คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 องค์ชายใหญ่
บนท้องฟ้า ในห้วงอวกาศเวิ้งว้างที่กว้างใหญ่ไพศาล ยังมีกาแลกซี่นอกสำรวจซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์มากนัก ณ ที่แห่งนั้นมีดาวประหลาดดวงหนึ่งซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาหมึก แม้ดาวดวงนี้จะมีขนาดเล็กแต่จำนวนประชากรบนดาวกลับมีไม่น้อย พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เรียกกันว่า “มนุษย์ต่างดาว” และเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มต้นจากที่แห่งนี้
(ต่อไปนี้ข้อความภาษาต่างดาวได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยเพื่อสะดวกแก่การอ่าน)
“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ” เสียงจากสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายนกฮูกเอ่ยห้ามปรามบรรดาสมาชิกสภาสูงแห่งดวงดาวที่กำลังถกเถียงอยู่กับประเด็นสำคัญในการประชุม
ในห้องกว้างประดับด้วยไข่มุกสีนวลตาและอัญมณีมีค่า บนเพดานมีกระจกสีลายน้ำ ตกแต่งจนดูคล้ายห้วงสมุทร ที่แห่งนี้คือห้องโถงกลางในปราสาทหลังงาม อันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ตัวแทนแห่งอำนาจปกครองสูงสุดแห่งดาวดวงนี้
บังลังก์สีน้ำเงินสดประดับมุกสีเงินบริสุทธิ์ตั้งอยู่บนแท่นสูงของห้องโถง ที่ประทับอยู่คือพระราชาแห่งดาวเอ็นเอ็น-ร้อยห้าสิบจุดห้า
ดาวเคราะห์ที่นอกจากจะมีรูปร่างดูแล้วคลายปลาหมึกแล้ว ยังมีพระราชาปกครองเป็นปลาหมึกอีกด้วย หรือจะพูดให้ถูกก็คือมนุษย์ปลาหมึก ซึ่งในที่แห่งนี้ถือว่าเป็นเชื้อสายที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่แต่ในวงศ์แห่งราชาเท่านั้น ส่วนประชากรอื่นๆ ก็เป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างต่างๆ กันออกไปตามแต่ต้นตระกูลของตน หลายพวกที่ปนเปกันจนภายหลังแยกแยะเผ่าพันธุ์กันไม่ค่อยจะออกแล้วก็มี
คณะสภาที่นั่งอยู่ในห้องโถงล้วนสงบเสียงเมื่อองค์ราชาลุกขึ้นเอ่ยถึงข้อวิกฤตอันเป็นปัญหาใหญ่ขณะนี้
“จากที่ทุกท่านในที่นี้ทราบกันดีว่าทรัพยากรบนดาวเราลดลงในอัตราที่น่าใจหาย ในขณะที่ประชาชนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ในอนาคตอันใกล้พวกเราจะประสบปัญหาความขาดแคลน จากนั้นการแก่งแย่งช่วงชิง การต่อสู้เพื่อการดำรงชีพจะตามมา” พระองค์กล่าวด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ทรงหนักพระทัยมานาน
“ในอดีตบรรพบุรุษของชาวเราต่างเดินทางไปทั่วทุกกาแลกซี่เพื่อเสาะหาแหล่งที่อยู่อาศัยบนดาวดวงอื่น เพื่อสร้างเป็นดาวอาณานิคม แต่ในดาวมากมายที่ค้นพบส่วนมากไม่มีแหล่งน้ำเพียงพอ จนกระทั่งค้นพบดาวที่เหมาะสมดวงหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล ดาวนั้นมีชื่อว่า “โลก” แต่ที่น่าเศร้าก็คือทุกครั้งที่ส่งหน่วยสำรวจลงไป กลับไม่เคยมีใครรอดกลับมา”
“ชาวดาวโลกช่างโหดร้ายนัก อย่าว่าแต่พวกเราเลย กระทั่งพวกเดียวกันก็ยังเข่นฆ่าอย่าเหี้ยมโหด” เสียงของหนึ่งในคณะสภาสูงที่เป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายปูออกความเห็น เนื่องจากบรรพบุรุษของตนคนหนึ่งเคยร่วมในทีมวิจัยไปสำรวจดาวโลก และไม่มีโอกาสกลับออกมาเช่นกัน
ก่อนจะมีอีกหลายเสียงช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายนกฮูกซึ่งเป็นหัวหน้าคณะสภาต้องขอร้องให้สมาชิกเงียบเสียงลงอีกครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
พระราชาทรงทอดพระเนตรดูเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในสภา หลายเสียงต้องการให้ส่งกำลังเข้ายึดครองดาวโลก แต่ก็มีอีกหลายเสียงคัดค้านเนื่องจากดาวเอ็นเอ็น-ร้อยห้าสิบจุดห้านี้มีความสงบสุขมาช้านาน การทำสงครามจะสร้างความระส่ำระส่ายให้กับประชาชน อันเป็นผลให้เกิดความไม่สงบและความเดือดร้อนตามมา
เพราะสองฝ่ายต่างชี้แจงเหตุผลกันอย่างดุเดือดมาหลายครั้งทำให้การประชุมไม่คืบหน้าไปไหน แม้วันนี้หัวหน้าสภาสูงจะทูลเชิญพระราชามาประทับเพื่อเป็นสักขีพยานและผู้ออกความเห็น แต่จนแล้วจนรอดการถกเถียงก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นทุกครั้ง
ด้วยความกลัวพระองค์จะทรงกริ้ว และเกรงพระอาญาหัวหน้าคณะสภาตัดสินใจใช้ไม้ตาย “ท่าพิฆาตขนนกร้อยทิศ”
เสียงดังฉึกๆ ต่อเนื่องไม่ขาดสายเมื่ออาวุธลักษณะคล้ายขนนกฮูกแต่ความแข็งแกร่งและแหลมคมประดุจสร้างขึ้นจากเพชร ปักลงบนโต๊ะตรงหน้าคณะสภาแต่ละคน
เหลือเพียงเสียงกลืนน้ำลาย จากนั้นความเงียบเกิดขึ้นฉับพลันทันใด ยิ่งเมื่อเห็นสายตาหลังแว่นทรงกลมของท่านหัวหน้าคณะสภามองกราดตำหนิ พอรู้ตัวแต่ละคนยิ่งรู้สึกผิดที่แสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อหน้าพระพักตร์
หลังจากเอ่ยขอพระราชทานอภัยโทษที่กระทำการโดยอุกอาจแล้วหัวหน้าคณะสภาจึงกล่าว “เพราะเหตุนี้เองกระหม่อมจึงหวังให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัย ชี้ทางอนาคตของพวกเราทั้งหมดเพื่อไม่ให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไปอีกจนสายเกินกาล”
ในขณะที่องค์ราชาทรงขบคิดใคร่ครวญอยู่นั้น มหาดเล็กก้าวเข้ามากระซิบรายงานด่วน เป็นเหตุให้ถึงกับสีพระพักตร์เปลี่ยน
“มีมนุษย์โลกบุกเข้ามาเป็นสายลับบนดาวเราหรือ!?” ทั้งตระหนกทั้งแปลกใจจนอุทานออกมา
“ขอรับ พวกทหารองครักษ์จับตัวได้ที่หอส่งสัญญาณกำลังสูง” มหาดเล็กประจำพระองค์ยืนยันด้วยน้ำเสียงทุกข์ร้อนเพราะสถานที่ที่ว่านั้นอยู่ในเขตพระราชฐาน การมีคนบุกรุกเข้ามาได้นับเป็นความผิดของเหล่าทหารองครักษ์ และความบกพร่องของเหล่ามหาดเล็กที่ไม่ตรวจตราช่วยกันดูให้ดี
คณะสภาที่เปิดเรดาร์หูฟังต่างพากันตกใจไปตามๆ กัน ไม่คิดว่ายังไม่ทันบุกไปโลก ดาวรูปร่างเหมือนปลาหมึกดวงนี้ก็ถูกบุกก่อนเสียเอง
เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การประชุมสำคัญจึงต้องระงับไว้ชั่วคราวเหตุที่มีเรื่องสำคัญกว่าเข้ามาแทรก
“พาตัวผู้บุกรุกเข้ามา ข้าอยากดูหน้ามนุษย์โลกผู้บังอาจคนนั้นเสียจริง” สิ้นกระแสเสียงคำสั่ง มหาดเล็กประจำพระองค์ออกไปสั่งการต่อทหารองครักษ์ผู้ควบคุมเชลยให้ตามเข้ามาในห้องโถงกลางแห่งนี้
ร่างสูงของมนุษย์หนุ่มถูกมัดจนแน่นหนา ดวงตากลมโตสีดำดุจนิลมีเกศาสีดำดุจเดียวกัน ทั่วเรือนร่างปกคลุมด้วยอาภรณ์ประหลาดตามแบบฉบับมนุษย์บนโลกทั่วไป จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าที่เรียกว่าชวนมองในสายตาสาวๆ ชาวโลก แต่ในสายตาของชาวดาวปลาหมึกนี้ เห็นจะมองไม่ออกว่าหน้าแบบนี้น่าดูตรงไหน
แขนกับขาต่างมีแค่สองข้างเท่านั้นแต่กลับขัดขืนดิ้นรนจนทหารองครักษ์รูปร่างคล้ายแมงกะพรุนที่มีแขนมากกว่าหลายเท่ายังจับแทบไม่อยู่ ส่วนปากนั้นได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ตลอดเวลาเพราะถูกผ้าผูกเอาไว้จึงไม่อาจหลุดคำประท้วงขออิสรภาพ หรือคำก่นด่าสาปแช่งออกมาได้
องค์ราชามีรับสั่งให้เอาผ้าผูกปากออกเพราะมีเรื่องอยากสอบถามเชลยชาวโลกผู้นี้
เมื่อปากมีอิสระเชลยหนุ่มก็ส่งเสียงระบายลมหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะช้อนตาขึ้นสบเนตรผู้เป็นเจ้าแห่งดาวดวงนี้แล้วเอ่ยออกมาคำแรกด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า
“เสด็จพ่อ กระหม่อมชายใหญ่เองพะยะค่ะ”
“ชายใหญ่!”
“องค์ชายใหญ่!”
เสียงอุทานแทบจะดังพร้อมกันขึ้นทั้งห้องโถงกลาง ไม่เว้นแม้แต่ทหารองครักษ์และมหาดเล็กประจำพระองค์ที่ยืนคุมเชลย
ผู้เป็นบิดาแทบเป็นลมเมื่อเห็นสารรูปของบุตรชายคนโต พระราชาทรงให้กำเนิดราชบุตรสิบเก้าพระองค์ ราชธิดายี่สิบเอ็ดพระองค์ ในบรรดาบุตรธิดาทั้งหมดทรงเป็นห่วงชายใหญ่ บุตรชายคนโตที่สุด
เพราะมีนิสัยประหลาดและชอบแสดงความคิดเห็นพิลึกพิลั่นอยู่บ่อยๆ ทำให้เข้ากับพี่น้องคนอื่นไม่ค่อยได้ แต่ชายใหญ่ก็ดูจะไม่สนใจใครอื่นนักเช่นกันเพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นวุ่นวาย ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอส่งสัญญาณกำลังสูง
เมื่อครู่ที่ได้รับรายงานว่ามีศัตรูบุกรุกที่นั่น ในใจนึกห่วงบุตรคนโตยิ่งนัก เพราะเขามักจะอยู่แต่ในนั้น ที่เรียกเชลยมาสอบถามด้วยตนเองก็หวังจะทราบความเป็นตายร้ายดีของชายใหญ่ด้วย
แต่ไม่นึกเลยว่าเชลยตรงหน้ากลับเป็นเจ้าตัวร้ายของพระองค์เอง “ไปทำอะไรมาถึงได้มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้” ด้วยความเหลืออดพระองค์ทรงเอ็ดด้วยความกริ้ว
หลังจากทหารองครักษ์ช่วยกันแก้เชือกที่มัดร่างกายองค์ชายใหญ่ให้แล้ว ชายหนุ่มรูปร่างมนุษย์ก็ยืนยืดเส้นยืดสาย เมื่อได้ยินเสียงดุของพระบิดาก็รีบยิ้มประจบแล้วกล่าว
“กระหม่อมกำลังหัดแปลงร่างเป็นมนุษย์ชาวโลกพะยะค่ะ”
“เหลวไหล” ดูเหมือนยิ้มหวานแบบชาวโลกไม่ได้ทำให้พระบิดาหายกริ้วสักนิด “วันๆ เจ้าเอาแต่เล่นสนุก งานการราชกิจไม่เคยสนใจจะเรียนรู้ นี่ขนาดข้าใช้มหาดเล็กไปแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้จะประชุมใหญ่ แทนที่เจ้าจะเข้ามาร่วมรับฟัง ช่วยออกความคิดแก้ไขปัญหา นี่อะไร กลับทำแต่เรื่อง สร้างแต่ปัญหา”
บุตรชายได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำตำหนิของบิดา แต่ครั้นฟังถึงเรื่องการประชุมใหญ่ องค์ชายผู้มีนิสัยผิดแปลกจากพี่น้องก็นึกแผนการขึ้นมาได้ทันที
“กระหม่อมผิดไปแล้ว แต่ความจริงที่หัดแปลงร่างเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว แต่ทำเพื่อเสด็จพ่อด้วย”
“เพื่อข้า?”
องค์ชายใหญ่กรอกตาไปมานึกทบทวนข้อแก้ตัวดีๆ แล้วค่อยกล่าวด้วยท่าทางจริงจังเสียยกใหญ่ “เพราะข้ารู้มาว่าขณะนี้พวกเรากำลังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนทรัพยากร และเสด็จพ่อกำลังต้องการตัดสินใจว่าจะบุกรุกดาวโลกดีหรือไม่ ใช่ไหมพะยะค่ะ”
เว้นช่วงให้ผู้เป็นบิดาพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยต่อโดยซ่อนความกระหยิ่มยินดีของตนไว้อย่างมิดชิด
“เพราะไม่ว่าจะส่งใครไปก็ไม่เคยมีคนกลับออกมาได้เลยสักครั้ง ดังนั้นความจริงแล้วพวกเรารับรู้เรื่องราวบนดาวโลกไม่มากนัก ไม่รู้ว่าพวกเขาสังหารพวกเราเพราะอะไร มีอาวุธน่ากลัวอะไรบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบนดาวนั้นเหมาะสมที่จะใช้สร้างเป็นดาวอาณานิคมจริงๆ หรือเปล่า ดังนั้นด้วยเหตุผลทั้งปวงข้าจึงคิดจะเสียสละตนเองลงไปสำรวจดาวโลก”
“อะไรนะ!!” ขนาดพระราชาแทบไม่เชื่อหูองค์เอง อย่าว่าแต่เหล่าคณะสภาสูงที่พากันแปลกใจ ร้อยวันพันปีองค์ชายใหญ่ไม่เคยพูดจาชวนฟัง ดูมีหลักการเท่านี้มาก่อน ประกอบกับท่าทางเหม่อลอย ใจลอยที่ใครเห็นบ่อยครั้งจนชินตายิ่งทำให้ไม่คิดว่าจะกลายเป็นองค์ชายที่กล้าหาญชาญชัยขึ้นมาได้
“ตามที่กระหม่อมรู้มาทุกครั้งทีมสำรวจมักจะปรากฏกายให้ชาวโลกเห็นซึ่งๆ หน้า ไม่ได้เป็นไปในลักษณะสอดแนมหรือซุกซ่อนกาย การกระทำเช่นนี้แม้จะเปิดเผยองอาจ แต่โง่ไปหน่อย” องค์ชายใหญ่กล่าวโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าปุเลี่ยนๆ ของคณะในสภาสูงหลายคนที่บรรพบุรุษถูกส่งไปเสียค่าโง่บนโลก
ชายหนุ่มในร่างมนุษย์กล่าวต่อ “แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องระแวงสงสัยเป็นธรรมดา อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งกระหม่อมหัดแปลงร่างเป็นมนุษย์ชาวโลกยังถูกจับมัดเสียแน่นหนา เช่นนี้กระหม่อมจึงมีความเห็นว่าควรส่งตัวแทนไปสอดส่องดาวโลกเป็นการลับ นำข้อมูลที่ได้ส่งกลับมาประกอบการวินิจฉัยก่อนจะทำการตัดสินใจเลือกว่าดาวดวงนั้นเหมาะสมแก่การสร้างเป็นอาณานิคมหรือไม่”
เหตุผลขององค์ชายใหญ่ที่กล่าวมาทำให้เกิดเสียงปรึกษากันเบาๆ จากนั้นเสียงสนับสนุนก็ตามมา แม้แต่องค์ราชาก็เห็นชอบด้วย เพียงแต่กังวลในความปลอดภัยของบุตรชาย
แม้จะเป็นเจ้าวายร้ายที่ชอบสร้างเรื่องปวดหัวให้พระองค์ แต่องค์ชายใหญ่ก็ยังเป็นบุตรที่พระองค์ให้ความรักใคร่ไม่ต่างจากบุตรธิดาองค์อื่น การที่เขาอาสาไปดาวโลกเองเพราะมีความมั่นใจในการแปลงร่าง และยืนยันเสียงแข็งว่าตนเองได้ศึกษาพื้นฐานการดำรงชีวิตบนโลกมาบ้างแล้วก็ตาม แต่จะปล่อยให้ไปคนเดียวคงไม่ดีแน่
“เจ้าพาพีจี ไปด้วยก็แล้วกัน” องค์ราชาหมายถึงผู้ติดตามที่จะไปยังดาวโลกพร้อมองค์ชายใหญ่ ซึ่งบุคคลที่เอ่ยมีตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ที่มีพลังฝีมือดีเยี่ยม
“เป็นองครักษ์อื่นไม่ได้หรือพะยะค่ะ” องค์ชายใหญ่ค้าน รู้ดีว่าพีจีนั้นมีฝีมือดีที่สุดในรุ่นเดียวกัน แถมอายุก็ไม่ห่างจากตนนัก แต่องครักษ์คนนี้ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน
“ไม่เลือกพีจีก็ได้ แต่ข้าจะให้ทหารองครักษ์ติดตามไปด้วยร้อยนาย ไม่สิ ร้อยห้าสิบนายจะดีกว่า” องค์ราชายิ้มกริ่มเมื่อเห็นสีหน้าเจื่อนสนิทของบุตรชาย นานๆ ทีมีหนที่พระองค์จะทำให้เจ้าวายร้ายจนมุมได้
“เช่นนั้นพีจีก็ได้พะยะค่ะ” องค์ชายใหญ่กัดฟันเลือก เอาเถอะไปคนเดียวอย่างน้อยก็คุมง่ายกว่าตามไปเป็นร้อย โอกาสที่เขาจะหาทางปลีกตัวจากองครักษ์ชื่อพีจี ไปทำเรื่องที่อยากจะทำ และพบคนๆ หนึ่งที่อยากพบมานานคงไม่ยากจนเกินไป
เมื่อที่ประชุมมีข้อยุติ การอนุมัติเดินทางไปยังดาวโลกขององค์ชายใหญ่ และองครักษ์ยอดฝีมืออีกหนึ่งนายจึงผ่านฉลุ่ย
หลังผ่านการอบรม ฝากฝังและสั่งเสียเรื่องราวต่างๆ นานเป็นอาทิตย์ ก็ถึงวันเดินทาง
“ดาวโลกเอ๋ย รอก่อนนะ” องค์ชายใหญ่แห่งดาวเอ็นเอ็น-ร้อยห้าสิบจุดห้า มองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ก่อนออกเดินทาง
แม้จะกล่าวประกาศออกมาเช่นนั้น แต่ในใจกลับกระซิบว่า ‘น้องลูกพรุนรอก่อนนะ พี่ปลาหมึกกำลังจะไปหาแล้ว’
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ความคิดเห็น