คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : การเริ่มต้นของภารกิจลับ
ดอกเตอร์อิริคเดินนำหน้าฉันผ่านประตูห้องหลายห้องที่เรียงรายอยู่สองข้างทางอย่างเป็นระเบียบ ที่ด้านขวาของประตูทุกบานถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบป้องกันความปลอดภัยที่รูปร่างลักษณะเหมือนเครื่องสแกนฝ่ามือ ฉัน เดินตามดอกเตอร์อิริคเข้าไปในลิฟต์โลหะขนาดใหญ่ที่ถูกเปิดออกหลังจากแสงวาบสีเขียวที่เครื่องสแกนดวงตาวิ่งผ่านดวงตาสองสีใต้แว่นเลนส์หนาของดอกเตอร์ ชายร่างกำยำ อารอน เดินตามเข้ามาในลิฟต์อย่างเงียบๆ ตามด้วยโดมินิค และหญิงสาวที่ฉันพบในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้
ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อแสงไฟแสดงตำแหน่งของลิฟต์หยุดตรงที่หมายเลข ลบสาม ฉันเดาเอาว่านี่คือชั้นใต้ดินลึกสุดของอาคารหลังนี้ ฉันเดินตามดอกเตอร์ออกจากลิฟต์มายังห้องโถงสีขาวทางตันที่เชื่อมต่อกับประตูลิฟต์ที่เปิดออก ห้องโถงเล็กๆแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวลิฟต์เพียงเล็กน้อย ผนังทุกด้านของห้อง นอกจากด้านที่เชื่อมต่อกับลิฟต์ เป็นผนังสีขาวว่างเปล่า ไม่มีประตู หรือแม้แต่หน้าต่างระบายอากาศ ฉันสงสัยว่าดอกเตอร์ต้องการให้ฉันมาทำอะไรในห้องแคบๆที่ว่างเปล่าแห่งนี้??
ดอกเตอร์อิริคเดินตรงไปยังเพดานห้องฝั่งตรงข้ามกับประตูลิฟต์ เขา เอาฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆทาบลงที่เพดานว่างเปล่าอย่างระมัดระวัง ฉันเห็นเสียงสีฟ้าวิ่งสแกนรอบๆฝ่ามือทั้งสองข้างของดอกเตอร์อยู่สามรอบ แล้วภาพห้องโถงทางตันสีขาวค่อยๆจางหายไป กลับกลายเป็นห้องโถงสีฟ้าขนาดเท่ากันที่มีประตูโลหะเชื่อมต่อไปยังอีกห้องหนึ่ง เสียงแหบแห้งของดอกเตอร์กล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“เมื่อสักครู่นี้ เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นนะ ฟาเบียน”
ชายร่างเล็กส่งยิ้มให้กับฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินตรงไปยังเครื่องสแกนดวงตาที่ติดอยู่ด้านขวาของประตูโลหะ สักครูเล็กๆ ไฟสัญญาณที่เครื่องสแกนเปล่งเป็นแสงสีเขียว ประตูโลหะค่อยๆเปิดออก พร้อมกับเสียงกล่าวต้อนรับจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ห้องแล็บชั้นใน ดอกเตอร์ อิริค ชิลเลอร์”
ดอกเตอร์อิริคเดินนำหน้าฉันและลูกทีมผ่านเข้าไปยังห้องแล็บชั้นใน ฉันได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ที่ประตูห้องแล็ปร้องว่า “ทำความสะอาดเรียบร้อย” ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน เมื่อเข้ามายังด้านในของห้องแล็บแล้ว ฉันเดินสำรวจมองดูรอบๆห้องสักพักจนกระทั่งสายตาของฉันสะดุดหยุดชะงักอยู่ที่ห้องกระจกเล็กๆบริเวณด้านในสุดของห้องแล็บ ฉันค่อยๆเดินตรงไปยังห้องกระจกดังกล่าว สายตาของฉันจับจ้องอย่างแน่วแน่ไปยังร่างของหญิงสาวที่หลับไหลในแคปซูลสีฟ้าที่วางตั้งอยู่ภายในห้องกระจก... บริเวณศีรษะของเธอถูกเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ส่งสัญญาณไฟกระพริบสีเขียวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
หญิงสาวผู้นั้นก็คือฉัน...
ฉัน... ที่กำลังหลับไหลอยู่ในโลกของความคิด และในขณะเดียวกัน ก็คือฉันนั่นเองที่กำลังมองดูร่างกายที่หลับไหลของตนเองผ่านทางร่างกายของชายที่ชื่อฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์ก
ฉันกำลังฝัน...อยู่ในโลกของความจริง!
ฉันพยายามรวบรวมสติของตนเองให้ยอมรับต่อความอัจฉริยะเหนือมนุษย์ของดอกเตอร์อิริค และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฉันเพียงแค่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ชายร่างกำยำ อารอน ที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างกระวนกระวาย สลับสายตาจ้องมองที่ฉันและร่างของหญิงสาวในแคปซูลสีฟ้าไปมาอย่างไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง เขาส่ายหัวเบาๆพร้อมกับบ่นพึมพำเป็นภาษาที่มนุษย์ไม่เข้าใจ
สักพักหนึ่งฉันได้ยินเสียงกระแอมแหบแห้งดังมาจากด้านหลัง
“อะแฮ่ม!” เจ้าของเสียงกระแอมแหบแห้งทิ้งจังหวะสักพัก เมื่อฉันหันหลังกลับไปสบตาสองสีของเขา เขายิ้มให้เบาๆพร้อมกับชี้มือไปที่หญิงสาวที่ฉันเจอในห้องพยาบาลก่อนหน้านี้
“ผมต้องขอโทษที่ยังไม่ได้แนะนำคุณให้รู้จักกับลูกทีมของผม นี่คือ เรนาเต้ เธอเป็นผู้ช่วยของผม” ดอกเตอร์ทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนที่จะชี้มือไปยังชายหนุ่มอีกสองคนที่เหลือในห้อง “เช่นเดียวกับ โดมินิค และ อารอน”
ฉันพยักหน้าเบาๆ และยิ้มทักทายบุคคลทั้งสามอย่างเป็นมิตร ฉันสังเกตเห็นเรนาเต้รีบหลบสายตาของฉันทันทีที่ฉันมองไปยังเธอ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลัน... ชายหนุ่มทั้งสองแอบหัวเราะคิกคักในลำคอเบาๆ ก่อนที่เสียงแหบแห้งของชายสวมแว่นตาเลนส์หนาดังขึ้นอีกครั้ง
“ฟาเบียน เรนาเต้จะช่วยอธิบายรายละเอียดเบื้องต้นของงานให้คุณเข้าใจ หลังจากนั้นอารอนจะขับรถพาคุณกลับไปยังห้องพักของคุณ ส่วนผมและโดมินิค ต้องขอตัวไปดูงานทดลองอื่นๆที่พวกเราทำค้างเอาไว้ก่อน...”
ฉันเพิ่งสังเกตได้ว่า ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ฉันตื่นขึ้นมา ดอกเตอร์อิริคไม่ได้เรียกชื่อจริงของฉัน แต่กลับเรียกชื่อชายหนุ่มเจ้าของร่างกายที่ฉันเข้ามาควบคุมอยู่
ดอกเตอร์เอามือปรับขยับแว่นตาตัวเองเบาๆ พร้อมแสดงท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวขึ้นกับฉันด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฟาเบียน ผมอยากให้คุณรีบแจ้งให้ผมทราบทันทีที่คุณรู้สึกว่าบางอย่างในตัวคุณผิดปกติไป...เข้าใจไหม ?” ดอกเตอร์ทิ้งประโยคให้จบลงเพียงเท่านั้น เขามองฉันอย่างแน่นิ่งอีกครั้งเหมือนชั่งใจดูว่าเขาควรจะกล่าวประโยคต่อไปหรือไม่... จากนั้น เขาได้เพียงแต่พยักหน้าให้ฉันเบาๆก่อนเดินจากไปพร้อมกับโดมินิค
ฉันเดินตามเรนาเต้ที่ใบหน้ายังคงแดงอยู่ไปยังโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง อารอนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากห้องกระจกที่ตั้งของแคปซูลสีฟ้า เฝ้ามองดูฉันและเรนาเต้อย่างเงียบๆ
เรนาเต้นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้ววางแฟ้มเอกสารและกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสองกล่องที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ เธอกระแอมหนึ่งครั้งเบาๆ หลบเลี่ยงที่จะสบตาฉันโดยตรงด้วยการทำเป็นมองหาอะไรสักอย่างในแฟ้ม พร้อมทั้งกล่าวขึ้นด้วยเสียงเล็กๆใสๆของเธอ
“คุณชื่อ ฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์ก อายุยี่สิบแปดปี เป็นอดีตผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง ขององค์กรลับที่เรียกตัวเองว่า อัลฟ่า ซึ่งมีดอกเตอร์อิริค ชิลเลอร์เป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่...” เธอกระแอมเบาๆอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไป สายตายังคงจับจ้องไปที่แฟ้มที่เปิดวางอยู่บนโต๊ะ
“เมื่อ... ห้าปีก่อนหน้านี้... ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจ คุณถูกตัดขาดจากระบบการสื่อสารของทีมปฏิบัติงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไบรอัน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขสอง ได้ยินเสียงร้องตะโกนของคุณ จึงรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ เขาพบร่างของคุณล้มลงบนพื้น โดย มีชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาวยืนอยู่ข้างๆร่างไร้สติของคุณ เราคาดว่า ชายปริศนาผู้นี้เป็นคนขององค์กร เบต้า ที่ถูกส่งมาเพื่อทดสอบความเข้มแข็งของอัลฟ่า ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวหนีรอดจากการติดตามของไบรอันไปได้อย่างหวุดหวิด และเมื่อไบรอันกลับมาพบว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ เขารีบพาคุณกลับมายังศูนย์ปฏิบัติงานหลักของอัลฟ่าแห่งนี้ทันที...” หญิงสาวทิ้งจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไป ฉันสังเกตเห็นคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีขาวซีดเหมือนปกติ
“หลังจากดอกเตอร์อิริคได้ตรวจวินิจฉัยร่างกายของคุณอย่างถี่ถ้วน เขาพบว่า ระบบการทำงานของหัวใจของคุณยังทำงานเป็นปกติ แต่ สมองทั้งสองซีกกลับไม่สามารถทำการสั่งการใดๆ ทั้งๆที่สมองและเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับสมองทุกเส้นของคุณไม่มีร่องรอย ความเสียหายแต่อย่างใด แม้แต่ ดอกเตอร์อิริคเองก็ไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายต่อสิ่งที่ เกิดขึ้นในร่างกายคุณได้... แต่เมื่อคุณยังสามารถหายใจด้วยตนเอง ดอกเตอร์อิริคก็ไม่ละความพยายามที่จะค้นหาทางทำให้สมองของคุณกลับมาทำงานอีก ครั้ง เขานำร่างกายของคุณเชื่อมต่อกับระบบของตู้แคปซูลสีฟ้า ที่ช่วยประคองให้ระบบร่างกายของคุณหมุนเวียนได้ปกติแม้ปราศจากคำสั่งงานจาก สมอง ในขณะเดียวกัน ดอกเตอร์อิริคก็ได้พยายามคิดประดิษฐ์เครื่องมือที่สามารถยืมการสั่งการจาก สมองหนึ่งเข้าสู่อีกสมองหนึ่ง หลังจากความพยายามกว่าสี่ปีเต็ม เขาก็สามารถทำได้สำเร็จ เขาได้ตั้งชื่ออุปกรณ์นี้ว่า อิมเปร์นิวโร่ อย่างไรก็ตาม... ดอกเตอร์อิริคก็ยังคงไม่พบผู้ที่สามารถใช้งานเครื่องมือนี้ได้ แม้ว่าเขาจะได้เริ่มตามหาบุคคลดังกล่าวตั้งแต่ก่อนคิดสร้างเครื่องอิมเปร์นิ วโร่แล้วก็ตาม การใช้งานเครื่องมือนี้จำเป็นต้องอาศัย โอเนโรเนาท์ หรือ ผู้ ควบคุมความฝันที่มีความสามารถเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเท่านั้น บุคคลที่ดอกเตอร์อิริคตามหา ต้องเป็นผู้ที่สามารถ “ตื่น” ในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงลึกที่สุดของความฝัน...”
เรนาเต้หยุดเว้นระยะเล็กน้อย เธอส่งเสียงกระแอมเบาๆ ก่อนกล่าวอธิบายเพิ่มเติม สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปยังแฟ้มเอกสารทั้งๆที่ไม่จำเป็น
“และมันคงเป็นเรื่องของความบังเอิญ เมื่อเพื่อนสมัยเรียนของดอกเตอร์ซึ่งตอนนี้เป็นจิตแพทย์ได้โทรหาเขาเพื่อขอ คำปรึกษาและได้เล่าอาการของผู้ป่วยทางจิตรายหนึ่งที่ชื่อ แอนนามาเรีย... ให้ดอกเตอร์อิริคฟัง”
ฉันสังเกตเห็นเรนาเต้ชะงักเมื่อเอ่ยชื่อจริงของฉัน เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองดูฉันอย่างช้าๆ และเช่นเคย ในทันทีที่เธอสบตาฉัน เธอก็รีบหลบสายตามองไปทางอื่นด้วยความประหม่า หลังจากนั้นหญิงสาวก็ก้มลงมองดูที่แฟ้มเอกสารอีกครั้ง
ฉันยังคงเงียบไม่ได้พูดอะไร
เรนาเต้กัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงใสๆที่พยายามทำให้ฟังดูเรียบปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หลังจากที่ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวปรากฏตัวเป็นครั้ง สุดท้ายเมื่อห้าปีที่แล้ว เราก็ไม่พบร่องรอยวี่แววใดๆของเขาอีกเลย แต่ดอกเตอร์อิริคมั่นใจว่า การกลับมาของคุณ จะเป็นตัวล่อให้ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง...” เรนาเต้ค่อยๆขยับกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสองกล่องที่วางอยู่ข้างแฟ้มเอกสารมาทางฉัน
“นาฬิกาที่อยู่ในกล่องจะช่วยบอกตำแหน่งของคุณ และหูฟังเล็กๆในอีกกล่องหนึ่ง จะ ช่วยให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับศูนย์กลางของอัลฟ่าได้ตลอดยี่สิบสี่ ชั่วโมง ดอกเตอร์อิริคอยากให้คุณมีสองสิ่งนี้ติดตัวไว้เสมอเวลาที่คุณออกไปข้าง นอก... เพราะดอกเตอร์เกรงว่า อาจมีคนคอยจับตารอดูการกลับมาของคุณอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว และคุณอาจถูกโจมตีจากคนของเบต้าได้ทุกเมื่อ”
ฉันฟังคำอธิบายรายละเอียดงานจากเรนาเต้อย่างตั้งอก ตั้งใจ แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยถามเธอเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มเติมขององค์กรที่ชื่อ เบต้า หญิงสาวผู้ช่วยกลับจัดเก็บแฟ้มและรีบลุกขึ้นผลุนผลันจากเก้าอี้โดยไม่กล่าว อะไรเพิ่มเติมแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็ว ฉันมองดูหญิงสาวด้วยความงงงวยจนสุดลับสายตา... อารอนที่คอยสังเกตดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆ พยายามเก็บเสียงหัวเราะของตนไว้ที่ลำคอ... ฉันจ้องมองไปที่อารอนด้วยความไม่เข้าใจ... เขาไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับฉัน ได้แต่ส่ายหน้าให้เป็นเชิงหยอกล้อและหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
“อย่าคิดมากไปเลยน่า” ชายหนุ่มร่างกำยำเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วเอามือขนาดมหึมาของเขาตบที่ไหล่ของ ฉันอย่างเป็นมิตร “หนุ่มหล่อหน้าตาดีอย่างนาย ก็คงต้องทำให้สาวๆประหม่าเป็นธรรมดา” อารอนกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ยังเจอปนกับเสียงหัวเราะในลำคอ
ฉันยังคงส่งสายตามองดูอารอนด้วยความงงงวย อารอนกระพริบตาหนึ่งข้างให้ฉันพร้อมยิ้มอย่างทะเล้นๆ จากนั้นก็บอกให้ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อเดินตามเขาไปยังลานจอดรถ
จริงสินะ... ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าตาของฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์กเลยนี่นา...
*******************************************
ในห้องพักสุดหรูริมแม่น้ำไรน์ใจกลางกรุงโคโลญ ฉันยืนอยู่หน้ากระจกในน้องน้ำที่เครื่องสำอางของผู้หญิงถูกแทนที่ด้วยเครื่องโกนหนวดและเครื่องสำอางเพียงไม่กี่ชิ้นของผู้ชาย ฉัน จ้องมองดูร่างกายอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่มในกระจกที่แม้จะห่างจากการใช้งาน มาเป็นเวลากว่าห้าปีแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งร่องรอยของกล้ามเนื้อที่แสดงให้เห็น ถึงการที่ได้ผ่านรับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ใบหน้าและสายตาอันเฉียบคมของเขาบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นจริงจังและในขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนหวานและมีเสน่ห์... นี่คือ ฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์ก อดีตผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่งขององค์กรลับที่ชื่อว่าอัลฟ่า
ฉันยังคงรู้สึกได้ถึงความ “ก้ำกึ่ง” ที่เกิดขึ้นจากสมองของฉันที่ถูกเชื่อมต่อเข้ากับร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ ในขณะที่ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ฉันกลับสามารถสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวได้จริง ความเย็นของสายน้ำที่ไหลผ่านฝ่ามือ ลมหายใจ และแม้กระทั่งความเจ็บปวดเมื่อยในร่างกายของชายหนุ่ม ฉันยิ้มเบาๆให้กับตัวเอง ฟาเบียนในกระจกก็ยิ้มให้กับฉันเช่นกัน
ฉันจับจ้องไปยังสายตาอันเฉียบคมของชายหนุ่มอีกครั้ง มันทำให้ฉันรู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่สะท้อนในดวงตาอันมุ่งมั่นของเขา ทำให้เกิดคำถามหลายคำถามขึ้นภายในใจของฉัน ฉันค่อยๆเผยอริมฝีปากของชายหนุ่มในกระจกออกจากกัน แล้วเปล่งเสียงเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงของเขาเอง
“คุณเป็นใครกัน? เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ฟาเบียน?”
หัวใจของฉันเต้นรัว เมื่อฉันได้ยินเสียงของเขาเป็นครั้งแรก... อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเขายังมีชีวิตอยู่ เหมือนเขายังมีชีวิตอยู่จริง!
ฉันสูญเสียความมั่นใจที่จะกล่าวพูดคุยกับชายหนุ่มใน กระจกต่อไป ฉันละสายตาจากกระจก แล้วเดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำ เปิดให้สายน้ำไหลผ่านชำระร่างกายของเขา ฉันหลับตาแล้วพยายามนึกทวบทวนถึงสิ่งที่เรนาเต้เล่าให้ฟัง ฟาเบียนเคยเป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง เขาถูกชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาวทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทนาเช่นนี้... และในวินาทีนั้นเอง ฉันตัดสินใจ ฉันจะต้องตามหาความจริงให้ได้!
ความคิดเห็น