ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปราบผีมือใหม่...(จำยอม)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 เรือนไม้เก่า

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 48


    แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้าอมรเมืองกรุง  มียอดตึกสูง และกลุ่มควันพิษคอยต้อนรับ  ท่ามกลางความสับสนของผู้คนที่รีบเร่งมีน้อยนักที่จะทักทายอรุณรุ่งเพราะหลายชีวิตยังติดอยู่บนรถยนต์ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง   ผมเองก็เช่นกันที่ต้องรีบตื่น เพื่อไปจับจองที่สำหรับยืนโหนรถเมล์ไปทำงาน   แต่คงต้องทนอยู่ในสภาพนี้อีกไม่นานนักหรอกเพราะผมกำลังจะย้ายไปอยู่ในหอพักอาจารย์ของวิทยาลัยอาทิตย์หน้า



    “ชิดในเพ่  ชิดใน”      กระเป๋ารถเมล์เขย่ากระบอกเหรียญเสียงดังแล้วร้องตะโกนบอกให้ผู้โดยสารที่ออแน่นอยู่ด้านหน้าถ่อยไปข้างใน  ผู้โดยสารใหม่ๆ จะได้มีพื้นที่ยืนแต่ในเมื่อคนจะลงยังไม่หมดแล้วคนจะขึ้นก็ยืนเบียดความไม่เป็นระเบียบเลยทำให้ล่าช้า  ผมได้แต่ถอนใจ  ต่างคนต่างรีบแต่ถ้าหยุดให้คนลงเสียก่อนคนขึ้นค่อยก้าวจะไม่เร็วกว่าหรือ



    ยืนโหนรถอย่างซวนเซเพราะถูกดันมาจากข้างหลัง   ผมได้แต่หันมองอย่างตำหนิเห็นนักศึกษาใส่สูทสีกรมท่าหลายคนที่เบียดกันลงอย่างรีบเร่ง



    “ชุดคุ้นๆ นะ”      แต่กว่าจะนึกได้ว่านั่นเป็นชุดนักศึกษาแผนกการท่องเที่ยวของวิทยาลัยผมเองรถเมล์ก็เคลื่อนตัวออกไปแล้ว



    “เฮ้ย!! ต้องลงป้ายนี้นี่หว่า!!”    ผมรีบเบียดไปกดกริ่งลงถึงคราที่ตัวเองต้องทำเป็นไม่สนใจสายตาตำหนิของคนรอบข้างบ้างแล้ว  เพราะหากต้องลงป้ายหน้าล่ะก็ผมคงติดแหงกบนรถอีกนาน



    ในที่สุดผมก็ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างมาเพราะรถเมล์ไม่จอดนอกป้ายและหากมัวเสียเวลาเดินกลับผมคงไม่ทันเข้าสอนชั่วโมงแรกแน่



    “นักศึกษาเคารพ - - - - สวัสดีครับ/ค่ะ”    



    ผมกล่าวทักตอบพยายามซ่อนอาการเหนื่อยหอบซี่โครงบานไว้ก่อน   “สวัสดีครับ  วันนี้ผมจะขึ้นเรื่องใหม่ในบทที่ 2   วิธีการบันทึกรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากยอดขาย  ทุกคนเปิดหนังสือหน้า 63   จะเห็นได้ว่าการประมาณค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเราประมาณได้ 2 วิธี คือจากยอดขายและจากยอดลูกหนี้….”  



    ผมมองนักศึกษาเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายที่แสดงออกอย่างชัดเจน  หลายคนยังเปิดหน้าหนังสือไม่เจอเลย และอีกหลายคนที่ยังหาหนังสือเรียนไม่เจอด้วยซ้ำ    บัญชีดูจะเป็นวิชาที่น่าเบื่อสำหรับพวกเขาผิดกับสีหน้าสนุกสนานแจ่มใสยามที่เข้าเรียนวิชาพละศึกษา  ทำกิจกรรม  หรือวิชาอื่นๆ  หากวิชานี้ไม่ใช่วิชาบังคับล่ะก็คงไม่มีคนลงทะเบียนเรียนแน่



    “นี่กรอกใบประเมินเสร็จหรือยัง”    เสียงกระซิบของนักศึกษาสาวๆ ด้านหน้า ทำให้ผมที่ยืนเขียนไวท์บอร์ดอยู่หูพึ่ง  แต่จะทำเหมือนสนใจแอบฟังอยู่ก็ไม่ได้ แม้ปากจะอธิบายไปเรื่อยๆ แต่หูยังทำงานต่อไปด้วยความสนใจ



    ใบประเมินที่พวกเธอพูดถึงคือการประเมินวิชาที่นักศึกษาเรียนว่ามีความเข้าใจในเนื้อหามากน้อยแค่ไหน  รวมถึงประเมินผู้สอนด้วย   และเพราะกระดาษบางๆ จำนวนไม่กี่แผ่นในมือนักศึกษาแต่ละคนจะมีผลชี้วัดมาตรฐานบรรดาอาจารย์  



    แม้จะบอกว่าคะแนนพวกนี้เป็นความลับ   แต่ความเป็นจริงคือในงานประจำปีของวิทยาลัยมีการจัดอันดับความนิยม  และรับรางวัล “ตะวันดวงเด่น”   โดยแต่งตั้งจากผู้มีค่าเฉลี่ยความนิยมจากคะแนนของนักศึกษาสูงเป็นอันดับหนึ่ง



    ผมไม่คิดสนใจอันดับหนึ่งที่ว่านั่นหรอกครับเพราะรู้ดีว่าไม่ใช่ผมแน่   แต่ที่ผมต้องคอยสนใจคืออีกรางวัลหนึ่งต่างหากล่ะ    ในเมื่อมี “ตะวันดวงเด่น”   ก็ต้องมีตำแหน่งที่ได้รับเลือกจากอาจารย์ผู้มีความนิยมน้อยที่สุดและขึ้นรับรางวัล “ไก่ขันชมจันทร์”    เปรียบเหมือนการกระตุ้นให้เจ้าไก่ตัวนั้นรับรู้และเพิ่มความพยายามเพื่อให้ได้ขันรับตะวันในการประเมินผลปีข้างหน้า  





    ผมตรวจงานที่สั่งเป็นการบ้านคราวก่อนระหว่างที่ให้นักศึกษานั่งทำแบบฝึกหัดท้ายชั่วโมง  ดูพวกเขาจะไม่กระตือรือร้นสักเท่าไร   มีเสียงพูดคุยกันดังขึ้นเป็นระยะๆ ผมต้องคอยปรามเป็นระยะๆ เช่นกัน  เพื่อไม่ให้เสียงดังจนเกินไปรบกวนนักศึกษาคนอื่นๆ หรือห้องข้างเคียง   ใช่ว่าผมอยากทำ อยากว่าปรามนะเพราะพวกนักศึกษาก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ กันแล้วอยู่ในช่วงวัยรุ่นมีบางคนตัวโตกว่าผมอีก  



    วิชาบัญชีต้องอาศัยความเข้าใจและทักษะไม่ใช่แต่จะอาศัยความจำเพียงอย่างเดียว   ใจจริงผมก็ไม่อยากจะสั่งการบ้านหรือสั่งให้ทำแบบฝึกหัดนักหรอก   คิดว่าการนั่งตรวจลายมือหวัดๆ พวกนี้แล้วสบายตาสบายใจนักรึ?  

    บางคนเขียนตัวเล็กเรียบเส้นบรรทัดแทบจะอยู่ระนาบเดียวกัน  พอตีเส้นกำกับก็แทบจะมองไม่เห็นเลยว่าตัวอะไรเพราะเส้นมันบังตัวเลขหมด    ผมเพ่งจนตาแทบทะลักจากเบ้าสงสัยปีหน้าคงต้องตัดแว่นแน่ๆ    



    บางคนตรวจดูก็รู้เลยว่าลอกเพื่อนมาเพราะตัวเลขที่คำนวนเขียนไว้ผิดบรรทัดแต่ยังอุตส่าห์ตอบถูกอีกช่างเหลือเชื่อจริงๆ



    “เมื่อเช้าเจ๊แอ๋วท่องเที่ยวกระซิบบอกมาว่าเห็น ’จารย์วีร์  ตกรถเมล์ ยืนเลยป้ายแหละแก…”  



    เสียงสาวน้อยที่ดังไม่น้อยลอยเข้าหูต้องลอบถอนใจเมื่อเช้าถูกเห็นจริงๆ ด้วยสงสัยคงเป็นคนที่รีบลงรถแน่ๆ  ผมไม่โกรธหรอกนะที่ถูกนำมาเป็นหัวข้อสนทนาอย่างร่าเริงเมื่อเห็นคนอื่นผิดพลาด   แต่ให้ดีน่าจะสะกิดกันด้วยตอนลงรถผมจะได้ประหยัดค่าจ้างมอเตอร์ไซด์มาส่ง



    แค่ป้ายรถเมล์เดียวพี่วินฯ เล่นผมซะ 80 บาท วันนี้เหลือติดกระเป๋าแค่ร้อยกว่าบาทเท่านั้นเองแต่อาจารย์เล็กๆ อย่างผมจะทำอย่างไรได้  คิดจะย้ายมาอยู่หอพักอาจารย์เพื่อจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายแถมตื่นสายได้ไม่ต้องคอยเบียดเสียดบนรถเมล์แน่นๆ  แต่ทำเรื่องมานานสองปีแล้วพึ่งจะผ่าน



    ......................

    ...................................................





    พักกลางวันแล้วแต่กองการบ้านนักศึกษายังตรวจไม่เสร็จเลย   “อุวะ… หมึกก็ยังไม่หมดนี่หว่าไหงขีดไม่ออก”  ปากกาเจ้ากรรมทรยศผมเสียแล้วซื้อมาด้ามละ 5 บาทใช้ไม่คุ้มเลยแฮะดูสิ หมึกยังเหลืออีกตั้งครึ่ง  ผมพยายามสะบัดๆ เรียกหมึก  อย่าหาว่างกเลยนะ แต่ด้วยเงินเดือนต้นชนปลายอย่างผมต้องใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่า คุ้มราคาของมันหน่อย



    “อุ๊ย!!  ตายแล้ว”  



    เสียงอุทานของสาวร่างบางในชุดแซกสีงาช้างดังขึ้นทันทีที่หมึกสีแดงดวงใหญ่ลอยไปติดเสื้อเธอ  เธอยังไม่ตายเหมือนที่เธออุทาน  แต่คนที่อาจตายคือผมต่างหาก



    “ขอโทษครับอาจารย์หน่อย  ขอโทษจริงๆ ผมไม่ตั้งใจ”    ผมอยากจะช่วยเช็ดนะ แต่รู้ดีว่ารอยหมึกคงไม่ออกง่ายๆ แค่ใช้ทิชชู่เช็ดแน่  ดูแล้วเสื้อเธอราคาไม่น้อยด้วย โอ๊ย!!  เจ้าปากกาบ้าผมจะเอาตังค์ที่ไหนไปออกค่าซักรีดให้เธอล่ะเนี้ยมีอยู่ร้อยกว่าบาทไม่รู้พอหรือเปล่ามันน่าหักทิ้งนักเชียว



    “ไม่เป็นอะไรค่ะ  อาจารย์วีร์  เดี๋ยวหน่อยจัดการเองได้  พอดีช่วงบ่ายไม่มีสอนด้วย”  เธอบอกพร้อมรอยยิ้มให้กำลังใจผมที่ป่านนี้คงหน้าเสียดูไม่ได้ในสายตาเธอ    นี่แหละครับยิ้มของแม่พิมพ์ชาติผู้แสนดีและแสนสวย  สมแล้วที่เธอได้รับโหวตตำแหน่ง  “ตะวันดวงเด่น” ปีที่แล้ว



    “อาจารย์วีร์ยังไม่ไปพักอีกหรือคะ  ตอนบ่ายมีสอนด้วยนี่”     นอกจากไม่โกรธแล้วเธอยังห่วงใยถามไถ่ถึงผมด้วย  คิดแล้วน่าสลดใจจริงๆ  ผมนั้นแอบปลื้มแอบมองเธออยู่เสมอ  แต่ยังจำตารางสอนของเธอไม่ได้เลย  เธอเสียอีกจำตารางสอนของ “ไก่ขันชมจันทร์”  อย่างผมได้    



    ใช่แล้วครับ  เธอคือผู้เป็นมิส  “ตะวันดวงเด่น”   ส่วนผมคือมิสเตอร์  “ไก่ขันชมจันทร์”  ผู้ไม่เอาไหนทั้งที่ได้ยืนคู่เธอรับรางวัลเมื่อปีที่แล้ว  แต่ความแตกต่างของมันคือระยะห่างมันไกลเหมือนตะวัน-จันทรา  คงไม่วันได้มาเจอกัน  ยกเว้นตอนถูกราหูอมจันทร์อ่ะนะ



    “ผมตรวจงานเด็กๆ เสร็จแล้วค่อยไปพักน่ะครับ    เอ่อ..ผมต้องขอโทษอาจารย์หน่อยอีกครั้งเรื่องเสื้อ”   ผมได้แต่บอกขอโทษเสียงอ่อยๆ  ไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้าเธอ



    “อาจารย์วีร์ขยันแบบนี้คงได้เป็นตะวันดวงเด่นปีนี้แน่ๆ ค่ะ”    



    คำพูดให้กำลังใจผมดูเหมือนเป็นศรแทงใจเสียมากกว่า  แต่พอมองเห็นหน้าตาที่จริงใจใสซื่อของเธอผมก็ได้ยิ้มรับถึงแม้จะรู้ดีว่าปีนี้หรือปีไหนๆ อาจารย์วีร์  คนนี้ก็ไม่มีทางได้เป็น ตะวันดวงเด่น   แค่ไม่ต้องเป็นไก่ขันชมจันทร์ก็บุญผมแล้วครับ



    “ได้ข่าวว่าอาจารย์วีร์จะเข้าอยู่ที่เรือนไม้เก่าด้านหลังหรือคะ”    เธอเก็บข้าวของพลางชวนคุย แต่ผมสิใบ้รับประทานเลย..  เรือนไม้เก่า?  



    ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย ก็ตอนทำเรื่องขอพักน่ะ  ผมขอเข้าอยู่ที่หอพักครู-อาจารย์ไม่ใช่เหรอ  แล้วมันก็เป็นตึกสูงสี่ชั้นใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ด้านข้างของวิทยาลัย     ส่วนด้านหลังวิทยาลัยผมเห็นมีแต่ต้นไม้รกครึ้มกับดงกล้วย    ทราบว่าแต่ก่อนเคยใช้เป็นสถานที่สอนวิชาเกษตรกรรมแต่ปัจจุบันวิชานี้ไม่มีการเรียนการสอนแล้วเพราะไม่มีเด็กๆ ลงทะเบียนเรียนเพราะหันไปเรียนวิชาคอมพิวเตอร์กันหมด   ที่ดินบริเวณนั้นจึงถูกปล่อยร้างทางวิทยาลัยเองก็เห็นว่าไม่มีงบประมาณไปปรับปรุง



    สีหน้างงงวยของผมทำให้เธอคิดว่าผมคงยังไม่ได้ข่าว   “หน่อยทราบจากอาจารย์เกศ ค่ะ  เห็นเธอบอกว่าเรื่องที่พักที่คุณยื่นเรื่องผ่านแล้วก็จริงแต่ตอนนี้ไม่มีห้องพักว่างอยู่เลย   อาจารย์กุ๊กไก่ที่แต่แรกว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกมาเปลี่ยนใจที่หลังไม่ออกไปแล้วค่ะ”



    และจริงอย่างที่เธอว่าหลังเลิกเรียนผมถูกอาจารย์เกศ ผู้ช่วยฝ่ายธุรการผู้มีอาวุโสสูงเป็นที่เคารพรักของผมและบรรดาครู-อาจารย์รวมถึงนักศึกษาที่ถูกใจในความเฮียบเจ้าระเบียบเรียกพบไปคุยเรื่องที่พักนี่แหละ    



    “วีร์  พี่ต้องขอโทษเธอด้วยนะเรื่องที่พัก  มันไม่มีห้องว่างเลยจริงๆ   มีว่างอยู่ที่เรือนไม้เก่าด้านหลังเท่านั้นเองแต่ที่นั่นมันร้างมานานแล้วปกติไม่มีใครไปอยู่หรอกโดยเฉพาะอาจารย์ผู้หญิงยิ่งไม่กล้าเข้าเลย  แต่พี่เห็นเธอเป็นผู้ชายคิดว่าคงไม่เป็นไร  อีกอย่างแม้มันจะเก่าไปบ้างแต่ก็กว้างขวางเป็นสัดเป็นส่วนไม่มีใครรบกวน”  



    ไม่มีใครรบกวนหรือไม่มีใครกล้าเข้าไปเพื่อทำความรบกวนกันแน่ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิ   เพราะถ้ามันดีจริงถึงอาจารย์ผู้หญิงทั้งหลายไม่กล้าไปพัก  แต่ในวิทยาลัยก็มีอาจารย์ผู้ชายอกสามสี่ศอกอยู่หลายคน ทำไมพวกเขาเหล่านั้นไม่คิดจะไปพักที่เรือนไม้เก่ากันบ้างล่ะ



    ผมใช้เวลาครุ่นคิดทบทวนดูครู่หนึ่งก่อนเลือกตัดสินใจอยู่พักที่เรือนไม้เก่าหลังวิทยาลัยจึงบอกยืนยันความประสงค์ของตนเองกับอาจารย์เกศไป   แม้จะไม่ค่อยมั่นใจกับที่อยู่ใหม่นักเพราะฟังมาว่ามันเก่าและทรุดโทรมมากแต่ทำไงได้ในเมื่อผมบอกเลิกบ้านเช่าที่อยู่ตอนนี้และเตรียมย้ายออกสิ้นอาทิตย์แล้วด้วยเงินประกันอะไรก็เคลียกันเรียบร้อยจะไปหาที่พักใหม่ก็ไม่รู้จะทันไหมได้แต่ยอมรับอยู่ที่เรือนไม้เก่าไปก่อน



    ผมได้แต่หวังว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดนะ….





    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×