน้าเกียดหน้ากลัว พวกมันถูกสาปจากเทพโอฟาซินนให้เป็นหินสีมุกเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและมีชีวิตในเวลาดวงอาทิตย์ตกดิน วาเนวจำเป็นต้องเดินภายป่าเขตแดนนี้เพราะเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุด เธอเริ่มเดินทางไปยังป่าเพียลสโตนที่มีพวกทอร์ไกแอนด์อยู่ ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นทุกสิ่งเงียบลงราวกับพยายามจะซ่อนตัวจากอะไรบางอย่าง  เมื่อวาเนวเดินทางมาถึงปากทางเข้าดวงอาทิตย์ก็ใกล้ตกจากขอบฟ้าแล้ว ผู้ติดตามคนหนึ่งหันหน้ามองซ้ายมองขวาไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดจะมีก็แต่ป่าทะมึนอยู่ตรงหน้ามันน่ากลัวเหลือเกินผู้ติดตามคนนั้นได้ถามกับวาเนวว่า "ท่านหญิง นี้ก็ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วขอได้หยุดพักก่อนเถิด ข้าว่าบรรยากาศมันวังเวงยังไงชอบกลไม่รู้" เมื่อวาเนวได้ยินดังนั้นเธอยิ้มและหันมาบอกกับคณะของเธอว่า "แม้ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้วเราก็ยังต้องเดินทางต่อไป เพราะเราจะต้องไปให้ทันงานเลือกพระชายาของพระเจ้าบราบัน พวกเจ้าจงอย่าลืมสิว่าเราคือเทพีแห่งความสว่าง ความมืดนั้นอาจจะปกคุมในยามนนี้แต่มันก็มิอาจจะทำอันตรายเราและพวกเจ้าได้ จงอย่ากลัว เราเดิมตามแม่น้ำไวร์นอร์ยึดแม่น้ำสายนี้เป็นหลักไม่เกินพบค่ำของวันพรุ่งนี้จะต้องถึงทอร์เรียอย่างแน่นอน " และดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปในที่สุดทุกสิ่งสงบเงียบแต่เหมือนมีบางสิ่งที่กำลังตื่นจากการหลับใหลนั้นคือทอร์ไกแอนด์ “เปรี้ย เปรี้ย ๆ”เสียงหินตกลงพื้น ผู้ติดตามพากับกลัวกับสิ่งที่ต้องเผชิญเบื้องหน้า วาเนลดูในดวงตาของพวกเขาทุกคนราวกับว่าสะกดเขาด้วยมนต์ตราแห่งพราย และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็น "จงเชื้อใจเรา เหมือนกับเราเชื้อใจท่าน" เมื่อเธอพูดจบเธอก็มุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากความมืด ว่า "โอ้ราตรีนี้เป็นเวลาของความมืด และที่นี้ไม่ใช้ที่ของความสว่างบุตรแห่งเอววาส จงอย่าเดินต่อไปเลย ท่านจงไปอยู่ในที่ของท่านเถิด" วาเนวเอามือกุมที่ดาบ วาเนวกล่าวตอบไปด้วยเสียงอันดังว่า "เมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครก็จงหลีกทางให้ข้าเถิด ข้าขอผ่านทางเพื่อไปทอร์เรีย" เมื่อทอร์ไกแอนด์ได้ยินดังนั้นเกิดวามโกรธแค้นขึ้นเพราะว่าหากปล่อยให้วาเนวเดินทางต่อไปพวกทอร์ไรแอนด์ทั้งหมดจะไม่ได้ออกไปหากินอย่างแน่นอน เนื่องมาจากเกรงกลัวแสงสว่างของวาเนวทอร์ไกแอนด์จึงตอบไปว่า "ข้าแต่เทพีแห่งแสงสว่างจงใช้เส้นทางอื่นเถิดโปรดอย่าเดินตามแม่นำไวร์นอร์เลย เพราะพวกข้าจะต้องหากินตามแม่น้ำไวร์นอร์" (แต่ในใจลึกๆของทอร์ไกแอนด์ต้องต้องการลิ้มรสเนื้อของเอลฟ์ แต่ก็กลัวพลังแสงสว่างของวาเนว) เมื่อวาเนวได้ยินดังนั้นก็ยกดาบขึ้นเหนือศรีษะและกล่าวว่า "ข้าขอสัญญาว่า การเดินทางคืนนี้ข้าจะใช้แสงดาวเพื่อนำทางเราตลอดคืน และข้าจะไม่เปล่งรัศมี แห่งวินทันเบอร์เพื่อรบกวลพวกเจ้า" เมื่อทอร์ไกแอนด์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจเพราะคืนนี้ตนอาจได้ลิ้มลองเนื้อของพวกเอลฟ  ทอร์ไกแอนด์ตอบทันทีว่า "เราเชื่อในคำพูดท่าน" และคณะของวาเนวก็เดินทางเข้าป่าไปในที่สุด ท่ามกลางความมืดของป่าและความเงียบ มีเพียงแสงแห่งดาวที่ส่องสว่างกลางท้องฟ้าเท่านั้น ขณะที่เดินนั้นเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างคอยสะกดรอยตามมา วาเนวรู้แล้วว่ามีการสะกดรอยตามมา ผู้ติดตามคนหนึ่งได้จับดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมเพราะมีรางสังหรณ์ตามสัญชาติญาณของเอลฟว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น วาเนวสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม ท่ามกล้างความเงียบมีเสียงนกฮูกร้อง "ฮูก ฮูกๆ" ดังมาตลอดทาง ราวกับว่าเห็นอันตรายอยู่เบื้องหน้า ผู้ติดตามสองคนเดินนำหน้าวาเนวขึ้นไปและพบว่ามีทอร์ไกแอนด์สามตัวยืนขวางทางอยู่ ผู้ติดตามคนหนึ่งได้ไปเจรจาขอให้ลีกทางไป แต่ดูเหมือนพวกทอร์ไกแอนด์ยังยืนขวางทางอยู่และมีทอร์ไกแอนด์ตรงเข้ามาทำร้ายเอลฟ์ทั้งสองจึงได้เกิดการต่อสู้กันเกิดขึ้น ท่ามกลางความมืดของเวลากลางคืนเสียงต่อสู่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า ผู้ติดตามคนหนึ่งได้วิ่งมาแจ้งกับวาเนว ขณะอีกคนหนึ่งกำลังต่อสู่กับทอร์ไกแอนด์ เสียงกำปั้นของทอรไกแอนด์ทุบลงพื้นหวังว่าจะฆ่าเอลฟ์คนนั้นให้ตาย แต่ด้วยความว่องไวของเอลฟ์ เขากระโดดหลบได้ทุกครั้ง และโจมตีทอร์ไกแอนด์ด้วยดาบและธนู แต่ด้วยว่าความเหนื่อยอ่อนของเขาจึงเพลี่ยงพล้ำให้แก่ทอร์ไกแอนด์ในที่สุดและเขาก็พบกับความตาย ฝ่ายวาเนวได้ทราบเรื่องจากผู้ติดตามคนหนึ่งที่เคยเดินล่วงหน้าไปมาแจ้วว่ามีทอร์ไกแอนด์สามตัวซุ่มโจมตีอยู่ด้านหน้า วาเนวจึงถามว่า "อีกคนหนึ่งทำไมไม่มากับเจ้าด้วย" ผู้ติดตามคนนั้นจึงตอบวาเนวว่า "ท่านโมทีกำลังต่อสู้กับทอร์ไกแอนด์อยู่ ข้าจึงเร่งมาบอกกับท่านหญิงก่อนกลัวว่าจะเป็นอัตราย" เมื่อวาเนวได้ยินดังนั้นจึงรีบไปช่วยโมทีทันทันที เมื่อวาเนวไปถึงพวกทอร์ไกแอนด์โยนหัวของโมทีลงบนพื้นและกล่าวว่า "นี้ไงลูกน้องของเจ้ารับไป เนื้อของเขาหวานมาก ว่าแตะเราทั้งสามนี้ยังไม่อิ่มขอกกินอีกแล้วกันนะ" และทอร์ไกแอนด์ก็โจมตีคณะของวาเนวอย่างต่อเนื้อง ทั้งหมดต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่ดูเหมือนพวกทอร์ไกแอนด์จะไม่สะทบสะท้านอะไรเลย ส่วนวาเนวก็กวัดแกว่งดาบปัดป้องตนเองและผู้ติดตามจากเงื้อมือของทอร์ไกแอนด์ วาเนวคิดในใจว่าเราไม่หน้าเอ่ยปากสัญญากับพวกทอร์ไกแอนด์เลย วาเนวต้องการที่จะใช้พลังแสงสวางของตน แต่พวกทอร์ไกแอนด์ได้กล่าวว่า "ท่านโปรอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเรานะ ว่าจะไม่ใช้พลังแห่งแสงสว่าง พูดแล้วโปรดอย่าลืมคำ" ฝ่ายวาเนวได้กล่าวตอบไปว่า "เรานั้นยึดมั่นใจคำสัตย์ของเราเสมอไม่เหมือนพวกเจ้า เราไม่หน้าให้คำสัตย์ไว้กับพวกเจ้าเลย" ทอร์ไกแอนด์กล่าวว่า "ท่านอย่าลืมสิว่าเหตุใดพวกข้าจึงเป็นทอร์ไกแอนด์" วาเนวนึกขึ้นได้ว่า ครั้งหนึ่งเอววาสเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งสร้างอาณาจักเอลฟ์ขึ้นมานั้นได้สร้างเอลฟขึ้นกลุ่มแรกจำนวนสิบเจ็ดคน และสร้างต้นไม้อมตะขึ้นและกำชับกับเอลฟ์ทั้งสิบเจ็ดให้คำสาบานว่าพวกตนจะไม่กินผลไม้อมตะก่อนที่จะได้รับอนุญาตทั้งสิบเจ็ดคนให้คำสัตย์  และได้สั่งเอลฟทั้งสิบเจ็ดคนนั้นหามให้สัตว์หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆมากินหรือสัมผัสกับผลของต้นไม้อมตะ พวกเขาดูแลต้นไม้นั้นอย่างดีไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดมากล่ำกายได้ มีอยู่วันหนึ่งพวกเอลฟ์ทั้งสิบเจ็ดคนนั้นเกิดความคิดว่าพวกตนนั้นเป็นอมตะหรือไม่จึงพากันไปถามเทพโอฟาซิน แต่ตอนนั้นเทพโอฟาซินไม่อยู่ที่วินทันเบอร์แล้วพวกเขาจึงไม่ได้คำตอบ ไบอัสจึงแอบไปนำผลไม้อมตะมากินและแบ่งที่เหลือกินด้วย เมื่อเทพโอฟาซินทรงทราบจึงเรียกพวกเอลฟ์ทั้งหมดมาถามถึงคำสาบานที่เคยให้ไว้กับตนว่าจะไม่กินผลไม้ของต้นไม้อมตะ เทพโอฟาซินเห็นว่าทั้งหมดตั้งใจที่เลือกที่จะลืมคำสาบานจึงขับไล่ให้ออกไปจากดินแดนอมตะ และให้ไปอยู่ที่ป่าเพียลสโตนพร้อมกับคำสาป เมื่อวาเนวคิดได้เช่นนั้นจึงเกิดการอาลัยตัวเองที่เผลอสัญญาไปและวาเนวก็ไม่สามารถถอนคำสัญญาได้ (เอลฟ์ยึดถือคำสัตย์ที่สุด ยอมเสียสระตนเองกว่ายอมจะเสียคำสัตย์) วาเนวจึงกล่าวว่า "ถึงแม้พวกเราจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ เราก็ขอยืนยัดสู้กับเจ้าจนลมหายใจของเราจะหาไม่" ทอร์ไกแอนด์จับเอลฟ์คนหนึ่งได้ก็จับหักแขนหักขาจับใส่ปาก เสียงร้องที่แสนทรมารดังก้องไปทั้งป่าเพียลสโตล วาเนวพยามจะช่วยผู้ติดตามคนนั้น แต่เขากับบอกให้วาเนวและคนที่เหลือเดินทางต่อไป น้ำตาหยดหนึ่งหยดมาจากดวงตาของวาเนวตกสู่พื้นปรากฏว่าเมื่อน้ำตานั้นตกถึงพื้นดินแล้วกลายเป็นคริสตัลแหลมคมขึ้นทั่วป่าเพียลสโตนทิ่มแทงพวกทอร์ไกแอนด์ ผู้ติดตามที่เหลือก็พาวาเนวเข้าไปในป่าลึกแห่งเพียลสโตน เหมือนมีดกรีดกลางดวงใจของเอววาสเมื่อเห็นแสงสว่างจากคริสตัลที่สะท้อนขึ้นบนฟ้าทิศตวันออกตรงป่าเพียลสโตน เอววาสรู้ได้ทันทีว่าวาเนวตกอยู่ในอันตรายจึงจัดทัพจำนวนสามร้อยคนไปช่วย วาเนวและผู้ติดตามวิ่งตามแม้น้ำมุ่งหน้าลงใต้ พวกทอร์ไกแอนด์ตามมาติดๆ และดูเหมือนว่ายิ่งเข้าไปลึกเท่าไรจำนวนของทอร์ไกแอนด์เพิ่มขึ้น เอววาสได้ขอให้พญานกอินทรีช่วยเป็นพาหนะและเอาดาบกาวรีเป็นอาวุธ ขณะที่วาเนวกำลังวิ่งหนีอยู่มีทอร์ไกแอนด์มาดักอยู่ด้านหน้าสี่ตัวทำให้วาเนลและผู้ติดตามต้องหยุดชะงักและมีอีกห้าตัวอยู่ด้านซ้ายอีกหกตัวอยู่ด้านขวา วาเนวตกอยู่ในวงล้อมของทอร์ไกแอนด์ ทั้งหมดถูกตีวงล้อมให้แคบเข้ามาเรื่อยเสียงหวีดร้องของทอร์ไกแอนด์สามารถทำรายเส้นประสาท มีผู้ติดตามคนหนึ่งล้มลงกับพื้นเลือดสีเขียวไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างเขานอนทุรนทุรายอยู่ตรงนั้น วาเนวสั่งให้ทุกคนที่เหลืออยู่อย่ามองพวกทอร์ไกแอนด์และตั้งสมาธิอย่าสนใจเสียงของทอร์ไกแอนด์ มีเสียงหนึ่งดังลงมาจากฟ้าเป็นเสียงของพญานกอินทรี เอววาสชูดาบขึ้นท้องฟ้าและมีสายฟ้าฟาดลงมาบนดาบนั้น พญาอินทรีโฉบลงมาเอววาสตวัดดาบลงบนหัวของทอร์ไกแอนด์ หัวของทอร์ไกแอนด์ขาดกระเด็นลงบนพื้นดินและกลายเป็นทรายทันที ทอร์ไกแอนด์เห็นดังนั้นบางตัววิ่งหนีเข้าป่าลึกไปบางตัวก็สู่จนตัวตาย เมื่อการต่อสู้ยุติลงวาเนวกระโดดกอดเอววาสบิดาตนและร้องให้ออกมาพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกขออภัยๆ ลูกนำพาพี่น้องมาสู่ความตาย ขอพระบิดาทรงลงโทษลูกด้วยเถิด" เอววาสกว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับบุตรสาวตนว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเราเข้าใจ ไม่มีใครที่จะตั้งใจทำความผิด ลูกหญิงเอ๋ยจงอย่าเสียใจไปเลย กับชีวิตที่ดับสูนพวกเขาได้ไปอยู่ดินแดนแห่งโอฟาซิน " ในขณะที่เขาพูดกับวาเนวนั้นมีการเคลื่อนไหวของพุ่มไม้และยังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังเอววาสและวาเนวนั้นคือไบอัสหัวหน้าของพวกทอร์ไกแอนด์ นัยดวงตาของมันที่เต็มไปด้วยความแค้น เพราะครั้งหนึ่งในอดีตเอววาสเคยรับบัญชาจากเทพโอฟาซินให้มาปราบพวกทอร์ไกแอนด์ เมื่อหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน ทอร์ไกแอนด์ที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนในเขตแดนของคอร์เพอร์ไนย์กับดูริน ซึ้งขณะนั้นเอววาสนำทัพมาเองได้ฆ่าพวกทอร์ไกแอนด์ไปจำนวนหนึ่งและหนึ่งในนั้นคือลูกของไบอัส ในบันดาพวกเอลฟ์ไม่มีใครรู้เลยยังมีทอร์ไกแอนด์หลงเหลือหนึ่งตัว และแล้วเหตุการณ์ไม่คิดก็เกิดขึ้น เมื่อทอร์ไกแอนด์กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ตรงเข้ามาที่เอววาส เมื่อเอววาสเห็นดังนั้นจึงผลักวาเนวออกไป การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างทั้งสองก็เกิดขึ้น ทอร์ไกแอนด์ใช้อาวุธทุกอย่างที่ตัวเองมีและอาวุธที่หน้ากลัวที่สุดนั้นก็คือคมเคี้ยวของมัน เหมือนกับว่าพลังของเอววาสจะถอยล้นลงมาเรื่อยๆ เอววาสพยามถ่วงเวลาในการต่อสู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ วาเนวเห็นว่าบิดาของตนพละกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ จึงเข้าไปช่วย แต่เอววาสห้ามไว้ให้เดินทางไปยังทอร์เรียให้เร็วที่สุด และแล้วทอร์ไกแอนด์ได้กัดเข้าที่แขนของเอววาสทำให้ดาบกาวรีหลุดจากมือของเอววาส ทอร์ไกแอนด์ตรงเข้ามาทำร้าย เสียงร้องของเอววาสดังไปทั่งทิศทั้งสี่สรรพสัตว์ต่างตื่นจากการหลับใหลเพราะเสียงร้องของเอววาส เมื่อวาเนวได้ยินดังนั้นจึงหันหลังกลับมาช่วยบิดา แสงสว่างแห่งดาบกาวรีส่องสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดราวกับว่าต้องการบอกกับวาเนวว่าอยู่ตรงนี้ วาเนววิ่งไปหยิบดาบขึ้นมาและเข้าไปต่อสู้กับทอ์ไกแอนด์ เอววาสยังคงนอนกองอยู่ที่พื้นเขาขยับตัวไม่ได้เนื่องจากพิษของบาทแผล วาเนวรู้ว่าใกล้ที่จะสว่างแล้วจึงพยามยื้อเวลาให้นานที่สุด ทอร์ไกแอนด์ก็รู้ว่านี้ใกล้สว่างแล้วจึงพยามหนี วาเนวจึงก้มหยิบดินขึ้นมาร่ายมต์เป็นภาษาเอลฟ์ว่า "โมกรอทรา บราเนียร" แล้วโปรยขึ้นเหนือหัวของทอร์ไกแอนด์ ทำให้เกิดกำแพงไฟเกิดขึ้นทั้งสี่ทิศล้อมทอร์ไกแอนด์ไว้ได้ วาเนวว่า “เปลวไฟนี้จะร้อนแรงขึ้นเมื่อเจ้าต้องการที่จะออกไป” ส่วนเอววาสยังนอนกองที่พื้นขยับตัวไม่ได้เพราะพิษจากคมเคี้ยวของทอร์ไกแอนด์ วาเนววิ่งเข้ามาประคอง
    เอววาสขึ้นนอนบนตัก สีหน้าของเอววาสซีดมากราวกับสีขาวของดวงดาวที่ส่องสว่างที่ขณะนั้น บาทแผลของเขานั้นขยายวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง วาเนวพยายามจะช่วยบิดาของตนเธอใช้พลังของเธอรักษาบิดาของเธอแต่เหมือนพลังนั้นถูกปิดกลั้นจากเอววาส ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเอววาสรู้ตัวเองดีว่าถึงวาระของตนแล้วจึงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากวาเนว เอววาสแข็งใจยิ้มออกมาเพื่อให้วาเนวเห็นว่าตนยังไหวอยู่เขาได้พูดกับวาเนวด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักว่า “วาเนวลูกรัก พ่อเห็นแม่ของลูกกำลังร่วมงานเลี้ยงฉลองในแผ่นดินแห่งโอฟาซิน ข้าเห็นต้นไม้อมตะออกผลเต็มต้น ข้าเห็นบรรดาผู้ตายในอาณาจักต่างๆร่วมงานเลี้ยงฉลองเพื่อต้อนรับข้า” วาเนวพยายามจะพาเอววาสกับยังวินทันเบอร์ เอววาสได้กล่าวกับวาเนวว่า “ครั้งนี้มันคงเป็นครั้งสุดท้ายของพ่อที่เห็นใบหน้าลูก พ่อรู้ดีว่าความเป็นอมตะของพ่อนั้นจะไม่มีอีกต่อไป ลูกรักการตายครั้งนี้มันเป็นการตายที่คุ้มค้าจริงๆ เพราะอย่างน้อยสิ่งที่พ่อยอมแรกมานั้นมันก็คุ้มค่า ลูกรักถึงแม้พวกเราจะสูงศักดิ์แค่ไหนความตายก็ไม่เคยละเว้นเลย และชีวิตหลังความตายก็ไม่หน้ากลัวอย่างที่ลูกคิด ” ทันใดนั้นทูตแห่งโอฟาซินสององค์สวมชุดคลุมยาวสีขาวมารอรับเอววาสมารอรับเอววาส ความโศกเศร้าเสียใจปกคลุมบรรดาเอลฟ์ที่ติดตามมาด้วยและพวกที่เหลืออยู่กับวาเนว วาเนวได้แต่ร้องให้และโทษตัวเองว่าเป็นเพราะความโง่และการเอาแต่ใจของตัวเองแท้ๆ ที่ทำให้บิดาต้องตาย เอววาสยัง
    กล่าวไปอีกว่า “ลูกรักจงอย่าโกรธแค้นกับบรรดาทอร์ไกแอนด์ จงรักในการให้อภัยเหมือนกับพ่อที่ไม่เคยโกรธลูกแม้ลูกจะทำความผิดก็ตามที อย่างเอาความสูญเสียมาเป็นเครื่องบันทอนจิตใจเจ้าเลย ในมือเจ้าคือดาบแห่งวินทันเบอร์หรือดาบกาวรี มันเป็นดาบที่เทพโอฟาซินประทานแก่พ่อจงนำมันติดตัวมันไปยังทอร์เรียด้วย และนำดาบเล่มนี้มอบกับพระเจ้าบรารันเพราะอีกไม่นานพระองค์จะทรงใช้มัน” และเอววาสก็ถอดมงกุฎและอาภรกษัตริย์ออกยื่นให้วาเนว ดูเหมือนบาทแผลของเอววาสนั้นก็ค่อยๆหายไปเป็นปกติ เขายืนขึ้นพร้อมที่จะก้าวไปข้าง วาเนวสวนกอดเอววาสอีกครั้งและกล่าวว่า “บิดาแห่งข้าถึงแม้ว่าเวลานี้พระองค์จะทรงอยู่ตรงหน้าลูก ลูกยังมองเห็น ได้ยินเสียงของพระองค์ แต่ต่อไปในวันข้างหน้าคงไม่มีอีกแล้ว จะหลงเหลือก็แต่ความทรงจำ ” เอววาสและวาเนวกอดลากันอีกครั้ง ทูตแห่งโอฟาซินเดินตรงมาและบอกกับเอววาสว่า “ท่านเอววาสขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางแล้ว ขอรับ” และวาเนวมองหน้าของบิดาเป็นครั้งสุดท้าย และเอววาสก็เดินทางไปกับทูตทั้งสอง ขณะนั้นเป็นเวลาฟ้าสางแล้วแสงแดดเริ่มเผาผิวของทอร์ไกแอนด์เริ่มไหม้เป็นสีน้ำตาลปนดำ เสียงร้องอันน่าเกลียดของมันดังก่องไปทั่วป่า วาเนวหันมามองทอร์ไกแอนด์ด้วยสายตาที่เกี้ยวกาดที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เกิดขึ้นกับวาเนว ใจเธออยากจะฆ่าทอร์ไกแอนด์ให้ตาย แต่อีกใจหนึ่งก็นึกถึงคำของเอววาสที่สั้งเสียก่อนตาย เหมือนอำนาจฝ่ายมืดมีอำนาจเหนือกว่าความสว่าง เธอตัดสินใจตวัดปลายดาบลงบนกลางหลังของไบอัสเสียงร้องของมันเงียบลงทันที่เมื่อดาบลงที่กลางหลังของไบอัส เมื่อฟ้าสางความสว่างกับมาอีกครั้งวาเนวเร่งมุ่งหน้าเดินทางตามแม่น้ำไวนอร์ปยังทอร์เรีย ฝ่ายพระเจ้าบรารับเหมือนยิ่งใกล้ถึงวันเลือกพระชายายิ่งมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในเช้าวันที่สองมีฝูงนกกาบินมาจากทิศใต้บินมาเกราะทั่วพระราชวังส่งเสียงรองดังทั่วบริเวณจนทำให้พระเจ้าบรารันออกว่าราชการนอกเมือง ชาวบ้านที่เห็นดังนั้นต่างพากันลือไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าจะเกิดกลียุคขึ้น บ้างก็ว่าพระเจ้าบรารันตองการที่จะทอดพระเนตรประชาชน แต่ดูเหมือนรางร้ายนั้นเริ่มมีมากขึ้น มีชาวบ้านจากทิศตะวันตกตรงมาร้องทุกข์กับพระเจ้าบรารันว่า ”เมื่อเช้านี้มีพวกหมาป่าลงมาจากภูเขาบลูยัวร์ ลงมากัดกินสัตว์เลี้ยงล้มตายเป็นจำจวนมาก ขอให้ท่านส่งทหารลงไปช่วยพวกข้าด้วยเถิด ฝ่าบาท” เมื่อได้ยินดังนั้นจึงมีคำสั่งให้กองทหารรักษาวังไปตรวจสอบจำนวนทหารที่ไปนั้นมีจำนวนห้าสิบคนมีอาวุธก็คือดาบและธนู เมื่อเหล่าทหารไปถึงหมู่บ้านก็ได้พบเจอกับภาพที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในทอร์เรียคือภาพความสยดสยองของหมู่บ้านเต็มไปด้วยเลือดและชิ้นส่วนมนุษย์ความกลัวจับกุมพวกเขาทันที ทุกคนต่างจับอาวุธขึ้นมาพร้อมที่จะต่อสู้ สภาพจิตใจของพวกเขาไม่ต่างจากลูกไก่ที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของแมวที่หิวโหยเลย มีเสียงกรีดร้องมาจากบ้านหลังหนึ่งเหล่าทหารจึงแบ่งกำลังคนไปดูสิบคนส่วนที่เหลือให้รวมกันไว้ เมื่อทั้งสิบคนเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นภาพที่เห็นก็คือมีหมาป่าจำนวนเจ็ดตัวกำลังรุมทึ้งกินร้างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาว พวกเขาพยายามจะช่วยหญิงสาวที่นองตรงหน้าพวกเขามีเสียงของทหารคนหนึ่งร้องบอกว่าเธอตายแล้ว ทหารทั้งหมดจึงรีบวิ่งกลับออกมาทันที่ หมาป่าต่างพากันวิ่งกรูกันออกมาจากบ้าหลังดังกล่าว ทหารบางคนขณะวิ่งล้มลง ฝูงหมาป่ารุมขย้ำทันทีทหารที่เหลือยู่ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เหมือนกับว่ามีแสงหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้ากระแทกพื้นดัง "บึ่ม" แรงกระแทกนั้นรุนแรงจนเกิดหลุมขณะใหญ่ ทุกคนต่างงงว่ามันคืออะไรและก็มีเสียงไอมาจากในหลุมนั้น “แอ๊ะ ๆ ลงเบาๆ กว่านี้ก็ไม่ได้ ไม่เห็นใจคนมีอายุเลย ว่าแต่ปีนี้เราอายุเท่าไรแล้วนะ” และเขาก็ก้าวขึ้นมาจากหลุม บรรดาเหล่าทหารต่างพากันมาดู ขณะนั้นเหล่าหมาป่าต่างวิ่งหนีกระจัดกระจากไปเพราะความกลัว เสียงทหารบางคนบอกว่า “เอ๊อะ ลงมาถูกที่และไม่ผิดเวลา ไม่งันตายกันหมดแน่”  ทหารบางคนถามว่าเป็นใครชื่ออะไรชายชราคนนั้นแต่เขาไม่ตอบ ชายแก่คนนั้นถามขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า ”วังของกษัตริย์บรารันอยู่ที่ใด พวกเจ้ารู้หรือไม่” เหล่าทหารจึงบอกพร้อมกันทั้งหมดที่เหลือว่าพวกตนเป็นทหารองค์บรารัน เมื่อชายแก่ได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินทางไปยังทอร์เรียทันที เมื่อไปถึงที่วังชายแก่ผู้นั้นสัมผัสได้ถึงอำนาจบางอย่างที่เริ่มจะครอบงำที่นั้น บรรดานกกาที่ส่งเสียงร้องดังเงียบลงพยายามซ่อนตัวให้ไกลจากสายตาของชายแก่ผู้นั้น ทหารพาชายแก่นั้นไปยังท้องพระโรง ขณะนั้นพระเจ้าบรารันนั่งประทับบนบัลลัง เมื่อชายแก่เห็นพระเจ้าบรารันจึงเดินตรงเข้าไปถวายบังคมและพูดว่า “ข้าถวายบังคมบุตรแห่งชินเตผู้ครองบัลลังแห่งทอร์เรีย” พระเจ้าบรารันได้สังเกตการแต่งตัวของชายแก่ผู้นั้นไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป จึงถามขึ้นว่า “คนจรผู้ชราท่านเป็นใครมาจากไหน และนามของท่านคือใคร” ฝ่ายชายแก่ตอบว่า “นามของข้าคือพ่อมดแฟรงกอร์น ” เมื่อพระเจ้าบรารันได้ยินดังนั้นจึงตรัสถามขึ้นว่า “เราไม่อยากจะเชื่อว่าในอาณาจักนี้จะมีพ่อมด เราคิดว่าพ่อมดจะมีอยู่แค่ดินแดนโอฟาซิน” เมื่อแฟรงกอร์นได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นมาและพูดออกไปว่า “ถูกต้องแล้วฝ่าบาท ข้ามาจากโอฟาซิน บังเอิญตอนที่ข้ามานั้นข้าเห็นฝูงหมาป่ากำลังรุมทึ่งทหารนายหนึ่งและข้าเห็นเลือดเต็มท้องถนนเสียงหวีดร้องดังเต็มทั่วไปในหมู่บ้าน ” เมื่อพระเจ้าบรารันได้ยินดังนั้นถึงกับทรุดเพราะไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของทอร์เรียมาก่อนว่าจะมีกองทัพใดหรือสัตว์ร้ายตัวใดมาทำร้ายประชาชน แฟรงกอร์นได้กล่าวว่า “นับแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปอำนาจจะมีบางอย่างจะปกคุมไปทั่วทอร์เรียและดินแดนใกล้เคียง ” พระเจ้าบรารันตรัสถามขึ้นอีกว่า “ท่านแฟรงกอร์นท่านรู้หรือไม่ว่าอำนาจนั้นมาจากไหน และเป็นฝีมือของใครที่จ้องเล่นงานทอร์เรีย”  แฟรงกอร์นจึงตอบว่า “อำนาจนั้นข้าไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดและเป็นฝีมือของใคร” และแฟรบงกอร์นก็เดินเข้าไปหาพระเจ้าบรารันและดึงห่อผ้ายาวประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบเซนติเมตรที่ออกมาจากด้านหลังแกะออกพระเจ้าบรารันยังสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไร เมือเอาผ้าพันออกหมดพระเจ้าบรารันรู้ทันทีว่าเป็นดาบ ความสว่างประกายสีมุกทองทอแสงต้องตาทุกคนในท้องพระโรง ฝักดาบมีรายเส้นสวยงาม พระเจ้าบรารันตรัสถามขึ้นมาทันที่ว่า “ดาบเล่มนี้ไม่ใช้งานช่างตีดาบของมนุษย์ แต่มันเป็นงานของเอลฟ์จากทิศเหนือ เราเคยเห็นครั้งหนึ่งในงานปรงพระศพของพระบิดา ท่านเอววาสกษัตริย์แห่งวินทันเบอร์ มีดาบลักษณะนี้อยู่” แฟรงกอร์นได้พูดว่า “ดาบเล่มนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งเมื่อพระเจ้าฟินเนสกษัตริย์องค์ที่สามแห่งทอร์เรียได้เดินทางไปยังซีนายเพื่อขอให้ซาร์มัวช่างตีคนแคระดาบช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นช่วยตีดาบเล่มหนึ่ง ซึ่งต้องการให้เป็นดาบที่ดีที่สุดในอานาจักมนุษย์ แต่ระหว่างเดินทางกลับทอร์เรียพระเจ้าฟินเนสพบเจอกับโจรป่าซุ่มโจมตีระหว่างข้ามแม้น้ำบรู พวกโจรปลงพระชนม์พระเจ้าฟินเนส ตอนนั้นข้ากำลังจะเข้าไปช่วย แต่ทว่าพวกโจรได้ปลงพระชนม์ของพระเจ้าฟินเนสไปแล้ว ข้าจึงเข้าไปแย่งดาบมาได้ ในตอนแรกข้าจะเดินทางไปยังทอร์เรียเพื่อนำดาบเล่มนี้ไปมอบให้กับองค์รัชทายาทองค์ต่อไป แต่ทว่าข้าถูกเรียกตัวกลับโอฟาซินไปก่อนจึงไม่สามารถนำดาบเล่มนี้ไปยังทอร์เรียได้ ข้าจึงนำดาบเล่มนี้ติดตัวข้ามาตลอดโดยหวังว่าวันหนึ่งดาบเล่มนี้จะเจอเจ้าของมัน และบัดนี้เจ้าของแห่งดาบยืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้วข้าจึงขอมอบดาบเล่มนี้ให้กับรัชทายาทองค์ที่ยี่สิบสามแห่งอุโมลี ข้าขอมอบดาบเล่มนี้ให้พระองค์ ” และแฟรนกอร์นก็ยื่นดาบให้พระเจ้าบรารัน  พระเจ้าบรารันรับจากมือของแฟรนกร์นดึงดาบจากฝักและกวัดแกว่งไปมาและถามแฟรนกอร์นว่า “ท่าน
    แฟรนกอร์นดาบเล่มนี้มีชือหรือไม่” แฟรนกอร์นตอบว่า “เมื่อใดข้าได้จับดาบเล่มนี้ข้านึกถึงต้นไม้ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ที่โอฟาซินมันคือต้นทัศเบียร์ที่ออกดอกเป็นสีทองคำประกายมุก ข้าขอตั้งชื่อดาบเล่มนี้ว่า ทัศเบียร์เนส ” เมื่อทั้งสองคนได้ทำความรู้จักและแฟรนกอร์นได้ส่งมอบดาวทัศเบียร์เนสแล้ว แฟรนกอร์นได้ขอพระเจ้าบรารันขึ้นไปยังหอคอย ซึ่งขณะนั้นนกกาที่เกาะอยู่ได้ออกมาบินรอบพระราชวัง แฟรนกอร์นได้เอาไม้เท้าของตัวเองกระแทกลงพื้น (ทำให้พื้นบริเวณหอคอยแยกออกแต่ไม่ถึงกับถล่มลงมา) แสงประกายสีขาวของส่องสว่างไปทั่วบริเวณ พวกนกกาที่บินวนอยู่ก็หนีตายกันวุ่นเมื่อนกกาไปกันหมดแล้วแฟรนกอร์นได้ลงไปสนทนากับพระเจ้าบรารันทั้งสองสนทนากันถึงพิธีเลือกพระชายา ส่วนวาเนวและผู้ติดตามที่เหลือยังคงเดินทางต่อจนมาถึงชายป่าเพียวสโตนในตอนนั้นเป็นเวลาค่ำแล้วเธอบอกให้ทุกคนหยุดพักแรมตรงชายป่าเพียลสโตน เมื่อเวลาเช้าทั้งหมดเตรียมเดินทางต่อ วาเนวได้ออกไปสำรวจบริเวณเธอเจอเนินหินสูงเธอจึงปีนขึ้นไปพร้อมกับผู้ติดตามของเธอ เธอสาดสายตามองลงมายังทิศตะวันออกเฉียงใต้สังเกตเห็นกลุ่มควันสีดำขณะมหึมาลอยอยู่ เธอจึงสั่งให้ทุกคนเดินทางต่อไปแต่ให้เดินทางเลาะแม่น้ำไวร์นอร์ไปหลังจากนั้นห้าชั่วโมงวาเนวนำคณะมาถึงปากแม่น้ำบลู แม่น้ำที่น้ำเป็นสีฟ้าตลอดทั้งปี วาเนวพาทุกคนข้ามมายังอีกฝั่งของแม่น้ำบรูและเลือกที่จะเดินทางไปยังหมู่บ้านที่มีกลุ่มควันลอยอยู่ ผู้ติดตามคนหนึ่งถามวาเนวขึ้นว่า "เหตุใดท่านหญิงจึงไม่มุ่งตรงไปยังทอร์เรีย กลับเลือกที่จะเดินนอกทางไปเล่าท่านหญิง" เมื่อวาเนวได้ยินคำถามดังนั้นจึงตอบว่า "เหตุที่เราต้องยอมเสียเวลาเพราะว่ามีชีวิตหนึ่งรอการช่วยเหลือจากเรา หากเป็นเช่นนี้แล้วท่านคงเข้าใจนะ"  สายลมพัดนำคาวเลือดมาปะทะจมูกของวาเนวยิ่งกระตุ่นให้วาเนวเร่งการเดินทางเป้นการด่วน ทุกคนเดินไปตามแม่น้ำบรู มีเสียงหอนของหมาป่าดังมาจากทิศใต้ วาเนวรู้สึกได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงสั่งให้ทุกคนตั้งแนวรับให้พลธนูอยู่ด้านหน้า ให้ทหารราบอยู่ด้านหลัง เสียงแตรสัญญาณก็ดังขึ้น ฝูงหมาป่าจำนวนไม่ต่ำกว่าสีร้อยตัวตรงเขามา วาเนวสั่งให้พลธนูเตรียมพร้อม แต่พอหมาป่าเข้ามาใกล้พวกมันวิ่งอ้อมไปอีกทางวิ่งไปเลาะแม่น้ำบลูลงไปทางทิศใต้ เหล่าทหารต่างแปลกใจเป็นมากเพราะธรรมดาแล้วเมื่อหมาป่าเห็นเหยื่อของมันมันจะตรงเข้ามาทันที่ ดูเหมือนว่าการสูญเสียเอววาสไปทำให้วาเนวเข็มแข็งขึ้น วาเนวสั่งให้เอลฟ์ที่ติดตามกับเอววาสมาจำนวนสามร้อยคนกับไปยังวินทันเบอร์ทุกคนว่า
    เหลือเพียงผู้ติดตามหกคนท่านั้น และเดินทางต่อไปยังทอร์เรีย ระหว่างทางนั้นมีสายลมอ่อนพัดมาปะทะใบหน้าพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมากับสายลมอีกครั้ง และจู่ๆวาเนวเห็นภาพทีเกิดขึ้นช่วงหนึ่ง เธอเห็นภาพรางๆของฝูงหมาป่ากำลังรุมทำร้ายคนและบรรดาสัตว์เลี้ยงได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เห็นวัตถุชนิดหนึ่งมีแสงสีขาวตกมาจากฟ้ามีเสียงหนึ่งดังขึ้นและได้ยินเสียงแผ่วเบาลอยมาตามสายลมว่า "ช่วยพวกเราด้วย" ภาพและเสียงเหล่านั้นก็หายไป วาเนวบอกให้ทุกคนให้มุ่งหน้าตามกระแสลมที่พัดมา มีผู้ติดตามคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า "เหตุใดองค์หญิงยังจะเสียเวลาเดินทางไปยังหมู่บ้านนั้นอีกทำไม ในใกล้ที่จะถึงพระราชวังของพระเจ้าบรารันทุกขณะ" วาเนวจึงตอบไปว่า "ที่เราต้องเดินทางไปนั้นเพราะเราเห็นภาพของการต่อสู้ได้กลิ่นของคาวเลือดของมนุษย์ และอีกอย่างหนึ่งมีเสียงหนึ่งขอความช่วยเหลือจากเราทุกขณะ" เสียงนั้นยังคงดังอยู่ในหัวของวาเนว ทุกคนก็เดินทางไปยังหมู่บ้านนั้น เมื่อไปถึงหมู่บ้านนั้นภาพที่พวกเขาเห็นคือทุกอย่างอยู่คือสภาพเสียหาย กลิ่นคาวเลือดลอยไปในอากาศ ผู้ติดตามคนหนึ่งวาเนวขึ้นว่า "ท่านหญิงมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันมีแต่ซากศพเต็มไปหมด" วาเนวตอบว่า "นี้เป็นฝีมือการโจมตีของหมาป่าแห่งป่าเมอร์ธรอนอร์ ป่าดึกดำบรรพ์" วาเนวและผู้ติดตามเดินสำรวจทั่วหมู่บ้านมีเสียงร้องให้ดังขึ้นมากจากโรงนาแห่งหนึ่งเป็นเสียงของเด็ก การค้นหานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก วาเนวจึงให้ทุกคนช่วยหาเด็กคนนั้น ด้วยความกลัวเด็กคนนั้นซุกตัวลงใต้กองฟางและพยายามเงียบที่สุด แต่เสียงนั้นก็ยังดังอยู่ดี วาเนวจึงกล่าวว่า "จงอย่าได้กลัวพวกเราเลย พวกเราไม่เป็นอันตรายกับเจ้า เจ้าชื่ออะไรกัน ส่วนข้าชื่อวาเนว" ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมา วาเนวจึงออกอุบายจึงกล่าวว่า "งั้นถ้าไม่มีใครพวกเรากลับกันดีกว่า" และแกล้งเดินหันหลังเดินออก ตามประสาของเด็กเขาคิดว่าวาเนวและพวกจะกลับไปแล้วจึงเอ่ยปากออกมาว่า "ข้าชื่อคิมโม" วาเนวหันหลังกลับมาและเดินตรงไปที่กองฟางและกล่าวว่า "เจ้าไม่ต้องกลัวพวกเรานะ พวกเราไม่ใช้พวกหมาป่า" คิมโมถามกลับว่า "แล้วพวกท่านเป็นใคร" วาเนวตอบ "พวกเราเป็นเอลฟ์เราชื่อวาเนวธิดาแห่งเอววาส" และผู้ติดตามของวาเนวทุกคนก็ต่างแนะนำตัวเองกับคิมโม คิมโมค่อยๆมุดตัวออกจากกองฟางที่เขาซ่อนตัว สภาพของกิมโมตอนนั้นเปอะเปื้อนไปด้วยเลือด และฟางข้าวติดอยู่ตามตัว วาเนวเดินไปหาคิมโมและก้มลงถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับคิมโม คิมโมเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับวาเนวฟังโดยเขาเล่าว่า "วันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ ผ่านมา ข้ากับเพื่อนของข้าออกไปเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า ข้าได้ยินเสียงหมาป่าหอนมาแต่ไกล แต่ข้ายังไม่รู้สึกแปลกใจ จนประทั่งข้าเห็นฝูงสัตว์ป่าแตกตื่นต่างพากันวิ่งหนี และพวกหมาป่าก็พากันวิ่งตรงมายังฝูงสัตว์เลี้ยงของข้า ข้าพยายามช่วยสัตว์เลี้ยงของข้าแต่หมาปามีมากเกินไป ข้าวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ข้าเข้าไปบอกกับบรรดาผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน ว่ามีฝูงหมาป่าจำนวนประมาณสามร้อยกว่าตัวกำลังตรงมายังหมู่บ้านนี้ แต่ไม่มีใครเชื่อข้าเลยแม้กระทั่งพ่อกับแม่ข้า และแล้วทุกคนก็เห็นหมาป่าตัวหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้าน ในปากของมันมีแขนของมนุษย์อยู่ หลังจากนั้นทั้งหมู่บ้านก็ถูกโจมตีด้วยกองทัพของหมาป่า" วาเนวถามคิมโมกลับว่า "นอกจากเธอแล้วยังมีใครที่มีชีวิตรอดอีกหรือไม่" คิมโมร้องให้ดวงตาที่สิ้นหวังของคิมโมมองไปรอบๆ ตัวและตอบว่า "พวกหมาป่าทำร้ายทุกคนที่พวกมันเห็น ทุกคนถูกมันฆ่า ดวงตาของมันแดงก่ำเหมือนกับไฟไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาของมันไปได้" วาเนวจึงถามต่อไปด้วยความสงสัยว่า "แล้วเหตุใดเจ้าไม่เป็นอะไรละ" คิมโมจึงตอบกับว่า "ในขณะนั้นข้าอยู่ในโรงนาของพ่อและแม่ของข้าพากันมาหลบที่นี้ แต่ก็มีหมาป่าตัวหนึ่งเข้ามาในโรงนานั้น มันฆ่าพ่อกับแม่ข้าเมื่อมันฆ่าแม่ข้าเสร็จแล้วมันจึงตรงมาหาข้าจะฆ่าข้าให้ตายเช่นกัน ขณะที่มันตรงเข้ามาจะทำร้ายข้านั้น ข้าได้ยิงเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอกและมีแสงสว่างสาดส่องไปทั่วบริเวณทำให้พวกหมาป่าหนีไปกันหมด" มีผู้คิดตามคนหนึ่งมาแจ้งกับวาเนวว่าพบหลุมขณะใหญ่ด้านนอก ทั้งหมดจึงพากันไปดูวาเนวจึงไปวาเนวก้มตัวลงไปสำผัสดินบริเวณนั้นวาเนวรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นวาเนวพยายามมองให้เห็นอำนาจบางอย่างที่ปกคุมอาณาจักมนุษย์แต่เธอมองไม่เห็นว่าอำนาจนั้นมาจากที่ หลังจากนั้นวาเนวจึงพาคิมโมไปพระราชวังของพระเจ้าบรารันด้วย ฝ่ายธิดาจากอาณาจักต่างๆ ได้พากันเดินทางมายังทอร์เรียหมดแล้ว คืนก่อนพิธีเลือกพระชายาแฟรงกอร์นขอพระเจ้าบรารันขึ้นไปบนหอคอยแห่งทอร์เรียอีกครั้งสายตาของเขาจับจ้องไปทางใต้ แฟรนกอร์นเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างในภูมิแห่งไฟ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นดาวสุริยะกษัตริย์อับแสงลงไม่สว่างเหมือนที่เคย เขาได้แต่คิดในใจว่าอาจจะถึงการอวสารของบัลลังแห่งทอร์เรียและเหตุนี้เองเราจึงถูกส่ง ทุกคนในพระราชวังต่างวุ่นกันเพราะพรุ่งนี้ จะถึงพิธีเลือกคู่ พระเจ้าบรารับเดินขึ้นไปยังหอคอยที่แฟร์นกอร์นอยู่ เมื่อพระเจ้าแฟรนกอร์นเดินไปถึงแล้วก็พูดคุยกันปกติ แฟร์นกอร์รถามขึ้นว่า "ท่านเห็นดาวสุริยะกษัตริย์หรือ" พระเจ้าบรารันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพยายามมองหาดาวสุริยะกษัตริย์แต่ก็ไม่เจอใจเขาเริ่มไม่ดี เพราะพระเจ้าชินเตเคยตรัสก่อนสิ้นพระชนม์ว่า "เมื่อใดที่แสงแห่งดาวสุริยะกษัตริย์อับแสงลง ราชวงแห่งอุโมลีจะถึงการพินาศ     " พระเจ้าบรารันหันหน้ามาถามแฟรนกอร์นว่า "หรือสิ่งที่พระบิดาข้าเคยบอกจะเป็นจริง" แฟรนกอร์นหันมายิ้มและพูดว่า "ไม่มีครูคนใดเฉลยคำตอบขณะที่นักเรียนยังทำแบบทดสอบอยู่ ท่านว่าใช้ไหมฝ่าบาท บางสิ่งบางอย่าข้าก็ไม่สามารถพูดได้" พระเจ้าบรารันตรัสถามต่อว่า "ท่านแฟรนกอร์นท่านไม่สามารถบอกข้าได้เลยหรือถึงเรื่องในอนาคต" แฟรนกอร์นตอบว่า "ข้าอาจพูดเรื่องราวเกี่ยวกับท่านหรือราชวงศ์อุโมลีไม่ได้ในเวลานี้ แต่สิ่งที่ข้าจะพูดในขณะนี้ท่านต้องฟัง ตอนนี้ข้าเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างทางทิศใต้ มันมีพลังงานบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ที่ข้ารู้มันไม่ดีแน่" สายตาของแฟรนกอร์นยังคงมองอยู่ทางทิศใต้ มีทหารขึ้นมาทูลกับพระเจ้าบรารันว่า "ขณะนี้มีผู้เดินทางจากทิศมีคณะเดินทางมาจากทางเหนือมารอเข้าเฝ้าพระองค์ ฝ่าบาท" พระเจ้าบรารันถามออกไปว่า "เขาบอกนั้นบอกหรือไม่ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน" ทหารตอบ "พวกเขาไม่ยอมบอก แต่มีสตรีผู้หนึ่งบอกว่า เธอจะแสดงตัวต่อเมื่อได้เห็นพระองค์เท่านั้น" เมื่อพระเจ้าบรารันได้ยินดังนั้นจึงหันหน้ามาปรึกษากับแฟรนกอร์น แฟรนกอร์นยิ้มออกมายังกับมีเลศนัยและกล่าวว่า "ท่านจงลงไปพบพวกเขาเถอะ" พระเจ้ายอมทำตามคำแนะนำของแฟรนกอร์นเขาลงไปพบคณะของวาเนว พระเจ้าบรารันประทับบนบัลลัง คณะของวาเนวทำความเคารพ วาเนวค่อยๆถอดฝ้าคลุมศีรษะออกมีรัศมีแสงสีขาวกระจายเต็มท้องพระโรงผู้ติดตามของวาเนวคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพูดว่า "นี้คือเจ้าหญิงวาเนวบุตรแห่งพระเจ้าเอววาสเอลฟ์ผู้ครองนคราวินทันเบอร์" เมื่อพระเจ้าบรารันจึงลงมาจากบัลลังเดินมายืนต่อและคุกเข้าลงตรงหน้าวาเนวและกว่าว่า "ตาข้านั้นต้อยตำยิ่งนักเป็นเพียงมนุษย์แต่บังอาจมองสิริโฉมของพระองค์" วาเนวก้มตัวลงจับมือของพระเจ้าบรารันและกล่าวว่า "ท่านไม่สมควรทำเช่นนี้เพราะท่านเป็นถึงองค์กษัตริย์ แต่เราเป็นเพียงอดีตลูกของกษัตริย์" พระเจ้าบรารันจึงถามด้วยความสงสัยถึงเอววาส วาเนวเล่าทุกอย่างให้พระเจ้าบรารันฟังแต่ตัดสินใจไม่ได้เล่าเรื่องที่จะลงเลือกพระชายาและเรืองการเสียชีวิตของบิดา วาเนวหยิบดาบกาวรีขึ้นมาและมอบให้พระเจ้าบรารัน พร้อมกับกล่าวว่า “นี้คือดาวแห่งวินทันเบอร์เป็นดาบที่เทพโอฟาซินประทานให้พระบิดาข้า ดาบเล่มนี้เคยผ่านสงครามกับทอร์ไกแอน์ดมาสองครั้ง” พระเจ้าบรารันรับดาบมาและดึงมันออกกจาฝักและรูปที่คมและพูดว่า “ดาบเล่มนี้ข้าเคยเห็นเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนที่เอววาสมาร่วมพิธีปลงศพพระบิดาข้า และเหตุใดท่านสจึงมาด้วย” น้ำตาของวาเนวซึมออกมาจากตาทั้งสองข้างและกว่าว่า “บัดนี้บิดาข้าไปอยู่ดินแดนแห่งโอฟาซินแล้ว ฝ่าบาท” พระเจ้าบรารันจึงถามขึ้นอีกครั้งว่า “ดินแดนโอฟาซินเป็นดินแดนอมตะที่ไว้สำหรับผู้ที่ตายไปแล้วมิใช้หรือ และเหตุใดท่านเอววาสจึงไปอยู่ที่นั้นได้หรือว่า” แฟรนกอร์นพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทพูดถูกว่าดินแดนนั้นผู้ที่จะไปได้ต้องตายแล้วเท่านั้นฝ่าบาท” วาเนวจึงเล่าถึงการตายของบิดาตนเองโดยละเอียด หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อนมี่แต่แฟรนกอร์นยังคงนั้นคิดถึงเรื่องที่เหตุใดพวกหมาป่าจึงเข้าโจมตีหมู่บ้านทางทิศตะวันตกระหว่างที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของความคิด มีเสียงดังเหมือนคนตีเหล็กดังมาจากทิศใต้ดังราวกับเหมือนคนตีเหล็ก “ปั้ง ปั้ง ปั้ง” ดังสนั่นทั่วท้องฟ้า แฟรนกอร์นขึ้นไปบนหอคอยอีกครั้งสายตาเขาจับจ่องไปยังทิศใต้อีกครั้งหนึ่ง เขาได้ส่งสายสืบเป็นผีเสื้อราตรีไปยังเมอร์ธรอนอร์ เขาเริ่มไม่แน่แล้วว่าพวกอมนุษย์ไม่รู้ว่ากำลังคิดทำอะไรกัน แฟรนกอร์นอยู่บนหอคอยทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า ครั้งตอนเช้าพระราชพิธีเลือกพระชายาได้เริ่มขึ้นทุกคนมาพร้อมกันที่ท้องพระโรง เหล่าธิดาของผู้ครองแคว้นต่างๆ ต่างนั้นพร้อมกันทั้งหมดมีสิบสีคน ส่วนวาเนวนั้นเธอนั่งริมขวาด้านล้างติดกับแฟรนกอร์น แฟรนกอร์นมองหน้าของวาเนวสังเกตุเห็นน้ำตาของวาเนวไหลออกมา แฟรนกอร์นจึงถามออกมา ”ท่านหญิงท่านมีความเศร้าโศกเรื่องอะไรหรือ แต่หากท่านเศร้าโศกเรื่องบิดาของท่านข้าขอให้ท่านสงบลงก่อน เพราะว่าเวลานี้เป็นเวลาแห่งการยินดีกับองค์บรารันมิใช้มาโศกเศร้า” วาเนวจึงปราดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างและผืนยิ้มออกมา ขณะนั้นไม่มีใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกของวาเนวเลยว่าเธอเป็นเช่นไรบ้าง มันเป็นอารมณ์แห่งการสูญเสีย ในใจของเธอแทบจะสลายเสียทั้งบิดาและคนที่ตัวเองคิดจะมอบชีวิตไว้ให้ (เหตุที่วาเนวไม่ลงคัดเลือกลงสมัคเป็นพระชายานั้นเพราะวินทันเบอร์ขาดผู้นำ) พระเจ้าบรารันมองดูผู้หญิงตรงหน้าทั้งสิบสีคนเขาจึงเลือกธิดาแห่งแคว้นลาโคผู้หญิงคนนั้นชื้ออริสซา เทว ธิดาของแซม เทว เมื่อพระเจ้าบรารันเลือกพระชายา แล้วพิธีราชาสมรสก็เริ่มขึ้นทันทีในวันนั้น ทางเสนาจึงขอให้แฟรนกอร์นอวยพรให้ทั้งคู่แต่แฟรนกอร์นกับปฏิเสทจึงขอให้วาเนวช่วยอวยพร วาเนวเดินไปหาทั้งคู่อริสถอนทำความรพ วาเนวจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ข้าขออวยพรให้ทั้งคู่ครองคู่กันด้วยความรักซึ้งกันและกัน จงอย่าหวั่นไหวกับเสียงลมที่พัดผ่าน อยากทอดทิ้งราษฎร และที่สำคันข้าขอมอบพรแก่ทายาทของท่านบรารันให้มีอายุยืนไปสี่ชั่วอายุคน” เมื่อวาเนวอวยพรเสร็จจึงกลับมานั่งที่เดิม แฟรนกอร์นหันหน้ามาถามวาเนวว่า “ท่านหญิงแน่ใจแล้วหรือว่าจะทิ้งหัวใจรักของท่าน” วาเนวตอบออกไปว่า “ข้าผิดตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาจากวินทันเบอร์ ข้าขอกลับไปทำสิ่งที่ถูกต้อง” หลังจากพิธีราชาพิเศษแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกลับ วาเนวเดินทางกลับวินทันเบอร์โดยเลือกเดินทางอ่อมผ่านไปทางภูเขาซีนายและตรงไปยังช่องแคบมอนต้า เธอนำโมคิมเด็กกำพร้ากลับไปด้วย  ส่วนแฟร์นกอร์นออกเดินทางท่องไปทางใต้เพื่อค้นหาเหล่าหมาป่าแห่งเขาบรูยัวและต้นกำเนิดของเสียงแห่งเมอร์ธรอนอร์

    (อ่านได้จนถึง 15 พค 56)

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น