มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า
คนอยู่หลังไมค์และไฟส่องหน้ารับรอง สังคมหมิ่นมองเหมือนคนไร้ค่า เสียงก้องสองหูไม่รู้สิ้น รับคำติฉิน จนชินชาชายไหนจะมารักเราจริงใจ
ผู้เข้าชมรวม
61
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ชื่อเรื่อง มือถือไมค์...ไฟส่องหน้า
“ โชคดี...นะลูก ” เสียงของผู้เป็นแม่พูดแทบจะขาดใจจะขาดกองอยู่พื้นดิน มีมือคู่หนึ่งของผู้เป็นพ่อคอยประคองร่างที่สั่นสะอื้นด้วยความโหยหา ยิ่งใกล้ถึงเวลาที่รถจะออกจากหมู่บ้านเล็กๆ แพรว หญิงสาวที่จำต้องพลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพราะความจนเป็นเหตุ ได้วิ่งมาหาอ้อมกอดที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่เธอต้องไปดิ้นรนต่อสู้ในใต้ฟ้าเมืองใหญ่ เธอกอดร่างกายที่ผอมแห้งร่างเล็กของผู้เป็นแม่พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า “ แม่หนูรักแม่ ” เมื่อถึงเวลาที่รถเคลื่อนตัวออก สี่ล้อได้หมุนนำพาผู้คนออกไปไกลลับตาเหลือเพียงแต่ฝุ่นฟุ้งกระจายและค่อยๆล่องลอยหายไปในอากาศ
แพรวหญิงสาวที่ชอบการร้องเพลงที่ชีวิตจิตใจและมุ่งมั่นต้องใจในการมาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อมาถึงกรุงเทพ เธอได้แต่ยืนตกตะลึงตาค้างอยู่พักใหญ่เหมือนราวกับว่าโลกใบนี้หยุดหมุนทันทีที่เธอได้เห็นตึกรูปร่างใหญ่โตแปลกตา รถยนต์แปลกๆ ผู้คนแต่งตัวสวยหรูดูอย่างกับในละคร ความคิดของเธอต้องฝันสลายเมื่อมีผู้ชายร่างใหญ่ มีหนวดวิ่งเดินชนเธออย่างแรงจนข้าวของเธอกระจายไปทั่ว ร่างของเธอล้มลงอย่างกับไม่มีต้านทานของแรงผู้ชายคนนั้นได้ ผู้ชายคนนั้นหยุดวิ่งแล้วหันมาทางเธอแล้วค่อยๆเดินมาใกล้เธออย่างนี้ก็ตกใจร้องให้คนช่วยโบกไม้โบกมือปัดไปมา ชายคนนั้นก้มลงแล้วยืนมือมาพร้อมกับบอกว่า “ ขอโทษนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายคนนั้นยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แพรวหยุดร้องแล้วทำหน้างงๆ แล้วลุกด้วยตัวเอง เธอรีบเก็บของอย่างทุลักทุเลแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เธอเดินหาห้องเช่าราคาถูกๆตามซอยจนกระทั่งมืดค่ำ...เธอเดินไปอย่างไร้จุดหมายจนมาถึงร้านค้าแห่งหนึ่ง เธอนั่งพักพิงอิงกาย หงายหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า “ ถ้าเวลานี้เราคงนั่งกินข้าวกับพ่อแม่แล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อแม่จะเป็นยังไง” เธอนึกถึงภาพวันเก่าของเธอกับพ่อแม่ น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่ต้องเสียใจหรือได้รับความเจ็บปวดแต่อย่างใด และทำให้เธอมีพลังที่จะสู้ต่อไปในวันข้างหน้า เธอจึงเดินหาห้องเช่าต่อไปจนกระทั้งเจอตึกปูนสีขาวๆเหลืองๆสภาพเก่าๆเหมือนกับเจ้าของที่มีอายุราวห้าสิบเห็นจะได้ เธอเดินไปสอบถามและพูดคุยเธอจึงติดสินใจพักที่ห้องเช่าแห่งนี้
เช้าวันจันทร์ที่แสนจะวุ่นวาย เธอออกหางานทำแต่เช้าเริ่มจากโรงงานเย็บผ้า ร้านขายของก็ไม่มีคนรับเธอเข้าทำงานเลย เธอท้อแท้และสิ้นหวังเธอคิดถึงบ้าน ถ้าตอนนี้อยู่บ้านคงเดินเล่นแถวริมคลอง เก็บยอดกระถินไปต้มกินกับน้ำพริกฝีมือของแม่ที่ลงมือเมื่อไหร่ บ้านจะสั่นสะเทือนเพราะแรงตำของแม่ เธอนั่งนึกแล้วพรางหัวเราะ ระหว่างทางกลับห้องนั้นเธอเห็นป้ายติดประกาศรับสมัครนักร้องที่คาร์เฟ่เจ๊แจง เธอดีใจอย่างมากพร้อมวิ่งอย่างกับเธอกำลังลงแข่งวิ่งที่มีคู่แข่งมากมาย เธอราวกับผู้ชนะในการแข่งครั้ง เมื่อมาถึงเธอก็มาหยุดอยู่ตรงร้านคาร์เฟ่พร้อมกับซูดลมหายใจครั้งใหญ่เข้าเป็นเต็มปอดพร้อมกับเดินเข้าไปด้วยใจที่เบิกบาน เมื่อเข้าไปถึงพบพนักงานสาวๆสวยๆแต่งตัวน้อยชิ้น แต่งหน้าทาปากแดงอย่างกับลิเกงานวัดที่เธอหนีพ่อแม่ไปดู ในใจเธออยากจะหัวเราะดังๆออกมา จนกระทั้งมีคนมาสะกิดว่า “ มาทำอะไร” แพรวหันไปยิ้มกว้างพร้อมพูดว่า “มาสมัครงานคะ” หญิงคนนั้นบอกให้นั่งรอก่อน เธอทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย สักครู่หนึ่งมีสาวร่างอวบๆผมหยิกเดินมาพร้อมกับบอกว่า “ มาสมัครงานใช่ไหม ตอนนี้คนล้างจานลาออกไปหนึ่งคน เธอจะทำหรือเปล่า” แพรวก็นั่งคิดดูสักพักแล้วตอบไปว่า “ ทำค่ะทำ เริ่มงานวันไหนคะ” หญิงคนนั้นบอก “วันนี้แหล่ะ” แพรวยิ้มแป้นทันที เมื่อสาวร่างอวบพาเธอมาที่ห้องครัว แพรวเดินมาหลังหญิงคนนั้นไม่ห่างและถามเธอว่า “ชื่ออะไรหรอ” แพรวได้แต่ยิ้มแล้วตอบไปว่า “ฉันชื่อแพรวจ้ะ” แพรวถามตอบ “แล้วป้า..ชื่อ....” สาวร่างอวบหันมาพร้อมกับยิ้มมุมปาก “ฉันชื่อเจ๊แจง” แพรวหยักหน้ารับ...
เมื่อถึงคืนแห่งการทำงานแพรวได้อยู่แต่หลังครัวคอยรับจาน ชาม หม้อ มาล้างโดยมีป้าป้อมลูกจ้างอีกคนหนึ่งคอยช่วยล้างอีกแรง ป้าป้อมอายุราวห้าสิบกว่า ผมหงอกเกือบทั้งหัว ผิวพรรณไม่น่าจะมาล้างจานเลยสักนิดเพราะผิวขาวนวลละเอียด แพรวเลยชวนป้าคุยระหว่างที่กำลังเช็ดช้อนเพื่อที่จะเก็บในกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ “ป้าป้อมจ๊ะ...ป้ามาทำงานที่นี่นานยังจ๊ะ” ป้าป้อมหยุดมือพรางมองหน้าหญิงสาวแป้นแล้นแล้วพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ป้าทำงานที่นี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว เมื่อก่อนป้าเป็นนักร้องมือหนึ่งของที่นี้ แขกที่มาต้องเรียกร้องให้ขึ้นมาร้องเพลงทุกคืน ช่วงนั้นป้ารวยมากเพราะมีเสี่ยคอยเลี้ยง” ป้าพูดพร้อมกับมองไปทางเวทีและพูดต่อว่า “ แต่กาลเวลาก็พัดพาอายุให้เกินวัยเรียกแขก มีสาวๆสวยๆแต่งตัวน้อยชิ้นเข้ามาเยอะแขกจึงหันไปสนใจสาวสวยพวกนั้นเลยทำให้ป้าตกกระป๋องมาล้างจานอยู่หลังครัว “ แพรวเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ไปถามคำถามแทงใจกับป้า แพรวจึงวางผ้าเช็ดช้อนและเดินมานั่งเก้าอี้ไม้เตี้ยๆแล้วพูดขึ้นว่า “ป้า...ป้ารู้ไหมว่า ฉันชอบร้องเพลงนะ ตอนอยู่บ้านนอกนะ ฉันร้องเพลงทั้งวันจนแม่โยนกะละมังใส่ฉันแหน่ะ...” ป้าก็ยิ้มและหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ ไหนๆร้องให้ฟังหน่อยสิ” แพรวรีบหาอุปกรณ์แถวๆนั้นสิ่งที่คว้ามาได้ตอนนั้นคือ สากกะเบือ และร้องเพลงพรางเต้นเป็นจังหวะที่เคยชิน “ เขยิบๆๆๆเข้ามากระแซะๆๆๆเข้ามาซิ เขยิบๆๆๆเข้ามาซิ กระแซะๆๆๆเข้ามาซิ” ป้าคงนึกถึงตัวเองตอนสาวๆที่ร้องเพลงนี้บนเวทีก็หัวเราะชอบใจ ในเมื่อสาวสองวัยหัวใจร้องเพลงมาเจอกัน ทำให้การทำงานของทั้งสองก็มีแต่เสียงเพลงลูกทุ่ง
เวลาล่วงผ่านไปนับเดือน แพรวยังคงทำงานล้างจานหลังครัวพร้อมกับร้องเพลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งคนมีหูสวรรค์ที่ได้ยินเสียงร้องของแพรวจึงเดินตรงอย่างประหลาดใจ พร้อมกับแซวป้าป้อมว่า “ แหม๋ ป้าเสียงดีไม่มีตกเลยนะ...ฟังกี่ทีๆก็ยังเพราะอยู่เลยนะ” พร้อมกับหัวเราะชอบใจ ป้าป้อมทำหน้างงๆพร้อมกับหันไปทางแพรวที่กำลังมัดถุงขยะใบใหญ่อยู่ด้านหลังของครัว พร้อมพูดว่า “ เจ๊แจง...ไม่ใช่เสียงของฉันหรอกนะ พร้อมกับสะบัดหน้าเบาๆไปทางแพรว นู้นๆเสียงใสๆเพราะๆอยู่ทางนู้น” เจ๊แจงทำตาโตแทบจะหลุดออกจากเบ้าเหมือนกับเห็นสิ่งประหลาดจากนอกโลก เจ๊แจงเรียนแพรวมาใกล้ๆและร้องเพลงให้เจ๊ฟัง แพรวทำตามอย่างว่าง่าย เธอซูดหายใจฟอดใหญ่และเปล่งเสียงร้องออกมา “ หนุ่มทุ่งกระโจมทอง ฝากเพลงรักลอยล่อง สู่ห้องใจฉัน เสียงเพลงที่ครวญ ชวนใจหวั่น ฝากรำพันถึงเพชรบุรี” เจ๊แจงถึงกับมองหน้าป้าป้อมพร้อมกับพยักหน้าด้วยความยินดรยินชอบ ความฝันของแพรวใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...
วันแห่งความฝันก็มาถึงเมื่อชบานักร้องมือหนึ่งของที่นี่ลาออกไปแต่งงานที่หนองคาย เลยทำให้ที่ร้านขาดนักร้อง เจ๊แจงให้คนไปเรียกแพรวออกมาพบ เมื่อเธอมาถึงเจ๊ก็ให้ร้องเพลงให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างชอบใจและรู้สึกประหลาดว่าทำไมถึงร้องเพราะขนาดนี้ บางคนที่เป็นลูกจ้างเก่าก็นึกถึงป้าป้อมในสมัยนั้นและลงความเห็นว่าให้ร้องเพลงเรียกแขกคืนนี้เลย...เจ๊แจงจึงรีบพาแพรวไปให้พระที่ตนนับถือแถวๆนั้นตั้งชื่อให้ เมื่อถึงวัดทั้งสามคนก็พาไปหาหลวงลุงให้ตั้งชื่อให้ หลวงลุงเปิดตำราอะไรสักอย่างเป็นเล่มหนาสภาพเก่ามากเพราะกระดาษเป็นสีเหลืองๆดำๆ หลวงลุงจึงให้ชื่อนี้มาว่า แพรวพรรณ พรนารายณ์ ทั้งสามคนหันหน้ามองกันแล้วยิ้มอย่างรู้คำตอบว่าเห็นด้วย... เมื่อมาถึงที่ร้านป้าป้อมก็หายไปสักครู่ก็กลับมาพร้อมกับชุดราตรีสีแดงยาวลากพื้นประดับด้วยเลื่อมทั้งชุดทำให้ดูแวววาวระยิบระยับ พร้อมกับยื่นให้แพรวใส่คืนนี้ เธอก็ดีใจอย่างมากพร้อมกับสวมกอดแทนคำว่าขอบคุณ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่แพรวจะขึ้นร้องเพลงเจ๊แจงก็ขึ้นประกาศว่าจะมีนักร้องคนใหม่ของที่ร้านมาร้องขับกล่อมให้แขกฟังในวันนี้ เธอมีนามว่า แพรวพรรณ พรนารายณ์ เสียงดนตรีก็ดังขึ้นซึ่งเพลงที่เธอร้องเป็นเพลงแรกของเธอคือเพลง “นักร้องบ้านนอก” แพรวเดินขึ้นบันไดอย่างช้าๆแสงไฟสาดส่องมาที่เธอ ทุกสายตาจับจ้องมาบนที่เวทีที่เธอใส่ชุดสีแดงสง่างาม ยิ่งแสงไฟสาดส่องยิ่งทำให้ชุดของเธอเปล่งประกายขึ้นมาราวกับนางฟ้า เมื่อเธอร้องขึ้นมา “ เมื่อสุริยนย่ำสนธยา หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง ให้มาคิดถึงท้องทุ่งนาเสียจัง ป่านฉะนี้คงคอยหวัง เมื่อไหร่จะกลับบ้านนา” ทุกคนต่างปรบมือดังสนั่นร้าน เพราะไม่เชื่อว่าเธอจะร้องได้สะกดคนฟังได้ขนาดนี้ ขณะเดียวกันเสี่ยจวงก็กำลังเดินเข้าร้านในเวลาที่พอเหมาะ ได้ยินเสียงนี้ก็รีบวิ่งมาที่ต้นเสียงอย่างประหลาดใจ เมื่อเสี่ยเห็นก็รีบควักเงินตรงไปหน้าเวทีที่เธอกำลังร่ายร้องเพลงอยู่...เสี่ยจวงยื่นให้แพรวไปสามพันบาท เธอรับเงินจากมือเสี่ยด้วยความดีใจ...เมื่อค่ำคืนแห่งความสุขของเธอผ่านพ้นไป ชื่อเสียงของเธอก็แพร่กระจายออกไปถึงเสียงร้องที่สะกดคนฟัง ทำให้ทุกๆคืนจะมีคนเข้าร้านมากขึ้นจนต้องขยายกิจการออกไป...เธอร้องเพลงเช่นนี้อยู่หลายเดือนเงินทองที่ได้จากการร้องเพลงก็มากพอที่จะส่งให้พ่อแม่ที่บ้านนอก เธอไม่สนใจเรื่องที่จะมีแฟนเลยสักนิด ขนาดเสี่ยบางคนเสนอรถยนต์ราคาหลายแสน ชุดเครื่องเพชรมากมายเธอกกลับปฎิเสธไม่ยอมรับมันเพราะเธอเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่เธอเป็นอย่างดี จนกระทั้งวันนี้เป็นวันเสาร์แขกเข้ามาเร็วกว่าทุกวัน...แพรวก็รีบเร่งแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มีกระจกบานใหญ่และอุปกรณ์เสริมสวยหลายชนิด ด้านหลังเธอมีราวแขวนชุดที่เธอจะใส่ในแต่ละวันอยู่สองถึงสามราว เมื่อถึงเวลาขึ้นร้องเพลเธอก็บรรเลงเพลงตามปกติ เธอร้องได้สี่ห้าเพลงกำลังจะร้องเพลงต่อไปเธอได้พบชายคนหนึ่งมานั่งดื่มเหล้าอยู่เดียวดายใบหน้าของชายคนนั้นช่างเศร้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอร้องเพลงไปเรื่อยแต่สายตาของเธอกลับจดจ้องอยู่ที่ชายหน้าเศร้า จนเธอร้องเพลงเสร็จจึงเดินเข้ามาหาชายคนนั้น...เมื่อมาถึงเธอก็จำได้ว่าเป็นชายที่ชนเดินจนล้มเมื่อหลายเดือนก่อนนี้เอง คุยไปคุยมาจึงรู้ว่าชายคนนั้นชื่อ เอก ทั้งคู่คุยกันถูกคอถูกใจอย่างมาก ทำให้เอกมาหาแพรวทุกคืน วันไหนที่เอกไม่มาแพรวก็รู้สึกเศร้าใจที่เอกไม่มาให้เธอสบตาเวลาร้องเพลงอย่างคืนก่อน...
“ แพรวผมรักคุณ” เป็นคำพูดที่ทำให้แพรวถึงกับนิ่งไปพักใหญ่ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมา เธอยอมรับเป็นแฟนกับเอกอย่างเต็มใจ เธอไปกินข้าว ดูหนังกันอย่างมีความสุข เอกกับแพรวคบกันได้สามเดือนกว่าแล้วดูเหมือนว่าความรักของทั้งสองจะหวานจนมดเรียกพี่ก็ตาม...แต่แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องเสียน้ำตาเพราะความรักก็มาถึง...ในค่ำคืนที่เพลงร้องเพลงตามปกติอยู่นั้นโดยที่มีเอกนั่งฟังอยู่ด้วย แม่ของเอกซึ่งเป็นถึงคุณหญิงกมลาวรรณได้มาตามตัวลูกชายถึงที่ร้าน เธอเดินตรงมาหาลูกชายด้วยใบหน้าโกรธแค้นอย่างมาก คุณหญิงได้จับแขนลูกชายของเขา ดึงออกจากโต๊ะแต่เอกไม่ยอม ทำให้แม่ลูกทะเลาะกันอย่างมาก ขณะที่แพรวกำลังเดินมาเอก คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “นี่ใช่ไหม แม่นักร้องเสียงทอง” เอกจับมือแพรวแล้วพยักหน้า คุณหญิงทำตาดุใส่แพรวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “ อีพวกนักร้องเต้นกินรำกินอย่างเธอ คงผ่านอะไรมากแล้วซินะ...หวังจะมารวยทางอ้อมโดยเอาตัวเข้าแลกเนี่ย...มันไม่คุ้มหรอกนะ อีนังคนชั้นต่ำ” แพรวถึงกับทรุดตัวนั่งบนโซฟา น้ำตาไหลออกมากับคำดูถูกของคนรวย เธอมองเอกที่กำลังถึงแม่ของเขาลากออกไป เธอจึงกลับไปที่ห้องปิดไฟมืดจนมองไม่เห็น ดีที่ไฟจากข้างทางส่องเข้ามาให้เห็นร่างหญิงสาวที่หัวใจบอบช้ำในความมืดสลัวๆ แพรวนั่งหน้ากระจกพร้อมเอามือเช็ดน้ำตาแห่งความเสียใจ...ทำไม ทำไม นี่คือคำถามที่อยู่ในหัวของเธอ...เธอนั่งกอดเข่าร้องไห้เสียใจและมองไปที่วิทยุเก่าๆเธอจึงเปิดคลื่นวิทยุโปรดเมื่อได้ยินเนื้อเพลงมือถือไมค์ไฟส่องหน้า ของสุนารีที่ว่า “ คนอยู่หลังไมค์และไฟส่องหน้ารับรอง สังคมหมิ่นมองเหมือนคนไร้ค่า เสียงก้องสองหูไม่รู้สิ้น รับคำติฉิน จนชินชาชายไหนจะมารักเราจริงใจ” เธอบอกกับตัวเองว่าวันนี้ร้องไห้ให้พอให้จบในวันนี้ให้เจ็บแค่วันนี้วันเดียว และพรุ่งนี้เธอก็จะทำหน้าที่มือถือไมค์ไฟส่องหน้าอย่างที่เธอเคยเป็น...
ผลงานอื่นๆ ของ weepech ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ weepech
ความคิดเห็น