คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : น้องลูกพรุน 2
“ลูกพรุนหนูไปเอาพวกหมูแผ่น หมูยอในครัวมาให้พี่เขาที่”
“ไม่ต้องครับพ่อ แค่นี้ก็พอ” บอลตักน้ำซุปรากบัวตุ๋นเข้าปากดังซู้ด ก่อนจะหันไปชมฝีมือทำอาหารของน้องสาว “อร่อยมากลูกพรุน พี่ไม่รบกวนเธอแล้ว เดี๋ยวกินเสร็จจะเอาไปล้างเก็บเอง ขึ้นไปนอนพักเสียเถอะ”
“ใช่ ลูกพรุนหนูไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวพ่อก็จะไปนอนเหมือนกัน อาบอลกินเสร็จแล้วก็รีบเข้านอนนะลูก” กำลังจะปลีกตัวไปก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนมีของสำคัญอยากให้ลูกๆ ดู แต่คืนนี้ดึกแล้วเห็นจะไม่เหมาะ “ลูกบอล ลูกพรุน พรุ่งนี้กลับบ้านกันไวๆ หน่อยนะพ่อมีอะไรจะให้ลูกดู” พูดจบคุณพ่อผู้มีผมน้อยเส้นก็เดินกอดกระเป๋าพลางฮัมเพลงกระบี่ไร้เทียมทานไปพลางอย่างอารมณ์ดี
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่มคือปลานึ่งบ๊วย เนื้อปลาสุกได้ที่ เสี่ยเม้งบอกว่าปลายังสดเนื้อจึงทั้งหวานทั้งนุ่ม แต่ความจริงมันไม่สดแล้วนี่! สำหรับพีจี ปลาสดคือปลาที่ยังดิ้นกระแด่วๆ อยู่ในจาน ไม่ใช่นอนตายควันฉุยแบบนี้
องครักษ์หนุ่มเหลือบมองไปทางคุณปลาหมึก จานที่วางอยู่ตรงหน้านั้นคือปูนิ่มผัดผงกระหรี่ กลิ่นเครื่องเทศฉุนกว่าของตนเองเสียอีก แน่นอนว่าสีหน้าของเจ้านายไม่สู้จะดีนัก และเจ้าปูตัวน้อยก็ไม่สดจริงอย่างที่เสี่ยเม้งบอก เพราะตาไม่กระดิก อาหารที่เคลื่อนไหวไม่ได้แบบนี้มันน่ากินตรงไหนนะ พีจีได้แต่ใช้ส้อมจิ้มๆ สะกิดๆ เจ้าปลานึ่งบ๊วยในจานหวังว่ามันจะกระดิกหางรับให้ชื่นใจสักนิด
เมื่อทนการรบเร้าของเจ้าของบ้านไม่ไหว ปลาหมึกจึงตัดสินใจตักอาหารเข้าปาก “อุ๊!!” ชายหนุ่มอุทานก่อนจะยกมือปิดปากตัวสั่นสะท้าน
“หรือว่าในอาหารมียาพิษ?” พีจีสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะกระโดดขึ้นโต๊ะพลางตวัดใบมีดขนนกที่ซ่อนในแขนเสื้อออกมา เขาเกือบจะตวาดให้เสี่ยเม้งมอบยาถอนพิษมาแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงปลาหมึกกล่าวประโยคถัดมาเสียก่อน
“อร่อย!” ชายหนุ่มตักปูนิ่มผัดผงกระหรี่เข้าปากอีกคำโต แล้วหลับตาส่งเสียงครางเบาๆ “รสชาติดีอะไรเช่นนี้”
“ไม่มียาพิษหรือครับ” พีจีถามตาเหลือกค้างด้วยความประหลาดใจ
“ก็ไม่มีน่ะสิ” ปลาหมึกตอบก่อนจะขมวดคิ้วตำหนิ “แล้วนายขึ้นไปนั่งทำอะไรบนโต๊ะ มีมารยาทหน่อยสิพีจี”
นอกจากไม่มียาพิษแล้วเจ้านายยังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยยอดองครักษ์ที่หลงเข้าใจผิดรีบโขกศีรษะกับพื้นโต๊ะดังโป้กๆ “ขออภัยที่เสียมารยาทครับ”
“ไม่เป็นไรๆ” เสี่ยเม้งลูบเคราขาวโพลนก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบอกชอบใจ “ความจริงคนเป็นบอดี้การ์ดก็ต้องกระตือรือร้นและเอาใจใส่ในงานอย่างพีจี นี่แหละดีแล้ว”
หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะตะกายลงมาจากโต๊ะแล้วตักปลานึ่งบ๊วยเข้าปากแก้เก้อ “อุ๊!!” ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างกลมโต
“อร่อยใช่ไหมละ” ปลาหมึกที่จ้องจับผิดอยู่มองเหล่ลูกน้องที่นั่งขนลุกซู่กับความประทับใจในโอชารส
“กิ๊บ!” พีจีพยักหน้าถี่ๆ แล้วเผลอตอบรับด้วยภาษาท้องถิ่นของตัวเองออกไป ดีที่คนอื่นไม่ทันสังเกต
“ชอบก็กินเยอะๆ นะไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าของบ้านกล่าว “ตอนนี้ลุงให้คนไปจัดห้องพักให้ปลาหมึกกับพีจีแล้ว อยู่ทางซีกตะวันออกของตัวบ้านจะได้มีความเป็นส่วนตัวตามประสาคนหนุ่ม เรื่องอาหารการกินก็มากินพร้อมกับลุงที่ตึกใหญ่นี่แหละจะให้คนจัดอาหารจำพวกปูกับปลาให้เป็นพิเศษ หรือถ้าอยากกินเมนูอะไรก็บอกล่วงหน้าได้”
“ขอบคุณครับ” ปลาหมึกกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ เพราะรู้ดีว่าต่อให้สะกดจิตเก่งแค่ไหนถ้าเจ้าตัวไม่มีความปรารถนาดีอยู่ในใจแล้วก็คงไม่อาจแสดงความอารีได้ขนาดนี้
“แล้วพรุ่งนี้วางแผนไว้หรือยังว่าจะทำอะไร”
พีจีหันไปมองปลาหมึกด้วยความใคร่รู้ อยากฟังคำตอบเช่นกัน เผื่อว่ามันจะเป็นการปูแนวทางไปสู่ภารกิจยึดครองโลก
ปลาหมึกนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ผมอยากไปซื้อของครับ จำพวกของใช้ทั่วไป เสื้อผ้า กับเครื่องใช้อีกนิดหน่อย”
ทั้งพีจีและเสี่ยเม้งต่างพยักหน้าแต่เข้าใจกันคนละอย่าง
สำหรับเสี่ยเม้งเขาไม่ได้คิดอะไรมากเข้าใจตามที่ปลาหมึกบอก แต่พีจีกลับคิดว่าเจ้านายคงจะอ้างเรื่องซื้อของไปอย่างนั้นเอง แต่ความจริงอาจไปดูลาดเลาสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์โลก หรืออาจจะพ่วงด้วยการจับจ่ายซื้อหาบรรดาอาวุธยุทโธปกรณ์ บางทีหากปลาหมึกอารมณ์ดีพอ พีจีว่าจะขอใบมีดใหม่เพิ่มสักชุด
ขณะที่องครักษ์หนุ่มฝันหวานถึงมีดสีเงินขนาดต่างๆ เป็นประกายระยิบระยับจับตา ปลาหมึกที่จัดการอาหารของตนเรียบร้อยเอ่ยถามเสี่ยเม้งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
“โรงเรียนมัธยมปลายแถวถนนสุขฯหรือ” ผู้สูงวัยลูบเคราครุ่นคิด
“ใช่ครับ ไม่ทราบว่าคุณลุงพอจะรู้จักบ้างไหมครับ”
“ถนนเส้นนั้นมีโรงเรียนมัธยมอยู่หลายแห่งนะ มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลทั้งเอกชน เฉพาะอย่างหลังนี่มีเกือบห้าแห่ง” ดูจากรูปร่างหน้าตาเสี่ยเม้งคะเนว่าปลาหมึกน่าจะสิบเก้าหรือยี่สิบปี เลยวัยเรียนมัธยมปลายไปแล้ว จึงไม่ทราบว่าอีกฝ่ายถามถึงด้วยสาเหตุใด ถ้าจะหาที่เรียนก็น่าจะถามถึงระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า แต่เมื่อปลาหมึกไม่ได้บอกเหตุผล เขาก็ไม่คิดซักถามให้มากความ
ดังนั้นหลังจิบน้ำชาร้อนๆ ดับกลิ่นคาวอาหารแล้ว เสี่ยเม้งจึงพาสองหนุ่มจากต่างโลกไปห้องพัก
ทันทีที่อยู่กันตามลำพังพีจี ก็ส่งเสียงโอดครวญ “เหมือนจะพองทั้งลิ้น ทั้งคอเลยครับ” แลบลิ้นที่แดงเถือกพลางเดินสำรวจห้องจนพบตู้เย็น. . . ประหนึ่งค้นพบมหาขุมทรัพย์ยอดองครักษ์ทั้งดื่มน้ำเย็นทั้งเคี้ยวน้ำแข็งดับฤทธิ์ของน้ำชาควันกรุ่นเมื่อครู่ที่เผลอซดอึกใหญ่รวดเดียวหมดแก้ว วุ่นวายจนไม่ทันสังเกตอาการใจลอยของเจ้านาย
แม้จะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ที่ไม่รู้จักชื่อโรงเรียนเพราะเขาลืมถามลูกพรุน แต่ปลาหมึกก็ไม่คิดท้อ อุตส่าห์มาถึงโลกมนุษย์ได้แล้วแค่โรงเรียนไม่กี่สิบแห่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา แต่. . .เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น เขาส่งอีเมล์ไปถามเจ้าตัวน่าจะง่ายกว่า ยิ่งคิดชายหนุ่มก็อมยิ้มอารมณ์ดี จดรายการซื้อคอมพิวเตอร์ไว้อยู่ในลำดับแรกของการซื้อของในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกของเขากับน้องลูกพรุนถูกจดอยู่ในรายการซื้อเป็นลำดับที่สอง
...............................................................................................................
สถานที่ซึ่งมีคนหมู่มากมาพบปะกัน. .มักจะเกิดความวุ่นวายตามไปด้วย ยิ่งถ้าหมู่คนเหล่านั้นอายุน้อยเท่าไรความวุ่นวายก็คล้ายกับจะทวีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสำหรับบริเวณหน้าโรงเรียนมัธยมปลายในยามเช้าความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย. . . . .แค่เด็กวัยรุ่นเดินเตร่พูดคุยเป็นกลุ่มก้อนขวางถนนจนรถยนต์เฉี่ยวเสาประตูสีถลอก กับพวกแก๊งจักรยานแย่งกันหาที่จอดจนยกพวกตีกัน. . . .เท่านั้นเอง
หน้าประตูโรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อเสียงไม่โด่งดังแห่งนี้ มีนักเรียนยืนเตร็ดเตร่อยู่หลายคน ในจำนวนนั้นมีสาวน้อยหน้าใสผูกผมเป็นเปียสองข้างด้วยผ้าสักหลาดสีลูกกวาด สีเดียวกับสูทที่สวมอยู่ อันเป็นชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนนี้
สาวน้อยรีบโบกมือพลางส่งเสียงทักทายเมื่อมองเห็นร่างผอมเพรียวในชุดเครื่องแบบสีเดียวกัน ต่างกันเล็กน้อยตรงที่เธอสวมกระโปรงแต่อีกฝ่ายสวมกางเกง “ทางนี้. .ไข่ตุ๋นทางนี้”
คนหน้าขาวแต่คิ้วดำเข้มรีบเดินเข้ามาหา ส่งสายตาดุๆ เขม่นมองพร้อมคำตำหนิ “มายืนส่งเสียงดังอยู่หน้าโรงเรียนแบบนี้ไม่สมกับเป็นกุลสตรีเลยนะลูกพรุน”
สาวน้อยนามลูกพรุนหัวเราะคิก มองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ซ้ำยังชี้นิ้วตามอีกด้วย “ว่าแต่เขานะ หรือต้องแต่งแบบไข่ตุ๋นถึงจะเรียกว่ากุลสตรีจ๊ะ ถ้าไม่รู้จักกันคงนึกว่านักเรียนชาย”
“แซวเรื่องเดิมจนได้ ที่ใส่กางเกงเพราะใส่กระโปรงแล้วมันดูตลก ก็เธอนั่นแหละลูกพรุนที่เป็นคนหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งวันที่ฉันใส่กระโปรงมาโรงเรียนวันแรกนั่นไง”
ลูกพรุนอมยิ้มเมื่อนึกถึงวันเปิดเรียนวันแรก ไข่ตุ๋นเป็นเพื่อนร่วมห้องที่เด่นสะดุดตาในวันนั้น นอกจากทรงผมสั้นๆ แล้วคิ้วที่ดกดำจนดูรกบวกกับดวงตายาวรีที่ดูดุดันทำให้โครงหน้าดูเข้มสมชาย ใช่. . .เหมาะสมจะไปอยู่บนใบหน้าผู้ชายมากกว่าผู้หญิงวัยสิบหก ยิ่งปีนี้สิบเจ็ดปีกับส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร แม้ไม่นับว่าสูงมากถ้าเทียบกับนักเรียนชายในห้องส่วนใหญ่ แต่ถ้ายืนในกลุ่มนักเรียนหญิงแล้วไข่ตุ๋นนับว่าสูงเด่นเชียวละ
ทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตาแบบนี้ แต่ตัวตนข้างในที่ลูกพรุนรู้จักดี ไข่ตุ๋นก็เหมือนกับเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป ยังชอบรักสวยรักงาม ชอบของกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารัก ชอบดอกไม้ และขนมหวาน
แต่ด้วยสภาพรูปร่างหน้าตาทำให้ไข่ตุ๋นต้องเขินอายบ่อยครั้งเมื่อถูกคนรุมมอง และด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองทำให้ไข่ตุ๋นตัดสินใจสวมกางเกงนักเรียนแทนซึ่งนั่นก็ช่วยได้ไม่มากเลยในความคิดของลูกพรุน จากที่เพื่อนเคยถูกมองถูกซุบซิบว่าเหมือนทอม หรือเป็นผู้ชายใส่กระโปรง หลังๆ มานี่ถูกมองและถูกซุบซิบโดยกลุ่มสาวๆ ที่แอบมาชอบแทน
เมื่อหาที่นั่งริมสนามฟุตบอลซึ่งค่อนข้างจะปลอดผู้คนได้แล้วสองสาวก็นั่งคุยกันด้วยท่าทางเหมือนกับเป็นเรื่องลับเฉพาะ “เมื่อคืนที่ไข่ตุ๋นเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ ทำเอาลูกพรุนตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ”
เด็กสาวในเครื่องแบบนักเรียนชายก้มหน้าซ่อนรอยระเรื่อสีแดงกับรอยยิ้มขวยเขินเอียงอายที่มองมุมใดก็ไม่เหมาะกับบุคลิกของเธอเลย
“อย่าเขินน่า เราเพื่อนกันเป็นซี้ปึ้กนะไม่ใช่คนอื่นคนไกล. . .ว่าแต่ลูกพรุนอยากรู้ว่าไข่ตุ๋นไปรู้จักพี่เขาได้ยังไงเล่าให้ละเอียดนะไม่อย่างนั้นจะไม่ช่วยด้วย”
“เรื่องมันเริ่มจาก. . .” แล้วไข่ตุ๋นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้สหายสนิทฟังด้วยความกระชับรวดเร็วเพราะพอเล่าจบก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี
................................................................................
ความคิดเห็น