ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The lost descendant princess : รัชทายาทแห่งความมืดผู้สาปสูญ

    ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ 10 การหาสมุนไพรสุดอันตราย ตอนต้น (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 56




    บทที่ 10 การหาสมุนไพรสุดอันตราย

     

    หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันที่สอง   ใบหน้าลางๆที่ลอยอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดๆ   ดวงตาสีทองกระพริบปริบๆเพื่อปรับความคมชัดก่อนจะเบิกตากว้าง   ยันเท้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

     

    ตุ๊บ!   โป๊ก!   โครม!!!

     

    เป็นสามเสต็ปที่ทำเอายอดชายนายจาเวสน้ำตาเล็ด   แต่ก็สมน้ำหน้า   ดันยื่นหน้ามาแบบนั้นใครล่ะจะไม่ตกใจ

     

    “โอ๊ยยยย   เธอจะฆ่ากันเหรอ” หนุ่มผมแดงกุมหัวตัวเองที่โขกเข้ากับประตูอย่างแรง   ไม่นึกเลยว่าหญิงสาวร่างบอบบางแบบนี้จะพลังช้างสารจนถีบผู้ชายกระเด็นได้ขนาดนี้

     

    “สมควรมั้ยละ!   มาทำอะไรในห้องฉันเนี่ย” โรเวเนียทำหน้ามุ่ย   ดึงผ้าห่มที่เธอพกมาเองจากบ้านมากอด

     

    “ก็คิดว่าเธอยังไม่ตื่น...”

     

    “เลยมายืนจ้องหน้าเนี่ยนะ!!!” หญิงสาวกรีดร้อง

     

    “เฮ้ย!   ไม่ใช่ๆๆๆ   ฉันจะเข้ามาปลุกเฉยๆ”   จาเวสเด้งตัวลุกขึ้นแล้วปฏิเสธรัวๆ   กลัวแม่คุณจะหาอะไรมาฟาด

     

    “งั้นก็แล้วไป   ตกใจเกือบตายแน่ะ” โรเวเนียงึมงำ

     

    “โธ่   ที่เกือบตายนี่ฉันไม่ใช่เหรอ” จาเวสเอ่ยเสียงอ่อย

     

    จาเวสยืนค้างอยู่หน้าประตูไม้   ไม่รู้จะทำยังไงต่อ   เลยได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่อย่างนั้น   ส่วนโรเวเนียก็ไม่ได้คิดจะสนใจว่าจะมีคนมองอยู่หรือไม่   จัดแจงเก็บเตียงและพับผ้าห่มอย่างเรียบร้อย   หยิบชุดเตรียมเดินไปเข้าห้องน้ำ   แล้วก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้

     

    “นายจะยืนดูจนฉันอาบน้ำเสร็จเลยเหรอ” ใบหน้างามหันไปเลิกคิ้วใส่ชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า

     

    “เอ่อ   แหะๆ   ได้ก็ดี   เอ้ย!   มิบังอาจคร้าบบบบ” จาเวสหลบสายตาที่แปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตแล้วกระดึบเอาตัวเองออกไปนอกห้องทันที

     

    หญิงสาวยิ้มขำ   เดินไปเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวห้องอย่างที่เธอนึกชื่นชมฟรายาสมากขึ้นทุกทีว่านอกจากจะอุทิศตัวตนเพื่อคนอื่นแล้วยังมีหัวคิดสร้างสรรค์อีกด้วย   การอาบน้ำเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่นาที   แต่เธอก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก   ดูเหมือนคุณหมอจะใช้เวทย์มนตร์สร้างทางน้ำจากลำธารเล็กๆข้างในป่าเพื่อนำมาเป็นน้ำสำหรับใช้อาบและดื่มของที่นี่   เมื่อตอนที่อยู่ในหมู่บ้านของตัวเองหญิงสาวจำเป็นต้องใช้พลังเวทย์มนตร์สร้างน้ำขึ้นมา   ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นแค่การรวมไอน้ำในอากาศหรือจะสู้น้ำจากธรรมชาติจริงๆที่แฝงไปด้วยพลังที่ทำให้รู้สึกสดชื่น

     

    โรเวเนียเช็ดผมอย่างไม่เร่งรีบ   ใส่เสื้อผ้าสบายๆอย่างชุดที่รูปร่างเหมือนเสื้อที่ยาวจนคลุมเข่าแล้วคาดด้วยเชือกฟางอย่างง่ายๆ   แต่เมื่ออยู่บนร่างของหญิงสาวผู้นี้จะใส่อะไรก็คงเหมือนกันนั้นแหละ

     

    “นี่   นายจาเวส   เนื้อวัวอยู่ในตู้เย็นน่ะ” เมื่อออกมาจากห้อง   หญิงสาวก็พูดอะไรที่ทำให้จาเวสงุนงงในทันที  

     

    “หา???”

     

    โรเวเนียพ่นลมหายใจอย่างเบื่อๆ “เลิกมึนได้แล้ว   ทำอาหารเก่งไม่ใช่รึไง???”

     

    พอเข้าใจปุ๊บ  จาเวสก็รับบัญชาในทันที    ไม่ต้องเอ่ยย้ำชายหนุ่มก็พุ่งตัวไปยังตู้เย็นและค้นหาของที่ตัวเองต้องการ   ถึงจะพูดว่าตู้เย็นแต่มันก็แค่ตู้ที่ใส่พลังเวทย์ธาตุน้ำและทำให้มีองศาติดลบเข้าไปเท่านั้นเอง   ชายหนุ่มตัดแบ่งเนื้อออกมาอย่างคล่องแคล่ว

     

    “จะรับอะไรดีครับ   สตู   ซุป   สเต็ก   หรือผม?” คำพูดสุดท้ายมาพร้อมท่าแอ๊กแบบน่าถีบเป็นที่สุด (เหมือนประมาณว่า coffee, tea   or   me?)

     

    โรเวเนียรู้สึกว่าเท้าตัวเองกระตุกหงึกๆ

     

    “เอามาทุกอย่างยกเว้นอันสุดท้าย   หรือนายอยากต้มตัวเองก็ได้นะ   เดี๋ยวจะช่วย” ว่าแล้วก็ยิ้มหวานอย่างเป็นเอกลักษณ์  

     

    พออยู่ด้วยกันไปนานๆจาเวสชักรู้สึกว่าตัวเองมีภูมิต้านทานรอยยิ้มของหญิงสาวมากขึ้น   ดังนั้นจึงรอดพ้นจากอาการเคลิบเคลิ้มและถูกจับต้มโดยไม่รู้ตัวไปอย่างหวุดหวิด

     

    “เอ่อ   ไม่ดีกว่าคร้าบ”

     

    โรเวเนียนั่งมองชายหนุ่มจัดแจงหั่นเนื้อเป็นห้าส่วนอย่างประณีต   แถมเนื้อทุกก้อนยังเท่ากันแบบไม่ต้องใช้ไม้บรรทัดวัดอย่างทึ่งๆ   ทั้งหม้อสองใบและกระทะสามใบถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าใบเล็กข้างตัวชายหนุ่ม   นี่อาจจะเป็นการใช้เวทย์มนตร์รูปแบบหนึ่งละมั้ง

     

    บ๊อกๆ!

     

    เจ้าตัวน้อยที่เพิ่งตื่นนอนเดินแบบเอียงๆเหมือนปูมาหาเธอแล้วก็ส่งเสียงประท้วงว่า   ข้าหิวแล้วนะ!’  

     

    หญิงสาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีในตอนเช้า   คว้าเจ้าตัวน้อยมากอดไว้แนบอก   นั่งรออาหารพร้อมร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีไปด้วยเหมือนเป็นเจ้าหญิงไม่มีผิด

     

    “อาหารมาเสิร์ฟแล้วคร้าบเจ้าหญิง” จาเวสวางชามใส่ซุปท่าทางน่ากินสองอย่างลงบนโต๊ะแล้วเริ่มต้นแนะนำสินค้า “ซุปมะเขือเทศเนื้อวัวตุ๋น   แล้วก็ซุปเนื้อวัวยัดไส้   ไส้ข้างในฉันก็ใส่พวกแครอทกับมะเขือเทศนั่นแหละ  แฮะๆ”

     

    โรเวเนียจ้องตาเป็นประกาย “นายก็มีประโยชน์เหมือนกันนะเนี่ย”

     

    คนที่เพิ่งได้รับการชื่นชมเป็นครั้งแรกว่ามีประโยชน์ยืดอกอย่างภูมิใจ   รีบไปยกอาหารอีกสามอย่างมาเสิร์ฟด้วยความไวขั้นสุดยอด   และถ้าเกิดมีหางงอกออกมาบางทีโรเวเนียอาจจะเห็นมันส่ายพึบๆอย่างรุนแรงก็เป็นได้

     

    “ส่วนในจานสามอย่างนี้ก็เป็นเนื้อวัวทอดกรอบธรรมดาๆ   แต่ฉันใช้วิธีการหมักกับสมุนไพรบางอย่างด้วยวิธีเฉพาะตัว   รับรองว่ากันแล้วละลายในปาก   ส่วนอีกสองอย่างคือมีตบอลกับสเต็กส์เนื้อวัวราดซอสสูตรเฉพาะอีกนั่นแหละ” หนุ่มหัวแดงยิ้มเผล่   ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนกันจะบอกว่า ชมผมหน่อยคร้าบ

     

    “ดีมากๆ” และก็ไม่ขัดศรัทธา   หญิงสาวลูบผมของจาเวสสองสามทีแล้วขยี้มันชนฟู   จากนั้นก็ลงมือจิ้มกินอย่างไม่เกรงใจ   และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าตัวน้อยที่ยึดสเต็กส์จานโตไปเป็นของตัวเองเรียบร้อย

     

    จาเวสไปตักซุปมาอีกถ้วยแล้วนั่งกินอย่างมีความสุข

     

    ฟรายาสที่ได้กลิ่นอาหารลุกขึ้นมาจากเตียงในห้องนอนลับๆของเขา   นั่นก็คือที่ๆทั้งสามคิดไม่ถึงอย่างทางลับใต้ตู้เก็บกับข้าวนั่นเอง   ดังนั้นเมื่อหญิงสาวเห็นหัวสีทองของอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากตู้จึงคว้าแจกันกะจะขว้างใส่ให้หัวแตก

     

    “หยุดๆๆๆ   พี่เอง” ชายหนุ่มเอ่ยห้ามอย่างรวดเร็ว   ดึงตัวเองออกมาจากตู้และจัดแจงจัดสภาพจนหล่อเหลา

     

    “ก็ไม่ส่งเสียงก่อน” ว่าแล้วก็ยักไหล่

     

    “เอ่อ...” จาเวสดูจะงงงวย   ถือช้อนที่อยู่ในสภาพหงิกงอค้าง

     

    ฟรายาสเดินตามกลิ่นมาที่โต๊ะอาหาร “หืม   น่ากินนี่”  ชายหนุ่มคว้าถ้วยซุปมะเขือเทศมาลองชิม “กลมกล่อมกำลังดีเลย   แต่น่าจะเผ็ดกว่านี้หน่อยน้า”

     

    “อะแฮ่มๆ   คือว่าพี่ไปทำอะไรในตู้เหรอคะ” โรเวเนียกระแอมแล้วเอ่ยถาม   อย่าบอกนะว่าใช้พลังเวทย์มากไปจนร่างกายรับไม่ไหวสมองเลยเสียหายน่ะ

     

    “ห้องนอน” ชายหนุ่มตอบกลับมาง่ายๆ   ยักคิ้วเหมือนจะบอกว่ารู้ทันนะว่าคิดอะไรอยู่ “ทางลงอยู่ในตู้น่ะ”

     

    หญิงสาวไม่ซักไซ้อะไรต่อ   รีบกินให้เสร็จแล้วเดินอ้อมร่างคุณหมอไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น   ร่างบางรวบกระโปรงมาถือไว้มุดตัวเข้าไปในตู้จนเจอบันไดและเดินลงไปอย่างระมัดระวัง   จนเมื่อถึงชั้นล่างดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง

     

    นอกจากเตียงขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้องแล้ว   ในห้องนั้นยังประกอบด้วยตู้เสื้อผ้าอีกสองใบ   กระจกบานยักษ์   อุปกรณ์ปรุงยาและตู้เก็บสมุนไพรอย่างดีจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ   แต่ที่เธอตะลึงไม่ใช่เพราะการจัดวางอย่างลงตัวของมันหรืออะไรทำนองนั้น   แต่แป็นเพราะว่าของทุกชิ้นล้วนทำมาจากเพชรหมดเลยนะสิ!!!

     

    แล้วก็บอกฉันว่าจนเนี่ยนะ   ไอ้หมอบ้าเอ้ย!!!   หญิงสาวที่คิดอย่างโมโห

     

    จาเวสที่กินข้าวเสร็จ   แล้วเดินตามหญิงสาวลงมาดูจะตกตะลึงไม่แพ้กัน   แต่อาการของชายหนุ่มไม่เหมือนหญิงสาวที่เก็บอาการอยู่ภายใต้ใบหน้านิ่งๆ   เขาขยี้ผมสีแดงของตัวเองที่ไม่เป็นทรงอยู่แล้วให้ฟูเข้าไปใหญ่   อ้าปากหวอจนแมลงวันแทบจะบินเข้าปาก  เป็นท่าทางที่ดูตลกกว่าตอนทำหน้าหมาหงอยซะอีก

     

    บ๊อก!   บ๊อก!  

     

    ความเงียบเกิดขึ้นได้เพียงแปปเดียว   เจ้าตัวน้อยงับขากางเกงจาเวสแล้วพยายามลากขึ้นไปข้างบนให้ได้   คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากสเต็กในจานที่หมดเกลี้ยงไปแล้วเพราะฟรายาสแย่งของมันไปครึ่งหนึ่ง   ดังนั้นเขาเลยเดินสวนกับคุณหมอตรงทางขึ้นเพื่อไปทำสเต็ดให้เจ้าตัวน้อยอีกชิ้น

     

    ร่างของคุณหมอผู้ยากจนและอดอยากเดินตามลงมายังห้องนอนของตัวเอง   สะกิดๆโรเวเนียที่กำลังคิดจะแก้แค้นแล้วเอ่ยว่า

     

    “ไม่ได้โกหกนะ   เรื่องจนน่ะ   พี่มีเงินที่ไหนละ” ฟรายาสลอยหน้าลอยตา   ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

     

    “งั้นฉันไปบอกคุณแม่มดลอเรนซ์ให้มั้ยว่าพี่จะใช้คืนเป็นเตียงเพชร” โรเวเนียเอ่ยสวนในทันที

     

    “เห้ยๆๆๆ   ไม่ได้นะ   เตียงนี้ท่านพ่อพี่ให้มา   ขืนหายไปละตาย” ชายหนุ่มทำท่าสยอง

     

    “ฮิๆ   ล้อเล่นน่ะ” หญิงสาวหัวเราะคิกๆ   มันคงจะน่ารักอยู่หรอกถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่รู้จักกันมาเห็นเข้า   แต่สำหรับฟรายาสแล้วเขาเห็นเหมือนนางฟ้าที่มีเขี้ยวของปีศาจงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น “แต่ว่าพ่อพี่นี่รวยจังเนอะ   ยอมให้ลูกชายมาเป็นหมอได้ไงเนี่ย”

     

    “ลองไม่ยอมสิ   จะหนีออกจากบ้านแล้วไม่กลับเลยคอยดู!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงจริงจัง

     

    “ท่าทางมั่นใจจังเลยเนอะว่าเขาจะสนน่ะ” หญิงสาวเอ่ยแล้วก็ได้ยินเสียงงึมงำแบบขาดๆหายๆประมาณว่า ลองไม่สน….เจ้า….หึๆๆ ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจจะไปยุ่งด้วย

     

    “เอ้อ   วันนี้โรวจะช่วยเข้าไปหาสมุนไพรมาให้พี่หน่อยได้มั้ย   สมุนไพรห้ามเลือดมันหมดน่ะ   ทีนี้ถ้าใช้พลังเวทย์รักษาอย่างเดียวเดี๋ยวเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นมาพี่จะไม่มพลังเวทย์พอจะช่วยใครได้”

     

    “วันนี้จะหางานมาให้ฉันอีกแล้วเหรอ!

     

    “น่านะ   คิดดูสิว่าถ้าพี่ไม่มีสมุนไพรนี่น่ะแล้วเกิดมีคนตายขึ้นมาโรวจะไม่รู้สึกผิดเหรอ” ดวงตาสีน้ำเงินไพลินจ้องมองอย่างอ้อนวอน   เพิ่มออฟชั่นด้วยการกระพริบปริบๆให้ดูน่าสงสาร

     

    ให้ตายสิ   ก็รู้อยู่ว่าฉันปฏิเสธไม่ได้น่ะ!’   กรีดร้องไปยังไงไม่มีผล   เพราะปากดันตอบตกลงไปแล้ว “อืมๆๆ”

     

    “น่ารักที่สุดเลยน้องพี่” ตอนนี้หญิงสาวไม่ดีใจเลยแม้แต่น้อยที่หนุ่มฮอตประจำเมืองจะมากระโดดกอดเธออย่างนี้   ยิ่งคิดก็พาลจะรู้สึกถึงน้ำตาที่มันจะไหลออกมาทุกที   และยิ่งประโยคสุดท้ายหญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกอยากจะทรมาณฟรายาสให้ปางตายแล้วค่อยรักษาให้หายซักสิบรอบ “แล้วก็ถ้าเจอต้นแมนเดรกช่วยเก็บผลมาให้พี่หน่อยนะ”

     

    หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างอาฆาต   นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ยยยยยยย!!!



     

     

    สุดท้ายโรเวเนียก็มายืนอยู่ข้างหน้าทางเข้าของป่าไวท์เซิร์ทจนได้   ตามจริงแล้วบริเวณป่าของอาณาจักรเดรคาสล้วนแล้วแต่ถือว่าเป็นพื้นที่สีดำทั้งนั้นโดย การแบ่งระดับของพื้นที่นั้นสีดำจะถือว่าเป็นเขตที่อันตรายที่สุด   และสาเหตุที่บริเวณป่าเกือบทั้งหมดถูกจัดเป็นพื้นที่สีดำก็เพราะเขตที่เหล่าปีศาจในอดีตถูกไล่ต้อนเข้าไปคือพื้นที่ทางแถบอาณาจักรเดรคาส  

     

    ส่วนป่าไวท์เซิร์ทที่เป็นเป้าหมายของหญิงสาวนั้นเป็นบริเวณที่ถูกกางอาณาเขตไว้อย่างหนาแน่นตั้งแต่ในอดีต   จนถึงตอนนี้อาณาเขตนั้นก็ยังคงอยู่แต่อาจจะมีบางส่วนที่อ่อนกำลังไปจนทำให้ปีศาจชั้นต่ำบางกลุ่มอาศัยกว่ามีพลังอยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำสามารถเล็ดรอดเข้ามาได้   ดังนั้นป่าไวท์เซิร์ทจึงถูกจัดเป็นพื้นที่สีแดงเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว   จนถึงตอนนี้เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการจัดโซนนั้นเขาดูกันที่อะไร

     

    ต้องถือว่าโชคดีที่พวกปีศาจชั้นสูงไม่คิดจะรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมนุษย์อีกแล้ว   ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรืออย่างไร   แต่อย่างน้อยพวกปีศาจชั้นสูงก็ต่างมีอาณาเขตเป็นของตนเอง   แถมยังอยู่ห่างไกลเข้าไปในโซนลึกๆ   ถึงอย่างไรจะให้พวกปีศาจยอมจับมือร่วมกันคงเป็นไปได้ยาก   ดูจากสงครามเมื่อครั้งก่อนก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดี   อะไรๆก็ไม่แน่นอนหรอก   ความรู้ทุกอย่างที่เธอมีก็มาจากหนังสือทั้งนั้นแหละ   จะจริงจะเท็จค่อยโทษอาจารย์เอาก็แล้วกัน

     

    ป่าไวท์เซิร์ทมีความพิเศษอยู่อีกอย่างคือมีพื้นที่ติดกับป่าพิษในส่วนของพื้นที่สีดำ   ดังนั้นหากคนไม่ชำนาญทางอาจจะเดินหลงไปยังบริเวณของป่าพิษจนต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นก็เป็นได้   หญิงสาวแอบค่อนขอดในใจว่ากางอาณาเขตป้องกันพวกปีศาจได้ทำไมถึงไม่กางอาณาเขตที่ป้องกันพิษได้ด้วยก็ไม่รู้

     

    แต่สิ่งที่ทำให้เธออุ่นใจได้ก็คือเธอมีแผนที่มีชีวิตติดมาด้วย   เป็นจาเวสผู้ซึ่งครั้งนี้โรเวเนียจัดให้เป็นเบ๊สารพัดประโยชน์นั่นเอง   เมื่อรู้ว่าโรเวเนียกำลังจะเข้าไปหาสมุนไพรจาเวสก็ขอติดตามแบบเกาะหนึบ   หญิงสาวที่เห็นว่าคงจะมีประโยชน์กว่าถ้ามีคนไปด้วยอีกคนจึงตอบตกลงแบบง่ายๆ   ผลพลอยได้คือชายหนุ่มที่ดูจะพึ่งไม่ได้กลับรู้ลู่ทางในป่าจนเกือบจะเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง  

     

    อีกสิ่งที่หญิงสาวเพิ่งจะรู้คือป่าที่อยู่ติดบ้านของจาเวสก็คือป่าไวท์เซิร์ทนั่นเอง   จะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้   แต่เธอก็รู้สึกว่าจาเวสเป็นเพื่อนที่ดีใช้ได้   ถ้าเกิดเขาไม่พูดมากน่ะนะ

     

    โรเวเนียสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ   บรรยากาศแถบชายป่านั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของพลังเวทย์บริสุทธิ์สมกับที่ว่ากันว่าธรรมชาติเป็นผู้มอบเวทย์มนตร์ให้กับมนุษย์   เธอหลับตาลงเงียบๆ

     

    “นี่   มีอะไรที่ต้องเข้าไปหาบ้างอะ” จาเวสที่เห็นหญิงสาวเงียบไปนานมากเอ่ยถามในที่สุด  

     

    เหมือนเขากลายเป็นตัวประกอบยังไงก็ไม่รู้   ชายหนุ่มคิดพลางน้ำตาตกใน

     

    “หืม?   ไม่รู้สิ” เธอยักไหล่  

     

    “หะ!   หมายความว่าไง???”

     

    “ก็ฉันไม่รู้   ลืมถามว่าจะเอาอะไรบ้าง” โรเวเนียทำปากยื่น   ประมาณว่า  ฉันไม่ผิดนะ

     

    จาเวสเกาหัวแกรกๆด้วยความหนักใจ

     

    “งั้นจะเอาสมุนไพรแก้โรคอะไรบ้างละ   ฉันพอจะรู้บ้าง...มั้ง!!” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอ้อมแอ้มแล้วแก้ตัวรัวๆ “แต่ว่าถ้าเกิดเอามาผิดฉันไม่รู้นะ   ดีแค่ไหนแล้วที่เอากล่องรักษาความสดมาอะ”

     

    จาเวสชูกล่องไม้แบบอวดๆ   กล่องรักษาความสดมักใช้ในการรักษาสรรพคุณของสมุนไพรเพื่อไม่ให้เสียคุณค่าเดิมของมัน   ในบางครั้งแม่บ้านทั้งหลายก็อาจจะใช้เก็บความสดของเนื้อยามจะออกไปปิกนิกที่ไหนสักแห่ง   แต่สำหรับโรเวเนียที่วันๆเอาแต่ฝึกพลังเวทย์แล้วการจะใช้พลังเวทย์ธาตุน้ำมาดัดแปลงนั้นไม่ยากเลย   หญิงสาวเลยเขกหัวจาเวสไปเบาๆ

     

    “พูดมากน่ะ   เอาเป็นว่าพี่ฟรายาสให้ฉันช่วยหาสมุนไพรห้ามเลือดไปให้   แล้วก็ผลของต้นแมนเดรกถ้าเกิดเป็นไปได้   โอเคนะ?”

     

    “คร้าบบบบ” ชายหนุ่มรับคำเสียงอ่อย

     

    ทั้งสองก้าวเข้าสู่อาณาเขตของป่าตามการเดินนำของจาเวส   ใบไม้เรียงตัวกันเสมือนปราการชั้นดีที่ทำให้ชายหนุ่มต้องชักดาบที่ห้อยอยู่ข้างกายเสมอๆมาถางทาง   โรเวเนียที่เดินตามหลังมาจึงติดตามได้อย่างสบายๆ

     

    “อีกนานมั้ยกว่าจะเจอน่ะ” ระหว่างการเดินทาง   เธอก็ชวนคุยไปด้วย

     

    “ก็คงต้องหาไปเรื่อยๆ   ถ้าเป็นสมุนไพรห้ามเลือดก็คงจะเป็นต้นกรีฟ   เหมือนต้นหญ้าเล็กๆแต่มีสีแดงทั้งต้น   ถ้าเกิดโตจนใช้งานได้แล้วมันจะมีดอกเล็กๆสีขาวที่เหมือนดอกแดนดีไลออนแต่ว่าเล็กกว่างอกขึ้นมาตรงกลางน่ะ” จาเวสเอ่ยพลางกระโดดข้ามท่อนไม้พลาง

     

    โรเวเนียได้ยินเสียงลำธารอยู่ไม่ไกล   แต่เธอคิดว่าเก็บสมุนไพรเสร็จแล้วค่อยมาเดินเล่นก็ไม่เสียหายจึงไม่ได้สนใจอะไรนัก   แต่เหมือนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นอาการเงี่ยหูฟังเล็กๆ   จึงอธิบายตามประสาคนชอบพูด

     

                “ที่ก้อนหินริมลำธารตรงนั้นมักจะมีเห็ดขึ้น   ฉันก็มาเก็บไปประจำเลยแหละ   แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพอมาดูในวันรุ่งขึ้นเห็ดก็งอกตามเดิมเหมือนไม่มีใครไปยุ่งกับมัน   ดังนั้นถ้าเธออยากจะไปดูไว้ตอนขากลับจะพาเดินไปนะ”

     

                “อืม   เอางั้นก็ได้” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย   ถึงจะรู้ว่าจาเวสไม่ได้หันมามองก็ตาม

     

                เนื่องด้วยต้องระวังพื้นดินที่มีหญ้าปกคลุมหนาแน่น   จาเวสจึงเงียบเสียงไปอย่างที่นานๆครั้งจะทำ   แต่ก็คงไม่แปลกเพราะว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอเดินเหยียบลงไปตรงใบไม้กองหนึ่ง   ฉับพลันใบไม้ทั้งหมดก็ร่วงลงไปกองอยู่ก้นหลุมลึก   ทำเอาหญิงสาวเสียวสันหลังวาบ   ก้มหน้าก้มตาเดินตามจาเวสที่กำลังใช้สมาธิไปอย่างรวดเร็ว

     

    ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่อากาศรอบข้างก็ดูจะหนาวเย็นขึ้นเท่านั้น   เท่าที่โรเวเนียสังเกต   ในป่าแห่งนี้เงียบสงัดจนนึกว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย   แต่เจ้ากระรอกตัวน้อยที่กระโดดผ่านหน้าเธอไปก็เป็นเครื่องยืนยันว่าเส้นทางที่เธอกำลังเดินผ่านไม่ได้มีสัตว์วิเศษหรือสัตว์ป่าที่อันตรายอย่างที่เธอกังวล   โรเวเนียรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน   แต่ความจริงแล้วก็ไม่ใช่

     

    “ชู่ววววว” จาเวสหันมาทำเสียงให้เธอเงียบ

     

    หญิงสาวมองด้านหน้าอย่างตกตะลึง   สองขาก้าวไปหยุดยืนอยู่ข้างๆจาเวสที่ก้มลงซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ในบริเวณนั้น   ทุ่งดอกไม้หลากสีสันเบ่งบานอยู่ตรงหน้าเธอ   งดงามราวกับความฝัน   แต่หากกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาตามลมกลับยืนยันว่านี่คือความจริง   จาเวสอมยิ้มแล้วกระซิบกับเธอด้วยเสียงแผ่วเบา

     

    “รอซักพัก   เธอไม่เคยเห็นยูนิคอร์นใช่มั้ยละ   แต่ต้องเงียบๆนะรู้มั้ย   พวกนี้มักจะหวงอาณาเขตของตัวเองมากๆ”

     

    โรเวเนียจ้องมองอย่างตื่นเต้น   ส่งรอยยิ้มหวานซึ่งเรียกสีระเรื่อบนใบหน้าของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี   หญิงสาวหัวเราะอารมณ์ดีแบบพยายามให้ไม่มีเสียงแล้วจ้องมองอย่างรอคอย

     

    นานนับชั่วโมงในความรู้สึกของโรเวเนียแต่ความจริงแล้วมันเพิ่งจะผ่านมาเพียงแปปเดียวเท่านั้น   จาเวสก้มลงแนบหูกับพื้น  โรเวเนียนั่งยองๆ   ปลดเป้ที่แบกมาด้วยลงวางบนพื้น    ไม่นานเกินจะรอ   สิ่งที่เธอเฝ้าคอยก็ค่อยๆปรากฎตรงหน้า

     

    หญิงสาวเบิกตากว้าง   ร่างของยูนิคอร์นนับสิบตนเห็นอยู่ไกลลิบ   แต่ทว่าสิ่งที่เธอแปลกใจนั้นคือพวกมันต่างควบเท้าอยู่กลางอากาศเสมือนมีพื้นดินอยู่ตรงนั้น    เขาสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ   ร่างสีขาวสะอาดก็ดูบริสุทธิ์จนเธอเกือบเผลอไผลก้าวเท้าออกไปปรากฎตัวเบื้องหน้า   ดีที่จาเวสจับเสื้อเธอไว้แน่นพลางกระตุกให้รู้สึกตัวโดยไร้คำพูด   หญิงสาวพึมพำขอบคุณแล้วค่อยๆย่อตัวลงในท่าเดิม

     

    สองร่างซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น   จ้องมองความงดงามของเผ่าพันธุ์ที่แสนวิเศษอย่างเคลิบเคลิ้มโดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า   มีบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา....

     

    กร๊าซซซซซ!!!!

     

    เงาร่างมหึมาสึดำกระจายไปทั่วท้องฟ้าที่เปิดโล่งอย่างรวดเร็ว   โรเวเนียผงะผงายหลัง   ยังดีที่ได้จาเวสเป็นเบาะรองรับ

     

    “น...นั่นมันตัวอะไรกันน่ะ” หญิงสาวเอ่ยถามจาเวสที่ทำสีหน้าเคร่งเครียด

     

    “พวกปีศาจชั้นต่ำ   ยูนิคอร์นเป็นพลังบริสุทธิ์   และถือเป็นแหล่งอาหารที่ดีเยี่ยมของพวกนั้น   ถ้าเกิดพวกมันฝูงหนึ่งเจอยูนิคอร์นแค่ตัวเดียวน่ะนะ” ชายหนุ่มไขความกระจ่าง

     

    ฮี้!!!  

     

    เหล่าฝูงยูนิคอร์นละจากทุ่งดอกไม้ซึ่งเป็นที่พักผ่อนของมัน   เขาสีทองที่บัดนี้เปล่งประกายเจิดจ้าหมุนวนเหมือนสว่าน   เหล่าปีศาจชั้นต่ำที่รูปร่างเหมือนค้างคาวยักษ์หลายตนถูกแทงจนเลือดสีดำไหลทะลัก   บางคนโดนกีบเท้าที่ยกขึ้นถีบกระเด็นไปชนต้นไม้จนหักโค่น   แสดงถึงความรุนแรงได้เป็นอย่างดี

     

    เหตุการณ์ดูเหมือนจะชุลมุนวุ่นวาย   โรเวเนียจ้องมองตาไม่กระพริบส่วนจาเวสก็เตรียมมองหาทางหนีทีไล่   แต่ทว่าไม่นานนักเหล่าปีศาจก็หมดพิษสง   ดูเหมือนมันจะเลือกเวลาผิดไปหน่อย   ถ้าเกิดพวกมันเลือกจู่โจมตอนที่ยูนิคอร์นอยู่ตัวเดียวก็อาจเป็นไปได้ที่จะชนะ  

     

    กลิ่นคาวตลบอบอวลไปทั่ว   โรเวเนียเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วแต่ก็ดันหันไปพบกับจาเวสที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวจากเลือดสีดำที่อาบไปทั่วร่าง   ชายหนุ่มกระพริบตาปริบๆแล้วอ้าปากค้างอย่างงงวย

     

    “เอ้อ..” จาเวสพูดได้แค่นั้น   เขารับผ้าเช็ดหน้าผืนบางมาจากหญิงสาว   พึมพำขอบคุณ

     

     ดีที่เธอถือคติพร้อมไว้ก่อนเสมอ   ความจริงโรเวเนียคิดว่าเจอไปขนาดนี้คราวหน้าพกผ้าขนหนูมาด้วยก็คงจะดี   คิดได้ดังนั้นก็หยิบสมุดจดเล็กๆออกมาจากกระเป๋าคู่ใจ   มือบางตวัดสองสามทีแล้วก็ปรากฏตัวอักษรสีทองขึ้นบนแผ่นกระดาษ   หญิงสาวเก็บสมุดลงกระเป๋าพร้อมๆกับที่จาเวสจัดการตัวเองเสร็จพอดี

     

    “แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน    ทำไมยูคอร์นถึงโดนโจมตีได้ล่ะ   ป่าไวท์เซิร์ทเป็นป่าที่กางสนามพลังป้องกันไว้ไม่ใช่เหรอ” คำถามพุ่งใส่จาเวสทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มอยู่ในสภาพพร้อมแล้ว  

     

     

                “บางทีสนามพลังอาจจะอ่อนลงไป   นับแต่มันถูกสร้างขึ้นครั้งแรกก็ผ่านมานับพันปีแล้ว” จาเวสเอ่ยแบบขอไปที “หรือไม่ก็พวกมันแข็งแกร่งขึ้น”

     

                หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น   พวกมันแกร่งขึ้นก็อาจจะเป็นไปได้   แต่ทำไมถึงกล้าโจมตียูนิคอร์นฝูงใหญ่เหมือนไม่กลัวตายเช่นนี้   สภาพทุ่งดอกไม้ที่เคยเป็นสมรภูมิรบชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีดำคล้ำ   และเหล่าฝูงยูนิคอร์นก็ได้พากันบินจากไปในทางทิศเหนือของป่า

     

              “เป็นไปได้รึเปล่าที่พวกปีศาจกำลังเคลื่อนไหว   ปีศาจชั้นสูงน่ะ”

     

                “โธ่...คงไม่มีอะไรมั้ง   ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือการหาสมุนไพรกลับไป   พวกปีศาจไม่เคลื่อนไหวมาตั้งแต่ก่อนจะตั้งอาณาจักรขึ้นมาซะอีก   อย่ากังวลไปเลย”

     

                จาเวสแม้จะเอ่ยคัดค้าน   แต่การเงียบไปหลังจากนั้นและดึงดาบของตนที่กระเด็นไปปักอยู่ที่พื้นเพราะถูกโรเวเนียล้มทับมาถือไว้มั่นในมือก็พอจะบ่งบอกอาการได้  

     

                “ถ้าหากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแล้วนายยังเลือกที่จะปิดบัง   ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงได้อีกมากเท่าไหร่   แต่เหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงแรมในเมืองก็พอจะบอกฉันได้ว่าชาวบ้านพบเจอกับปีศาจจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว   นี่ทางสภากลางรู้เรื่องนี้รึเปล่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมๆกับเดินตามหลังไป

     

                “ทางพวกนั้นไม่รู้   และทางเราไม่อาจจะให้รับรู้ได้”

     

                “ทำไม !!?

     

                สายตาของชายหนุ่มตวัดมา

     

                “ถ้าเกิดเรื่องของพวกปีศาจแพร่งพรายออกไป   มันจะไม่จบแค่ส่งทหารมารักษาการณ์หรือประกาศให้ผู้คนระวังตัว   เข้าใจไหมว่าพวกปีศาจไม่เข้ามารุกรานมนุษย์นับพันๆปีแล้ว   ถ้าเกิดเหตุการณ์มันร้ายแรงขึ้นจริงๆก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีมติให้แจ้งเรื่องไปทางนั้น   ตอนนี้เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

     

                โรเวเนียอยากจะหาเหตุผลมาโต้แย้ง   แต่เธอก็ดูออกว่าแววตาเคร่งเครียดที่แฝงมาด้วยความอ้อนวอนของจาเวสพยายามจะบอกเธอว่าอย่าเพิ่งกังวลไปก่อน   เธอจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก

     

                จาเวสเดินเลียบทุ่งดอกไม้ไปทางตะวันตก   คนละทางกับที่เธอได้ยินเสียงของลำธารนั่น   การเดินทางก็เต็มไปด้วยความอึดอัด   ทั้งสองเดินเลี่ยงบริเวณทุ่งดอกไม้นั่นออกมา  

     

    โรเวเนียแอบเห็นว่าของเหลวสีดำสนิทและซากของพวกปีศาจนั้นค่อยๆจางหายไป   ไม่ใช่หายไปเหมือนกับว่าไม่เคยมีอยู่   แต่ทุ่งดอกไม้พวกนั้นกฃับดูดซับร่างของพวกมันเข้าไป   เพียงแค่พริบตาเดียวทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบ   ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆทั้งสิ้น   เสมือนป่าแห่งนี้มีมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปิดความลับอย่างไรอย่างนั้น   หญิงสาวเบือนหน้าหนีอย่างขนลุก

     

                บางสิ่งบางอย่างทำให้จาเวสผู้ร่าเริงเปลี่ยนสภาพเป็นเคร่งเครียดตลอดเวลา   สัตว์ป่าเริ่มพบเห็นได้ทั่วไปตามรายทาง   มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าเสือเขี้ยวดาบตัวโตพุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ที่หนาทึบ   แต่จาเวสเพียงตวัดสันดาบเข้ากระแทกที่ปลายคางแล้วหมุนตัวใช้ส้นเท้าถีบมันจนกระเด็น   เพียงเท้านี้เจ้าเพชฌฆาตแห่งป่าใหญ่ก็ร้องครางและกระเสือกกระสนวิ่งหนีแทบไม่ทัน

     

                โรเวเนียไม่เคยเจออาการนิ่งเงียบของชายหนุ่มผมแดงมาก่อน   แต่จะให้เธอเงียบด้วยต่อไปคงไม่ไหว   เพราะในตอนที่ตะวันตรงหัวแบบนี้   ท้องของเธอมันก็ร้องประท้วงอย่างเต็มที่ให้หาอะไรมาเติมเต็มมันได้แล้ว

     

                โครก...

     

                ไม่ทันขาดคำ   ท้องเจ้าปัญหาก็ส่งเสียงออกมาซะแล้ว   หญิงสาวขมวดคิ้ว

     

                ไม่เสียงท้องของฉันซักหน่อย

     

             ชายหนุ่มนามจาเวสหันหน้ามาพร้อมกับรอยแดงเป็นปื้นบนแก้มซึ่งโรเวเนียคิดว่าคงไม่ได้มาจากความร้อนของยามเที่ยงวันเป็นแน่   เขายิ้มแหะๆ   บรรยากาศของความเคร่งเครียดหายไปในทันที

     

                โรเวเนียขำก๊าก   แต่ก็หยิบกล่องรักษาความสดออกมาจากกระเป๋าแต่โดยดี

     

                “ทำฟอร์มอยู่ได้   หิวก็บอกมาสิ”

     

                หญิงสาวว่าพลางจัดแจงหาใบไม้มาสุมๆแล้วใช้พลังเวทย์ธาตุไม้ขั้นสูงบังคับให้กิ่งไม้งอกออกมาอยู่เหลือกองใบไม้แห้งเป็นระแนงในแนวนอน   พลังเวทย์ธาตุไฟถูกจาเวสที่บัดนี้ยังไม่หายหน้าแดงจุดขึ้นจนกองไฟลุกพรึ่บ

     

                “ขอโทษคร้าบบบบ” จาเวสที่กลับมาร่าเริงอย่างเก่าหัวเราะแหะๆ

     

                เนื้อวัวหมักถูกนำมาวางบนแนวระแนงไม้ด้วยฝีมือของเชฟใหญ่   โรเวเนียไม่เคยดีใจที่จาเวสกลับมาร่าเริงเท่านี้มาก่อน   มันเหมือนกับว่าไม่ชิน...แต่มันก็แปลกตั้งแต่ที่เธอไม่นึกจะอยากผลักไสไล่ส่งมิตรภาพจากเขาเหมือนที่เธอทำยามอยู่ที่บ้านแล้วล่ะ

     

                แดดยามบ่ายร้อนเปรี้ยง   พาลให้ชวนคิดถึงสายฝนขึ้นมาตงิดๆ   ที่เดรคาสไม่เคยมีฝนตกในตอนกลางวันมาก่อน   เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่หาคำตอบไม่ได้จนเคยชินไปแล้วสำหรับในปัจจุบัน

     

                “ร้อนเนอะ” หญิงสาวเอ่ย

     

                เนื้อย่างรมควันพลิกไปมา   กลิ่นหอมยั่วยวนทำเอาหญิงสาวแทบอยากจะกินทั้งกึ่งสุกกึ่งดิบ

     

                “หิวแล้วเหรอ” จาเวสเลิกคิ้ว

     

                “ไม่หิวมั้ง!!!” โรเวเนียแยกเขี้ยวใส่

     

                “ฮะๆ โอเคคร้าบบบ”

     

                หนุ่มผมแดงหันไปย่างเนื้อต่ออย่างร่าเริง   น้ำไหลหยดลงมาจากชิ้นเนื้อช้าๆจนเนื้อบริเวณภายนอกดูแห้งดีแล้วจาเวสจึงนำจานออกมาจากกระเป๋าสารพัดนึกของเขาและจัดวางมันลงไปโดยมีโรเวเนียยืนเอาใจช่วย

     

                “มันจะสุกหรอ”

     

                หญิงสาวหากิ่งไม้แถวนั้น   ใช้เวทย์ลมพัดให้มันสะอาดพอแล้วเหลามันด้วยเวทย์น้ำแข็งจนแหลม  

     

                เสร็จแล้วก็จิ้ม!!!!!

     

                จึก!

     

                น้ำที่อยู่ข้างในเนื้อไหลออกมาเป็นทาง   เผยให้เห็นเนื้อส่วนที่ยังเป็นสีแดงๆอยู่ภายใน   จาเวสชะโงกหน้ามามองด้วยความสนใจ

     

                “ทำอะไรน่ะ???”

     

                “เช็คดูว่าสุกมั้ยอะ” โรเวเนียตอบด้วยสีหน้าเหมือนเด็ก “แต่มันไม่สุกนะ!   เนื้อยังแดงอยู่เลย   ดูสิ”

     

                หญิงสาวดึงดาบจาเวสมาจากข้างเอวอย่างที่เขาตระครุบไว้ไม่ทัน   เขาทำหน้าเหวอพลางร้องห้ามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะนำดาบสุดรักสุดหวงของเขาไปไหน

     

                “ห..เห้ย!   เดี๋ยวส..”

     

                ฉับ!

     

                ดูเหมือนจะไม่ทันแล้วเมื่อเนื้อย่างชิ้นโตถูกหั่นแบ่งออกเป็นสองซีก   แต่ชายหนุ่มก็ไม่กล้าคัดค้านอะไรอีกเพราะว่าคมดาบที่ควรจะปรากฏรอยอยู่บ้างบนจานกลับไม่มีแม้แต่รอบเล็บแมวข่วนน่ะสิ!!!   เป็นข้อยืนยันได้ดีว่าฝีดาบของหญิงสาวอยู่ในขั้นไหนกัน

     

                “ไม่ทันแล้ว   ฮี่ๆ” โรเวเนียจัดแจงใช้ดาบของจาเวสแบ่งมันออกเป็นชิ้นเล็กๆอีกหลายส่วนอย่างเมามันส์ท่ามกลางความเจ็บปวดใจของนักดาบผมแดง

     

                “ยังไงก็เถอะ   กระซิกๆ   ฉันตั้งใจย่างให้ไม่สุกน่ะ   เนื้อหมักนี่ถ้าย่างจนสุกหมดจะแข็ง   แบบนี้อร่อยกว่ากันเยอะ”

     

                จาเวสปาดน้ำตาที่มุมขอบก่อนจะหยิบเข้าปากหนึ่งชิ้น   ไอความร้อนที่ลอยกรุ่นๆเหมือนไม่อาจทำให้เขารู้สึกว่าร้อนนิ้วได้   โรเวเนียหยิบเข้าปากตาม   แต่เธอไม่โง่พอจะหยิบด้วยมือเปล่าๆ    พลังเวทย์ธาตุน้ำห่อหุ้มที่มือเป็นระบบป้องกันอันดีเยี่ยม

     

                “อร่อยจริงๆนั่นแหละ” หญิงสาวเอ่ยชม

     

              รสชาติที่หวานของเนื้อชั้นเยี่ยมเข้ากันได้ดีกับน้ำที่ชุ่มแฉะ   กลมกล่อมหวานมันลงตัวพอดิบพอดี   ไม่น่าเชื่อว่าแค่ย่างเนื้อจะยังมีวิธีที่ทำให้อร่อยขนาดนี้ได้

     

                “อื้อ...”

     

                จาเวสรับคำเหม่อๆและนำดาบของเขากลับมากอดอย่างหวงแหนท่วมกลางสายตาไม่รู้ไม่ชี้ของตัวการ

     

                มื้ออาหารผ่านไปอย่างรวดเร็ว   เมื่อท้องถูกเติมเต็มแล้วคณะเดินทางก็พร้อมรบ   หญิงสาวบอกลาเจ้านกตัวน้อยที่ส่งเสียงร้องเพลงอยู่บนกิ่งไม้ด้วยความอาลัย   เธอก็เคยมีเพื่อนเป็นมนุษย์นกตอนอยู่ในแถบชายแดนเหมือนกัน

     

              ตอนนี้จาเวสเก็บของเรียบร้อยแล้ว   โรเวเนียผู้นั่งดูอยู่เฉยๆลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง

     

                “ภารกิจตามล่าหาสมุนไพร   ไฟติ้งงงงงงงง!!!” หญิงสาวกำมือข้างขวาชูขึ้นฟ้า

     

                “ไฟติ้งงงงงงงงงงงงงง!!!!” จาเวสทำตามแบบปัญญาอ่อน

     

                แสงแดดของยามบ่ายสองอ่อนลงจากเมื่อตอนเที่ยงเยอะนัก   มันกำลังพอดีกับอุณหภูมิที่เริ่มเย็นของช่วงที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างพอดิบพอดี   โรเวเนียยิ้มร่าเริงให้กับจาเวสแล้วเดินมุ่งหน้าไปในทันที

     

                ชะ...อ้าว...แล้วเธอรู้ทางเหรอนั่น???

     

     

    ........................................................................................................................................



    ฮิ้ววววววววว >w<   เค้ามาต่อให้ครบแล้วนะ   ชะแว้บบบบบ  ไปและ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×