คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 2 : Below the line
Episode 2 =Below the line=
#สวี่คุนเป็นโอเมก้า
คืนแรกในหอพักชายล้วนของรายการIdol Producer ไม่แย่เท่าไหร่นัก
จริงอยู่ที่ว่ามีหลายอย่างในสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เขาประสาทเสีย
ทั้งเด็กฝึกห้องข้างๆที่ตะเบ็งเสียงโหยหวนแข่งกับเสียงลำโพงแตกๆอยู่จนเช้า เตียงที่คงจะคำนวณความยาวมาผิดไปหน่อย
จนทำให้ต้องนอนงอเข่าเพื่อไม่ให้ปลายเท้าไปแตะโดนส่วนเดียวกันของคนเตียงตรงข้าม
กระทั่งห้องน้ำที่มีอยู่ห้องเดียวต่อเด็กฝึกสี่ถึงห้าคนแถมมาด้วยเพื่อนร่วมวงที่อาบน้ำช้าจนนาฬิกาจับเวลาระเบิดตัวเองตาย
สุดท้ายหวังจื่ออี้ก็หลับไปในชุดเดิมโดยไม่ทันได้อาบน้ำ
ซกมกแบบที่ไม่ใช่สไตล์เขาเท่าไหร่
แต่เมื่อหักลบกับความรู้สึกด้านบวกดูก็พบว่าตัวเองค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางพออกพอใจกับสภาพในตอนนี้เสียอย่างนั้น
มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
ทั้งยังได้เอมาอยู่ในครอบครอง หากบอกว่ายังไม่พอใจคงโดนเกลียดขี้หน้าไปค่อนประเทศ เมื่อคืนจื่อคุนไม่ได้แวะมาหาเขาที่ห้อง
ซึ่งจื่ออี้คิดในใจว่าดีแล้ว โชคดีที่หมอนั่นดูแลตัวเองได้จริงๆอย่างที่โฆษณา
เขาในฐานะอัลฟ่าคนหนึ่งจึงนอนหลับได้สบายหายห่วง
“เมื่อคืนไม่อาบน้ำเหรอ
จริงๆนายอาบเร็วน่าจะอาบก่อนฉัน”
เพื่อนร่วมวงเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงเอ่ยขึ้นขณะซับปอยผมเปียกชื้นด้วยผ้าขนหนูขนาดเล็ก
จื่ออี้ยักไหล่ตอบโต้เพราะไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไปดี
เขาหยิบเสื้อเสวตเตอร์สีชมพูไม่เข้ากันกับตัวเองขึ้นมาจากตู้แขวนก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ว่างอยู่
เสียงพูดคุยที่ดังไล่หลังมาทำให้รู้สึกแปลก
“เหมือนจะรอใคร
ฉันก็นึกว่าใครจะมาเลยเปิดไฟทิ้งไว้ สุดท้ายก็ไม่มีใครมาเฉยเลย”
“เป็นคนที่เข้าใจยาก”
“ก็เป็นหวังจื่ออี้นั่นแหละ”
เขาไม่ได้รอใครเสียหน่อย
อย่างน้อยก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเมื่อกี้
เขาแค่กังวลกับสภาพแวดล้อมใหม่ก็เท่านั้น
ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ผิดแน่
.
.
จื่ออี้ไม่ชอบสีชมพู
เขาคิดว่ามันดูหวานแหววและนุ่มนิ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่ว
ต่างจากภาพลักษณ์แข็งกระด้างและลึกลับของเขาคนละโลก นั่นทำให้หวังจื่ออี้รู้สึกกระดากใจทุกครั้งที่เดินผ่านอะไรก็ตามที่สะท้อนภาพร่างกายเขาที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อสีฟรุ้งฟริ้ง
อย่างไรก็แล้วแต่ตัวอักษรเอที่ปักอยู่บนเสื้อมีความหมายมากกว่านั้น
การตัดสินใจที่จะกล้ำกลืนฝืนให้ตัวเองชินกับสีสันน่ารักนี้จึงเป็นไปอย่างไม่ยากลำบากมากนัก
ยังไงก็ตามคงต้องยอมรับว่ามันแตกต่างจากคนอื่นๆ
เช่น ช่ายสวี่คุน เป็นต้น
“อรุณสวัสดิ์”
“ไง”
เขาเพยิดหน้าให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงปลายแถวสุดของโต๊ะโซนกลางแทนการโบกมือเพราะมือทั้งสองยังถือถาดอาหารเอาไว้อยู่
สวี่คุนโบกช้อนทักทายกลับมาด้วยรอยยิ้มสดใส
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนชี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังว่างอยู่เป็นนัยให้เขาวางถาดในมือลงไปแทนการจับจอง
จื่ออี้ทักทายเด็กฝึกที่นั่งอยู่ถัดไปก่อนจะต้องเผลอยิ้มตามรอยยิ้มแสนสดใสนั่น
“สวัสดีลี่หนง”
“สวัสดีตอนเช้า
เพิ่งมาหรอ นั่งสิๆ สวี่คุนก็เพิ่งมาเหมือนกัน”
ลี่หนงยิ้มกว้างจนตาปิดเป็นเส้น
จื่ออี้ได้ยินเสียงสวี่คุนหัวเราะเบาๆคลอมากับเสียงจอแจของเด็กฝึกร้อยชีวิต
พอเขาเริ่มตักข้าวคำแรกเข้าปาก
ลี่หนงที่พูดจ้อราวกับถูกตั้งโปรแกรมถามตอบอัตโนมัติเอาไว้ก็หยุดบทสนทนาแล้วหันไปคุยกับเพื่อนอีกคนเสียดื้อๆ
นั่นคนหรือหุ่นยนต์
อย่างกับเปิดปิดสวิตช์ได้
เฉินลี่หนงสวมเสื้อสีชมพูเช่นเดียวกันกับเขาและสวี่คุน
จื่ออี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นเป็นสีที่ดูเข้ากันกับบุคลิกของอีกฝ่ายจนน่าอิจฉา
เขาเลื่อนสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตน สวี่คุนวันนี้ไม่ได้สวมปลอกคออย่างเมื่อคืนคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังได้กลิ่นจางๆออกมาจากตัวอีกฝ่ายอยู่
ทว่ากลิ่นที่ได้ก็จางลงมาก ดูท่าว่าคงเป็นเด็กดีกินยาตามที่เขาบอกไปเรียบร้อยแล้ว
“สีชมพูดูเหมาะกับนาย”
“ไม่เอาสิ
ไม่ชอบนะ”
สวี่คุนมุ่ยหน้าทั้งที่จื่ออี้ไม่คิดว่าตัวเองพูดผิดไปตรงไหน
จื่ออี้เพียงรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูดีเกินไปจนใส่อะไรก็เข้าท่าไปเสียหมด
ขนาดเจ้านี่ทำหน้าบู้บี้ยังดูดีได้อยู่ น่าอิจฉากว่าลี่หนงเป็นกอง
“ได้ฟังเพลงรึยัง”
เขาเลือกจะเบี่ยงประเด็นไปยังเพลงประจำรายการที่เป็นมิชชันประเมินผลมิชชันใหม่
เดโมเพลงที่ได้รับมาเมื่อคืนทำให้เขาขนลุก ท่าเต้นก็ส่วนหนึ่ง
คิดถึงเวลาฝึกอันน้อยนิดยิ่งรู้สึกแย่
แต่ส่วนที่แย่ที่สุดคือเสียงร้องสูงปรี๊ดชนิดที่ว่าแรปเปอร์อย่างเขาสมควรจะต้องร้องไห้เป็นสายเลือดไปเสียก่อนเพื่อให้ได้เสียงแบบนั้น
สวี่คุนพยักหน้าด้วยท่าทางสิ้นหวังไม่แพ้กัน
“ฟังแล้ว
ไม่น่ารอดเลยพูดตรงๆ”
“คิดแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ต้องรอดให้ได้”
ชายหนุ่มอายุมากกว่าเลือกจะไม่พูดถึงกลิ่นจางๆที่เขายังรับรู้ได้
อันที่จริงเขาค่อนข้างพอใจในกลิ่นระดับนี้
มันทำให้เขาสบายใจและรู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ไม่รู้ว่าสวี่คุนรู้ตัวหรือเปล่า เอาเถอะ ไม่รู้ตัวน่าจะดีกว่า
จื่ออี้จะได้แอบดมไปนานๆ
“Get A”
“Get A”
ช่ายสวี่คุนวางช้อนลงเพื่อจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาไฮไฟว์ด้วย
แน่นอนว่าจื่ออี้ตอบรับคำขอนั้นทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย สัมผัสที่ได้รับเพียงเสี้ยววินาทีสร้างกระแสแปลบปลาบเล็กน้อยราวกับแตะลงไปบนลูกบอลวิทยาศาสตร์
จื่ออี้มองมือตัวเองที่ยังอุ่นวาบน้อยๆด้วยสายตาอ่านยาก
เพิ่งรู้ว่าแตะตัวโอเมก้าก็อันตราย
.
.
ถ้าเอาความสามารถในการคาดเดาในครั้งนี้ไปซื้อล็อตเตอรี่
หวังจื่ออี้คงถูกรางวัลที่หนึ่งและรวยเละไปแล้ว เพลง Pick me ยากอย่างที่เขาคิดไว้
และอุปสรรคชิ้นยักษ์ของหวังจื่ออี้ก็คือการร้องเพลงตามที่คาด
แต่ส่วนที่ทำให้แปลกใจไม่น้อยก็คือความทุลักทุเลในการฝึกเต้นของกรุ๊ปเอ ด้วยเพราะเป็นกลุ่มของเด็กฝึกที่ควรจะดีที่สุดจึงถูกคาดหวังเอาไว้สูงที่สุดแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เป็นดั่งหวัง
พวกเขาไม่อยากให้ใครผิดหวังจึงทุ่มเทซ้อมอย่างหนักแต่สุดท้ายกลายเป็นว่าคนที่ผิดหวังที่สุดกลับเป็นตัวเอง
เฉินลี่หนง
ไม่มีพื้นฐาน
ช่ายสวี่คุน
เต้นคร่อมจังหวะ
จูเจิ้งถิง
จำท่าไม่ได้
ส่วนเขา
หวังจื่ออี้ ไลน์เต้นไม่ดี
สุดท้ายความหวานของเสื้อสีชมพูพาสเทลก็ไม่สามารถช่วยให้บรรยากาศในห้องซ้อมดีขึ้นได้อีกต่อไป
“จื่ออี้ไม่นอนเหรอ”
ฮ่าวหรานถามเขาตอนเข็มสั้นนาฬิกาชี้เลยเลขสองไปหน่อย
จื่ออี้ตอบอีกฝ่ายไปว่าขอตัวไปซ้อมเพิ่มอีกสักหน่อยทั้งที่แอบคิดไว้ว่าคงไม่ได้กลับมาที่ห้องจนเช้า
ชายหนุ่มเดินผ่านโถงทางเดินที่เงียบกว่าตอนกลางวันราวกับอยู่กันคนละที่ เสียงเพลงPick meดังมาจากห้องซ้อมที่เปิดไฟเอาไว้บ้างประปราย
เสียงพูดคุยคลอเสียงกระทบตึกตักของรองเท้าผ้าใบบนพื้นห้องดังเป็นจังหวะหนักแน่น
เห็นได้ชัดว่ามีอีกหลายคนที่เลือกจะไม่นอนในคืนนี้ หลายคนเลือกจะใช้โอกาสนี้ทำให้คุ้มค่าที่สุดโดยไม่รู้เลยว่าผลของมันจะออกมาคุ้มค่าหรือเปล่า
จื่ออี้เดินเตร่มาจนสุดทางเดิน
ประหลาดใจที่ห้องซ้อมห้องสุดท้ายมีไฟลอดออกมาจากกรอบประตูหลังจากที่ตนออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายตอนเที่ยงคืนกว่า
ไม่มีเสียงพูดคุยในนั้น มีเพียงเสียงย่ำเท้าจังหวะเดียวกับบีทดังออกมาเบาๆ นั่นพอจะบอกได้ว่าภายในห้องมีผู้ใช้งานเพียงหนึ่งคนเท่านั้นและมันกำลังเพิ่มเป็นสองทันทีที่จื่ออี้ดันประตูด้วยแผ่นหลังให้มันเปิดออก
“ไม่นอนเหรอ”
“นายล่ะไม่นอนเหรอ”
ช่ายสวี่คุน ไม่ต้องเห็นหน้าจื่ออี้ยังรับรู้ถึงการมีตัวตนของอีกฝ่ายตั้งแต่ตัวเองอยู่หลังกรอบประตู
สวี่คุนไม่ได้ตอบแต่เดินไปกดหยุดเพลงเอาไว้ก่อนจะซับใบหน้าชื้นเหง่อด้วยผ้าขนหนูขณะทรุดตัวลงนั่งชันบนพื้นห้อง
จื่ออี้ใช้ไหล่ปิดประตู เขาไม่อยากรบกวนคนที่กำลังนั่งพักเหนื่อยเลยเลือกจะเดินไปวางขวดน้ำและไอแพดของตัวเองอีกมุมหนึ่ง
“ห้องข้างๆว่างนะ”
จุดประสงค์ของสวี่คุนคือการบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้เป็นทางเลือก
เพราะกลัวว่าจื่ออี้จะอึดอัดหากต้องใช้ห้องซ้อมร่วมกันกับเขาที่ยังไม่มั่นใจในท่าสักเท่าไหร่
เขาไม่ได้ตั้งใจจะไล่อีกฝ่ายไปอีกห้อง เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นจื่ออี้บอกขอโทษแล้วเก็บของกลับไปสวี่คุนจึงต้องรีบผุดลุกขึ้นปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ได้จะไล่
แค่กลัวนายจะอึดอัด อยู่ด้วยกันก็ได้นะ”
จื่ออี้เลิกคิ้วขึ้นท่าทางดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด
คนที่บอกว่าตัวเองswagเหลือเกินถามย้ำกับเขาอีกรอบและอีกรอบว่าโอเคให้อยู่ด้วยจริงๆหรือเปล่า
ทำให้สวี่คุนต้องหัวเราะให้กับความเป็นคนดีของฝ่ายนั้น ที่จริงอัลฟ่าอยู่กับโอเมก้าสองคนไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเสี่ยงเท่าไหร่
ทว่าเขากลับรู้สึกว่าถ้าเป็นหวังจื่ออี้ก็คงจะไม่เป็นไร จื่ออี้ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่าตอนที่อยู่คนเดียวเสียด้วยซ้ำ
“อยากอยู่ก็อยู่เถอะ
ใช้ลำโพงฉันก็ได้”
หลังจากยืนจ้องหน้ากันเงียบๆหลายนาทีสุดท้ายจื่ออี้ก็วางของตัวเองลงอีกครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยยืดเส้นยืดสายพอให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นก่อนจะเดินไปยังลำโพงขนาดเท่าฝ่ามือที่มุมห้อง
“เริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ”
จื่ออี้หันมาถามเขาทั้งๆที่ตัวเองกดเปิดเพลงไปแล้ว
ทำนองชวนหลอนดังขึ้นมาทำให้กล้ามเนื้อกระตุกเหมือนร่างกายกำลังจะขยับไปเองตามความเคยชิน
แต่สวี่คุนไม่ได้เต้นไปด้วยกันกับอีกฝ่าย เขามองคนที่เต้นบีบอยมานานเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วแล้วก็ได้แต่รู้สึกชื่นชม
กระจกสะท้อนแววตาคมกริบแสนมุ่งมั่นก่อนมันจะอ่อนลงเมื่อหันมามองเขา
“ไม่เต้นเหรอ”
“เต้นไปก่อนเลย
ขอฉันแปะแผ่นบ้านี่ใหม่ก่อน พอเหงื่อออกก็จะหลุดอยู่เรื่อย”
สวี่คุนชี้แผ่นแปะขนาดครึ่งฝ่ามือข้างลำตัว
มันเป็นยากดฟีโรโมนขนานเบาที่แบบที่เขาใช้เป็นประจำเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นเวลาใช้ชีวิตอยู่ในสังคม
ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะต้องเข้ามาแข่งในรายการนี้แถมยังป่าวประกาศเพศรองตัวเองเสียชัดเพราะกลัวว่าถ้าคนมารู้ทีหลังจะไม่ดีเอาได้
เขาก็ไปเหมามาตุนไว้ล็อตใหญ่ ยังไงก็ต้องเจออัลฟ่า
การป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งที่โอเมก้าสมควรจะทำและเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอาย
แต่ความจริงก็คือแผ่นเก่ามันไม่ได้หลุดออกอย่างที่ว่า เพียงแค่เขาคิดว่าตัวเองควรจะป้องกันตัวเสียหน่อยขณะอยู่กับอัลฟ่าที่แข็งแกร่งสองต่อสองในห้องแคบๆ
จื่ออี้ปล่อยให้เพลงดำเนินไปขณะที่ตัวเองเดินเข้ามาดูแผ่นยาที่สวี่คุนชี้ให้ดูใกล้ๆ
ระยะห่างที่ลดลงทำให้คนอายุน้อยกว่าก้าวเท้าถอยห่าง
“ถ้ากลัวล่ะก็ฉันไปอยู่ห้องอื่นก็ได้นะ”
“ซ้อมกันเถอะ”
สวี่คุนเอ่ยตัดบทก่อนที่คนตรงหน้าจะออกจากห้องไปจริงๆ
จื่ออี้ถอนหายใจยาว เขาก้าวยาวๆมาหยุดอยู่ใกล้กันกับคนที่เริ่มกวาดแขนตามท่าที่ฝึกมาและเริ่มเต้นไปด้วยโดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก
ช่ายสวี่คุนลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายผ่านกระจกแล้วยกยิ้มขึ้นในจังหวะหมุนตัว ได้แต่หวังว่าจื่ออี้จะไม่เห็นมัน
เป็นอัลฟ่าที่แปลกจริงๆ
.
จื่ออี้คิดว่าตัวเองมีญาณทิพย์แต่คิดอีกทีเขาน่าจะเป็นประเภทยอมรับความจริงและไม่หลอกตัวเองเสียมากกว่า
ตั้งแต่ตอนที่อัดวิดีโอประเมินผลเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองทำพลาด ถึงสวี่คุนจะพยายามปลอบใจด้วยการบอกว่ามันไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นแต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าต้องร่วงลงไปแน่ๆ
ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ต่ำกว่าซี หลังจากพยายามซ้อมโต้รุ่งในคืนนั้น
ผลที่เกิดขึ้นคือสวี่คุนหลับคอพับไปกลางห้องซ้อม
ลำบากเขาที่ไม่กล้าปลุกอีกฝ่ายแต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ห้องไหนต้องแบกผู้ชายสูงร้อยแปดสิบกลับห้องตัวเองก่อนจะต้องเนรเทศตัวเองออกมานั่งหลับกลางโรงอาหารตอนตีห้า
เหตุผลเดียวเลยก็คือสวี่คุนตัวหอมเกินไป ไม่รู้ว่าออกแรงเยอะหรือเปล่าถึงได้ปล่อยกลิ่นฟุ้งขนาดนั้น
จื่ออี้ไม่ได้บอกเจ้าตัว
และไม่คิดจะบอก
เขาไม่อยากให้ช่ายสวี่คุนคิดมากหรือรู้สึกเป็นกังวลเวลาที่อยู่กับเขา
ถึงจะรู้ตัวว่าความคิดตัวเองเริ่มจะโรคจิตอยู่หน่อยๆแล้วก็ตาม
เอาเป็นว่าจัดการกับตัวเองคงง่ายกว่าทำให้หมอนั่นลำบากใจ
จื่ออี้มองคนที่ยืนส่ายไปมาอย่างพะว้าพะวงเพราะเด็กฝึกในกลุ่มอื่นมีการเปลี่ยนแปลงอันดับกันมากมายอย่างน่าใจหาย
เขาเองไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองพลาด
แต่ก็มารู้สึกได้ว่าไม่น่าพลาดเลยจริงๆตอนที่โดนเรียกชื่ออกไปรับใบเกรด
“หวังจื่ออี้”
ถ้าถูกเรียกก็น่าจะโดนลดขั้นอยู่แล้ว
ถึงจะไม่เสียใจแต่ก็อดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ จื่ออี้เดินผ่านสวี่คุนก่อนจะรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกที่ทำให้ต้องหันตัวไปกอดหมับ
“ต้องเป็นเซ็นเตอร์นะ”
เขาหันไปกระซิบโอเมก้าที่แผ่กลิ่นอายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน
สวี่คุนพยักหน้าให้แม้จะดูไม่มั่นใจนัก อย่างไรก็ตามจื่ออี้ผู้มีญาณทิพย์มั่นใจว่าโอเมก้าแสนสง่างามคนนี้จะต้องทำได้อย่างแน่นอน
.
“ช่ายสวี่คุน.
. . ไม่ต้องลงมา อยู่ที่Aนั่นแหละ”
คนอย่างเขาเคยเดาผิดเสียที่ไหนกันล่ะ
.
“จะไปไหน”
เจิ้งรุ่ยปินที่บังเอิญเดินสวนกันหน้าตู้กดน้ำตะโกนถามจื่ออี้
ดังพอจะทำให้เด็กฝึกหลายคนที่ออกมาเดินเล่นในช่วงเวลาพักและเตรียมตัวจะเปลี่ยนเสื้อให้เป็นสีตามเกรดใหม่หันมามองอย่างสนใจ
ชายหนุ่มยกกระป๋องซุปข้าวโพดกับน้ำอัดลมขึ้นมาเพราะไม่อยากตอบอะไรให้คนสนใจมากขึ้นกว่านี้
“ติดจังเลยนะ
หวังผลรึเปล่า”
“เงียบน่า”
“ซื้อให้กำลังใจฉันบ้างสิ”
“บอกให้เงียบไป”
“สองมาตรฐานว่ะ”
รุ่ยปินพูดยิ้มๆ
จื่ออี้เกลียดหน้าตาเจ้าเล่ห์ของคนที่ใครก็บอกว่าแสนดียิ่งกว่าเสื้อสีน้ำเงินบนตัวเขาตอนนี้เสียอีก
ยิ่งเห็นเสื้อสีชมพูบนตัวอีกฝ่ายก็ยิ่งหมั่นไส้กว่าเดิม เขาก้าวขาออกมาจากจุดนั้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้หลังได้ยินเสียงผิวปากแสนหวีดหวิวของคนที่ยังยืนเลือกเครื่องดื่มให้ตัวเองไม่ได้เลยไม่ยอมไปซ้อม
รู้สึกรำคาญใจจนอยากจะปากระป๋องใส่หน้าหล่อๆของหมอนั่นสักที โถงซ้อมที่เคยมีเสียงเพลงเดียวเปิดวนไปมา
ตอนนี้กลายเป็นบทเพลงที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป เมื่อสักครู่ตัวแทนจางได้ประกาศให้เด็กฝึกระดับเอทุกคนเตรียมการแสดงเพื่อให้เด็กฝึกที่เหลอเลือกเซนเตอร์ของเพลงPick me
ทันทีที่ได้ยินจื่ออี้ก็หมุนไปมองหนึ่งในเอที่ยังคงตำแหน่งเอาไว้ได้อย่างสวี่คุนนราวกับเป็นสัญชาตญาณ
เขาพยักหน้าให้อีกฝ่าย ต้องการจะสื่อให้คนๆนั้นมีความมั่นใจและทำให้ได้อย่างที่สมควรจะทำ
จื่ออี้ไม่แปลกใจที่สวี่คุนมองจ้องกลับมาแต่รู้สึกดีใจที่ฝ่ายนั้นรับรู้กำลังใจจากเขาได้
มันทำให้เขารู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไงเจิ้งถิง”
จื่ออี้ชะโงกหน้าเข้าไปทักทายจูเจิ้งถิงที่กำลังยืดร่างกาย
ดูท่าว่าคงจะเต้นท่ายากๆ ยังไม่ทันที่เจิ้งถิงจะได้ตอบ เด็กฝึกเยฮวาก็กรูกันเข้ามาล้อมตัวเข้าและผลักออกไปจากห้อง
“พี่จื่ออี้ทีมสวี่คุน
ไล่เขาออกไป”
“ช่าย
อย่ามาสืบเสียให้ยาก”
จื่ออี้หัวเราะให้กับท่าทางแบบเด็กๆของเจ้าพวกนั้นแต่ก็ยอมล่าถอยออกมาเพราะกลัวว่าคนที่ต้องคิดโชว์อย่างเจิ้งถิงจะเสียเวลามากกว่านี้
เขาเดินผ่านและแวะทักทายตามห้องต่างๆเท่าที่พอจะทำได้ก่อนจะหยุดปลายเท้าอยู่ที่ห้องท้ายสุด
“สวี่คุน
ฉันเข้าไปได้ไหม”
ประตูที่ปิดล็อกไว้เปิดออกด้วยฝีมือของคนที่อยู่ในห้อง
ช่ายสวี่คุนเบี่ยงตัวให้เขาเข้าไปในห้องซ้อมก่อนจะเดินเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดอยู่ใกล้ๆ
“วันนี้ได้กลิ่นจื่ออี้”
“เพราะนายเครียดไง
อ่ะ”
จื่ออี้ยื่นกระป๋องซุปข้าวโพดให้คนที่บ่นหิวมาตั้งแต่เริ่มจับเวลาก่อนตัวเองจะเปิดกระป๋องน้ำอัดลมดื่มบ้าง
สวี่คุนจิบซุปข้าวโพดกลิ่นอ่อนในมือแล้วมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
เจ้าของเรือนผมสีอ่อนกว่าเอ่ยขอบคุณแล้วเรียกให้จื่ออี้ไปนั่งบนเก้าอี้ยาวที่มุมหนึ่งของห้อง
“ซ้อมแล้วเหรอ”
“อือ
ยังไม่สมบูรณ์ ไม่รู้จะดีพอหรือเปล่า”
“ทำให้ดีที่สุดก็พอ”
จื่ออี้ปลอบใจอีกฝ่ายก่อนจะสางปอยผมที่ไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งจะซ้อมเต้นเบาๆหวังจะทำให้กลิ่นความกังวลใจที่อวลอยู่จางลงบ้าง
สวี่คุนขืนตัวในตอนแรกก่อนจะผ่อนคลายลงเมื่อเริ่มชิน
สัญชาตญาณระแวดระวังตัวของคนๆนี้ใช้งานได้ดีเสมอ มันเป็นข้อดีในความคิดของจื่ออี้
เขาเองเป็นอัลฟ่าคนหนึ่งการที่สวี่คุนติดจะระวังตัวในบางจังหวะทำให้รู้สึกวางใจในความปลอดภัยของคนอายุน้อยกว่ามากขึ้น
สวี่คุนเอ่ยปากบอกให้เขาออกไปหลังดื่มเครื่องดื่มหมดกระป๋อง เลยกลายเป็นว่าเขาแทบจะไม่กล้ายกกระป๋องขึ้นจิบ
ร้อนคนที่อยากซ้อมอีกรอบแต่ไม่อยากให้เขาเห็นต้องแย่งน้ำอัดลมของเขาไปกินเอง
“เสียใจ
อยากแข่งกับนายด้วย”
“อยากอยู่ด้วยกันหรืออยากแข่งกันมากกว่าล่ะ”
“ก็ทั้งคู่”
สวี่คุนว่าอย่างนั้น
ชายหนุ่มในเสื้อสีชมพูตัวเดิมดึงเขาขึ้นมา ตัวอักษรบีที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ได้ทำให้ผิดหวังมากเท่าไหร่
อย่างน้อยก็ลดไปแค่ขั้นเดียว แต่เอาเข้าจริงจื่ออี้เองก็เสียดายโอกาสอย่างที่สวี่คุนว่า
ถ้าได้เอ ป่านนี้คงได้ลุ้นเป็นเซนเตอร์กับเขาบ้าง จื่ออี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเซนเตอร์ได้แต่ก็อยากลองดูสักทีเหมือนกันล่ะนะ
ระหว่างที่เขาคิดอะไรเพลินๆและกำลังตั้งท่าจะออกจากห้องเพื่อปล่อยให้อีกคนได้ซ้อมอย่างเต็มที่
ชายเสื้อตัวใหม่กลับถูกรั้งเอาไว้ สวี่คุนดึงเขามาอยู่ใกล้ๆ ใกล้พอที่หากอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในภาวะอารมณ์หมองหม่นแล้วส่งกลิ่นเหมือนวันนั้นจื่ออี้คงเรียกมันว่าระยะอันตราย
ช่ายสวี่คุนสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ดูท่าว่าคงจะได้กลิ่นเขาจริงๆนั่นแหละ
จื่ออี้เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าโอเมก้าจะได้กลิ่นอัลฟ่าได้ดีขึ้นเวลาอยู่ในภาวะเครียดหรือเจ็บปวด
มันเป็นเหมือนกลไกทางจิตใจที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมตัวโอเมก้าเอง
ซึ่งหวังจื่ออี้ไม่ได้ขัดอะไรกับท่าทางแบบนั้น
จะดมจนหมดเวลาเลยก็ยังได้
“กลิ่นเหมือนร้านเบเกอรี่ผสมกับร้านกาแฟเลย”
“เหรอ”
มีคนเคยบอกเขาเหมือนกันว่ากลิ่นเขาเหมือนขนมอบกลิ่นกาแฟ
จื่ออี้ไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่าที่มีกลิ่นแบบนี้แต่ถ้าสวี่คุนบอกว่าดีก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีล่ะมั้ง
สวี่คุนยิ้มเผล่ ก่อนจะออกปากไล่เขาออกไปทั้งที่ตอนแรกตัวเองเป็นคนดึงเขาไว้แท้ๆ จื่ออี้หยิบกระป๋องเครื่องดื่มที่ว่างเปล่าสองกระป๋องติดมือไปด้วย
ไม่ลืมที่จะอวยพรให้อีกคนโชคดี ก่อนจะได้ยินประโยคชวนหงุดหงิดตอนกำลังจะปิดประตูจึงต้องหันกลับมาคุยด้วยอีกรอบ
“ดมอัลฟ่าตอนเครียดแล้วดีทุกคนเลยรึเปล่านะ”
“ไม่ต้องไปเที่ยวดมคนอื่น
มันไม่ดี”
“ก็ไม่ได้จะดมคนอื่นสักหน่อย”
แค่กลิ่นจื่ออี้ก็รู้สึกดีขึ้นเป็นกอง
.
สุดท้ายเซนเตอร์เพลงPick meก็เป็นของสวี่คุนตามที่เขาคาดหวังไว้
โชว์การเต้นของอีกฝ่ายออกมาดูดีกว่าที่เขาคิด สวี่คุนดูมั่นใจทุกครั้งเวลาอยู่บนเวที
นั่นคือจุดแข็งของอีกฝ่ายที่จื่ออี้คิดว่าสวี่คุนได้มันมาจากประสบการณ์และความทะเยอทะยานของตน
เซนเตอร์ที่ถูกเลือกขึ้นพูดสั้นๆก่อนรับหน้าที่อย่างเป็นทางการ ถึงไม่ได้ตั้งใจฟังทุกพยางค์ที่เอ่ยแต่ประโยคพวกนั้นก็ทำให้จื่ออี้มีกำลังใจขึ้นมาก
เขารู้สึกว่าตัวเขาเองก็ต้องสู้เหมือนกัน จะก้าวถอยหลังออกไปเรื่อยๆไม่ได้ จะห่างจากความฝันไปมากกว่านี้ไม่ได้
และวิธีเดียวที่หวังจื่ออี้คิดออกเพื่อจะใช้พัฒนาตัวเองขึ้นได้ก็คือไม่ย่อท้อที่จะวิ่งตามฝันแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม
“ทำไมทำหน้าเครียด”
สวี่คุนถามเขาตอนที่พวกเราเดินกลับไปที่ห้องโถงรวมเพื่อฟังบรีฟสำหรับสเตจจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกแค่ไม่กี่วันข้างหน้า
“แค่คิดว่าต้องทำให้ดีขึ้น”
“จื่ออี้ทำได้อยู่แล้ว
มิชชันหน้ามาอยู่ด้วยกันอีกนะ”
เขาหันไปยิ้มให้คนที่เดินแยกออกไปนั่งกับกรุ๊ปเอที่อีกฝั่งหนึ่ง
บอกไล่หลังให้อีกฝ่ายสู้ๆแต่เพราะรุ่ยปินที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เลยทำให้สวี่คุนไม่ได้ยิน
ถึงรุ่ยปินจะไม่ได้หันมาแต่จื่ออี้ก็มั่นใจว่าหมอนี่ต้องจงใจมาแทรกแน่ๆ เกลียดเพื่อนตัวเองตอนนี้จะผิดไหมนะ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ ตอนหน้าตัวละครจะเพิ่มเข้ามาตามเหตุการณ์ในรายการเดี๋ยวจะสรุปให้อีกทีค่ะว่าใครมีเพศรองเป็นอะไรกันบ้าง
ฝากคอมเม้นกันด้วยนะคะ อ่านแต่ละอันแล้วแบบ อยากกราบงามๆ ดีใจมากๆที่มีคนชอบ คนสนใจฟิคเรา นี่เลยรีบมาแต่งเพราะวันพรุ่งนี้ก็สอบอีกจ้า สู้ป้ะล่ะ การศึกษาก็อีกเรื่องเนาะ5555
ในทวิตอย่าลืมติดแท็ก #สวี่คุนเป็นโอเมก้านะคะ อย่าให้เค้าเหงาอยู่คนเดียว
เจอกันอีกทีวันจันทร์ค่ะ คิส
ความคิดเห็น