คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Episode 5 : Elevated
Insecure
#สวี่คุนเป็นโอเมก้า
Episode 05 - Elevated -
“ตกลงว่าไม่ได้ไปกัดคอเขา”
“ใครจะไปทำแบบนั้นกัน”
หลุบตา เบ้ปาก เขี่ยข้าว ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับเจฟฟรี่ด้วยสีหน้ากวนประสาท ดูยังไงเจิ้งรุ่ยปินก็ไม่เชื่อสิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผ้าปิดปากบ้าอะไรไม่รู้ที่ราคาแพงฉิบหายพูดเลยแม้แต่น้อย พอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเยี่ยนเฉินที่เป็นคนลากเขามากินอาหารค่ำที่โต๊ะนี้ เจ้าตัวก็ดันไปหัวเราะคิกคักกับเจ้าพวกนั้นเสียได้
ถ้าไม่ติดว่ารุ่ยปินยังต้องใช้หน้าหล่อๆนี่แข่งต่ออีกหลายเดือนจื่ออี้คงตั๊นหน้าของอัลฟ่าตัวสูงนี่ให้เลิกกวนประสาทเขาสักวันสองวัน แต่เพราะทำอย่างนั้นไม่ได้ นอกจากมองตาขวางให้รู้ว่าเขาเริ่มจะรำคาญแล้วสุดท้ายก็ต้องจบที่การทนก้มหน้าก้มตากินอาหารส่วนของตัวเองต่อไป
“กะจะถามอยู่แล้วว่าแจ็คเก็ตหายไปไหน แต่เจี่ยเจียไปเห็นเข้าเสียก่อน แหม ช็อตเด็ดคนดังพอดีเลย”
เยี่ยนเฉินที่นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังสร้างข่าวลือ(ที่มีมูลอยู่มาก)ขึ้นมาเพิ่มอีก จื่ออี้กุมศีรษะเพราะปวดหัวกับเสียงโห่ฮารอบตัว ก่อนจะหันมองเจ้าของตะเกียบที่สะกิดแขนเขาอยู่เมื่อครู่
“สรุปว่าจีบกันอยู่”
เจฟฟรี่เท้าคางถามอย่างตั้งใจ ดวงตาที่โตกว่าจื่ออี้อยู่หน่อยเบิกโต คงคิดว่าน่ารักมากล่ะมั้งนั่น ดีที่เจ้าตัวรู้สึกถึงสายตาของเพื่อนๆที่มองอย่างเวทนาจึงหยุดทำท่าน่ารักแล้วหันมาเอียงหูฟังคำตอบแทน
“ไม่ได้จีบกัน สนิทกันเฉยๆ เพิ่งจะรู้จักกันจะมาจงมาจีบได้ยังไง”
“อ๋อเหรอ แล้วปกตินายเที่ยวกอดโอเมก้าที่เพิ่งจะรู้จักกันในช่วงฮีทแบบนี้ตลอดเลยป้ะ”
จื่ออี้ที่เพิ่มระดับความหงุดหงิดรุ่ยปินจากระดับคนน่าหมั่นไส้มาเป็นคนน่ารำคาญ และปล่อยมิเตอร์ให้พุ่งไปที่คนไม่น่าคบเป็นเพื่อนแต่แรกอย่างรวดเร็ว รุ่ยปินกระตุกยิ้มมุมปาก ใบหน้าสุขุมที่เจ้าตัวใช้เขย่าใจสาวๆดูกวนอารมณ์ได้มากกว่าปกติในวันนี้
“พรีฮีทไม่ใช่เหรอ นี่ฮีทแล้วเหรอ”
“กินผักกาดในจานนายไป”
เจฟฟรี่ที่โพล่งขึ้นมาดื้อๆโดนเยี่ยนเฉินคีบผัดผักกาดจากจานตนเองไปใส่ให้จานอาหารที่พร่องไปกว่าครึ่ง ชายหนุ่มเจ้าของชื่อภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่คนของรายการก้มลงตักผัดผักกาดขึ้นตามคำสั่งโดยไม่ได้อิดออดอะไร จื่ออี้ตั้งใจจะให้ประเด็นนี้ถูกยกผ่านไปถ้าไม่ติดว่ารุ่ยปินคนนั้นเอาจานมากระแทกจานของเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“ว่าไง”
“ก็เป็นห่วงน้อง จะอะไรมากมายวะ”
รุ่ยปินทำหน้าบูดเบ้ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนโยนอย่างรวดเร็วเมื่อเฉิงเซียวเหล่าซือที่เข้ามาดูการซ้อมเมื่อครู่เดินผ่านโต๊ะไป
“ไม่อะไรก็ได้ นายไม่ได้สนใจเลยเนอะ เอางั้นเนอะ”
ทั้งที่กำลังเก๊กหน้าอ่อนโยนอยู่แท้ๆ แต่รุ่ยปินก็ยังอุตส่าห์กระซิบลอดไรฟันเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน จื่ออี้เหลือบมองอัลฟ่าอีกสองชีวิตที่จดจ้องเหล่าซือจนลืมเขาไปแล้ว ก่อนจะกระซิบตอบไปแบบเดียวกัน
.
“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สนใจ”
.
“เอาว่ะ”
“Shut the Fxxx Up”
เขาสบถออกไปอย่างเหลืออด แต่เจิ้งรุ่ยปินกลับหัวเราะร่าออกมาอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าในหัวหมอนั่นคิดอะไรอยู่บ้าง แต่ทางที่ดีไม่คิดมายุ่มย่ามกับโอเมก้าของเขาคงจะดีกว่า จื่ออี้ไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตนเองต่อสวี่คุนเท่าไหร่ จริงอยู่ที่เขาสนใจฝ่ายนั้นจนออกหน้าออกตา แต่ให้คิดถึงขั้นลึกซึ้งกว่าเพื่อน พี่น้อง จื่ออี้เองยังไม่กล้าพอจะทำอย่างนั้น เขาไม่ดีพอจะคิดแบบนั้นเสียด้วยซ้ำ ทุกวันนี้แค่สนิทกันจนคนหมั่นไส้จื่ออี้ก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากแล้ว อาจด้วยเหตุผลนั้นรุ่ยปินถึงได้บอกว่าเขามันหมาหวงก้าง ตัวเองไม่มั่นใจพอจะแตะต้องของล้ำค่าแต่ก็ไม่อยากให้ใครได้ไปครอบครอง
ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
จื่ออี้แค่ไม่อยากให้คนๆนั้นเจอเรื่องไม่ดี อย่างน้อยอัลฟ่าที่สวี่คุนเลือกก็ต้องดีกว่าเขา อย่างเจิ้งรุ้ยปินนี่ตัดออกไปเป็นรายชื่อแรกๆ ทั้งอันตราย ทั้งเจ้าเล่ห์ ไม่รู้ว่าเอาความคิดซับซ้อนมาจากไหนมากมาย แบบนี้จะว่าหวงก้างก็ต้องโทษตัวเองก่อนว่าสู้เขาไม่ได้เอง
“ไม่ละมุนกับคนทางนี้บ้างเลย”
“อะไรหรอ”
จื่ออี้นึกโทษรุ่ยปินที่แสร้งหัวเราะเสียใหญ่โตจนสองชีวิตที่เลิกสนใจเขาไปแล้วหันหน้ามาถามไถ่กันอีกรอบ เขากำลังจะตอบกลับไปว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่ทันคนที่ตีหน้าเศร้าได้กวนใจเขาแบบสุดๆ
“ไม่มีอะไร แค่ไม่ได้ชื่อช่ายสวี่คุนเลยเป็นแบบนี้ กูเข้าใจ”
พูดจบก็ตบไหล่เขาปุๆอีกสองที ก่อนจะเบือนหน้าไปยังกลุ่มคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในโรงอาหารในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เจฟฟรี่ที่ปกติก็แสนซื่ออยู่แล้ว วินาทีนี้ยิ่งทำหน้างงได้แสนจะน่าสงสาร ทางฝั่งเยี่ยนเฉินเลือกจะข้ามประเด็นเมื่อครู่แล้วให้ความสนใจกับสมาชิกที่เหลือของทีมที่เพิ่งเดินเข้ามากับทีมอื่นๆอีกร่วมสิบคน ช่ายสวี่คุนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ไม่น่าแปลกใจเมื่อสวี่คุนเพิ่งผ่านเหตุการณ์โดนหัวหน้าทีมลากออกไปจากห้องหลังจากยืนกอดกับอัลฟ่าสองต่อสองอยู่นานสองนาน
จื่ออี้ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแปลกๆออกไปหรือเปล่า แต่เยี่ยนเฉินที่เอาแต่กระทุ้งเอวเขาเมื่อครู่เอียงตัวออกไป และรุ่ยปินที่ในที่สุดก็ได้ฤกษ์หันกลับมาที่โต๊ะผิวปากหวือ ความรู้สึกร้อนๆที่ผิวแก้มอาจเป็นคำตอบ แต่ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อสวี่คุนคนนั้นเป็นฝ่ายหน้าแดงก่อนนี่
“สนใจนิดหน่อยแต่หวงชิบหาย ไม่ได้จีบเพราะไม่กล้า ไม่กัดคอเพราะยังไม่คิด ที่ไม่คิดเพราะเร็วเกินไป”
.
สิ่งที่จื่ออี้เกลียดที่สุดเกี่ยวกับอัลฟ่าตรงหน้าเขาก็คือความฉลาดเฉลียวที่ดูจะมากไปหน่อยในบางครั้ง
มากจนเหมือนจะรู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง
.
“สรุปว่าอนาคตก็ไม่แน่ใช่ไหม”
“ตั้งใจกินข้าวเถอะ”
ถ้าเขาปฏิเสธประโยคนั่นได้ก็คงจะดี
.
ถ้าต้องเขียนบันทึกการซ้อมประจำวันของทีม
การซ้อมวันที่สามนี้หวังจื่ออี้จะขอขีดปีกกาอันใหญ่ๆครอบข้อความของวันก่อนๆแล้วลากมันลงมาทั้งอย่างนั้น ไม่ก็เขียนข้อความประมาณว่า
เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีเซนเตอร์แล้ว อะไรเทือกๆนั้น เพราะทุกอย่างมันดูจะวนลูปเหมือนเดิมจริงๆอย่างที่บอก เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ามาซ้อมแยก ซ้อมรวมกัน กินข้าว ไปฝึกกับอาจารย์ กลับมาซ้อมรวมกันอีกรอบ สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงชนิดที่ว่าหากเล่นเกมจับผิดภาพก็เห็นจะวงกลมได้แค่สวี่คุนที่กำลังยืนซ้อมอยู่กลางห้องเท่านั้น
“เอาใหม่นะคุนคุน”
จื่ออี้ที่นั่งหอบอยู่บนพื้นเงยหน้ามองโอเมก้าร่างสูงโปร่งที่ต้องเต้นใหม่เป็นรอบที่สามแล้วชูกำปั้นขึ้นให้กำลังใจ ขณะที่เจิ้งถิงซึ่งนั่งมองอยู่ข้างๆกันมีสีหน้ากังวลใจอยู่ไม่น้อย จื่ออี้ละสายตาจากคนที่เพิ่งจะมาซ้อมรวมครั้งแรกและยังดูประติดประต่อบลอ็กกิ้งได้ไม่ดีเท่าไหร่ มาหาคนข้างตัว ชายหนุ่มยื่นขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะให้อีกฝ่าย รอกระทั่งเจิ้งถิงดื่มมันจนพอใจแล้วจึงเอ่ยถาม
“เครียดอะไรอยู่เหรอ”
“เรื่องคุนคุนนั่นแหละ ฉันว่าเขาไม่ดูไม่ถนัดเท่าไหร่ ไหนจะเวลาซ้อมน้อยอีก กลัวว่าจะไม่ดีเท่าที่ควร”
จื่ออี้จ้องช่ายสวี่คุนที่กำลังเรียนรู้ท่าทางน่ารักผิดวิสัยของตนผ่านกระจก ในใจเห็นด้วยกับเจิ้งถิงที่ว่าท่าทางพวกนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่นัก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเซนเตอร์ที่สมควรจะแสดงออกได้เพอร์เฟคที่สุด ข้อผิดพลาดเล็กๆก็อาจจะกลายเป็นจุดที่เห็นได้ชัดมากขึ้นในโชว์ แต่อีกใจจื่ออี้กลับยังคงเชื่อมั่นเหลือเกินว่าสวี่คุนจะต้องทำได้ ไม่รู้สิ เขามองว่าท่าทางพวกนั้นน่ารักด้วยตัวคนทำเองอยู่แล้ว
อ่า มันคือกำลังรู้สึกไบแอสรึเปล่านะ
“แต่ที่จริง… คุนคุนก็ถือว่าหายได้เร็วแล้วล่ะนะ แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ”
เจิ้งถิงที่เงียบไปตั้งแต่เมื่อครู่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ก่อนเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านนอกจะดังแทรกเข้ามา ช่างเป็นสัญญาณบอกเวลาพักที่เที่ยงตรงยิ่งกว่านาฬิกาติดผนังเสียอีก เยี่ยนเฉินที่กำลังซ้อมทำหน้าตาน่ารัก(แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักเท่าไหร่) กระโจนเข้าใส่โจวรุ่ยที่กำลังช่วยสวี่คุนต่อท่าในส่วนที่ขาดไปจากเมื่อวานอย่างแรงจนน่ากลัวว่าคนตัวเล็กกว่าจะล้ม จากที่ตั้งใจจะวิงวอนขอให้ท่านผู้นำของทีมปล่อยไปทานข้าวไวไว กลับกลายเป็นว่าโดนเฉ่งจนหูชาไปแทน โชคดีที่หลังจากบ่นจนพอใจแล้ว ท้ายที่สุดรุ่ยเกอ(หรือเจี่ยเจียของไอ้เยี่ยนเฉิน)ก็ยอมยุติการซ้อมลงแต่เพียงเท่านั้น
“ไปกินข้าวกัน”
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวตามไป”
จื่ออี้บอกกับเยี่ยนเฉินที่วิ่งมาเกาะแขนลากให้ไปกินข้าวพร้อมกัน ร่างสมส่วนรับกับเพศรองของอีกฝ่ายเดินแยกออกไปตามนั้น เขาได้ยินโจวรุ่ยปฏิเสธคำเชิญของเยี่ยนเฉินเป็นคนที่สองโดยให้เหตุผลว่าจะไปดูน้องๆในค่ายสักหน่อย ประโยคง่ายๆที่ทำให้จื่ออี้นึกย้อนมาถึงตัวเอง บางทีเขาควรจะไปเยี่ยมเพื่อนร่วมค่ายเหมือนกัน ตั้งแต่เริ่มฝึกภารกิจที่สอง พวกเขาแต่ละคนต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับภาระหน้าที่ของตัวเองจนหัวหมุน กว่าจะเข้าห้องนอนก็ดึกดื่นจะให้มานั่งถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตอนตีสามก็ใช่เรื่อง สองสามมานี้การพยักหน้าให้กันแทนคำทักทายในตอนเช้าตรู่จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติแทนการนั่งพูดคุยกันเหมือนที่ทำมาตลอด ไม่รู้ว่าเพื่อนเขามีเรื่องเครียดอะไรบ้างหรือเปล่า หากช่วยได้เขาก็ควรจะช่วยสมาชิกค่ายตัวเองเป็นอันดับแรก จื่ออี้ที่ตั้งใจจะแวะไปหาฮ่าวหรานบังเอิญเห็นคนที่ยังยืนซ้อมเก้ๆกังๆอยู่กลางห้องเป็นคนสุดท้ายในตอนที่กำลังจะเปิดประตูห้องออกไป
“คุนคุนไปกินข้าวกัน”
เพราะเชื่อว่าเพื่อนๆของเขาคงไม่ว่าอะไรหากเขาจะหนีบช่ายสวี่คุนไปร่วมโต๊ะอาหาร จื่ออี้จึงตัดสินใจชวนคนอายุน้อยกว่า สวี่คุนเบนสายตาออกจากกระจกมายังดวงตาคมที่ดูอบอุ่นอยู่เสมอแล้วได้แต่ยิ้มให้
“ขอซ้อมอีกสักหน่อยแล้วกัน”
“ไม่เอาน่า ไม่กินอะไรแล้วจะซ้อมไหวได้ยังไง”
ช่ายสวี่คุนหลบตา ร่างสูงโปร่งเดินกลับไปซ้อมโดยไม่หันมองคนที่ยังยืนรออยู่หน้าห้อง ฟันขาวขบลงบนริมฝีปากอิ่ม กัดแน่นจนเจ็บด้วยความกังวลใจ ตอนนี้ความรู้สึกทางกายของเขาถูกลดระดับความสำคัญลงไปมากจนแทบไม่รู้สึกถึงความหิวหรือเหนื่อย เหตุก็คือความไม่มั่นใจในการแสดงของตัวเองที่ทำให้เขาต้องซ้อมต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็จนกว่าอะไรมันจะดีขึ้น สวี่คุนไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทีม เขาเป็นคนเลือกสมาชิกทั้งหมดด้วยตัวเอง เขาขอตำแหน่งเซนเตอร์มาแบกไว้บนบ่า เลือกเพลงที่ไม่เหมาะกับทีมแถมยังสร้างปัตั้งแต่ซ้อมวันแรก ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่วาดภาพไว้ในหัวเลยสักอย่าง เพราะแบบนั้นให้หยุดซ้อมแล้วไปพักน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก
ต่อให้คนพูดจะเป็นหวังจื่ออี้ก็เถอะ
“ดื้อจังเลยนะ”
สวี่คุนตวัดสายตากร้าวมาให้ผ่านบานกระจก จื่ออี้หัวเราะในใจในความดื้อด้านของอีกฝ่ายแต่พยายามตีหน้านิ่งเพื่อไม่ให้ตนโดนโกรธมากกว่าเดิม สวี่คุนในตอนนี้เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง คงจะไม่ชอบให้เขาก้าวก่ายดูแลมากไปเหมือนเมื่อวันก่อน เป็นโอเมก้าที่จะว่าแปลกก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจื่ออี้คิดว่ามันน่าเอ็นดูไปอีกแบบ
หลังอดทนรออยู่นานสองนานช่ายสวี่คุนก็ยังไม่ยอมหันมาสนใจ ไม่มีกระทั่งท่าทีจะหยุดพัก จื่ออี้ที่นึกได้ว่าควรให้พื้นที่กับอีกคนเสียหน่อยจึงตัดสินใจเคารพการตัดสินใจของฝ่ายนั้น จะซ้อมจนไม่กินข้าวก็แล้วแต่ หากคิดว่าไหวก็จะให้ลองดู ร่างสูงมองคนที่เดินวนไปยังมาร์คกิ้งแรกอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ขี้เกียจนับ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวออกมาจากห้อง
“ฉันไปก่อนนะเซนเตอร์ อย่าหักโหมนักล่ะ บนเวทีนั้นไม่ว่ายังไงตรงกลางของพวกเราก็คือนาย เข้าใจใช่ไหมคุนคุน”
บานประตูปิดลง แต่เสียงเพลงยังดังวนอยู่ในห้อง
หวังจื่ออี้เดินออกไปไกลจนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอีกฝ่าย สวี่คุนที่ยืนอยู่เพียงคนเดียวหน้ากระจกบานโตรู้สึกวูบไหวเพราะประโยคนั้น เพิ่งรู้สึกตัวว่าคำพูดของใครบางคนมีผลต่อความคิดและความรู้สึกของตนมากเพียงนี้ ไม่ว่ายังไงตรงกลางก็คือเขา ประโยคที่แทนทั้งความเชื่อใจและความเป็นห่วงไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งหยุดเต้น ทว่ากระตุ้นให้ตระหนักได้ว่าที่ตนกำลังพยายามอย่างหนักมีเป้าหมายเพื่ออะไร เขาต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพียงท่าเต้นหรือเสียงร้อง แต่รวมไปถึงจิตวิญญาณและความสภาพร่างกายที่พร้อมทำการแสดง ความว่างเปล่าที่เห็นได้ผ่านกระจกถูกเติมเต็มด้วยพลังที่อยากเอาชนะ
สุดท้ายแล้ว ดูเหมือนว่าจื่ออี้ยังเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาอยู่ดีแม้คนๆนั้นจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ก็ตาม
.
เกือบไปแล้ว…
คงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายอะไรแบบนั้น ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล นึกย้อนกลับไปในความทรงจำที่เจ็บปวดของตัวเองก่อนจะพบว่าตนโชคดีแค่ไหนที่ผ่านมันมาได้ หากความรู้สึกของคนที่เพิ่งรอดตายมาได้เป็นอย่างนั้น ช่ายสวี่คุนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันอยู่ไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเพิ่งผ่านเรื่องราวที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนความคิดของเขาเกี่ยวกับรายการIdol Producerและตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนน่าสับสนไปหมด เริ่มตั้งแต่ได้รับโจทย์เพลงในตำนานที่ถูกรีมิกซ์ขึ้นใหม่ อาการพรีฮีทที่ทำให้เขาเป็นบ้าไปเป็นวันสองวันแยกเขาออกมาจากกลุ่มเพื่อน เขาต้องพบเจอความหวาดกลัวต่อเพศรองของตนเอง ก่อนจะกลัวยิ่งกว่าเก่าเมื่อพบว่าตนตามหลังเพื่อนในทีมไปไกลแล้ว สวี่คุนเกือบโดนริบตำแหน่งเซนเตอร์ที่เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุด แต่กลับถูกเหล่าซือมองว่ามันไม่ตรงกับคอนเซ็ปที่ควรจะเป็น ความรู้สึกของการสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตฉายชัดในวินาทีนั้น หากไม่มีตำแหน่งเซนเตอร์ ช่ายสวี่คุนก็ไม่รู้ว่าตนกำลังทุ่มเทอย่างหนักไปเพื่ออะไร ตัวซีบนอกเสื้อยิ่งอยู่ห่างจากเขามากขึ้นไปทุกทีเมื่อตนตระหนักได้ว่าทุกคำวิจารณ์เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถดีได้เท่าคนที่เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น
เขาเกือบจะถอดใจอยู่แล้ว หากไม่ติดว่าคนที่แปะสติ๊กเกอร์กลับให้กับเขาจะเป็นจูเจิ่งถิงคนที่เหมาะสมจะเป็นเซนเตอร์คนใหม่ที่สุด และเพราะความไว้ใจนั้นสวี่คุนจึงพยายามมากขึ้นไปอีก รู้ตัวอีกทีตัวเองก็นอนอยู่ในห้องพยาบาลของค่ายฝึกเสียแล้ว
หายตัวได้เป็นยังไงสวี่คุนก็เพิ่งรู้วันนั้นเอง
อย่างไรเสียเขาก็ผ่านมันมาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเขายังยืนอยู่ตรงนี้ ที่หลังจอมอนิเตอร์พร้อมๆกับเพื่อนๆทุกคนในทีม ในวันนี้ไม่มีสติ๊กเกอร์ใดติดอยู่บนอกเสื้อของทั้งเขาและโจวรุ่ย มีเพียงหน้าที่ที่สลักอยู่ในใจและความตั้งใจที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่วันเดียว
‘PPAP ทีม A ขึ้นเวทีได้’
เสียงเรียกของทีมงานทำให้พวกเราทั้งห้าหันมาสบตากันและกันเป็นครั้งสุดท้าย มือทั้งห้ายื่นออกมาวางซ้อนทับกันเพื่อสร้างกำลังใจให้กับทีม ก่อนที่จะไม่มีอะไรมาขวางพวกเรากับเวทีได้อีก
“ทำให้ได้เหมือนที่ซ้อมโอเคนะ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องผล ไปสนุกกัน”
วินาทีที่สวี่คุนก้าวขึ้นไปเหยียบบนเวทีคือวินาทีที่ปลดแอกความรู้สึกหนักหน่วงทั้งหมดที่แบกรับมา ไม่มีอีกแล้วสิ่งเหล่านั้น ณ ขณะนี้เหลือเพียงต้องแสดงผลลัพธ์ของความทุ่มเททั้งหมดออกมาให้คนดูได้เห็น ความกระหายอยากต่อเวทีที่สวี่คุนเรยคิดว่าตนมีอยู่มากแล้วทะยานสูงขึ้นกว่าเก่าทันทีที่ได้เห็นผู้คนที่คราคร่ำอยู่เบื้องหน้า และได้ยินเสียงกรีดร้องร่ำเรียกชื่อของเขาอยู่ไกลๆ
เสียงอึกทึกก้องอยู่ในหูก่อนที่ทำนองเพลงแสนคุ้นเคยจะดังขึ้น
และช่ายสวี่คุนรู้ดีว่าทุกคนจะมีความสุขไปกับมัน
.
“เก่งมากคุนคุน”
“นายเองก็เหมือนกัน”
เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง วินาทีแห่งความจริงปรากฏในรูปของผลคะแนนที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอ
พวกเราชนะ
นั่นหมายถึงพวกเราทำสำเร็จแล้ว รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเพื่อนร่วมทีมทำให้เขามีความสุขยิ่งกว่าตอนเห็นคะแนนของตัวเองเสียอีก สวี่คุนพอใจในผลคะแนนของตนเอง แม้ว่าคนที่ได้คะแนนสูงที่สุดจะเป็นเจิ้งถิงตามเขาคาดไว้ก็ตาม แค่ทีมชนะสวี่คุนก็ถือว่าตนประสบความสำเร็จในฐานะเซ็นเตอร์มากแล้ว เจ้าของเรือนผมสีสว่างติดสีเทาเดินไปกอดให้กำลังใจเพื่อนอีกทีมที่ตั้งใจฝึกซ้อมไม่แพ้กัน ก่อนจะเดินกลับมายืนอยู่ข้างจื่ออี้ที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะกลับเข้าไปในห้องรอเพื่อดูการแสดงของทีมถัดไปแล้ว
พวกเราทั้งสองทีมเดินกลับเข้าไปในห้องเงียบๆโดยไม่มีใครพูดอะไร ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปตีกันอยู่ในอกจนตื้อไปหมด เขาก้าวเท้าไปเรื่อยๆตามจังหวะการนำของเยี่ยนเฉินที่เดินอยู่ข้างหน้า พลันรู้สึกถึงแรงดึงและการเกาะกุมของมืออุ่นที่รั้งให้เขาเดินช้าลงและก้าวไปเคียงข้างกัน
“บอกไปหรือยังว่าวันนี้นายดูดี”
เสียงทุ้มที่เบาจนแทบไม่ได้ยินหากไม่เงี่ยหูไปใกล้ๆดังขึ้น ช่ายสวี่คุนไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่แดงเรื่อของตนเอาไว้ได้ แต่เขาสามารถกลบเกลื่อนมันด้วยเสียงหัวเราะและการขยิบตาแบบหยอกๆให้กับคนที่กำลังยิ้มกริ่ม
“นี่เป็นวิธีที่อัลฟ่าชอบใช้เพื่อคุยกับโอเมก้าสักคนเหรอ”
“เปล่า แค่อยากบอก”
จื่ออี้บอกแบบนั้นก่อนจะผิวปากหวือ สันจมูกคมทำท่าจะโฉบมาใกล้ทำให้สวี่คุนต้องผลักอีกฝ่ายออกแล้วถอยตัวออกมาจนไปชนเข้ากับฮ่าวฮ่าวที่เดินตามมา เขาหันไปขอโทษเด็กหนุ่มที่ดูจะยังตื่นเต้นกับเวทีเมื่อครู่อยู่ก่อนจะยกขาขึ้นเตะอัลฟ่าที่บังอาจมาแกล้งอะไรไม่เข้าเรื่อง
“เฮ้ นี่ฉันเป็นพี่นะ”
ช่ายสวี่คุนทำหน้าเหรอหราใส่คนที่นึกอยากจะนับพี่น้องกันขึ้นมาเสียดื้อๆ บทสนทนาของเจิ้งถิงกับโจวรุ่ยเกี่ยวกับแผนการสำหรับวันหยุดอีกสองสามวันถัดจากนี้ก่อนจะต้องกลับเข้ามาฟังประกาศอันดับอย่างเป็นทางการดังเข้าหูเขาโดยบังเอิญ สวี่คุนมองคนข้างกายที่เลื่อนเก้าอี้ให้ทั้งเขาและเจิ้งถิงก่อนจะนั่งลงเป็นคนสุดท้ายอย่างชั่งใจ จื่ออี้ที่เห็นว่าตัวเองถูกดวงตากลมจ้องอยู่ก็หันไปจ้องกลับ
“มีอะไร”
“จะถามว่าพรุ่งนี้ว่างไหม”
จื่ออี้ดูจะชะงักไปนิดหน่อยเมื่อฟังคำถามจบ ก่อนจะหันมายกยิ้มล้อเลียนคนที่นั่งหน้าเครียดเพราะคิดว่าตนจะโดนปฏิเสธ
“นี่เป็นวิธีที่โอเมก้าชอบใช้เพื่อคุยกับอัลฟ่างั้นสินะ”
พอโดนยอกย้อนด้วยประโยคแบบนั้น สวี่คุนจึงทำได้เพียงแค่นหัวเราะในคอ
“ก็อยู่ที่ว่านายอยากให้ฉันมองนายเป็นอัลฟ่าหรือหวังจื่ออี้”
.
“เป็นคนที่ตกลงไปกับช่ายสวี่คุนก็แล้วกัน”
.
.
TBC.
ความคิดเห็น