ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "..Insecure.." WangZiyi x CaiXukun จื่อคุน

    ลำดับตอนที่ #10 : Episode 9 : Insinuate

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.95K
      153
      1 พ.ค. 61

    Insecure 
    #สวี่คุนเป็นโอเมก้า

    Episode09 -Insinuate-









    P A P I L L O N

    หวังจื่ออี้มองตัวอักษรที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษยับยู่ด้วยสายตาอ่านยาก อักษรภาษาอังกฤษที่ควรจะอ่านว่าปาปิลอนหากสะกดคำตามตัว ทว่ากลับอ่านออกเสียงเป็น ปาปิญอง ไปเสียอย่างนั้น คำอ่านเสียงพิสดารที่จื่ออี้รู้ที่มาอยู่เต็มอกทำให้เขาหวนคิดถึงความรู้สึกของตนเอง

    Papillon ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าผีเสื้อ
    สวยงาม เปราะบาง มีอิสระ สิ่งมีชีวิตแสนสวยตัวน้อยๆที่โบยบินอวดความงามบนปีกผืนเล็ก

    เจ้าตัวเล็กที่กระพือพัดโบกร่างตนเองไปดอมดมดอกไม้สีสวย บ้างถือเป็นสัญลักษณ์ของนักล่าแสงสียามราตรี แต่สำหรับจื่ออี้ ปาปิญองมีความหมายที่อ่อนหวานกว่านั้นมาก
    มันคล้ายกับความรู้สึกหวามไหวในอกที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกที่กระพือปีกบินขวักไขว่ในช่องท้องจนหวิววาบ สวยงามทว่าเปราะบางเสียยิ่งกว่าแก้วใส
    เหมือนกับความรัก …ความรักของเขา

    You make me feeling like a papillon อย่างนั้นน่ะหรือ จื่ออี้คงคิดไม่ออกหรอกว่าโปรดิวเซอร์เพลงนี้คิดจะตีความหมายหรือกระทั่งความรู้สึกของบทเพลงที่ดังก้องอยู่ในหูตอนนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่หากเปรียบกับตัวเองแล้ว อารมณ์อ่อนไหวในใจก็คงทำให้เขากลายเป็นผีเสื้อไปได้จริงๆ แถมยังเป็นผีเสื้อที่ใฝ่สูงอยากดอมดมดอกไม้แสนสวยเสียด้วยสิ จื่ออี้หัวเราะหึเบาๆกับตัวเอง เขานึกหน้าคนในความคิดได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าโคโรกราฟเพลงที่เพิ่งจะเปิดดูเมื่อกี้เสียอีก ทั้งสีหน้า รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ชัดจนต้องเอามือมากุมอกตัวเองไว้ไม่ให้เต้นเร็วไปมากกว่านี้

    ดูท่าจะเป็นเอามาก
    เขาจะรับรักหรือเปล่ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

    “จะนอนกินบ้านกินเมืองเลยหรือไง”
    ตรงหน้าของจื่ออี้คือเจฟฟรี่ที่เดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียว รูมเมทใหม่แกะกล่องของเขาเช็ดผมลวกๆด้วยท่าที่น่าจะลอกมาจากนิตยสารสักเล่มแน่ๆ  โชคดีที่จื่ออี้ไม่ใช่สาวน้อยวัยกระเตาะจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ส่วนคนที่ทำเก๊กไปเรื่อยเปื่อยเองก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก 
    “เมื่อคืนฉันกลับห้องตีห้า วันนี้มีคลาสสิบโมง ขอพักหน่อยเถอะ”
    “ก็ไม่เห็นว่าจะพักตรงไหน”
    เจฟฟรี่ที่หยิบเสื้อขึ้นมาสวมตอกกลับโดยไม่หันมองหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าตัวคงเห็นเขาตื่นพร้อมๆกับตัวเองจึงคิดเช่นนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปนัก จื่ออี้ได้แต่อมยิ้มกับตัวเองคนเดียวเหมือนคนบ้าต่อไป นิ้วยาวไล้บริเวณรอยพับของกระดาษ สายตามองผ่านตัวอักษรที่เริ่มเลือนจากการโดนพับซ้ำๆจนเปื่อยยุ่ย ข้อความที่เขาเขียนไม่ได้มีความหมายถึงใครคนนั้นอย่างที่เพลงpapillonทำให้เขารู้สึก บางเรื่องจื่ออี้คิดว่าเก็บมันเอาไว้ในใจ ให้เขารู้สึกเองอยู่คนเดียวก็น่าจะเพียงพอ 

    “จะนอนก็แล้วแต่ ฉันจะไปกินข้าวแล้ว”
    “ไปเถอะ”
    เขาโบกมือไล่เจฟฟรี่ ก่อนจะได้ยินเสียงปิดประตูดังไล่มา ชายหนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำหน้า ดวงตาหนักอึ้งเหมือนพร้อมจะปิดลงได้ทุกเมื่อ แต่กระดาษที่ถืออยู่ในมือกำลังบอกให้จื่ออี้ซ้อมต่อไปอีกสักหน่อย ป๊าม้าที่บ้านเขาคงต้องร้องไห้เป็นแน่ถ้ารู้ว่าเจ้าลูกชายตัวดีเอาตัวเองมาทรมานแบบนี้ทั้งที่หากนั่งทำงานอยู่ที่บ้านก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้ ไม่แน่ว่าพวกท่านอาจจะร้องไห้ตั้งแต่เขาหนีมาสมัครเข้าทีมบีบอยแล้วก็ได้ ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ดันสอนไว้ว่าให้ใช้ความสามารถตัวเองแลกเงินทุกหยวนมาตั้งแต่เด็กเองนี่
    จื่ออี้ที่เพิ่งจะอาบน้ำไปตอนตีห้าครึ่งพลิกตัวกลับไปมา หันหน้ามาซ้อมบ้างสลับกับคิดเรื่องอื่นไปเรื่อย พอเปิดเพลงเดิมๆกรอกหูไปนานเข้าก็ดูท่าจะกลายเป็นเพลงกล่อม สุดท้ายจึงเผลอหลับไปจริงๆจนได้

    .

    ก๊อกๆ
    “…อี้ เปิด… อยู่ไหม”
    ใคร น่ารำคาญชะมัด
    “จื่ออี้ ไม่อยู่เหรอ”
    เงียบสักทีน่า คนจะหลับจะนอน
    “เฮ้ จื่ออี้”
    โว้ยยยย
    ร่างสูงที่เอาหมอนใบโตมาปิดหูหนีเสียงใครสักคนจากที่ไกลๆผุดลุกขึ้นนั่งเพราะทนรำคาญไม่ไหว ด้วยความสูงเกินมาตรฐานที่บริษัทเตียงวัดไว้ ทำให้หน้าผากของเขาชนเข้ากับแผ่นไม้อัดเหนือศีรษะเสียงดังโป๊ก จื่ออี้ลูบหัวตัวเองป้อยๆ เจ็บก็เจ็บ ง่วงก็ง่วง สรุปก็คือมึนไปหมดไม่รู้แล้วเนี่ยว่าสองบวกสองได้เท่าไหร่

    ก๊อกๆ
    “จื่ออี้ ไม่อยู่หรอกเหรอเนี่ย”
    สุ้มเสียงคุ้นๆดังมาจากหน้าประตูแต่จื่ออี้ง่วงงุนเกินกว่าจะนึกออกว่าเป็นใคร เขาพาตัวเองเดินโซเซเพราะยังไม่สร่างจากความง่วงดีมาเปิดประตูให้แขกในยามเช้า
    “มาแล้วๆ”
    “อ้าว ก็อยู่ห้องนี่นา ทำไมนานจัง”
    สาบานว่าถ้ามีสติรู้สักนิดว่าคนที่ยืนคอยอยู่คือช่ายสวี่คุน เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหน้าบวมหัวฟูออกมาจากห้องแบบนี้แน่  เขาเห็นสวี่คุนพยายามกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง มือขาวอุดปากตัวเองแน่นจนน่ากลัวว่าจะหายใจไม่ออก ก็ถ้ามันตลกขนาดนั้นก็ขำออกมาเถอะเขาจะยอมอนุโลมให้ แล้วไม่ถือโทษโกรธนาน
    “เอาเสื้อมาคืน กะจะให้นานแล้วแต่ลืมทิ้งไว้ในกระเป๋าทุกทีเลย”
    สวี่คุนที่ได้สติจากการกลั้นหัวเราะสุดชีวิตเอ่ยบอกกับคนที่ยืนตาบวมฉึ่งอยู่อีกฟาก แจ็คเก็ตยีนส์เนื้อดีสมราคากลับคืนสู่มือเจ้าของอย่างปลอดภัย เขามองตามผืนผ้าที่เคยให้ความอบอุ่นกับเขาในคืนนั้นพลางบอกอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ
    “แล้วก็คือว่า…”
    “ที่ไม่คืนนี่แอบเอาไปดมใช่ไหม”
    สวี่คุนทำหน้างงกับประโยคของอีกคน ร้อนคนพูดต้องชูเสื้อยีนส์ขึ้นโชว์แทนคำอธิบาย พวงแก้มขาวร้อนระอุ ทั้งหงุดหงิดที่โดนกล่าวหาแล้วยังจะมาหงุดหงิดเพิ่มอีกเพราะเขาทำแบบนั้นจริงๆ ถึงไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าตัวเองทำใจเสียนานสองนานกว่าจะกล้าเอาเสื้อมาคืนอีกฝ่าย รู้ทันไปเสียทุกเรื่องเชียวนะพ่ออัลฟ่าคนคูล
    “ถ้าดมแล้วผิดกฎหมายข้อไหนเหรอ”
    สวี่คุนเชิดจมูกรั้นๆขึ้นอย่างท้าทาย ร่างที่สูงไม่ต่างกันนักเดินเข้าหาเจ้าของห้องด้วยท่าทางหาเรื่อง จื่ออี้ที่กอดเสื้อของตนเองเอาไว้หลวมๆทำได้เพียงยกมือยอมแพ้คนที่ขู่ฟ่อๆใส่เขาอีกแล้ว
    “ไม่ผิด แต่มาขอดมที่ตัวเลยฉันก็ไม่หวงหรอกนะ”
    ช่ายสวี่คุนอ้าปากค้างกับท่าทางมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย เขาแยกเขี้ยวใส่อัลฟ่าที่ยืนหัวเราะเสียงต่ำพิงขอบประตูทั้งที่ปอยผมยังชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง ก่อนจะเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาบ้าง เอาเข้าจริงแล้วช่ายสวี่คุนไม่ได้โกรธอะไรจื่ออี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายหยอกเล่นไปอย่างนั้น ดีเสียอีก กอดของอัลฟ่าทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเวลากดดัน ถ้าจื่ออี้เสนอตัวมาขนาดนี้เขาจะได้ไม่ต้องลำบากนอนกอดเสื้อของใคร ถึงจะคิดสภาพตัวเองอ้อนขอเอาตัวไปแปะกับอัลฟ่าแล้วก็รู้สึกเขินๆขึ้นมาก็เถอะ ไม่ใช่ว่าไม่เคยกอดกับจื่ออี้ แต่กอดแบบไม่คิดอะไรกับกอดโดยที่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรมันก็ต่างกันมากอยู่ ถึงจะไม่มากจนทำไม่ลง แต่ก็มากพอจะทำให้ความรู้สึกไขว้เขว
    ประเด็นก็คือไอ้ความรู้สึกของเขาน่ะ ดันไขว้เขวง่ายเสียด้วยสิ

    “คิดนานแบบนี้จะดมเลยไหม”
    “ประสาท”
    จื่ออี้ที่อายุมากกว่าไม่ได้ถือสาอะไรที่เขาไปว่าอีกฝ่ายแบบนั้น มืออุ่นๆยกขึ้นมายีผมที่สวี่คุนอุตส่าห์เซ็ตมาเสียดิบดีจนเสียทรง
    “ไปกินข้าวรึยัง”
    คำถามของจื่ออี้ทำให้สวี่คุนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังต้องบอกอะไรคนตรงหน้าอีกอย่าง 
    “เออใช่ นี่จะสิบโมงแล้ว รีบมาซ้อมสักรอบก่อนให้อาจารย์ดูเถอะ”
    พอพูดเรื่องซ้อมสวี่คุนก็ดึงมาดกัปตันทีมขึ้นมาใช้ทันที ท่อนแขนยาวยกขึ้นกอดอกขณะสายตาก็กวาดมองลูกทีมที่ยังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย ชุดที่สวมน่ะพร้อม แต่หน้าตานี่ดูก็รู้ว่าเพิ่งถูกขุดจากเตียง คิดถูกจริงๆที่เอาเสื้อมาคืนตอนนี้
    “Sh*t ฉันจะรีบ แปปนึงนะ”
    สวี่คุนอยากบอกจื่ออี้ว่าต่อให้ไม่อยากรีบ นาทีนี้ก็คงต้องรีบแล้วล่ะ นาฬิกาที่เขาสวมชี้ปลายเข็มสั้นเข้าใกล้เลขสิบเข้าไปทุกที โชคดีหน่อยที่ทีมpapillonไม่ใช่ทีมแรปทีมแรกที่จะถูกประเมินเบื้องต้น ถึงอย่างนั้นหากไม่ยอมซ้อมก่อนโชว์เลยก็คงไม่ดีเท่าไหร่ สวี่คุนเลือกที่จะยืนคอยสมาชิกคนหนึ่งในทีมอยู่หน้าห้อง นึกในใจว่าถ้าครบห้านาทียังไม่ออกมาเขาจะเข้าไปลากออกมาถึงในห้อง แม้จะรู้ว่ามันไม่ควรก็เถอะ

    ถึงจะเป็นหัวหน้าแต่ก็ยังเป็นโอเมก้าอยู่ดี

    ”ไปกันลีดเดอร์ พร้อมแล้ว”
    จื่ออี้พุ่งพรวดออกจากห้องด้วยสภาพเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงหน้าตาจะดูตื่นๆไปบ้างแต่ยังนับว่าดูดีพอจะอวดผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้อยู่ สวี่คุนพยักหน้าให้คนที่กำลังจะออกจากห้องรีบออกมาก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่ถือไว้ด้านหลังอยู่ตลอดเวลามาให้
    “อ่ะ ข้าวเช้า”
    จื่ออี้รับถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อมาถือไว้ เขาเห็นขอบห่อขนมปังยี่ห้อเดียวกันกับที่ตนเคยซื้อไปฝากอีกฝ่ายรางๆ จึงลองพลิกไปมาและคาดเดาดูว่าในถุงน่าจะมีอะไรบ้าง
    “ไม่ได้รียูสใช่ไหม”
    “ไม่ได้งกขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้ใส่การ์ดมาด้วยไม่ต้องหา”
    จื่ออี้ที่กำลังจะล้วงมือลงไปใต้ห่อขนมปังลูกเกดชะงัก เจ้าของดวงตาคมคายหันมายิ้มให้กับคนข้างๆ ในใจลิงโลดเพราะนึกว่าเจ้าถุงขนมกับการ์ดนั้นจะลอยออกนอกตึกด้วยฝีมือแม่จงอางหวงไข่ที่ชื่อโจวรุ่ยไปเสียแล้ว จื่ออี้กัดขนมปังลูกเกดเข้าไปคำโต ก่อนจะตามด้วยการดูดกาแฟแบบกล่องที่มีขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อแก้ฝืดคอ 
    “ไม่รู้ว่าจะอิ่มไหม โทษที หยิบเงินไปแค่นั้น”
    ช่ายสวี่คุนหมายถึงขนมปังหนึ่งก้อน ซีเรียลบาร์หนึ่งแท่งกับกาแฟหนึ่งกล่องที่อยู่ในถุง รู้อยู่หรอกว่าจื่ออี้ไม่ได้กินจุกกินจิกอยู่ตลอดเวลาเหมือนตัวเอง ถึงอย่างนั้นกระเพาะผู้ชายคนหนึ่งก็น่าจะใหญ่กว่าอาหารในถุงนั่นอยู่ดี สวี่คุนมองจื่ออี้ที่ยัดขนมปังเข้าไปในปากจนหมดภายในสามคำ ก่อนจะแกะห่อซีเรียลบาร์ไปพร้อมๆกับจิบกาแฟอยู่เป็นระยะ
    “พอได้อยู่ ขอบคุณนะ”
    เพียงแค่นั้นช่ายสวี่คุนก็ยิ้มกว้างจนปวดไปทั่วโหนกแก้ม เขาแค่อยากให้จื่ออี้รู้ว่าเขาก็ทำได้ สวี่คุนก็ดูแลคนอื่นได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อคนๆนั้นเป็นคนที่คอยดูแลเขาอยู่เรื่อยเขาก็ยิ่งภูมิใจ
    “คราวหลังเขียนการ์ดมาด้วยสิ ฉันไม่ถือ”
    จื่ออี้เดินมากระแทกไหล่เจ้ามืออาหารเช้าตัวเอง ก่อนจะถูกโวยลั่นข้อหาพูดจาไร้สาระทำให้เสียเวลาในการซ้อม ฝั่งสวี่คุนก็ได้แต่โมโหกลบเกลื่อน ไม่ยอมบอกหรอกว่าฉีกกระดาษมาแล้วแต่ไม่รู้จะเขียนอะไรเลยยัดมันลงถังขยะเป็นที่เรียบร้อย

    ได้คืบจะเอาศอกจริงนะคนเรา


    .


    อิจฉา

    ถึงจะมีตำแหน่งกัปตันอยู่กับตัวแต่ช่ายสวี่คุนก็ยังอิจฉาสมาชิกคนอื่นอยู่ดี เขาอยากได้คำชมแบบนั้นบ้างแต่ก็รู้ตัวว่าคงต้องพยายามอีกมาก แรปไม่ใช่ทุกอย่างของเขา สวี่คุนร้องเพลงได้ เต้นเก่ง แต่ก็อีกนั่นแหละ เขามันคนโลภที่อยากให้ทุกอย่างดีไปเสียทั้งหมด พอทำไม่ได้ก็เก็บกลับมาคิดมากเองอยู่คนเดียว นิสัยแย่ๆที่แก้ไม่หายดูหนักขึ้นเมื่อมาอยู่รวมกับเหล่าอัลฟ่า
    เหมือนว่าพยายามเท่าไหร่ก็สู้ไม่ได้เลย

    “ซ้อมตรงนี้เสร็จก็แยกซ้อมได้นะ พรุ่งนี้ค่อยมารวมกันอีกที”
    ช่ายสวี่คุนกดความคับข้องใจลงไปให้ลึกกว่าระดับที่ใครจะสัมผัสได้ เสียงโอดโอยของปู่ฝานดังมาเป็นระลอก สลับกับเสียงซ้อมแรปของคนอื่นๆ เนื้อแรปส่วนของสวี่คุนที่ถูกสั่งให้ปรับยังไม่ได้แก้ไข เหตุก็คือเจ้าตัวเห็นว่าควรซ้อมส่วนที่เป็นพาร์ทรวมให้แม่นเสียก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้ความผิดพลาดของตัวเองถ่วงกระบวนการของทีม อีกสาเหตุก็คือผลตอบรับกับท่อนรวมเองก็น่าจะมากกว่าท่อนเดี่ยว ถึงจะเป็นไดอาล็อกซ้ำๆ แต่ก็สร้างอิมแพคต่อคนดูได้มาก เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
    “พรุ่งนี้แก้เนื้อเสร็จแล้วมาคุยกันอีกทีว่าใครจะซัพท่อนไหนบ้าง”
    จัสตินที่ผมเปียกซ่กจากการกระโดดออกแรงพยักหน้าหงึก เด็กหนุ่มเดินไปหยิบขวดน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่มอักๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กกับพื้น เจ้าของผมสีอ่อนโอดครวญถึงความเมื่อยขบเพราะตัวเองกระโดดมากไป (ก็ใครใช้ให้ไปกระโดดระดับเดียวกับปู่ฝานเล่า) ก่อนจะเดินกระย่องกระแย่งออกไปหาสมาชิกคนอื่นจากบริษัทเดียวกัน
    “ไปนะ”
    หลังแผ่นหลังเล็กหายลับไปกับแสงสลัวของทางเดินยามค่ำคืน ปู่ฝานที่เงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นในเชิงบอกเล่า ร่างสูงชะลูดหยิบอุปกรณ์ของตัวเองไปด้วย คงจะเตรียมไปแก้ไขส่วนที่พลาดไปของตน สวี่คุนที่เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนกว่าแล้ว ไม่ได้ว่าอะไรที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปตามจุดที่ตนสบายใจ  เขาหันมองจื่ออี้ที่เหมือนจะพยายามเปลี่ยนคำบางคำในท่อนของตัวเองให้ดูสมูทขึ้นทั้งที่เนื้อเก่าก็ดีจะแย่อยู่แล้ว คงกะจะเอาชนะให้ได้จริงๆ ที่น่าแปลกก็คือสวี่คุนเองกลับเห็นดีเห็นงามไปด้วย ทั้งที่ตนก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันเช่นเดียวกัน

    จื่ออี้ไม่ใช่แค่เก่งอย่างที่ใครเข้าใจ
    แต่คนตรงหน้าเขามีพรสวรรค์ ที่สำคัญคือเจ้าตัวประกอบมันเข้ากับพรแสวงที่ไม่มีวันหมดสิ้น
    และในเมื่อภารกิจนี้เจ้าตัวได้ทำในสิ่งที่ตนถนัด สวี่คุนเชื่อว่าอันดับที่1ก็คงไม้ได้อยู่ห่างไกลเกินไปนัก

    “มองกันขนาดนี้จะคิดค่ามองแล้วนะ”
    “เป็นเอามากนะหวังจื่ออี้”
    ชายเจ้าของชื่ออ้าปากหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นเพราะคิดว่าตัวเองอาการหนักเข้าขั้นจริงๆ จื่ออี้คว้าของว่างที่แอบซุกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายขึ้นมากินก่อนจะโยนขนมถุงเล็กถุงหนึ่งให้กับคนที่เริ่มจัดการแก้ไขเนื้อเพลงส่วนของตนอีกรอบ
    “เครียดเหรอ กอดไหม”
    สวี่คุนเหลือบตาขึ้นจากกระดาษเพื่อมองหน้าคนพูด เขาเบะปากให้คนหลงตัวเองหนึ่งอัตรา ก่อนจะสนใจเนื้อเพลงตรงหน้าต่อ
    “นี่พูดจริงนะ”
    “เงียบน่า”
    “จะเงียบก็ต่อเมื่อนายยอมกอด”
    สวี่คุนทอดหายใจออกยาว ก่อนร่างสูของหวังจื้อขยับเข้ามาใกล้อย่างหวังผล จื่ออี้กางแขนออกแล้วจึงกระตุกคิ้วให้ ท่าทางดูน่าหมั่นไส้พิลึก
    “เอาแต่ใจชะมัด”
    ช่ายสวี่คุนว่าคนที่คำรามเสียงต่ำไปอย่างนั้นแต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมเอาตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายจนได้ ดวงตากลมโตหลับพริ้มนับหนึ่งถึงสิบในใจขณะสูดเอากลิ่นกายเฉพาะตัวของคนตรงหน้าเข้าไปจนชุ่มปอด เมื่อตัวเลขที่นับดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดชายหนุ่มก็เอียงหัวซบลงบนลาดไหล่กว้างราวกับต้องการจะออดอ้อน ท่าทีที่เหมือนจะยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับในความกังวลใจลึกๆ 

    ใช่ เขากำลังต้องการที่พึ่ง

    “เด็กดี…”

    จื่ออี้พึมพำเบาๆ เขาลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมแขนอย่างต้องการจะปลอบประโลม กลิ่นของสวี่คุนบอกให้รู้ว่าสภาวะอารมณ์ของเจ้าตัวไม่คงที่นัก อาจจะเป็นผลมาจากความเครียดหรือความกดดันใดๆก็แล้วแต่ ในทีแรกจื่ออี้ตั้งใจจะปล่อยผ่านไปด้วยเห็นว่าช่ายสวี่คุนในคราบลีดเดอร์ของทีมยังสามารถรักษาการควบคุมเอาไว้ได้ดี แต่เมื่อลองมาคิดๆดูแล้ว หากเขาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของคนๆนี้ อัลฟ่าอีกสองคนในทีมย่อมรับรู้ได้ไม่ต่างกัน ซึ่งความรู้สึกแบบนั้นหากปล่อยเอาไว้ อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวของสวี่คุนหรือกระทั่งในทีมของเราขึ้นมาได้ จื่ออี้จึงคิดว่าเป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยสักหน่อย ถึงจะไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายก็ตาม

    ลำพังเขาน่ะไม่กังวลหรอก
    ยังไงช่ายสวี่คุนในสายตาของเขาก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว
    แต่ในสายตาของคนอื่นหรือกระทั่งในความคิดของเจ้าตัว จื่ออี้ก็จนปัญญาจะคาดเดา 

    “ดีขึ้นบ้างไหม”
    ศีรษะทุยที่สัมผัสอยู่บนไหล่และข้างแก้มขยับหงึกหงัก จื่ออี้ได้ยินเสียงสวี่คุนพูดอะไรสักอย่างทว่ามันเบาเสียจนเขาจับใจความไม่ได้ หลังจากกอดกันในท่านั่งจนเกือบจะเป็นเหน็บชาในที่สุดจื่ออี้ก็ปล่อยให้ช่ายสวี่คุนเป็นอิสระ แม้ฝ่ามือที่จิกเสื้อของเขาแน่นจะทำให้ทำใจปล่อยลำบากก็ตาม
    “ขอบคุณมากนะ จื่ออี้เกอ”
    “ไอ้ดื้อเอ๊ย”
    เขาลูบกลุ่มผมลื่นมือด้วยความเอ็นดู คนตรงหน้าบทจะแข็งก็แข็งใจหาย บทจะเด็กน้อยขึ้นมาก็อ้อนเก่งจนจื่ออี้ทำตัวไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ชอบทั้งนั้น ขอแค่เป็นช่ายสวี่คุนอะไรก็ยอมสินะ

    อยากจะบ้าตาย นี่เขาเป็นเอามากจริงๆ…


    .


    “คำว่า papillon หลอนในหัวฉันจนจะเป็นบ้า”
    “ฉันว่า ไอ้ aite aite aite นี่มากกว่า”
    ช่ายสวี่คุนหัวเราะร่ากับความเห็นของจื่ออี้ ลืมคราบความกังวลเมื่อครู่ไปเสียหมดสิ้น ชายหนุ่มกึ่งดึงกึ่งลากคนที่ออกไปเข้าห้องน้ำเสียนานสองนานให้รีบกลับมาซ้อมด้วยกันอีกรอบ เขาเพิ่งคิดอะไรใหม่ๆได้เมื่อกี้และอยากให้จื่ออี้ได้ดูเสียหน่อย ลำโพงแบบบลูทูธเล่นเพลงเดิมซ้ำอีกรอบ สวี่คุนจึงได้โอกาสแสดงความคิดของตัวเองให้คนอายุมากกว่าได้ดู
    จื่ออี้มองคนที่ขยับตัวอยู่กลางห้องด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ใช่คนยิ้มง่ายนักแต่ไม่รู้ทำไมอยู่กับสวี่คุนแล้วถึงยิ้มได้ตลอด ช่ายสวี่คุนหันมาถามความเห็นเขาหลังจากจบท่อนดังกล่าวแล้ว แน่นอนว่าจื่ออี้ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากเห็นดีไปกับอีกฝ่ายแล้วแนะนำว่าให้ลองเอาไปปรึกษาอีกสองคนที่เหลือในวันพรุ่งนี้ หลังจากซ้อมต่อไปอีกสองรอบทั้งเขาและสวี่คุนก็ลงไปนอนแอ้มแม้งอยู่กับพื้น นาฬิกาที่เข็มสั้นเลยเลขสามกว่าค่อนบอกเป็นนัยให้สิ้นสุดการซ้อมลงได้แล้ว
    “ขออีกรอบแล้วจะเลิก”
    “งั้นเปิดเพลงอื่นแก้หลอนสักแปปแล้วกัน”
    จื่ออี้เลือกเพลงสากลเบาๆแสนคุ้นหูอย่างเพลง lost star มาเปิดคลอระหว่างที่สวี่คุนลุกขึ้นมาบีบนวดกล้ามเนื้อคลายอาการเมื่อยขบ เขาลุกขึ้นตาม เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนรู้สึกถึงไอร้อนจากร่างกายมนุษย์ จื่ออี้มองใบหน้าชื้นเหงื่อของคนตรงหน้า ไล่สายตาตั้งแต่ดวงตากลมสวย ปลายจมูกโด่งรั้น มาจนถึงริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆตามธรรมชาติ เหมือนกับรูปสลัก ช่ายสวี่คุนเหมือนกับรูปสลักมากจริงๆ เป็นโอเมก้าที่ดูสูงส่งเสียจนอัลฟ่าอย่างเขาต้องเงยหน้ามอง
    “ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว”
    จื่ออี้ไม่รู้หรอกว่าไอ้แบบนั้นของอีกฝ่ายมันคือแบบไหน ชายหนุ่มเลือกที่จะเบี่ยงประเด็นไปยังเรื่องอื่นแทนที่จะมาถกเรื่องที่เขาห้ามอาการตัวเองไม่ได้

    “รู้ไหมว่าpapillon แปลว่าอะไร”
    จื่ออี้เอ่ยถามเสียงเบาขณะปัดปอยผมชื้นๆของสวี่คุนให้พ้นกรอบหน้าหล่อเหลา

    “ผีเสื้อไง”
    “ไม่ใช่สักหน่อย”
    สวี่คุนทำหน้าตางงหนักกว่าเดิม มันจะไม่ใช่ไปได้ยังไง เว้นก็แต่ว่าจื่ออี้ตั้งใจจะหมายความในเชิงอื่น อาจเป็นคำตอบแปลกๆที่เขาคิดไม่ถึงก็เป็นได้
    “รู้ไหมว่า papillon แปลว่าอะไร”
    คำถามเหมือนเดิมที่ถูกถามเป็นครั้งที่สอง ทำให้คนที่เดาใจอีกฝ่ายไม่ถูกได้แต่กอดอกครุ่นคิด ก่อนจะยอมแพ้ไปเองในที่สุด
    “ไม่รู้แล้ว”

    “Papillon แปลว่าแบบนี้ไง”
    ความรู้สึกอุ่นชื้นของริมฝีปากประทับลงบนมุมปากเพียงแผ่วเบาเหมือนผีเสื้อที่ดอมดมเกสรดอกไม้ ครู่เดียวก่อนจะหนีหาย ทิ้งไว้เพียงร่องรอยสัมผัสอ่อนบางบนกลีบดอก คนฉวยโอกาสผละออกมายิ้มอ่อนโยนให้ เป็นรอยยิ้มแบบที่สวี่คุนเผลอตอบกลับไปอย่างไม่เป็นตัวของตัวเองนัก

    “ไม่ใช่สักหน่อย”
    “หืม”
    “Papillon น่ะ แปลว่าแบบนี้ต่างหาก”
    ช่ายสวี่คุนจับคางของคนที่ยืนอยู่ใกล้กันเอาไว้กับที่ ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปหาจนแนบชิด เสียงเพลงหยุดลงทำให้เสียงหัวใจเต้นดังชัดก้องสะท้อนในหู เจ้าผีเสื้อที่ดอมดมดอกไม้เมื่อครู่กระพือปีกรุนแรงจนกลีบดอกไม้พริ้วไหว ทั้งจาบจ้วง ทั้งเรียกร้อง ตักตวงเอาน้ำหวานจากดอกไม้แสนงดงามเอาไว้ให้มากที่สุด จื่ออี้แตะประคองพวงแก้มอุ่นเอาไว้ ควบคุมไม่ให้ทุกอย่างดำเนินไปเร็วนัก เขากลัวดอกไม้ของเขาจะช้ำไปเสียก่อน
    คราวนี้ไม่มีกลิ่นกายที่ทำให้หลงมัวเมา จึงย้ำทุกสัมผัสให้เด่นชัดขึ้นในความรู้สึกและความทรงจำ


    ช่ายสวี่คุนจูบเขาก่อนอีกแล้ว
    หวังจื่ออี้ช่างเป็นผีเสื้อที่โชคดีเหลือเกิน




    TBC.

    ———————————-
    สวัสดีชาวโลกค่ะ
    ภาษาอังกฤษวันละคำขอเสนอคำว่า insinuate แปลว่า บอกเป็นนัยๆ หรืออารมณ์ประมาณใช้ความหมายโดยนัยสื่อสารกันอะไรประมาณนี้

    คำถามสำหรับตอนนี้นะคะ คุณคิดว่าเรื่องนี้ใครร้ายที่สุด พร้อมให้เหตุผลประกอบ(10 คะแนน)
    รางวัลไม่มี ไม่ตอบไม่เป็นไร คอมเม้นให้ชุ่มชื่นหัวใจก็พออร๊ายยยยย่ะ

    นี่คือเพิ่งเห็นโมเม้นของเขาสองคนค่ะ โอยจะร้องเด้อ ดีเด้อ แพ้เด้อ ตายไปเลยเด้อ
    เรื่องเศร้าก็คือวันที่21 เราสอบอีกแล้ว ส่วนเรื่องไม่เศร้าก็คือ วันที่3-4จะอัพจ้า มารอติดตามกันได้
    ตอนหน้าตัวj ยากละ jailดีมะ เอาหนูเข้าคุกไปเลยค่ะ น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ555
    ขอฝากแท็ก #สวี่คุนเป็นโอเมก้า เหมือนเดิมค่ะ เผื่อว่าใครถนัดทางทวิต 
    ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกแรงใจค่ะ

    ใครอยากให้กำลังใจเป็นพิเศษสามารถโดเนทสติมาได้ค่ะ ช่วงนี้ขาดมาก รักทุกคน จุ๊บ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×