ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Episode 9 : Insinuate
Insecure
#สวี่คุนเป็นโอเมก้า
Episode09 -Insinuate-
P A P I L L O N
หวังจื่ออี้มองตัวอักษรที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษยับยู่ด้วยสายตาอ่านยาก อักษรภาษาอังกฤษที่ควรจะอ่านว่าปาปิลอนหากสะกดคำตามตัว ทว่ากลับอ่านออกเสียงเป็น ปาปิญอง ไปเสียอย่างนั้น คำอ่านเสียงพิสดารที่จื่ออี้รู้ที่มาอยู่เต็มอกทำให้เขาหวนคิดถึงความรู้สึกของตนเอง
Papillon ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าผีเสื้อ
สวยงาม เปราะบาง มีอิสระ สิ่งมีชีวิตแสนสวยตัวน้อยๆที่โบยบินอวดความงามบนปีกผืนเล็ก
เจ้าตัวเล็กที่กระพือพัดโบกร่างตนเองไปดอมดมดอกไม้สีสวย บ้างถือเป็นสัญลักษณ์ของนักล่าแสงสียามราตรี แต่สำหรับจื่ออี้ ปาปิญองมีความหมายที่อ่อนหวานกว่านั้นมาก
มันคล้ายกับความรู้สึกหวามไหวในอกที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกที่กระพือปีกบินขวักไขว่ในช่องท้องจนหวิววาบ สวยงามทว่าเปราะบางเสียยิ่งกว่าแก้วใส
เหมือนกับความรัก …ความรักของเขา
You make me feeling like a papillon อย่างนั้นน่ะหรือ จื่ออี้คงคิดไม่ออกหรอกว่าโปรดิวเซอร์เพลงนี้คิดจะตีความหมายหรือกระทั่งความรู้สึกของบทเพลงที่ดังก้องอยู่ในหูตอนนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่หากเปรียบกับตัวเองแล้ว อารมณ์อ่อนไหวในใจก็คงทำให้เขากลายเป็นผีเสื้อไปได้จริงๆ แถมยังเป็นผีเสื้อที่ใฝ่สูงอยากดอมดมดอกไม้แสนสวยเสียด้วยสิ จื่ออี้หัวเราะหึเบาๆกับตัวเอง เขานึกหน้าคนในความคิดได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าโคโรกราฟเพลงที่เพิ่งจะเปิดดูเมื่อกี้เสียอีก ทั้งสีหน้า รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ชัดจนต้องเอามือมากุมอกตัวเองไว้ไม่ให้เต้นเร็วไปมากกว่านี้
ดูท่าจะเป็นเอามาก
เขาจะรับรักหรือเปล่ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
“จะนอนกินบ้านกินเมืองเลยหรือไง”
ตรงหน้าของจื่ออี้คือเจฟฟรี่ที่เดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียว รูมเมทใหม่แกะกล่องของเขาเช็ดผมลวกๆด้วยท่าที่น่าจะลอกมาจากนิตยสารสักเล่มแน่ๆ โชคดีที่จื่ออี้ไม่ใช่สาวน้อยวัยกระเตาะจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ส่วนคนที่ทำเก๊กไปเรื่อยเปื่อยเองก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก
“เมื่อคืนฉันกลับห้องตีห้า วันนี้มีคลาสสิบโมง ขอพักหน่อยเถอะ”
“ก็ไม่เห็นว่าจะพักตรงไหน”
เจฟฟรี่ที่หยิบเสื้อขึ้นมาสวมตอกกลับโดยไม่หันมองหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าตัวคงเห็นเขาตื่นพร้อมๆกับตัวเองจึงคิดเช่นนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปนัก จื่ออี้ได้แต่อมยิ้มกับตัวเองคนเดียวเหมือนคนบ้าต่อไป นิ้วยาวไล้บริเวณรอยพับของกระดาษ สายตามองผ่านตัวอักษรที่เริ่มเลือนจากการโดนพับซ้ำๆจนเปื่อยยุ่ย ข้อความที่เขาเขียนไม่ได้มีความหมายถึงใครคนนั้นอย่างที่เพลงpapillonทำให้เขารู้สึก บางเรื่องจื่ออี้คิดว่าเก็บมันเอาไว้ในใจ ให้เขารู้สึกเองอยู่คนเดียวก็น่าจะเพียงพอ
“จะนอนก็แล้วแต่ ฉันจะไปกินข้าวแล้ว”
“ไปเถอะ”
เขาโบกมือไล่เจฟฟรี่ ก่อนจะได้ยินเสียงปิดประตูดังไล่มา ชายหนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำหน้า ดวงตาหนักอึ้งเหมือนพร้อมจะปิดลงได้ทุกเมื่อ แต่กระดาษที่ถืออยู่ในมือกำลังบอกให้จื่ออี้ซ้อมต่อไปอีกสักหน่อย ป๊าม้าที่บ้านเขาคงต้องร้องไห้เป็นแน่ถ้ารู้ว่าเจ้าลูกชายตัวดีเอาตัวเองมาทรมานแบบนี้ทั้งที่หากนั่งทำงานอยู่ที่บ้านก็มีเงินเหลือกินเหลือใช้ ไม่แน่ว่าพวกท่านอาจจะร้องไห้ตั้งแต่เขาหนีมาสมัครเข้าทีมบีบอยแล้วก็ได้ ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ดันสอนไว้ว่าให้ใช้ความสามารถตัวเองแลกเงินทุกหยวนมาตั้งแต่เด็กเองนี่
จื่ออี้ที่เพิ่งจะอาบน้ำไปตอนตีห้าครึ่งพลิกตัวกลับไปมา หันหน้ามาซ้อมบ้างสลับกับคิดเรื่องอื่นไปเรื่อย พอเปิดเพลงเดิมๆกรอกหูไปนานเข้าก็ดูท่าจะกลายเป็นเพลงกล่อม สุดท้ายจึงเผลอหลับไปจริงๆจนได้
.
ก๊อกๆ
“…อี้ เปิด… อยู่ไหม”
ใคร น่ารำคาญชะมัด
“จื่ออี้ ไม่อยู่เหรอ”
เงียบสักทีน่า คนจะหลับจะนอน
“เฮ้ จื่ออี้”
โว้ยยยย
ร่างสูงที่เอาหมอนใบโตมาปิดหูหนีเสียงใครสักคนจากที่ไกลๆผุดลุกขึ้นนั่งเพราะทนรำคาญไม่ไหว ด้วยความสูงเกินมาตรฐานที่บริษัทเตียงวัดไว้ ทำให้หน้าผากของเขาชนเข้ากับแผ่นไม้อัดเหนือศีรษะเสียงดังโป๊ก จื่ออี้ลูบหัวตัวเองป้อยๆ เจ็บก็เจ็บ ง่วงก็ง่วง สรุปก็คือมึนไปหมดไม่รู้แล้วเนี่ยว่าสองบวกสองได้เท่าไหร่
ก๊อกๆ
“จื่ออี้ ไม่อยู่หรอกเหรอเนี่ย”
สุ้มเสียงคุ้นๆดังมาจากหน้าประตูแต่จื่ออี้ง่วงงุนเกินกว่าจะนึกออกว่าเป็นใคร เขาพาตัวเองเดินโซเซเพราะยังไม่สร่างจากความง่วงดีมาเปิดประตูให้แขกในยามเช้า
“มาแล้วๆ”
“อ้าว ก็อยู่ห้องนี่นา ทำไมนานจัง”
สาบานว่าถ้ามีสติรู้สักนิดว่าคนที่ยืนคอยอยู่คือช่ายสวี่คุน เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองหน้าบวมหัวฟูออกมาจากห้องแบบนี้แน่ เขาเห็นสวี่คุนพยายามกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง มือขาวอุดปากตัวเองแน่นจนน่ากลัวว่าจะหายใจไม่ออก ก็ถ้ามันตลกขนาดนั้นก็ขำออกมาเถอะเขาจะยอมอนุโลมให้ แล้วไม่ถือโทษโกรธนาน
“เอาเสื้อมาคืน กะจะให้นานแล้วแต่ลืมทิ้งไว้ในกระเป๋าทุกทีเลย”
สวี่คุนที่ได้สติจากการกลั้นหัวเราะสุดชีวิตเอ่ยบอกกับคนที่ยืนตาบวมฉึ่งอยู่อีกฟาก แจ็คเก็ตยีนส์เนื้อดีสมราคากลับคืนสู่มือเจ้าของอย่างปลอดภัย เขามองตามผืนผ้าที่เคยให้ความอบอุ่นกับเขาในคืนนั้นพลางบอกอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ
“แล้วก็คือว่า…”
“ที่ไม่คืนนี่แอบเอาไปดมใช่ไหม”
สวี่คุนทำหน้างงกับประโยคของอีกคน ร้อนคนพูดต้องชูเสื้อยีนส์ขึ้นโชว์แทนคำอธิบาย พวงแก้มขาวร้อนระอุ ทั้งหงุดหงิดที่โดนกล่าวหาแล้วยังจะมาหงุดหงิดเพิ่มอีกเพราะเขาทำแบบนั้นจริงๆ ถึงไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าตัวเองทำใจเสียนานสองนานกว่าจะกล้าเอาเสื้อมาคืนอีกฝ่าย รู้ทันไปเสียทุกเรื่องเชียวนะพ่ออัลฟ่าคนคูล
“ถ้าดมแล้วผิดกฎหมายข้อไหนเหรอ”
สวี่คุนเชิดจมูกรั้นๆขึ้นอย่างท้าทาย ร่างที่สูงไม่ต่างกันนักเดินเข้าหาเจ้าของห้องด้วยท่าทางหาเรื่อง จื่ออี้ที่กอดเสื้อของตนเองเอาไว้หลวมๆทำได้เพียงยกมือยอมแพ้คนที่ขู่ฟ่อๆใส่เขาอีกแล้ว
“ไม่ผิด แต่มาขอดมที่ตัวเลยฉันก็ไม่หวงหรอกนะ”
ช่ายสวี่คุนอ้าปากค้างกับท่าทางมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย เขาแยกเขี้ยวใส่อัลฟ่าที่ยืนหัวเราะเสียงต่ำพิงขอบประตูทั้งที่ปอยผมยังชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรง ก่อนจะเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาบ้าง เอาเข้าจริงแล้วช่ายสวี่คุนไม่ได้โกรธอะไรจื่ออี้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายหยอกเล่นไปอย่างนั้น ดีเสียอีก กอดของอัลฟ่าทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเวลากดดัน ถ้าจื่ออี้เสนอตัวมาขนาดนี้เขาจะได้ไม่ต้องลำบากนอนกอดเสื้อของใคร ถึงจะคิดสภาพตัวเองอ้อนขอเอาตัวไปแปะกับอัลฟ่าแล้วก็รู้สึกเขินๆขึ้นมาก็เถอะ ไม่ใช่ว่าไม่เคยกอดกับจื่ออี้ แต่กอดแบบไม่คิดอะไรกับกอดโดยที่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรมันก็ต่างกันมากอยู่ ถึงจะไม่มากจนทำไม่ลง แต่ก็มากพอจะทำให้ความรู้สึกไขว้เขว
ประเด็นก็คือไอ้ความรู้สึกของเขาน่ะ ดันไขว้เขวง่ายเสียด้วยสิ
“คิดนานแบบนี้จะดมเลยไหม”
“ประสาท”
จื่ออี้ที่อายุมากกว่าไม่ได้ถือสาอะไรที่เขาไปว่าอีกฝ่ายแบบนั้น มืออุ่นๆยกขึ้นมายีผมที่สวี่คุนอุตส่าห์เซ็ตมาเสียดิบดีจนเสียทรง
“ไปกินข้าวรึยัง”
คำถามของจื่ออี้ทำให้สวี่คุนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังต้องบอกอะไรคนตรงหน้าอีกอย่าง
“เออใช่ นี่จะสิบโมงแล้ว รีบมาซ้อมสักรอบก่อนให้อาจารย์ดูเถอะ”
พอพูดเรื่องซ้อมสวี่คุนก็ดึงมาดกัปตันทีมขึ้นมาใช้ทันที ท่อนแขนยาวยกขึ้นกอดอกขณะสายตาก็กวาดมองลูกทีมที่ยังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย ชุดที่สวมน่ะพร้อม แต่หน้าตานี่ดูก็รู้ว่าเพิ่งถูกขุดจากเตียง คิดถูกจริงๆที่เอาเสื้อมาคืนตอนนี้
“Sh*t ฉันจะรีบ แปปนึงนะ”
สวี่คุนอยากบอกจื่ออี้ว่าต่อให้ไม่อยากรีบ นาทีนี้ก็คงต้องรีบแล้วล่ะ นาฬิกาที่เขาสวมชี้ปลายเข็มสั้นเข้าใกล้เลขสิบเข้าไปทุกที โชคดีหน่อยที่ทีมpapillonไม่ใช่ทีมแรปทีมแรกที่จะถูกประเมินเบื้องต้น ถึงอย่างนั้นหากไม่ยอมซ้อมก่อนโชว์เลยก็คงไม่ดีเท่าไหร่ สวี่คุนเลือกที่จะยืนคอยสมาชิกคนหนึ่งในทีมอยู่หน้าห้อง นึกในใจว่าถ้าครบห้านาทียังไม่ออกมาเขาจะเข้าไปลากออกมาถึงในห้อง แม้จะรู้ว่ามันไม่ควรก็เถอะ
ถึงจะเป็นหัวหน้าแต่ก็ยังเป็นโอเมก้าอยู่ดี
”ไปกันลีดเดอร์ พร้อมแล้ว”
จื่ออี้พุ่งพรวดออกจากห้องด้วยสภาพเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงหน้าตาจะดูตื่นๆไปบ้างแต่ยังนับว่าดูดีพอจะอวดผู้เข้าแข่งขันคนอื่นได้อยู่ สวี่คุนพยักหน้าให้คนที่กำลังจะออกจากห้องรีบออกมาก่อนจะยื่นถุงพลาสติกที่ถือไว้ด้านหลังอยู่ตลอดเวลามาให้
“อ่ะ ข้าวเช้า”
จื่ออี้รับถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อมาถือไว้ เขาเห็นขอบห่อขนมปังยี่ห้อเดียวกันกับที่ตนเคยซื้อไปฝากอีกฝ่ายรางๆ จึงลองพลิกไปมาและคาดเดาดูว่าในถุงน่าจะมีอะไรบ้าง
“ไม่ได้รียูสใช่ไหม”
“ไม่ได้งกขนาดนั้น แล้วก็ไม่ได้ใส่การ์ดมาด้วยไม่ต้องหา”
จื่ออี้ที่กำลังจะล้วงมือลงไปใต้ห่อขนมปังลูกเกดชะงัก เจ้าของดวงตาคมคายหันมายิ้มให้กับคนข้างๆ ในใจลิงโลดเพราะนึกว่าเจ้าถุงขนมกับการ์ดนั้นจะลอยออกนอกตึกด้วยฝีมือแม่จงอางหวงไข่ที่ชื่อโจวรุ่ยไปเสียแล้ว จื่ออี้กัดขนมปังลูกเกดเข้าไปคำโต ก่อนจะตามด้วยการดูดกาแฟแบบกล่องที่มีขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อแก้ฝืดคอ
“ไม่รู้ว่าจะอิ่มไหม โทษที หยิบเงินไปแค่นั้น”
ช่ายสวี่คุนหมายถึงขนมปังหนึ่งก้อน ซีเรียลบาร์หนึ่งแท่งกับกาแฟหนึ่งกล่องที่อยู่ในถุง รู้อยู่หรอกว่าจื่ออี้ไม่ได้กินจุกกินจิกอยู่ตลอดเวลาเหมือนตัวเอง ถึงอย่างนั้นกระเพาะผู้ชายคนหนึ่งก็น่าจะใหญ่กว่าอาหารในถุงนั่นอยู่ดี สวี่คุนมองจื่ออี้ที่ยัดขนมปังเข้าไปในปากจนหมดภายในสามคำ ก่อนจะแกะห่อซีเรียลบาร์ไปพร้อมๆกับจิบกาแฟอยู่เป็นระยะ
“พอได้อยู่ ขอบคุณนะ”
เพียงแค่นั้นช่ายสวี่คุนก็ยิ้มกว้างจนปวดไปทั่วโหนกแก้ม เขาแค่อยากให้จื่ออี้รู้ว่าเขาก็ทำได้ สวี่คุนก็ดูแลคนอื่นได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อคนๆนั้นเป็นคนที่คอยดูแลเขาอยู่เรื่อยเขาก็ยิ่งภูมิใจ
“คราวหลังเขียนการ์ดมาด้วยสิ ฉันไม่ถือ”
จื่ออี้เดินมากระแทกไหล่เจ้ามืออาหารเช้าตัวเอง ก่อนจะถูกโวยลั่นข้อหาพูดจาไร้สาระทำให้เสียเวลาในการซ้อม ฝั่งสวี่คุนก็ได้แต่โมโหกลบเกลื่อน ไม่ยอมบอกหรอกว่าฉีกกระดาษมาแล้วแต่ไม่รู้จะเขียนอะไรเลยยัดมันลงถังขยะเป็นที่เรียบร้อย
ได้คืบจะเอาศอกจริงนะคนเรา
.
อิจฉา
ถึงจะมีตำแหน่งกัปตันอยู่กับตัวแต่ช่ายสวี่คุนก็ยังอิจฉาสมาชิกคนอื่นอยู่ดี เขาอยากได้คำชมแบบนั้นบ้างแต่ก็รู้ตัวว่าคงต้องพยายามอีกมาก แรปไม่ใช่ทุกอย่างของเขา สวี่คุนร้องเพลงได้ เต้นเก่ง แต่ก็อีกนั่นแหละ เขามันคนโลภที่อยากให้ทุกอย่างดีไปเสียทั้งหมด พอทำไม่ได้ก็เก็บกลับมาคิดมากเองอยู่คนเดียว นิสัยแย่ๆที่แก้ไม่หายดูหนักขึ้นเมื่อมาอยู่รวมกับเหล่าอัลฟ่า
เหมือนว่าพยายามเท่าไหร่ก็สู้ไม่ได้เลย
“ซ้อมตรงนี้เสร็จก็แยกซ้อมได้นะ พรุ่งนี้ค่อยมารวมกันอีกที”
ช่ายสวี่คุนกดความคับข้องใจลงไปให้ลึกกว่าระดับที่ใครจะสัมผัสได้ เสียงโอดโอยของปู่ฝานดังมาเป็นระลอก สลับกับเสียงซ้อมแรปของคนอื่นๆ เนื้อแรปส่วนของสวี่คุนที่ถูกสั่งให้ปรับยังไม่ได้แก้ไข เหตุก็คือเจ้าตัวเห็นว่าควรซ้อมส่วนที่เป็นพาร์ทรวมให้แม่นเสียก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้ความผิดพลาดของตัวเองถ่วงกระบวนการของทีม อีกสาเหตุก็คือผลตอบรับกับท่อนรวมเองก็น่าจะมากกว่าท่อนเดี่ยว ถึงจะเป็นไดอาล็อกซ้ำๆ แต่ก็สร้างอิมแพคต่อคนดูได้มาก เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“พรุ่งนี้แก้เนื้อเสร็จแล้วมาคุยกันอีกทีว่าใครจะซัพท่อนไหนบ้าง”
จัสตินที่ผมเปียกซ่กจากการกระโดดออกแรงพยักหน้าหงึก เด็กหนุ่มเดินไปหยิบขวดน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่มอักๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กกับพื้น เจ้าของผมสีอ่อนโอดครวญถึงความเมื่อยขบเพราะตัวเองกระโดดมากไป (ก็ใครใช้ให้ไปกระโดดระดับเดียวกับปู่ฝานเล่า) ก่อนจะเดินกระย่องกระแย่งออกไปหาสมาชิกคนอื่นจากบริษัทเดียวกัน
“ไปนะ”
หลังแผ่นหลังเล็กหายลับไปกับแสงสลัวของทางเดินยามค่ำคืน ปู่ฝานที่เงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นในเชิงบอกเล่า ร่างสูงชะลูดหยิบอุปกรณ์ของตัวเองไปด้วย คงจะเตรียมไปแก้ไขส่วนที่พลาดไปของตน สวี่คุนที่เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนกว่าแล้ว ไม่ได้ว่าอะไรที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปตามจุดที่ตนสบายใจ เขาหันมองจื่ออี้ที่เหมือนจะพยายามเปลี่ยนคำบางคำในท่อนของตัวเองให้ดูสมูทขึ้นทั้งที่เนื้อเก่าก็ดีจะแย่อยู่แล้ว คงกะจะเอาชนะให้ได้จริงๆ ที่น่าแปลกก็คือสวี่คุนเองกลับเห็นดีเห็นงามไปด้วย ทั้งที่ตนก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันเช่นเดียวกัน
จื่ออี้ไม่ใช่แค่เก่งอย่างที่ใครเข้าใจ
แต่คนตรงหน้าเขามีพรสวรรค์ ที่สำคัญคือเจ้าตัวประกอบมันเข้ากับพรแสวงที่ไม่มีวันหมดสิ้น
และในเมื่อภารกิจนี้เจ้าตัวได้ทำในสิ่งที่ตนถนัด สวี่คุนเชื่อว่าอันดับที่1ก็คงไม้ได้อยู่ห่างไกลเกินไปนัก
“มองกันขนาดนี้จะคิดค่ามองแล้วนะ”
“เป็นเอามากนะหวังจื่ออี้”
ชายเจ้าของชื่ออ้าปากหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นเพราะคิดว่าตัวเองอาการหนักเข้าขั้นจริงๆ จื่ออี้คว้าของว่างที่แอบซุกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายขึ้นมากินก่อนจะโยนขนมถุงเล็กถุงหนึ่งให้กับคนที่เริ่มจัดการแก้ไขเนื้อเพลงส่วนของตนอีกรอบ
“เครียดเหรอ กอดไหม”
สวี่คุนเหลือบตาขึ้นจากกระดาษเพื่อมองหน้าคนพูด เขาเบะปากให้คนหลงตัวเองหนึ่งอัตรา ก่อนจะสนใจเนื้อเพลงตรงหน้าต่อ
“นี่พูดจริงนะ”
“เงียบน่า”
“จะเงียบก็ต่อเมื่อนายยอมกอด”
สวี่คุนทอดหายใจออกยาว ก่อนร่างสูของหวังจื้อขยับเข้ามาใกล้อย่างหวังผล จื่ออี้กางแขนออกแล้วจึงกระตุกคิ้วให้ ท่าทางดูน่าหมั่นไส้พิลึก
“เอาแต่ใจชะมัด”
ช่ายสวี่คุนว่าคนที่คำรามเสียงต่ำไปอย่างนั้นแต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมเอาตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายจนได้ ดวงตากลมโตหลับพริ้มนับหนึ่งถึงสิบในใจขณะสูดเอากลิ่นกายเฉพาะตัวของคนตรงหน้าเข้าไปจนชุ่มปอด เมื่อตัวเลขที่นับดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดชายหนุ่มก็เอียงหัวซบลงบนลาดไหล่กว้างราวกับต้องการจะออดอ้อน ท่าทีที่เหมือนจะยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับในความกังวลใจลึกๆ
ใช่ เขากำลังต้องการที่พึ่ง
“เด็กดี…”
จื่ออี้พึมพำเบาๆ เขาลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมแขนอย่างต้องการจะปลอบประโลม กลิ่นของสวี่คุนบอกให้รู้ว่าสภาวะอารมณ์ของเจ้าตัวไม่คงที่นัก อาจจะเป็นผลมาจากความเครียดหรือความกดดันใดๆก็แล้วแต่ ในทีแรกจื่ออี้ตั้งใจจะปล่อยผ่านไปด้วยเห็นว่าช่ายสวี่คุนในคราบลีดเดอร์ของทีมยังสามารถรักษาการควบคุมเอาไว้ได้ดี แต่เมื่อลองมาคิดๆดูแล้ว หากเขาสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของคนๆนี้ อัลฟ่าอีกสองคนในทีมย่อมรับรู้ได้ไม่ต่างกัน ซึ่งความรู้สึกแบบนั้นหากปล่อยเอาไว้ อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวของสวี่คุนหรือกระทั่งในทีมของเราขึ้นมาได้ จื่ออี้จึงคิดว่าเป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยสักหน่อย ถึงจะไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายก็ตาม
ลำพังเขาน่ะไม่กังวลหรอก
ยังไงช่ายสวี่คุนในสายตาของเขาก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว
แต่ในสายตาของคนอื่นหรือกระทั่งในความคิดของเจ้าตัว จื่ออี้ก็จนปัญญาจะคาดเดา
“ดีขึ้นบ้างไหม”
ศีรษะทุยที่สัมผัสอยู่บนไหล่และข้างแก้มขยับหงึกหงัก จื่ออี้ได้ยินเสียงสวี่คุนพูดอะไรสักอย่างทว่ามันเบาเสียจนเขาจับใจความไม่ได้ หลังจากกอดกันในท่านั่งจนเกือบจะเป็นเหน็บชาในที่สุดจื่ออี้ก็ปล่อยให้ช่ายสวี่คุนเป็นอิสระ แม้ฝ่ามือที่จิกเสื้อของเขาแน่นจะทำให้ทำใจปล่อยลำบากก็ตาม
“ขอบคุณมากนะ จื่ออี้เกอ”
“ไอ้ดื้อเอ๊ย”
เขาลูบกลุ่มผมลื่นมือด้วยความเอ็นดู คนตรงหน้าบทจะแข็งก็แข็งใจหาย บทจะเด็กน้อยขึ้นมาก็อ้อนเก่งจนจื่ออี้ทำตัวไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะทางไหนเขาก็ชอบทั้งนั้น ขอแค่เป็นช่ายสวี่คุนอะไรก็ยอมสินะ
อยากจะบ้าตาย นี่เขาเป็นเอามากจริงๆ…
.
“คำว่า papillon หลอนในหัวฉันจนจะเป็นบ้า”
“ฉันว่า ไอ้ aite aite aite นี่มากกว่า”
ช่ายสวี่คุนหัวเราะร่ากับความเห็นของจื่ออี้ ลืมคราบความกังวลเมื่อครู่ไปเสียหมดสิ้น ชายหนุ่มกึ่งดึงกึ่งลากคนที่ออกไปเข้าห้องน้ำเสียนานสองนานให้รีบกลับมาซ้อมด้วยกันอีกรอบ เขาเพิ่งคิดอะไรใหม่ๆได้เมื่อกี้และอยากให้จื่ออี้ได้ดูเสียหน่อย ลำโพงแบบบลูทูธเล่นเพลงเดิมซ้ำอีกรอบ สวี่คุนจึงได้โอกาสแสดงความคิดของตัวเองให้คนอายุมากกว่าได้ดู
จื่ออี้มองคนที่ขยับตัวอยู่กลางห้องด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ใช่คนยิ้มง่ายนักแต่ไม่รู้ทำไมอยู่กับสวี่คุนแล้วถึงยิ้มได้ตลอด ช่ายสวี่คุนหันมาถามความเห็นเขาหลังจากจบท่อนดังกล่าวแล้ว แน่นอนว่าจื่ออี้ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากเห็นดีไปกับอีกฝ่ายแล้วแนะนำว่าให้ลองเอาไปปรึกษาอีกสองคนที่เหลือในวันพรุ่งนี้ หลังจากซ้อมต่อไปอีกสองรอบทั้งเขาและสวี่คุนก็ลงไปนอนแอ้มแม้งอยู่กับพื้น นาฬิกาที่เข็มสั้นเลยเลขสามกว่าค่อนบอกเป็นนัยให้สิ้นสุดการซ้อมลงได้แล้ว
“ขออีกรอบแล้วจะเลิก”
“งั้นเปิดเพลงอื่นแก้หลอนสักแปปแล้วกัน”
จื่ออี้เลือกเพลงสากลเบาๆแสนคุ้นหูอย่างเพลง lost star มาเปิดคลอระหว่างที่สวี่คุนลุกขึ้นมาบีบนวดกล้ามเนื้อคลายอาการเมื่อยขบ เขาลุกขึ้นตาม เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนรู้สึกถึงไอร้อนจากร่างกายมนุษย์ จื่ออี้มองใบหน้าชื้นเหงื่อของคนตรงหน้า ไล่สายตาตั้งแต่ดวงตากลมสวย ปลายจมูกโด่งรั้น มาจนถึงริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆตามธรรมชาติ เหมือนกับรูปสลัก ช่ายสวี่คุนเหมือนกับรูปสลักมากจริงๆ เป็นโอเมก้าที่ดูสูงส่งเสียจนอัลฟ่าอย่างเขาต้องเงยหน้ามอง
“ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว”
จื่ออี้ไม่รู้หรอกว่าไอ้แบบนั้นของอีกฝ่ายมันคือแบบไหน ชายหนุ่มเลือกที่จะเบี่ยงประเด็นไปยังเรื่องอื่นแทนที่จะมาถกเรื่องที่เขาห้ามอาการตัวเองไม่ได้
“รู้ไหมว่าpapillon แปลว่าอะไร”
จื่ออี้เอ่ยถามเสียงเบาขณะปัดปอยผมชื้นๆของสวี่คุนให้พ้นกรอบหน้าหล่อเหลา
“ผีเสื้อไง”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
สวี่คุนทำหน้าตางงหนักกว่าเดิม มันจะไม่ใช่ไปได้ยังไง เว้นก็แต่ว่าจื่ออี้ตั้งใจจะหมายความในเชิงอื่น อาจเป็นคำตอบแปลกๆที่เขาคิดไม่ถึงก็เป็นได้
“รู้ไหมว่า papillon แปลว่าอะไร”
คำถามเหมือนเดิมที่ถูกถามเป็นครั้งที่สอง ทำให้คนที่เดาใจอีกฝ่ายไม่ถูกได้แต่กอดอกครุ่นคิด ก่อนจะยอมแพ้ไปเองในที่สุด
“ไม่รู้แล้ว”
“Papillon แปลว่าแบบนี้ไง”
ความรู้สึกอุ่นชื้นของริมฝีปากประทับลงบนมุมปากเพียงแผ่วเบาเหมือนผีเสื้อที่ดอมดมเกสรดอกไม้ ครู่เดียวก่อนจะหนีหาย ทิ้งไว้เพียงร่องรอยสัมผัสอ่อนบางบนกลีบดอก คนฉวยโอกาสผละออกมายิ้มอ่อนโยนให้ เป็นรอยยิ้มแบบที่สวี่คุนเผลอตอบกลับไปอย่างไม่เป็นตัวของตัวเองนัก
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“หืม”
“Papillon น่ะ แปลว่าแบบนี้ต่างหาก”
ช่ายสวี่คุนจับคางของคนที่ยืนอยู่ใกล้กันเอาไว้กับที่ ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปหาจนแนบชิด เสียงเพลงหยุดลงทำให้เสียงหัวใจเต้นดังชัดก้องสะท้อนในหู เจ้าผีเสื้อที่ดอมดมดอกไม้เมื่อครู่กระพือปีกรุนแรงจนกลีบดอกไม้พริ้วไหว ทั้งจาบจ้วง ทั้งเรียกร้อง ตักตวงเอาน้ำหวานจากดอกไม้แสนงดงามเอาไว้ให้มากที่สุด จื่ออี้แตะประคองพวงแก้มอุ่นเอาไว้ ควบคุมไม่ให้ทุกอย่างดำเนินไปเร็วนัก เขากลัวดอกไม้ของเขาจะช้ำไปเสียก่อน
คราวนี้ไม่มีกลิ่นกายที่ทำให้หลงมัวเมา จึงย้ำทุกสัมผัสให้เด่นชัดขึ้นในความรู้สึกและความทรงจำ
ช่ายสวี่คุนจูบเขาก่อนอีกแล้ว
หวังจื่ออี้ช่างเป็นผีเสื้อที่โชคดีเหลือเกิน
TBC.
———————————-
สวัสดีชาวโลกค่ะ
ภาษาอังกฤษวันละคำขอเสนอคำว่า insinuate แปลว่า บอกเป็นนัยๆ หรืออารมณ์ประมาณใช้ความหมายโดยนัยสื่อสารกันอะไรประมาณนี้
คำถามสำหรับตอนนี้นะคะ คุณคิดว่าเรื่องนี้ใครร้ายที่สุด พร้อมให้เหตุผลประกอบ(10 คะแนน)
รางวัลไม่มี ไม่ตอบไม่เป็นไร คอมเม้นให้ชุ่มชื่นหัวใจก็พออร๊ายยยยย่ะ
นี่คือเพิ่งเห็นโมเม้นของเขาสองคนค่ะ โอยจะร้องเด้อ ดีเด้อ แพ้เด้อ ตายไปเลยเด้อ
เรื่องเศร้าก็คือวันที่21 เราสอบอีกแล้ว ส่วนเรื่องไม่เศร้าก็คือ วันที่3-4จะอัพจ้า มารอติดตามกันได้
ตอนหน้าตัวj ยากละ jailดีมะ เอาหนูเข้าคุกไปเลยค่ะ น้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ555
ขอฝากแท็ก #สวี่คุนเป็นโอเมก้า เหมือนเดิมค่ะ เผื่อว่าใครถนัดทางทวิต
ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกแรงใจค่ะ
ใครอยากให้กำลังใจเป็นพิเศษสามารถโดเนทสติมาได้ค่ะ ช่วงนี้ขาดมาก รักทุกคน จุ๊บ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น