คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 6 การทดสอบภาคปฎิบัติ ต้องบ้าพลังถึงจะผ่าน???
บทที่ 6 การทดสอบภาคปฎิบัติ ต้องบ้าพลังถึงจะผ่าน???
เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา โรเวเนียก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่น อาการบาดเจ็บที่หลังได้หายไปแล้วอย่างกับปาฏิหาริย์แสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวของพลังแห่งแสงสว่างในตัวเธอที่มากมายจนน่าอัศจรรย์ใจ วันนี้ เธอจัดแจงฝากเจ้าตัวน้อยไว้กับพี่หมอแล้วเดินไปยังโรงเรียนอย่างไม่เร่งรีบ วันนี้เธอตื่นก่อนเวลาถึงสองชั่วโมง
เวลาเจ็ดโมงตรงร่างของโรเวเนียก็ปรากฏขึ้น ณ ลานกว้างแห่งเดิม เธอจัดแจงเอาคทาอันใหม่มาทดสอบด้วยเวทย์อย่างง่ายโดยไม่ต้องกังวลว่าจะไปโดนใครเข้า เพราะนับจากคนที่เข้ารอบเมื่อวานแล้วมีเพียงสองร้อยกว่าคนเท่านั้นเอง แถมเวลาเช้าขนาดนี้คงไม่มีใครอยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นอย่างแน่นอน
หญิงสาวจัดการเลือกมุมที่ผู้คนดูบางตา พึมพำร่ายเวทย์แห่งแสงที่เธอถนัดรองมาจากเวทย์สายความมืดเบาๆ
“พาราดัส” ลูกไฟสีขาวนวลปรากฏขึ้นตรงหน้า เธอบังคับให้มันเคลื่อนไหวอย่างอิสสระ ดวงแสงขนาดเท่ากำปั้นแตกกระจายออกเป็นดวงแสงเล็กๆมากมาย แสงระยิบระยับสะท้อนแสงแดดทำให้มันดูสวยงามอย่างยากจะละสายตา คงจะดีกว่านี้ถ้าเธอไม่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง
“โห สวยจังเลย” จาเวสเจ้าเก่านั่นเอง
เด็กหนุ่มเอานิ้วจิ้มๆดวงแสงนั้น ทำหน้าเหมือนกับได้ของเล่นใหม่
“นี่ๆ สอนฉันทำมั่งสิ ทำยังไงน่ะ” เด็กหนุ่มหันมาเขย่าแขนโรเวเนีย ซึ่งหญิงสาวทำหน้าเหม็นเบื่อกลับ
“เวทย์พาราดัสไง อย่าบอกนะว่านายไม่เคยฝึกควบคุมมันเลยน่ะ” เวทย์นี้แท้จริงแล้วคนส่วนใหญ่จะต้องเรียนรู้เป็นพื้นฐาน เพราะมันใช้ส่องทางในความมืดนั่นเอง
จาเวสทำตาโต “ฉันไม่รู้นี่นาว่ามันทำอย่างนี้ได้ งั้นขอลองบ้างดีกว่า” ว่าแล้วก็ทดลองเล่นอย่างสนุกสนาน ดวงแสงขนาดเท่าก้อนหินก้อนเล็กๆปรากฏออกมาหลายก้อน แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำให้มันเล็กจนกลายเป็นประกายแสงได้ซักที มองไปซักพักโรเวเนียก็หัวเราะ
“นายใช้คทาควบคุมดีกว่า มันจะช่วยได้เยอะเลยละ” ว่าแล้วก็ยื่นคทาในมือของตนไปให้ จาเวสรับมาอย่างยินดี
ไม่ถึงห้านาทีจาเวสก็ทำแบบโรเวเนียได้ เด็กสาวแอบภูมิใจนิดๆเหมือนกัน ตามจริงแล้วเวทย์นี้เป็นเวทย์ง่ายๆ แต่จะทำได้แบบเธอนั้นจะต้องเป็นคนที่มีพลังเวทย์สูงมากพอจะทำให้มันละเอียดถึงขั้นเป็นประกายแสง เห็นทีเธออาจจะได้ลูกศิษย์ซะแล้วสิ รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
จาเวสที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบเลิกเล่นแล้วยื่นคทาในมือคืนเจ้าของตัวจริง เหงื่อแตกพลั่กอย่างกับไปวิ่งมาสิบกิโล
“ไม่เล่นแล้วเหรอ” เด็กสาวส่งยิ้มหวาน
“อ......เอ่อ ไม่ดีกว่า เดี๋ยวต้องไปซ้อมดาบน่ะ ไปก่อนนะ แหะๆ” จาเวสที่เกือบจะเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนั้นส่ายหัวดิกอย่างที่สัญชาตญาณสั่งให้ทำ จากนั้นก็วิ่งไปหวดดาบกับลมอยู่อีกฟากหนึ่งของลาน
ส่วนโรเวเนียที่ทดสอบแล้วว่าคทาด้ามนี้พอใช้ได้จึงไม่สนใจอะไรอีก หาที่นั่งแล้วเหม่อมองบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยๆ ลมที่พัดอย่างแผ่วเบาทำให้เธอเคลิ้มจนเกือบจะหลับไปแล้วถ้าไม่สังเกตเห็นร่างในชุดคลุมแบบเดียวกับที่เธอมีเดินผ่านหน้าไป แต่สิ่งที่เธอสะดุดใจคือใบหน้าที่เรียบเฉยราวกับโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจต่างหาก
อาการอยากแกล้งคนของหญิงสาวสะกิดให้ตัวเธอเองจดจำใบหน้านั้นไว้อย่างแม่นยำ จากที่เธอสังเกตเห็น นอกจากดวงตาสีเงินสว่างที่ดูเย็นเยียบและริมฝีปากสีแดงสดตัดกับผิวขาวจั๊วอย่างที่ผู้หญิงยังต้องอิจฉาแล้ว บุรุษผู้นี้ก็ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถตำหนิได้ แต่นั่นก็ยิ่งกระตุ้นให้อาการอยากแกล้งคนของเธอกำเริบมากกว่าเดิม
หึๆ นายโชคดีมากเลยนะเนี่ย ฉันไม่ได้รู้สึกอยากแกล้งใครมาหลายปีแล้วสิ หญิงสาวคิดพลางตาเป็นประกาย อาการง่วงหายไปจนหมดสิ้น
เมื่อถึงเวลาเรียกรวมตัว เสียงของอาจารย์ใหญ่อาร์ราคัสก็ดังขึ้นอย่างอัตโนมัติ
“เอาละว่าที่นักเรียนที่รัก ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่พวกเจ้ามากันตรงเวลา ส่วนพวกที่ยังมาไม่ถึงหรือยืนอยู่นอกวงกลมข้าจะให้เวลาอีก 30 วินาที ถ้าหลังจากนี้ข้าจะถือว่าพวกเจ้าเลือกที่จะไม่สอบ เมื่อครบตามเวลาตัวเจ้าจะถูกส่งไปยังห้องทดสอบทันที โชคดีนะ เหอๆๆ” เสียงประกาศยังคงเป็นเอกลักษณอยู่ดีแม้ว่าคนประกาศจะหายไปอยู่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้
ผู้เข้าสอบหลายคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทันเวลา แต่เมื่อครบ 30 วินาที แสงสีขาวค่อยๆทอขึ้นมาอ่อนๆ ก่อนจะหลับตาลงนั้นเด็กสาวเห็นบางคนที่มาไม่ทันถูกดีดกระเด็นออกไป จากนั้นทุกอย่างก็สว่างเจิดจ้า
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สภาพรอบด้านก็กลายเป็นสนามฝึกไปซะแล้ว เธอเห็นชายร่างยักษ์กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงม้าหินกลางสนามและมีผู้เข้าสอบหลายสิบคนกระจายออกไปรอบๆ แต่ตามที่เธอเห็นนั้นมันก็ยังไม่น่าจะถึงร้อยคนเธอจึงคิดว่าคงจะแบ่งการสอบออกไปแบบสุ่ม
“ฮ่าๆๆ การสอบคราวนี้ใครแข่งงัดข้อกับข้าชนะจะผ่าน กำหนดผู้ผ่านแค่ยี่สิบห้าคนเท่านั้น เอ้า เร็วๆสิ! เดี๋ยวปรับตกหมดทุกคนซะหรอก!!!” หลายคนตรงนั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก จนมีคนกล้าเข้าไปงัดข้อเท่านั้นเอง เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายผู้ชายก็กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก!
กร๊อบ!
กระดูกข้อมือของเด็กหนุ่มคนนั้นแตกละเอียด มีบางส่วนแทงออกมานอกผิวหนัง เขาใบหน้าซีดเผือดแต่ไม่ส่งเสียงร้องออกสักแอะ เดินกุมข้อมือตัวเองไปทางเต็นท์พยาบาลที่เธอไม่ได้สังเกตเห็นตั้งแต่ทีแรก
“ใช้ได้ๆ ใจสู้ดี! แต่ไอ้พวกที่เหลือน่ะถ้าขลาดนักก็กลับบ้านไปดูดนมแม่ไป๊!” คำพูดที่รุนแรงทำให้คนที่เห็นตัวอย่างแล้วไม่กล้าเข้ามาประลองเลือดขึ้นหน้า ไปท้าสู้กันวนเวียนไปเรื่อยๆ แพ้ก็ไปรักษา กลับมาสู้ใหม่ จนตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นได้ผ่านไปเป็นคนแรกด้วยความสงสารจากชายร่างยักษ์
โรเวเนียที่นั่งมองอยู่เฉยๆมาตั้งนานแล้ววิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่ตนจะสอบผ่านอย่างรวดเร็ว และแล้วเธอก็ยิ้มอย่างยินดีเมื่อคิดอะไรออก ร่างบางเดินอย่างแน่วแน่ไปยืนอยู่ข้างๆโต๊ะที่กำลังท้าประลองกันอยู่จนเด็กสาวที่โดนชายร่างยักษ์บีบจนข้อมือบวกช้ำกลั้นน้ำตาแล้ววิ่งออกไปเธอก็เอ่ยขึ้น
“ขออภัยค่ะ แต่ข้าอยากจะถามท่านว่าท่านมีนามว่าอะไรหรือคะ” หน้าของเด็กสาว ฉีกยิ้มให้เห็นฟันขาวจั๊วภายใต้หนวดที่ยาวเฟิ้ม
“ฮ่าๆๆ เห็นแก่เจ้าที่กล้าถาม ข้ามีนามว่าผู้บ้าพลังอูเยซ เป็นนักรบอันดับหนึ่งของครอซแลนด์อย่างไรล่ะ” แล้วก็มองหน้าเธอครู่หนึ่ง “แล้วเจ้าไม่คิดจะมาทดสอบดูบ้างหรือ คนอื่นก็แพ้กันไปเยอะแล้วนา” ว่าแล้วก็หัวเราะฮี่ๆ
เด็กสาวนั่งลงตรงม้านั่ง วางศอกลงกับพื้นโต๊ะหิน “ข้าชื่อโรเวเนีย เป็นคนแรกที่จะชนะการประลองค่ะ!”
เสียงเชียร์จากรอบข้างดังกระหึ่มขึ้นในทันที
“สู้เค้านะ!”
“เธอต้องชนะอยู่แล้วละ!”
“เฮ้ๆ เอาเลยๆๆๆ”
และคำเชียร์อีกมากมาย
อูเยซไม่ได้โกรธเพราะเสียงเชียร์เหล่านั้น แต่ตั้งท่าเตรียมพร้อม เขาหัวเราะอย่างถูกใจ “งั้นมาดูกัน!”
ไม่ทันได้กระพริบตา แขนของชายร่างยักษ์กระแทกพื้นโต๊ะดัง ตึง! เรียกสีหน้าตกตะลึงจากรอบด้านได้เป็นอย่างดี
“...”
“...”
“เจ้าทำได้ไงน่ะ” ชายร่างยักษ์เอ่ยหลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบ ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็น ดูเหมือนผู้เข้าสอบคนอื่นๆต่างก็เป็นใจ ทั้งสนามเลยเงียบกริบรอฟังคำตอบของเด็กสาว
โรเวเนียเกาแก้มอายๆ “ก็...ท่านไม่ได้บอกว่าห้ามเสริมพลังนี่คะ” ว่าแล้วก็เงียบ รอฟังผล
“...”
“...”
“หึหึ...ฮะๆ...วะ ฮะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” อูเยซหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ถูกใจ...ถูกใจซะจริง! โอย...ฮ่าๆ เจ้าผ่าน ไปเลยๆ ข้าให้เจ้าผ่าน หึๆ...ใช้พลังได้สินะ” ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับตัวเอง
โรเวเนียรีบเดินออกมาทางประตูมิติที่เปิดขึ้นเมื่อมีคนผ่านการทดสอบ ห้องสำหรับผู้ที่ผ่านถูกประดับด้วยรูปภาพต่างๆมากมายและชั้นหนังสือยักษ์อีกสองชั้น มีโซฟาอยู่หลายตัวกลางห้อง แต่เธอก็ไม่ได้สบายใจเท่าไหร่นักเพราะลางสังหรณ์ของเธอบอกว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นซักอย่างหลังจากที่เธอออกมาแน่ๆ แล้วก็ตามคาด.....
กลับไปที่ฝ่ายอูเยซ เมื่อได้ยินโรเวเนียกล่าวดังนั้นชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาดุดันกระหายเลือดราวกับสัตว์วิเศษที่ดุร้ายในป่า
“เสริมพลังได้งั้นหรือ หึๆ เข้ามาเลย!” แขนสองข้างเกร็งนูนราวจะปริแตก เผยให้เห็นเส้นเลือดเด่นชัดตามผิวหนัง ตอนนี้เขาดูเหมือนสัตว์ประหลาดหรือพวกปีศาจไปแล้ว
พวกผู้เข้าสอบที่เอ่ยเชียร์เด็กสาวในตอนแรกต่างพากันหน้าซีด ในใจเปลี่ยนเป็นก่นด่าแล้วร่ำไห้
“เพราะเจ้าแท้ๆเชียววววววววววววววววววววววววว!!!!!!” ชายคนหนึ่งกรีดร้องโหยหวน
ส่วนฝ่ายโรเวเนียที่กังวลใจอยู่ได้ไม่นาน เสียงทักทายจากด้านหลังก็ทำเอาเธอสะดุ้งจนเกือบสะดุดหัวทิ่มพื้น
“แฮ่!”
“กรี้ดดดดดดดดดดดดดดด!!!” เด็กสาวกรีดร้องเสียงหลงอย่างลืมตัวจนผู้คนในห้องหลายคนหันมามอง เมื่อหันไปก็พบกับใบหน้าทะเล้นของเพื่อนชายเพียงคนเดียวตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่
“เธอดูตกใจนะ” ร้อยยิ้มแป้นบนใบหน้าของหนุ่มผมแดงทำให้โรเวเนียรู้สึกเกลียดจับใจ เดินไปทิ้งตัวบนโซฟาตัวหนึ่งโดยไม่ได้สังเกตว่ามีบางคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาสีเงินตวัดมามองก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือตามเดิมโดยที่คนถูกมองไม่ได้หันไปสนใจ
“โอ๋ๆ งอนเหรอเนี่ย” จาเวสวิ่งตามมาง้อ
ชิ้งงงงง!!!
เด็กสาวหันกลับไปมองอย่างดุดัน “ทำไมฉันต้องไปงอนอะไรไม่เข้าท่ากับคนไร้ค่าอย่างนายด้วย”
จาเวสคราง หงิงๆ แล้วเดินสลดไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม โรเวเนียเชิดหน้า ยังรู้สึกโมโหไม่หาย จนคนเข้ามาในห้องได้ประมาณร้อยกว่าคน อาจารย์ใหญ่อาร์ราคัสก็เดินเข้ามาในห้อง
“เอาละ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ผ่านการทดสอบกันทุกคนแล้ว ส่วนพวกที่เหลือคือคนที่ยอมแพ้” ดวงตากร้านโลกมองไปทั่วห้อง “พวกเจ้าคงสงสัยว่าทำไมถึงไม่เจอเพื่อนทุกคน ข้าจะอธิบายให้ฟังในตอนนี้ เริ่มแรกคือในการสอบครั้งนี้จะมีห้าภารกิจด้วยกัน คือภารกิจแข่งงัดข้อกับนักสู้อูเยซจะเป็นคนจากทางแดนเหนือ ภารกิจดำน้ำหาหาไข่มุกในทะเลสาปจะเป็นของคนจากทางใต้ ภารกิจต่อสู้กับวิหคลมจะเป็นคนจากทางตะวันออก คนในแดนทางตะวันตกจะเป็นด่านแย่งไข่มังกร และใครที่อยู่ในเขตแดนตรงกลาง คือเมืองเดรคาสแห่งนี้ จะได้รับภารกิจตามหาแผนที่อาณาจักรในป่า” เมื่อพูดจบ อาจารย์ใหญ่ก็ได้รับสายตางุนงงจากทั้งคนในและนอกอาณาจักร จนมีเด็กสาวผมฟ้าซอยสั้นตัดสินใจยกมือขึ้น
“เอ่อ...เมืองนี้ชื่อเดรคาสเหรอคะ ไม่ใช่ว่าเป็นเขตโรงเรียนเฉยๆเหรอคะ”
“นี่พวกเจ้ามาสอบโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเหรอ” อาร์ราคัสทำสีหน้าเหนื่อยใจ “ชื่อโรงเรียนก็ตั้งตามชื่อเมืองนั่นแหละ แล้วชื่อเมืองก็ตั้งตามชื่ออาณาจักร เพราะว่ามันอยู่ตรงกลาง”
เหล่าผู้สอบผ่านเกือบทุกคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง โรเวเนียที่รู้อยู่แล้วเหลือบไปมองคนข้างๆที่ไม่สนใจอะไรนอกจากอ่านหนังสือ
แหม น่าจับหนังสือนั่นมาเผาทิ้งซะจริงๆเลย ความคิดชั่วร้ายต่างๆเริ่มไหลเข้ามาในหัว จนอาจารย์ใหญ่กระแอมขึ้นทีหนึ่ง เจ้าคนตาสีเงินที่เธอเพิ่งเห็นว่าแม้แต่สีผมก็เป็นสีเงินก็ปิดหนังสือและหันหน้าไปมองโดยไม่สนใจอาการจดจ้องจากเธอ ผ้าคลุมบนหัวถูกปลดออกให้เจ้าของได้อ่านหนังสือสบายๆ
อะแฮ่มๆ
“เอาเป็นว่า ต่อไปนี้จะเป็นการสอบสัมภาษณ์โดยข้าจะเป็นคนทดสอบด้วยตัวเอง นั่นคือให้เจ้าทุกคนคิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวเจ้า แล้วก็มาตอบข้าพร้อมกับเหตุผล จำไว้ว่าพวกเจ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียวและข้าจะไม่สนใจว่านักเรียนของข้าจะครบร้อยคนรึเปล่า แน่นอนว้าหากข้าพอใจเจ้าอาจจะเป็นคนที่มากกว่าร้อย” เมื่อพูดจบ ชายชราก็เดินหายเข้าไปในประตูบานหนึ่งที่โผล่ขึ้นมากลางอากาศ บานประตูนั้นมีสัญลักษณ์รูปวงกลมที่เปล่งแสงสีเขียวประดับอยู่ตรงกลาง
ผู้เข้าสอบหลายคนเลือกจะเดินเข้าไปเป็นคนแรกๆแต่อีกหลายคนก็เลือกจะรอให้คนอื่นเดินเข้าไปก่อน ซึ่งเด็กสาวคือหนึ่งในนั้น
โรเวเนียเห็นคนแล้วคนเล่าหายเข้าไปในนั้น และทุกครั้งที่มีคนเข้าไปวงกลมนั้นจะเปล่งสีแดงออกมา จนเมื่อสีเขียวกลับมาอีกครั้งจะเป็นสัญญาณว่าการทดสอบได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ส่วนจาเวสที่ยังเข้าใจว่าเธองอนได้เดินเข้าไปทดสอบเป็นคนแรกๆ สงสัยคงจะเศร้าละมั้ง แต่เจ้าตัวต้นเหตุก็ไม่คิดจะไปสนใจ เพราะคนแบบเจ้านั่นเดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงเอง
โรเวเนียรอจนเหลือเธอกับชายหนุ่มผมเงินที่นั่งข้างๆ แสงบนประตูยังคงเป็นสีแดง หญิงสาวจึงหันไปสนใจหนังสือในมือเล่มนั้น
“นายอ่านอะไรอยู่น่ะ” เธอเอ่ยถาม ซึ่งก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี
“นิยาย” เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาเรียบๆ ขยับผ้าคลุมมาคลุมหัวเหมือนจะบอกว่าอย่ามายุ่ง
หญิงสาวได้ฟังก็หัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี มองสัญลักษณ์ที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว “ขอเชิญท่านเจ้าชายเข้าไปก่อนเลยค่ะ” หญิงสาวหันไปกล่าว
ดูเหมือนดวงตาสีเงินนั้นจะเบิกกว้างนิดๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง โรเวเนียชื่นชอบดวงตาของเขามากเป็นพิเศษ มันดูเปล่งประกายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็น่าแกล้งมากกว่า คิกๆ
ชายหนุ่มผมเงินเก็บหนังสือลงกระเป๋าข้างกายแล้วเดินหายเข้าไปในประตู หญิงสาวนั่งรอเงียบๆจนสัญลักษณ์กลายเป็นสีเขียวอีกครั้งจึงเดินเข้าไปบ้าง
ภายในห้องเป็นเหมือนห้องทำงานตามปกติ ชายชรานั่งรออยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มอบอุ่นส่งมาให้เธอเหมือนวันแรกที่เธอเคยพบกับเขา เด็กสาวก้าวเท้าไปนั่งตรงเก้าอี้อย่างไม่มีอาการประหม่า
“เราพบกันอีกแล้วนะสาวน้อยลมกรด” ชายชราเอ่ย “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเก่งถึงขนาดผนึกพลังเข้ากับร่างกายได้ตั้งแต่พลังเวทย์ยังไม่เสถียร”
“คงเพราะข้าทำอาหารแล้วเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆเลยต้องฝึกไว้น่ะค่ะ แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นถึงอาจารย์ใหญ่แบบนี้” เด็กสาวยิ้มแล้วเอ่ย
“ฮ่าๆ ก็ข้าอย่างเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้าง” แล้วเหมือนจะนึกขึ้นได้ “อูเยซฝากมาบอกว่า คราวหน้าให้เจ้ามาประลองกันอีกน่ะ เจ้าเด็กน้อยนั่นฝากมาบอกด้วยว่าถ้าเจอกันอีกครั้งแล้วเจ้าไม่ยอมแข่งกับเขาละก็ เขาจะไม่ให้เจ้าสอบผ่าน เจ้าโชคดีนะที่อูเยซลงมาสอนวิชาการต่อสู้มือเปล่าด้วยตัวเองเลยน่ะ” ชายชราเสริมความสยองด้วยเสียงหัวเราะ เหอๆ
เด็กสาวยิ้มแหยๆตอบรับ “นี่คือโชคดีเหรอคะ”
“เอาละ ทีนี้บอกข้ามาถึงสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้า และเหตุผลที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ” ชายชราเริ่มเข้าเรื่องหลังจากออกทะเลไปนาน เด็กสาวรวบรวมสมาธิก่อนจะเอ่ยช้าๆแต่ชัดเจน
“สำหรับข้า ชีวิตสำคัญที่สุดค่ะ เพราะพ่อแม่ข้ารักข้ายิ่งกว่าชีวิต ข้าที่รักพ่อแม่มากๆจึงคิดว่าชีวิตข้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ข้าจึงพยายามมีความสุขในแบบที่ข้าเป็น ไม่ใช่คนดีมากมายอะไรแต่ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำอะไรแย่ๆให้พ่อกับแม่ข้าต้องเสียใจ แบบนี้พอจะเป็นคำตอบได้มั้ยคะ” ดวงตาสีทองทอประกายแดงวาบชั่วขณะหนึ่ง
อาจารย์ใหญ่อาร์ราคัสยิ้มอย่างพอใจ
“สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่คำตอบที่สวยหรู แต่มันคือคำตอบที่แสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีจุดหมายของตัวเอง และเจ้ามุ่งมั่นที่จะเดินไปตามเส้นทางที่เจ้าได้เลือกเดินจริงๆ”
โรเวเนีย ราฟรานคาส เดรโครลัสเทียร์ คือคนสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกในปีนี้
..........................................................................................................................................................................
อย่างที่บอกไปนะคะ จะยังมีการใช้ ข้า-เจ้า สำหรับการพูดกับคนอายุมากกว่า เล่นเอาตาลายเลยนะเนี่ย
ความคิดเห็น