ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "..Insecure.." WangZiyi x CaiXukun จื่อคุน

    ลำดับตอนที่ #3 : Episode 2 : Below the line

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.69K
      164
      29 มี.ค. 61

    Insecure

    Episode 2 =Below the line=

    #สวี่คุนเป็นโอเมก้า


     .


     .


    คืนแรกในหอพักชายล้วนของรายการIdol Producer ไม่แย่เท่าไหร่นัก จริงอยู่ที่ว่ามีหลายอย่างในสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้เขาประสาทเสีย ทั้งเด็กฝึกห้องข้างๆที่ตะเบ็งเสียงโหยหวนแข่งกับเสียงลำโพงแตกๆอยู่จนเช้า เตียงที่คงจะคำนวณความยาวมาผิดไปหน่อย จนทำให้ต้องนอนงอเข่าเพื่อไม่ให้ปลายเท้าไปแตะโดนส่วนเดียวกันของคนเตียงตรงข้าม กระทั่งห้องน้ำที่มีอยู่ห้องเดียวต่อเด็กฝึกสี่ถึงห้าคนแถมมาด้วยเพื่อนร่วมวงที่อาบน้ำช้าจนนาฬิกาจับเวลาระเบิดตัวเองตาย สุดท้ายหวังจื่ออี้ก็หลับไปในชุดเดิมโดยไม่ทันได้อาบน้ำ ซกมกแบบที่ไม่ใช่สไตล์เขาเท่าไหร่ แต่เมื่อหักลบกับความรู้สึกด้านบวกดูก็พบว่าตัวเองค่อนข้างจะเอนเอียงไปทางพออกพอใจกับสภาพในตอนนี้เสียอย่างนั้น

    มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือก ทั้งยังได้เอมาอยู่ในครอบครอง หากบอกว่ายังไม่พอใจคงโดนเกลียดขี้หน้าไปค่อนประเทศ เมื่อคืนจื่อคุนไม่ได้แวะมาหาเขาที่ห้อง ซึ่งจื่ออี้คิดในใจว่าดีแล้ว โชคดีที่หมอนั่นดูแลตัวเองได้จริงๆอย่างที่โฆษณา เขาในฐานะอัลฟ่าคนหนึ่งจึงนอนหลับได้สบายหายห่วง

    “เมื่อคืนไม่อาบน้ำเหรอ จริงๆนายอาบเร็วน่าจะอาบก่อนฉัน”

    เพื่อนร่วมวงเจ้าของผมสีน้ำตาลแดงเอ่ยขึ้นขณะซับปอยผมเปียกชื้นด้วยผ้าขนหนูขนาดเล็ก จื่ออี้ยักไหล่ตอบโต้เพราะไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไปดี เขาหยิบเสื้อเสวตเตอร์สีชมพูไม่เข้ากันกับตัวเองขึ้นมาจากตู้แขวนก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ว่างอยู่ เสียงพูดคุยที่ดังไล่หลังมาทำให้รู้สึกแปลก

    “เหมือนจะรอใคร ฉันก็นึกว่าใครจะมาเลยเปิดไฟทิ้งไว้ สุดท้ายก็ไม่มีใครมาเฉยเลย”

    “เป็นคนที่เข้าใจยาก”

    “ก็เป็นหวังจื่ออี้นั่นแหละ”

    เขาไม่ได้รอใครเสียหน่อย อย่างน้อยก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเมื่อกี้ เขาแค่กังวลกับสภาพแวดล้อมใหม่ก็เท่านั้น

    ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ผิดแน่

    .

    .

    จื่ออี้ไม่ชอบสีชมพู เขาคิดว่ามันดูหวานแหววและนุ่มนิ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่ว ต่างจากภาพลักษณ์แข็งกระด้างและลึกลับของเขาคนละโลก นั่นทำให้หวังจื่ออี้รู้สึกกระดากใจทุกครั้งที่เดินผ่านอะไรก็ตามที่สะท้อนภาพร่างกายเขาที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อสีฟรุ้งฟริ้ง อย่างไรก็แล้วแต่ตัวอักษรเอที่ปักอยู่บนเสื้อมีความหมายมากกว่านั้น การตัดสินใจที่จะกล้ำกลืนฝืนให้ตัวเองชินกับสีสันน่ารักนี้จึงเป็นไปอย่างไม่ยากลำบากมากนัก

    ยังไงก็ตามคงต้องยอมรับว่ามันแตกต่างจากคนอื่นๆ เช่น ช่ายสวี่คุน เป็นต้น

    “อรุณสวัสดิ์”

    “ไง”

    เขาเพยิดหน้าให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงปลายแถวสุดของโต๊ะโซนกลางแทนการโบกมือเพราะมือทั้งสองยังถือถาดอาหารเอาไว้อยู่ สวี่คุนโบกช้อนทักทายกลับมาด้วยรอยยิ้มสดใส เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนชี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังว่างอยู่เป็นนัยให้เขาวางถาดในมือลงไปแทนการจับจอง จื่ออี้ทักทายเด็กฝึกที่นั่งอยู่ถัดไปก่อนจะต้องเผลอยิ้มตามรอยยิ้มแสนสดใสนั่น

    “สวัสดีลี่หนง”

    “สวัสดีตอนเช้า เพิ่งมาหรอ นั่งสิๆ สวี่คุนก็เพิ่งมาเหมือนกัน”

    ลี่หนงยิ้มกว้างจนตาปิดเป็นเส้น จื่ออี้ได้ยินเสียงสวี่คุนหัวเราะเบาๆคลอมากับเสียงจอแจของเด็กฝึกร้อยชีวิต พอเขาเริ่มตักข้าวคำแรกเข้าปาก ลี่หนงที่พูดจ้อราวกับถูกตั้งโปรแกรมถามตอบอัตโนมัติเอาไว้ก็หยุดบทสนทนาแล้วหันไปคุยกับเพื่อนอีกคนเสียดื้อๆ

     

    นั่นคนหรือหุ่นยนต์ อย่างกับเปิดปิดสวิตช์ได้

     

    เฉินลี่หนงสวมเสื้อสีชมพูเช่นเดียวกันกับเขาและสวี่คุน จื่ออี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นเป็นสีที่ดูเข้ากันกับบุคลิกของอีกฝ่ายจนน่าอิจฉา เขาเลื่อนสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตน สวี่คุนวันนี้ไม่ได้สวมปลอกคออย่างเมื่อคืนคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังได้กลิ่นจางๆออกมาจากตัวอีกฝ่ายอยู่ ทว่ากลิ่นที่ได้ก็จางลงมาก ดูท่าว่าคงเป็นเด็กดีกินยาตามที่เขาบอกไปเรียบร้อยแล้ว

    “สีชมพูดูเหมาะกับนาย”

    “ไม่เอาสิ ไม่ชอบนะ”

    สวี่คุนมุ่ยหน้าทั้งที่จื่ออี้ไม่คิดว่าตัวเองพูดผิดไปตรงไหน จื่ออี้เพียงรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูดีเกินไปจนใส่อะไรก็เข้าท่าไปเสียหมด ขนาดเจ้านี่ทำหน้าบู้บี้ยังดูดีได้อยู่ น่าอิจฉากว่าลี่หนงเป็นกอง

    “ได้ฟังเพลงรึยัง”

    เขาเลือกจะเบี่ยงประเด็นไปยังเพลงประจำรายการที่เป็นมิชชันประเมินผลมิชชันใหม่ เดโมเพลงที่ได้รับมาเมื่อคืนทำให้เขาขนลุก ท่าเต้นก็ส่วนหนึ่ง คิดถึงเวลาฝึกอันน้อยนิดยิ่งรู้สึกแย่ แต่ส่วนที่แย่ที่สุดคือเสียงร้องสูงปรี๊ดชนิดที่ว่าแรปเปอร์อย่างเขาสมควรจะต้องร้องไห้เป็นสายเลือดไปเสียก่อนเพื่อให้ได้เสียงแบบนั้น สวี่คุนพยักหน้าด้วยท่าทางสิ้นหวังไม่แพ้กัน

    “ฟังแล้ว ไม่น่ารอดเลยพูดตรงๆ”

    “คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ต้องรอดให้ได้”

    ชายหนุ่มอายุมากกว่าเลือกจะไม่พูดถึงกลิ่นจางๆที่เขายังรับรู้ได้ อันที่จริงเขาค่อนข้างพอใจในกลิ่นระดับนี้ มันทำให้เขาสบายใจและรู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าสวี่คุนรู้ตัวหรือเปล่า เอาเถอะ ไม่รู้ตัวน่าจะดีกว่า จื่ออี้จะได้แอบดมไปนานๆ

    Get A

    Get A

    ช่ายสวี่คุนวางช้อนลงเพื่อจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาไฮไฟว์ด้วย แน่นอนว่าจื่ออี้ตอบรับคำขอนั้นทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย สัมผัสที่ได้รับเพียงเสี้ยววินาทีสร้างกระแสแปลบปลาบเล็กน้อยราวกับแตะลงไปบนลูกบอลวิทยาศาสตร์ จื่ออี้มองมือตัวเองที่ยังอุ่นวาบน้อยๆด้วยสายตาอ่านยาก

     

    เพิ่งรู้ว่าแตะตัวโอเมก้าก็อันตราย

    .

    .

    ถ้าเอาความสามารถในการคาดเดาในครั้งนี้ไปซื้อล็อตเตอรี่ หวังจื่ออี้คงถูกรางวัลที่หนึ่งและรวยเละไปแล้ว เพลง Pick me ยากอย่างที่เขาคิดไว้ และอุปสรรคชิ้นยักษ์ของหวังจื่ออี้ก็คือการร้องเพลงตามที่คาด แต่ส่วนที่ทำให้แปลกใจไม่น้อยก็คือความทุลักทุเลในการฝึกเต้นของกรุ๊ปเอ ด้วยเพราะเป็นกลุ่มของเด็กฝึกที่ควรจะดีที่สุดจึงถูกคาดหวังเอาไว้สูงที่สุดแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เป็นดั่งหวัง พวกเขาไม่อยากให้ใครผิดหวังจึงทุ่มเทซ้อมอย่างหนักแต่สุดท้ายกลายเป็นว่าคนที่ผิดหวังที่สุดกลับเป็นตัวเอง

    เฉินลี่หนง ไม่มีพื้นฐาน

    ช่ายสวี่คุน เต้นคร่อมจังหวะ

    จูเจิ้งถิง จำท่าไม่ได้

    ส่วนเขา หวังจื่ออี้ ไลน์เต้นไม่ดี

    สุดท้ายความหวานของเสื้อสีชมพูพาสเทลก็ไม่สามารถช่วยให้บรรยากาศในห้องซ้อมดีขึ้นได้อีกต่อไป

     

    “จื่ออี้ไม่นอนเหรอ”

    ฮ่าวหรานถามเขาตอนเข็มสั้นนาฬิกาชี้เลยเลขสองไปหน่อย จื่ออี้ตอบอีกฝ่ายไปว่าขอตัวไปซ้อมเพิ่มอีกสักหน่อยทั้งที่แอบคิดไว้ว่าคงไม่ได้กลับมาที่ห้องจนเช้า ชายหนุ่มเดินผ่านโถงทางเดินที่เงียบกว่าตอนกลางวันราวกับอยู่กันคนละที่ เสียงเพลงPick meดังมาจากห้องซ้อมที่เปิดไฟเอาไว้บ้างประปราย เสียงพูดคุยคลอเสียงกระทบตึกตักของรองเท้าผ้าใบบนพื้นห้องดังเป็นจังหวะหนักแน่น เห็นได้ชัดว่ามีอีกหลายคนที่เลือกจะไม่นอนในคืนนี้ หลายคนเลือกจะใช้โอกาสนี้ทำให้คุ้มค่าที่สุดโดยไม่รู้เลยว่าผลของมันจะออกมาคุ้มค่าหรือเปล่า

    จื่ออี้เดินเตร่มาจนสุดทางเดิน ประหลาดใจที่ห้องซ้อมห้องสุดท้ายมีไฟลอดออกมาจากกรอบประตูหลังจากที่ตนออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายตอนเที่ยงคืนกว่า ไม่มีเสียงพูดคุยในนั้น มีเพียงเสียงย่ำเท้าจังหวะเดียวกับบีทดังออกมาเบาๆ นั่นพอจะบอกได้ว่าภายในห้องมีผู้ใช้งานเพียงหนึ่งคนเท่านั้นและมันกำลังเพิ่มเป็นสองทันทีที่จื่ออี้ดันประตูด้วยแผ่นหลังให้มันเปิดออก

    “ไม่นอนเหรอ”

    “นายล่ะไม่นอนเหรอ”

     ช่ายสวี่คุน ไม่ต้องเห็นหน้าจื่ออี้ยังรับรู้ถึงการมีตัวตนของอีกฝ่ายตั้งแต่ตัวเองอยู่หลังกรอบประตู สวี่คุนไม่ได้ตอบแต่เดินไปกดหยุดเพลงเอาไว้ก่อนจะซับใบหน้าชื้นเหง่อด้วยผ้าขนหนูขณะทรุดตัวลงนั่งชันบนพื้นห้อง จื่ออี้ใช้ไหล่ปิดประตู เขาไม่อยากรบกวนคนที่กำลังนั่งพักเหนื่อยเลยเลือกจะเดินไปวางขวดน้ำและไอแพดของตัวเองอีกมุมหนึ่ง

    “ห้องข้างๆว่างนะ”

    จุดประสงค์ของสวี่คุนคือการบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้เป็นทางเลือก เพราะกลัวว่าจื่ออี้จะอึดอัดหากต้องใช้ห้องซ้อมร่วมกันกับเขาที่ยังไม่มั่นใจในท่าสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะไล่อีกฝ่ายไปอีกห้อง เพราะฉะนั้นตอนที่เห็นจื่ออี้บอกขอโทษแล้วเก็บของกลับไปสวี่คุนจึงต้องรีบผุดลุกขึ้นปฏิเสธเป็นพัลวัน

    “ไม่ได้จะไล่ แค่กลัวนายจะอึดอัด อยู่ด้วยกันก็ได้นะ”

    จื่ออี้เลิกคิ้วขึ้นท่าทางดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด คนที่บอกว่าตัวเองswagเหลือเกินถามย้ำกับเขาอีกรอบและอีกรอบว่าโอเคให้อยู่ด้วยจริงๆหรือเปล่า ทำให้สวี่คุนต้องหัวเราะให้กับความเป็นคนดีของฝ่ายนั้น ที่จริงอัลฟ่าอยู่กับโอเมก้าสองคนไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเสี่ยงเท่าไหร่ ทว่าเขากลับรู้สึกว่าถ้าเป็นหวังจื่ออี้ก็คงจะไม่เป็นไร จื่ออี้ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่าตอนที่อยู่คนเดียวเสียด้วยซ้ำ

    “อยากอยู่ก็อยู่เถอะ ใช้ลำโพงฉันก็ได้”

    หลังจากยืนจ้องหน้ากันเงียบๆหลายนาทีสุดท้ายจื่ออี้ก็วางของตัวเองลงอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มที่สูงกว่าเขาเล็กน้อยยืดเส้นยืดสายพอให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นก่อนจะเดินไปยังลำโพงขนาดเท่าฝ่ามือที่มุมห้อง

    “เริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ”

    จื่ออี้หันมาถามเขาทั้งๆที่ตัวเองกดเปิดเพลงไปแล้ว ทำนองชวนหลอนดังขึ้นมาทำให้กล้ามเนื้อกระตุกเหมือนร่างกายกำลังจะขยับไปเองตามความเคยชิน แต่สวี่คุนไม่ได้เต้นไปด้วยกันกับอีกฝ่าย เขามองคนที่เต้นบีบอยมานานเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วแล้วก็ได้แต่รู้สึกชื่นชม กระจกสะท้อนแววตาคมกริบแสนมุ่งมั่นก่อนมันจะอ่อนลงเมื่อหันมามองเขา

    “ไม่เต้นเหรอ”

    “เต้นไปก่อนเลย ขอฉันแปะแผ่นบ้านี่ใหม่ก่อน พอเหงื่อออกก็จะหลุดอยู่เรื่อย”

    สวี่คุนชี้แผ่นแปะขนาดครึ่งฝ่ามือข้างลำตัว มันเป็นยากดฟีโรโมนขนานเบาที่แบบที่เขาใช้เป็นประจำเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นเวลาใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะต้องเข้ามาแข่งในรายการนี้แถมยังป่าวประกาศเพศรองตัวเองเสียชัดเพราะกลัวว่าถ้าคนมารู้ทีหลังจะไม่ดีเอาได้ เขาก็ไปเหมามาตุนไว้ล็อตใหญ่ ยังไงก็ต้องเจออัลฟ่า การป้องกันตัวเองจึงเป็นสิ่งที่โอเมก้าสมควรจะทำและเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอาย แต่ความจริงก็คือแผ่นเก่ามันไม่ได้หลุดออกอย่างที่ว่า เพียงแค่เขาคิดว่าตัวเองควรจะป้องกันตัวเสียหน่อยขณะอยู่กับอัลฟ่าที่แข็งแกร่งสองต่อสองในห้องแคบๆ จื่ออี้ปล่อยให้เพลงดำเนินไปขณะที่ตัวเองเดินเข้ามาดูแผ่นยาที่สวี่คุนชี้ให้ดูใกล้ๆ ระยะห่างที่ลดลงทำให้คนอายุน้อยกว่าก้าวเท้าถอยห่าง

    “ถ้ากลัวล่ะก็ฉันไปอยู่ห้องอื่นก็ได้นะ”

    “ซ้อมกันเถอะ”

    สวี่คุนเอ่ยตัดบทก่อนที่คนตรงหน้าจะออกจากห้องไปจริงๆ จื่ออี้ถอนหายใจยาว เขาก้าวยาวๆมาหยุดอยู่ใกล้กันกับคนที่เริ่มกวาดแขนตามท่าที่ฝึกมาและเริ่มเต้นไปด้วยโดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก ช่ายสวี่คุนลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายผ่านกระจกแล้วยกยิ้มขึ้นในจังหวะหมุนตัว ได้แต่หวังว่าจื่ออี้จะไม่เห็นมัน

     

    เป็นอัลฟ่าที่แปลกจริงๆ  

     

    .

    จื่ออี้คิดว่าตัวเองมีญาณทิพย์แต่คิดอีกทีเขาน่าจะเป็นประเภทยอมรับความจริงและไม่หลอกตัวเองเสียมากกว่า ตั้งแต่ตอนที่อัดวิดีโอประเมินผลเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองทำพลาด ถึงสวี่คุนจะพยายามปลอบใจด้วยการบอกว่ามันไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้นแต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าต้องร่วงลงไปแน่ๆ ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ต่ำกว่าซี หลังจากพยายามซ้อมโต้รุ่งในคืนนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือสวี่คุนหลับคอพับไปกลางห้องซ้อม ลำบากเขาที่ไม่กล้าปลุกอีกฝ่ายแต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ห้องไหนต้องแบกผู้ชายสูงร้อยแปดสิบกลับห้องตัวเองก่อนจะต้องเนรเทศตัวเองออกมานั่งหลับกลางโรงอาหารตอนตีห้า เหตุผลเดียวเลยก็คือสวี่คุนตัวหอมเกินไป ไม่รู้ว่าออกแรงเยอะหรือเปล่าถึงได้ปล่อยกลิ่นฟุ้งขนาดนั้น

    จื่ออี้ไม่ได้บอกเจ้าตัว และไม่คิดจะบอก

    เขาไม่อยากให้ช่ายสวี่คุนคิดมากหรือรู้สึกเป็นกังวลเวลาที่อยู่กับเขา ถึงจะรู้ตัวว่าความคิดตัวเองเริ่มจะโรคจิตอยู่หน่อยๆแล้วก็ตาม เอาเป็นว่าจัดการกับตัวเองคงง่ายกว่าทำให้หมอนั่นลำบากใจ

    จื่ออี้มองคนที่ยืนส่ายไปมาอย่างพะว้าพะวงเพราะเด็กฝึกในกลุ่มอื่นมีการเปลี่ยนแปลงอันดับกันมากมายอย่างน่าใจหาย เขาเองไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองพลาด แต่ก็มารู้สึกได้ว่าไม่น่าพลาดเลยจริงๆตอนที่โดนเรียกชื่ออกไปรับใบเกรด

    “หวังจื่ออี้”

    ถ้าถูกเรียกก็น่าจะโดนลดขั้นอยู่แล้ว ถึงจะไม่เสียใจแต่ก็อดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ จื่ออี้เดินผ่านสวี่คุนก่อนจะรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกที่ทำให้ต้องหันตัวไปกอดหมับ

    “ต้องเป็นเซ็นเตอร์นะ”

    เขาหันไปกระซิบโอเมก้าที่แผ่กลิ่นอายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน สวี่คุนพยักหน้าให้แม้จะดูไม่มั่นใจนัก อย่างไรก็ตามจื่ออี้ผู้มีญาณทิพย์มั่นใจว่าโอเมก้าแสนสง่างามคนนี้จะต้องทำได้อย่างแน่นอน

    .

    “ช่ายสวี่คุน. . . ไม่ต้องลงมา อยู่ที่Aนั่นแหละ”

    คนอย่างเขาเคยเดาผิดเสียที่ไหนกันล่ะ

     

    .

     

    “จะไปไหน”

    เจิ้งรุ่ยปินที่บังเอิญเดินสวนกันหน้าตู้กดน้ำตะโกนถามจื่ออี้ ดังพอจะทำให้เด็กฝึกหลายคนที่ออกมาเดินเล่นในช่วงเวลาพักและเตรียมตัวจะเปลี่ยนเสื้อให้เป็นสีตามเกรดใหม่หันมามองอย่างสนใจ ชายหนุ่มยกกระป๋องซุปข้าวโพดกับน้ำอัดลมขึ้นมาเพราะไม่อยากตอบอะไรให้คนสนใจมากขึ้นกว่านี้

    “ติดจังเลยนะ หวังผลรึเปล่า”

    “เงียบน่า”

    “ซื้อให้กำลังใจฉันบ้างสิ”

    “บอกให้เงียบไป”

    “สองมาตรฐานว่ะ”

    รุ่ยปินพูดยิ้มๆ จื่ออี้เกลียดหน้าตาเจ้าเล่ห์ของคนที่ใครก็บอกว่าแสนดียิ่งกว่าเสื้อสีน้ำเงินบนตัวเขาตอนนี้เสียอีก ยิ่งเห็นเสื้อสีชมพูบนตัวอีกฝ่ายก็ยิ่งหมั่นไส้กว่าเดิม เขาก้าวขาออกมาจากจุดนั้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้หลังได้ยินเสียงผิวปากแสนหวีดหวิวของคนที่ยังยืนเลือกเครื่องดื่มให้ตัวเองไม่ได้เลยไม่ยอมไปซ้อม รู้สึกรำคาญใจจนอยากจะปากระป๋องใส่หน้าหล่อๆของหมอนั่นสักที โถงซ้อมที่เคยมีเสียงเพลงเดียวเปิดวนไปมา ตอนนี้กลายเป็นบทเพลงที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป เมื่อสักครู่ตัวแทนจางได้ประกาศให้เด็กฝึกระดับเอทุกคนเตรียมการแสดงเพื่อให้เด็กฝึกที่เหลอเลือกเซนเตอร์ของเพลงPick me

    ทันทีที่ได้ยินจื่ออี้ก็หมุนไปมองหนึ่งในเอที่ยังคงตำแหน่งเอาไว้ได้อย่างสวี่คุนนราวกับเป็นสัญชาตญาณ เขาพยักหน้าให้อีกฝ่าย ต้องการจะสื่อให้คนๆนั้นมีความมั่นใจและทำให้ได้อย่างที่สมควรจะทำ จื่ออี้ไม่แปลกใจที่สวี่คุนมองจ้องกลับมาแต่รู้สึกดีใจที่ฝ่ายนั้นรับรู้กำลังใจจากเขาได้

    มันทำให้เขารู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    “ไงเจิ้งถิง”

    จื่ออี้ชะโงกหน้าเข้าไปทักทายจูเจิ้งถิงที่กำลังยืดร่างกาย ดูท่าว่าคงจะเต้นท่ายากๆ ยังไม่ทันที่เจิ้งถิงจะได้ตอบ เด็กฝึกเยฮวาก็กรูกันเข้ามาล้อมตัวเข้าและผลักออกไปจากห้อง

    “พี่จื่ออี้ทีมสวี่คุน ไล่เขาออกไป”

    “ช่าย อย่ามาสืบเสียให้ยาก”

    จื่ออี้หัวเราะให้กับท่าทางแบบเด็กๆของเจ้าพวกนั้นแต่ก็ยอมล่าถอยออกมาเพราะกลัวว่าคนที่ต้องคิดโชว์อย่างเจิ้งถิงจะเสียเวลามากกว่านี้ เขาเดินผ่านและแวะทักทายตามห้องต่างๆเท่าที่พอจะทำได้ก่อนจะหยุดปลายเท้าอยู่ที่ห้องท้ายสุด

    “สวี่คุน ฉันเข้าไปได้ไหม”

    ประตูที่ปิดล็อกไว้เปิดออกด้วยฝีมือของคนที่อยู่ในห้อง ช่ายสวี่คุนเบี่ยงตัวให้เขาเข้าไปในห้องซ้อมก่อนจะเดินเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดอยู่ใกล้ๆ

    “วันนี้ได้กลิ่นจื่ออี้”

    “เพราะนายเครียดไง อ่ะ”

    จื่ออี้ยื่นกระป๋องซุปข้าวโพดให้คนที่บ่นหิวมาตั้งแต่เริ่มจับเวลาก่อนตัวเองจะเปิดกระป๋องน้ำอัดลมดื่มบ้าง สวี่คุนจิบซุปข้าวโพดกลิ่นอ่อนในมือแล้วมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เจ้าของเรือนผมสีอ่อนกว่าเอ่ยขอบคุณแล้วเรียกให้จื่ออี้ไปนั่งบนเก้าอี้ยาวที่มุมหนึ่งของห้อง

    “ซ้อมแล้วเหรอ”

    “อือ ยังไม่สมบูรณ์ ไม่รู้จะดีพอหรือเปล่า”

    “ทำให้ดีที่สุดก็พอ”

    จื่ออี้ปลอบใจอีกฝ่ายก่อนจะสางปอยผมที่ไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งจะซ้อมเต้นเบาๆหวังจะทำให้กลิ่นความกังวลใจที่อวลอยู่จางลงบ้าง สวี่คุนขืนตัวในตอนแรกก่อนจะผ่อนคลายลงเมื่อเริ่มชิน สัญชาตญาณระแวดระวังตัวของคนๆนี้ใช้งานได้ดีเสมอ มันเป็นข้อดีในความคิดของจื่ออี้ เขาเองเป็นอัลฟ่าคนหนึ่งการที่สวี่คุนติดจะระวังตัวในบางจังหวะทำให้รู้สึกวางใจในความปลอดภัยของคนอายุน้อยกว่ามากขึ้น สวี่คุนเอ่ยปากบอกให้เขาออกไปหลังดื่มเครื่องดื่มหมดกระป๋อง เลยกลายเป็นว่าเขาแทบจะไม่กล้ายกกระป๋องขึ้นจิบ ร้อนคนที่อยากซ้อมอีกรอบแต่ไม่อยากให้เขาเห็นต้องแย่งน้ำอัดลมของเขาไปกินเอง

    “เสียใจ อยากแข่งกับนายด้วย”

    “อยากอยู่ด้วยกันหรืออยากแข่งกันมากกว่าล่ะ”

    “ก็ทั้งคู่”

    สวี่คุนว่าอย่างนั้น ชายหนุ่มในเสื้อสีชมพูตัวเดิมดึงเขาขึ้นมา ตัวอักษรบีที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ได้ทำให้ผิดหวังมากเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ลดไปแค่ขั้นเดียว แต่เอาเข้าจริงจื่ออี้เองก็เสียดายโอกาสอย่างที่สวี่คุนว่า ถ้าได้เอ ป่านนี้คงได้ลุ้นเป็นเซนเตอร์กับเขาบ้าง จื่ออี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นเซนเตอร์ได้แต่ก็อยากลองดูสักทีเหมือนกันล่ะนะ ระหว่างที่เขาคิดอะไรเพลินๆและกำลังตั้งท่าจะออกจากห้องเพื่อปล่อยให้อีกคนได้ซ้อมอย่างเต็มที่ ชายเสื้อตัวใหม่กลับถูกรั้งเอาไว้ สวี่คุนดึงเขามาอยู่ใกล้ๆ ใกล้พอที่หากอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในภาวะอารมณ์หมองหม่นแล้วส่งกลิ่นเหมือนวันนั้นจื่ออี้คงเรียกมันว่าระยะอันตราย ช่ายสวี่คุนสูดลมหายใจเข้าลึกหลายครั้ง ดูท่าว่าคงจะได้กลิ่นเขาจริงๆนั่นแหละ จื่ออี้เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าโอเมก้าจะได้กลิ่นอัลฟ่าได้ดีขึ้นเวลาอยู่ในภาวะเครียดหรือเจ็บปวด มันเป็นเหมือนกลไกทางจิตใจที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมตัวโอเมก้าเอง

    ซึ่งหวังจื่ออี้ไม่ได้ขัดอะไรกับท่าทางแบบนั้น

    จะดมจนหมดเวลาเลยก็ยังได้

     

    “กลิ่นเหมือนร้านเบเกอรี่ผสมกับร้านกาแฟเลย”

    “เหรอ”

    มีคนเคยบอกเขาเหมือนกันว่ากลิ่นเขาเหมือนขนมอบกลิ่นกาแฟ จื่ออี้ไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่าที่มีกลิ่นแบบนี้แต่ถ้าสวี่คุนบอกว่าดีก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีล่ะมั้ง สวี่คุนยิ้มเผล่ ก่อนจะออกปากไล่เขาออกไปทั้งที่ตอนแรกตัวเองเป็นคนดึงเขาไว้แท้ๆ จื่ออี้หยิบกระป๋องเครื่องดื่มที่ว่างเปล่าสองกระป๋องติดมือไปด้วย ไม่ลืมที่จะอวยพรให้อีกคนโชคดี ก่อนจะได้ยินประโยคชวนหงุดหงิดตอนกำลังจะปิดประตูจึงต้องหันกลับมาคุยด้วยอีกรอบ

    “ดมอัลฟ่าตอนเครียดแล้วดีทุกคนเลยรึเปล่านะ”

    “ไม่ต้องไปเที่ยวดมคนอื่น มันไม่ดี”

    “ก็ไม่ได้จะดมคนอื่นสักหน่อย”

     

    แค่กลิ่นจื่ออี้ก็รู้สึกดีขึ้นเป็นกอง

     

    .


    สุดท้ายเซนเตอร์เพลงPick meก็เป็นของสวี่คุนตามที่เขาคาดหวังไว้ โชว์การเต้นของอีกฝ่ายออกมาดูดีกว่าที่เขาคิด สวี่คุนดูมั่นใจทุกครั้งเวลาอยู่บนเวที นั่นคือจุดแข็งของอีกฝ่ายที่จื่ออี้คิดว่าสวี่คุนได้มันมาจากประสบการณ์และความทะเยอทะยานของตน เซนเตอร์ที่ถูกเลือกขึ้นพูดสั้นๆก่อนรับหน้าที่อย่างเป็นทางการ ถึงไม่ได้ตั้งใจฟังทุกพยางค์ที่เอ่ยแต่ประโยคพวกนั้นก็ทำให้จื่ออี้มีกำลังใจขึ้นมาก เขารู้สึกว่าตัวเขาเองก็ต้องสู้เหมือนกัน จะก้าวถอยหลังออกไปเรื่อยๆไม่ได้ จะห่างจากความฝันไปมากกว่านี้ไม่ได้ และวิธีเดียวที่หวังจื่ออี้คิดออกเพื่อจะใช้พัฒนาตัวเองขึ้นได้ก็คือไม่ย่อท้อที่จะวิ่งตามฝันแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม

    “ทำไมทำหน้าเครียด”

    สวี่คุนถามเขาตอนที่พวกเราเดินกลับไปที่ห้องโถงรวมเพื่อฟังบรีฟสำหรับสเตจจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกแค่ไม่กี่วันข้างหน้า

    “แค่คิดว่าต้องทำให้ดีขึ้น”

    “จื่ออี้ทำได้อยู่แล้ว มิชชันหน้ามาอยู่ด้วยกันอีกนะ”

    เขาหันไปยิ้มให้คนที่เดินแยกออกไปนั่งกับกรุ๊ปเอที่อีกฝั่งหนึ่ง บอกไล่หลังให้อีกฝ่ายสู้ๆแต่เพราะรุ่ยปินที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เลยทำให้สวี่คุนไม่ได้ยิน ถึงรุ่ยปินจะไม่ได้หันมาแต่จื่ออี้ก็มั่นใจว่าหมอนี่ต้องจงใจมาแทรกแน่ๆ เกลียดเพื่อนตัวเองตอนนี้จะผิดไหมนะ

     


     

     TBC.

    -------------------------------

    อยากมีหวังจื่ออี้เป็นของตัวเองต้องทำยังไงคะ รุ่นนี้มีอีกไหมคะส่งคอนวี่มาหน่อยได้โปรด

    พี่เขาละมุนมาก พี่เขาดีมาก ฟิคเรานั้นไม่ได้ครึ่งของพี่เขาเลยค่ะ

    เห็นที่ไปทำวีซ่ากันแล้วแบบ เกินไปอ่ะ ใจเราเนี่ย จะเต้นแรงเกินไปละ

    มึความตัวติดกัน มีความพิเศษ มองตงมองตางี้ ถามว่านี่ขี้ชิปเหรอ ก็ใช่ค่ะ ขี้ชิปมากด้วย มองแบบไม่ชิปไม่เป็นล้าววว5555


    หวังว่าจะชอบกันนะคะ ตอนหน้าตัวละครจะเพิ่มเข้ามาตามเหตุการณ์ในรายการเดี๋ยวจะสรุปให้อีกทีค่ะว่าใครมีเพศรองเป็นอะไรกันบ้าง

    ฝากคอมเม้นกันด้วยนะคะ อ่านแต่ละอันแล้วแบบ อยากกราบงามๆ ดีใจมากๆที่มีคนชอบ คนสนใจฟิคเรา นี่เลยรีบมาแต่งเพราะวันพรุ่งนี้ก็สอบอีกจ้า สู้ป้ะล่ะ การศึกษาก็อีกเรื่องเนาะ5555 


    ในทวิตอย่าลืมติดแท็ก #สวี่คุนเป็นโอเมก้านะคะ อย่าให้เค้าเหงาอยู่คนเดียว


    เจอกันอีกทีวันจันทร์ค่ะ คิส


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×