ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mission Failed

    ลำดับตอนที่ #2 : การเริ่มต้นของภารกิจลับ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 57


    ดอกเตอร์อิริคเดินนำหน้าฉันผ่านประตูห้องหลายห้องที่เรียงรายอยู่สองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ  ที่ด้านขวาของประตูทุกบานถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบป้องกันความปลอดภัยที่รูปร่างลักษณะเหมือนเครื่องสแกนฝ่ามือ  ฉัน เดินตามดอกเตอร์อิริคเข้าไปในลิฟต์โลหะขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดออกหลังจากแสงวาบสีเขียวที่เครื่องสแกนดวงตาวิ่งผ่านดวงตาสองสีใต้แว่นเลนส์หนาของดอกเตอร์   ชายร่างกำยำ อารอน  เดินตามเข้ามาในลิฟต์อย่างเงียบๆ  ตามด้วยโดมินิค และหญิงสาวที่ฉันพบในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้ 

    ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อแสงไฟแสดงตำแหน่งของลิฟต์หยุดตรงที่หมายเลข  ลบสาม  ฉันเดาเอาว่านี่คือชั้นใต้ดินลึกสุดของอาคารหลังนี้  ฉันเดินตามดอกเตอร์ออกจากลิฟต์มายังห้องโถงสีขาวทางตันที่เชื่อมต่อกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก  ห้องโถงเล็กๆแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวลิฟต์เพียงเล็กน้อย  ผนังทุกด้านของห้อง  นอกจากด้านที่เชื่อมต่อกับลิฟต์  เป็นผนังสีขาวว่างเปล่า  ไม่มีประตู  หรือแม้แต่หน้าต่างระบายอากาศ  ฉันสงสัยว่าดอกเตอร์ต้องการให้ฉันมาทำอะไรในห้องแคบๆที่ว่างเปล่าแห่งนี้?? 

    ดอกเตอร์อิริคเดินตรงไปยังเพดานห้องฝั่งตรงข้ามกับประตูลิฟต์  เขา เอาฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆทาบลงที่เพดานว่างเปล่าอย่างระมัดระวัง ฉันเห็นเสียงสีฟ้าวิ่งสแกนรอบๆฝ่ามือทั้งสองข้างของดอกเตอร์อยู่สามรอบ แล้วภาพห้องโถงทางตันสีขาวค่อยๆจางหายไป  กลับกลายเป็นห้องโถงสีฟ้าขนาดเท่ากันที่มีประตูโลหะเชื่อมต่อไปยังอีกห้องหนึ่ง  เสียงแหบแห้งของดอกเตอร์กล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

    “เมื่อสักครู่นี้  เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นนะ ฟาเบียน”

    ชายร่างเล็กส่งยิ้มให้กับฉันเล็กน้อย  ก่อนที่จะเดินตรงไปยังเครื่องสแกนดวงตาที่ติดอยู่ด้านขวาของประตูโลหะ  สักครูเล็กๆ  ไฟสัญญาณที่เครื่องสแกนเปล่งเป็นแสงสีเขียว  ประตูโลหะค่อยๆเปิดออก  พร้อมกับเสียงกล่าวต้อนรับจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ห้องแล็บชั้นใน  ดอกเตอร์ อิริค  ชิลเลอร์”

     

    ดอกเตอร์อิริคเดินนำหน้าฉันและลูกทีมผ่านเข้าไปยังห้องแล็บชั้นใน   ฉันได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ที่ประตูห้องแล็ปร้องว่า “ทำความสะอาดเรียบร้อย” ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน   เมื่อเข้ามายังด้านในของห้องแล็บแล้ว   ฉันเดินสำรวจมองดูรอบๆห้องสักพักจนกระทั่งสายตาของฉันสะดุดหยุดชะงักอยู่ที่ห้องกระจกเล็กๆบริเวณด้านในสุดของห้องแล็บ  ฉันค่อยๆเดินตรงไปยังห้องกระจกดังกล่าว   สายตาของฉันจับจ้องอย่างแน่วแน่ไปยังร่างของหญิงสาวที่หลับไหลในแคปซูลสีฟ้าที่วางตั้งอยู่ภายในห้องกระจก...  บริเวณศีรษะของเธอถูกเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งสัญญาณไฟกระพริบสีเขียวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ 

     

    หญิงสาวผู้นั้นก็คือฉัน... 

    ฉัน...  ที่กำลังหลับไหลอยู่ในโลกของความคิด และในขณะเดียวกัน ก็คือฉันนั่นเองที่กำลังมองดูร่างกายที่หลับไหลของตนเองผ่านทางร่างกายของชายที่ชื่อฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์ก

    ฉันกำลังฝัน...อยู่ในโลกของความจริง!

     

    ฉันพยายามรวบรวมสติของตนเองให้ยอมรับต่อความอัจฉริยะเหนือมนุษย์ของดอกเตอร์อิริค  และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฉันเพียงแค่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว  ชายร่างกำยำ  อารอน  ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างกระวนกระวาย  สลับสายตาจ้องมองที่ฉันและร่างของหญิงสาวในแคปซูลสีฟ้าไปมาอย่างไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง  เขาส่ายหัวเบาๆพร้อมกับบ่นพึมพำเป็นภาษาที่มนุษย์ไม่เข้าใจ 

    สักพักหนึ่งฉันได้ยินเสียงกระแอมแหบแห้งดังมาจากด้านหลัง

    “อะแฮ่ม!  เจ้าของเสียงกระแอมแหบแห้งทิ้งจังหวะสักพัก  เมื่อฉันหันหลังกลับไปสบตาสองสีของเขา  เขายิ้มให้เบาๆพร้อมกับชี้มือไปที่หญิงสาวที่ฉันเจอในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้

    “ผมต้องขอโทษที่ยังไม่ได้แนะนำคุณให้รู้จักกับลูกทีมของผม  นี่คือ เรนาเต้  เธอเป็นผู้ช่วยของผม”  ดอกเตอร์ทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนที่จะชี้มือไปยังชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือในห้อง  “เช่นเดียวกับ  โดมินิค  และ  อารอน”   

    ฉันพยักหน้าเบาๆ  และยิ้มทักทายบุคคลทั้งสามอย่างเป็นมิตร  ฉันสังเกตเห็นเรนาเต้รีบหลบสายตาของฉันทันทีที่ฉันมองไปยังเธอ  ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลัน...  ชายหนุ่มทั้งสองแอบหัวเราะคิกคักในลำคอเบาๆ  ก่อนที่เสียงแหบแห้งของชายสวมแว่นตาเลนส์หนาดังขึ้นอีกครั้ง

    “ฟาเบียน   เรนาเต้จะช่วยอธิบายรายละเอียดเบื้องต้นของงานให้คุณเข้าใจ  หลังจากนั้นอารอนจะขับรถพาคุณกลับไปยังห้องพักของคุณ  ส่วนผมและโดมินิค  ต้องขอตัวไปดูงานทดลองอื่นๆที่พวกเราทำค้างเอาไว้ก่อน...” 

    ฉันเพิ่งสังเกตได้ว่า ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ฉันตื่นขึ้นมา ดอกเตอร์อิริคไม่ได้เรียกชื่อจริงของฉัน แต่กลับเรียกชื่อชายหนุ่มเจ้าของร่างกายที่ฉันเข้ามาควบคุมอยู่

    ดอกเตอร์เอามือปรับขยับแว่นตาตัวเองเบาๆ พร้อมแสดงท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวขึ้นกับฉันด้วยสีหน้าจริงจัง

    “ฟาเบียน   ผมอยากให้คุณรีบแจ้งให้ผมทราบทันทีที่คุณรู้สึกว่าบางอย่างในตัวคุณผิดปกติไป...เข้าใจไหม ?  ดอกเตอร์ทิ้งประโยคให้จบลงเพียงเท่านั้น  เขามองฉันอย่างแน่นิ่งอีกครั้งเหมือนชั่งใจดูว่าเขาควรจะกล่าวประโยคต่อไปหรือไม่...  จากนั้น  เขาได้เพียงแต่พยักหน้าให้ฉันเบาๆก่อนเดินจากไปพร้อมกับโดมินิค

    ฉันเดินตามเรนาเต้ที่ใบหน้ายังคงแดงอยู่ไปยังโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง  อารอนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากห้องกระจกที่ตั้งของแคปซูลสีฟ้า  เฝ้ามองดูฉันและเรนาเต้อย่างเงียบๆ

    เรนาเต้นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม  แล้ววางแฟ้มเอกสารและกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสองกล่องที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ  เธอกระแอมหนึ่งครั้งเบาๆ  หลบเลี่ยงที่จะสบตาฉันโดยตรงด้วยการทำเป็นมองหาอะไรสักอย่างในแฟ้ม  พร้อมทั้งกล่าวขึ้นด้วยเสียงเล็กๆใสๆของเธอ

    “คุณชื่อ ฟาเบียน  ฮาร์เดนเบิร์ก  อายุยี่สิบแปดปี  เป็นอดีตผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง ขององค์กรลับที่เรียกตัวเองว่า อัลฟ่า  ซึ่งมีดอกเตอร์อิริค  ชิลเลอร์เป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่...” เธอกระแอมเบาๆอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไป  สายตายังคงจับจ้องไปที่แฟ้มที่เปิดวางอยู่บนโต๊ะ

     

    “เมื่อ... ห้าปีก่อนหน้านี้...  ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจ  คุณถูกตัดขาดจากระบบการสื่อสารของทีมปฏิบัติงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ  ไบรอัน  ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขสอง  ได้ยินเสียงร้องตะโกนของคุณ  จึงรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ  เขาพบร่างของคุณล้มลงบนพื้น  โดย มีชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาวยืนอยู่ข้างๆร่างไร้สติของคุณ เราคาดว่า ชายปริศนาผู้นี้เป็นคนขององค์กร เบต้า ที่ถูกส่งมาเพื่อทดสอบความเข้มแข็งของอัลฟ่า ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวหนีรอดจากการติดตามของไบรอันไปได้อย่างหวุดหวิด   และเมื่อไบรอันกลับมาพบว่าคุณยังมีชีวิตอยู่  เขารีบพาคุณกลับมายังศูนย์ปฏิบัติงานหลักของอัลฟ่าแห่งนี้ทันที...”  หญิงสาวทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไป  ฉันสังเกตเห็นคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย  ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีขาวซีดเหมือนปกติ

    “หลังจากดอกเตอร์อิริคได้ตรวจวินิจฉัยร่างกายของคุณอย่างถี่ถ้วน  เขาพบว่า  ระบบการทำงานของหัวใจของคุณยังทำงานเป็นปกติ  แต่ สมองทั้งสองซีกกลับไม่สามารถทำการสั่งการใดๆ ทั้งๆที่สมองและเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับสมองทุกเส้นของคุณไม่มีร่องรอย ความเสียหายแต่อย่างใด  แม้แต่ ดอกเตอร์อิริคเองก็ไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายต่อสิ่งที่ เกิดขึ้นในร่างกายคุณได้... แต่เมื่อคุณยังสามารถหายใจด้วยตนเอง ดอกเตอร์อิริคก็ไม่ละความพยายามที่จะค้นหาทางทำให้สมองของคุณกลับมาทำงานอีก ครั้ง เขานำร่างกายของคุณเชื่อมต่อกับระบบของตู้แคปซูลสีฟ้า ที่ช่วยประคองให้ระบบร่างกายของคุณหมุนเวียนได้ปกติแม้ปราศจากคำสั่งงานจาก สมอง ในขณะเดียวกัน ดอกเตอร์อิริคก็ได้พยายามคิดประดิษฐ์เครื่องมือที่สามารถยืมการสั่งการจาก สมองหนึ่งเข้าสู่อีกสมองหนึ่ง หลังจากความพยายามกว่าสี่ปีเต็ม เขาก็สามารถทำได้สำเร็จ เขาได้ตั้งชื่ออุปกรณ์นี้ว่า  อิมเปร์นิวโร่   อย่างไรก็ตาม... ดอกเตอร์อิริคก็ยังคงไม่พบผู้ที่สามารถใช้งานเครื่องมือนี้ได้ แม้ว่าเขาจะได้เริ่มตามหาบุคคลดังกล่าวตั้งแต่ก่อนคิดสร้างเครื่องอิมเปร์นิ วโร่แล้วก็ตาม การใช้งานเครื่องมือนี้จำเป็นต้องอาศัย  โอเนโรเนาท์ หรือ  ผู้ ควบคุมความฝันที่มีความสามารถเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเท่านั้น บุคคลที่ดอกเตอร์อิริคตามหา ต้องเป็นผู้ที่สามารถ “ตื่น” ในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงลึกที่สุดของความฝัน...”

    เรนาเต้หยุดเว้นระยะเล็กน้อย เธอส่งเสียงกระแอมเบาๆ ก่อนกล่าวอธิบายเพิ่มเติม สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปยังแฟ้มเอกสารทั้งๆที่ไม่จำเป็น

    “และมันคงเป็นเรื่องของความบังเอิญ เมื่อเพื่อนสมัยเรียนของดอกเตอร์ซึ่งตอนนี้เป็นจิตแพทย์ได้โทรหาเขาเพื่อขอ คำปรึกษาและได้เล่าอาการของผู้ป่วยทางจิตรายหนึ่งที่ชื่อ แอนนามาเรีย... ให้ดอกเตอร์อิริคฟัง” 

    ฉันสังเกตเห็นเรนาเต้ชะงักเมื่อเอ่ยชื่อจริงของฉัน  เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองดูฉันอย่างช้าๆ  และเช่นเคย ในทันทีที่เธอสบตาฉัน  เธอก็รีบหลบสายตามองไปทางอื่นด้วยความประหม่า  หลังจากนั้นหญิงสาวก็ก้มลงมองดูที่แฟ้มเอกสารอีกครั้ง 

    ฉันยังคงเงียบไม่ได้พูดอะไร

    เรนาเต้กัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ  ก่อนที่จะเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงใสๆที่พยายามทำให้ฟังดูเรียบปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “หลังจากที่ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวปรากฏตัวเป็นครั้ง สุดท้ายเมื่อห้าปีที่แล้ว เราก็ไม่พบร่องรอยวี่แววใดๆของเขาอีกเลย แต่ดอกเตอร์อิริคมั่นใจว่า การกลับมาของคุณ  จะเป็นตัวล่อให้ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง...”  เรนาเต้ค่อยๆขยับกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสองกล่องที่วางอยู่ข้างแฟ้มเอกสารมาทางฉัน 

    “นาฬิกาที่อยู่ในกล่องจะช่วยบอกตำแหน่งของคุณ  และหูฟังเล็กๆในอีกกล่องหนึ่ง  จะ ช่วยให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับศูนย์กลางของอัลฟ่าได้ตลอดยี่สิบสี่ ชั่วโมง ดอกเตอร์อิริคอยากให้คุณมีสองสิ่งนี้ติดตัวไว้เสมอเวลาที่คุณออกไปข้าง นอก... เพราะดอกเตอร์เกรงว่า อาจมีคนคอยจับตารอดูการกลับมาของคุณอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว และคุณอาจถูกโจมตีจากคนของเบต้าได้ทุกเมื่อ”

    ฉันฟังคำอธิบายรายละเอียดงานจากเรนาเต้อย่างตั้งอก ตั้งใจ แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยถามเธอเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มเติมขององค์กรที่ชื่อ เบต้า หญิงสาวผู้ช่วยกลับจัดเก็บแฟ้มและรีบลุกขึ้นผลุนผลันจากเก้าอี้โดยไม่กล่าว อะไรเพิ่มเติมแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว  ฉันมองดูหญิงสาวด้วยความงงงวยจนสุดลับสายตา...  อารอนที่คอยสังเกตดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ  พยายามเก็บเสียงหัวเราะของตนไว้ที่ลำคอ...  ฉันจ้องมองไปที่อารอนด้วยความไม่เข้าใจ...  เขาไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับฉัน  ได้แต่ส่ายหน้าให้เป็นเชิงหยอกล้อและหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

    “อย่าคิดมากไปเลยน่า” ชายหนุ่มร่างกำยำเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วเอามือขนาดมหึมาของเขาตบที่ไหล่ของ ฉันอย่างเป็นมิตร “หนุ่มหล่อหน้าตาดีอย่างนาย  ก็คงต้องทำให้สาวๆประหม่าเป็นธรรมดา”  อารอนกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ยังเจอปนกับเสียงหัวเราะในลำคอ

    ฉันยังคงส่งสายตามองดูอารอนด้วยความงงงวย อารอนกระพริบตาหนึ่งข้างให้ฉันพร้อมยิ้มอย่างทะเล้นๆ  จากนั้นก็บอกให้ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้  เพื่อเดินตามเขาไปยังลานจอดรถ  

    จริงสินะ...  ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าตาของฟาเบียน  ฮาร์เดนเบิร์กเลยนี่นา...

     

    *******************************************

     

    ในห้องพักสุดหรูริมแม่น้ำไรน์ใจกลางกรุงโคโลญ  ฉันยืนอยู่หน้ากระจกในน้องน้ำที่เครื่องสำอางของผู้หญิงถูกแทนที่ด้วยเครื่องโกนหนวดและเครื่องสำอางเพียงไม่กี่ชิ้นของผู้ชาย  ฉัน จ้องมองดูร่างกายอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่มในกระจกที่แม้จะห่างจากการใช้งาน มาเป็นเวลากว่าห้าปีแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งร่องรอยของกล้ามเนื้อที่แสดงให้เห็น ถึงการที่ได้ผ่านรับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี  ใบหน้าและสายตาอันเฉียบคมของเขาบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นจริงจังและในขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนหวานและมีเสน่ห์...  นี่คือ  ฟาเบียน  ฮาร์เดนเบิร์ก  อดีตผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่งขององค์กรลับที่ชื่อว่าอัลฟ่า

    ฉันยังคงรู้สึกได้ถึงความ “ก้ำกึ่ง” ที่เกิดขึ้นจากสมองของฉันที่ถูกเชื่อมต่อเข้ากับร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ ในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ฉันกลับสามารถสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้จริง ความเย็นของสายน้ำที่ไหลผ่านฝ่ามือ ลมหายใจ และแม้กระทั่งความเจ็บปวดเมื่อยในร่างกายของชายหนุ่ม ฉันยิ้มเบาๆให้กับตัวเอง ฟาเบียนในกระจกก็ยิ้มให้กับฉันเช่นกัน

    ฉันจับจ้องไปยังสายตาอันเฉียบคมของชายหนุ่มอีกครั้ง มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่สะท้อนในดวงตาอันมุ่งมั่นของเขา ทำให้เกิดคำถามหลายคำถามขึ้นภายในใจของฉัน ฉันค่อยๆเผยอริมฝีปากของชายหนุ่มในกระจกออกจากกัน แล้วเปล่งเสียงเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงของเขาเอง

    “คุณเป็นใครกัน? เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ฟาเบียน?

    หัวใจของฉันเต้นรัว เมื่อฉันได้ยินเสียงของเขาเป็นครั้งแรก... อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเขายังมีชีวิตอยู่ เหมือนเขายังมีชีวิตอยู่จริง!

    ฉันสูญเสียความมั่นใจที่จะกล่าวพูดคุยกับชายหนุ่มใน กระจกต่อไป ฉันละสายตาจากกระจก แล้วเดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำ เปิดให้สายน้ำไหลผ่านชำระร่างกายของเขา ฉันหลับตาแล้วพยายามนึกทวบทวนถึงสิ่งที่เรนาเต้เล่าให้ฟัง ฟาเบียนเคยเป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง เขาถูกชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาวทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทนาเช่นนี้... และในวินาทีนั้นเอง ฉันตัดสินใจ ฉันจะต้องตามหาความจริงให้ได้!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×