ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #36 : .....My wife.....{36}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.52K
      10
      19 ธ.ค. 57

    .....My wife..... {36}

    [Nein] 

              หลังจากที่มีคนมาเป็นที่ปรึกษาให้แบบไอ้คิว ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่รู้ก็ตามว่าไอ้เซนท์มันคิดที่จะทำอะไรของมัน แต่ผมเองก็ไม่สนใจแล้วล่ะเวลานี้ ไม่ว่าคนแบบนั้นจะกลับมาหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสำหรับผมแล้วล่ะนะ

    “เฮ้ย เหม่ออะไรนักหนาเนี่ย” แรงเขย่าจากคนข้างๆ ทำให้ผมหันไปมองมันอย่างงงๆ

    “นั่น ทำหน้างงใส่อีก นี่หลายวันมานี้อาการหนักนะมึงเนี่ย เป็นอะไรมากเปล่าวะ” ไอ้ธีมถามผมอย่างเป็นห่วง จะว่าไปแม้ตะสบายใจมากขึ้นจริง แต่อาการผมมันไม่ได้ดีขึ้นมากกว่าเดิมสักเท่าไรเลยจริงๆนะ แต่ก็น้อยลง ยังมีบางทีที่ผมแอบเหม่อลอยคือมากไปบ้าง

    “ก็เปล่า แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากหรอก” แค่ช่วงนี้โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะจบลงอย่างไรเหมือนกัน เรื่องของผมกับไอ้เซนท์มันอาจจะจบลงไปจริงๆเลยก็ได้นะ มันยากเกินหว่าที่ผมจะคาดเดาได้เลยจริงๆแฮะ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าไอ้เซนท์มันทำอะไรชัดเจนกว่านี้นะ

    “อาการแบบนี้แม่ง คิดถึงใครสักคนอยู่แหงๆ” ไอ้นี่มันมีพลังหยั่งรู้หรือไงเนี่ย

    “เคยเป็นหรือไงหรือดูออกอ่ะ” มันยักไหล่อย่างสบายๆก่อนจะตอบผม

    “เรื่องปกติของคนเรา ใครๆก็ต้องมีคนที่อยู่ในใจกันทั้งนั้น” คำตอบของมันนี่น่าหมั่นไส้จริงๆเลยแฮะ ได้ข่าวว่าตอนหมดปีหนึ่งใหม่ๆมึงนี่ก็อาหารหนักเลยไม่ใช่หรือไง

    “ก็อยู่ที่ว่าจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงต่างหาก ถ้าควบคุมตัวเองได้มึงก็จะเลิกฟุ้งซ่านเองแหละ” อืม คำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน แต่มันทำได้จริงหรือวะนั่น

    “แล้วมึงทำได้หรือไง ถึงพูดมาเนี่ย ลืมพี่วิศวะคนนั้นไปได้แล้วหรือไง” ต้องขอคำยืนยันก่อน ว่าคนพูดน่ะทำสำเร็จ แต่คิดอีกทีไม่น่าพูดเลยแฮะ สีหน้าที่หมองลงทำเอาผมรู้สึกผิดเลย

    “เฮ้ย โทษที” ไอ้ธีมส่ายหัวๆเบาๆเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรก่อนจะตอบคำถามผม

    “ทำไม่ได้หรอก กูก็พูดไปงั้นแหละ ไปนะเว้ย” ได้ยินแบบนั้นทำให้ผมหันไปมองค้อนไอ้คนพูดทันที มันยิ้มจนเห็นรีเทนเนอร์ชัดเจนก่อนจะเดินจากไป คนที่หากิจกรรมทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่เฉยๆเนี่ยนะ พูดมาได้ว่าจัดการกับความรู้สึก ตัวเองแม่งก็ไม่ต่างกันเท่าไร

    ผมนั่งมองคนเดินผ่านไปผ่านมาคนแล้วคนเล่า เอาไงได้ ผมยังไม่อยากกลับบ้านนี่ ไม่ใช่คนชอบทำกิจกรรมอะไรเยอะแยะแบบไอ้ธีมด้วย แค่เรียนก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วแท้ๆ ผมนับถือมันเลยจริงๆนะ แบ่งเวลายังไงของมันกันเนี่ย แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ได้ทำเพราะอยากทำ แต่ทำเพียงเพราะอยากที่จะลืมใครบางคนต่างหาก ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วนะ ยังไม่ลืมอีก แล้วถ้าเรื่องของผมกินเวลานานขนาดนั้นเหมือนกันล่ะ ผมจะลืมไอ้เซนท์ได้หรือเปล่า ระหว่างที่นั่งอยู่เฉยๆอย่างไร้จุดหมายนั้น อยู่ๆก็มีข้อความจากเบอร์แปลกส่งมา

    ขอคุยด้วยหน่อย

                       ฟอร์ส(คนในรูป)

    บอกชื่อพร้อมกับเตือนความจำเรียบร้อยแบบนี้ คงไม่ต้องให้ผมโทรกลับไปถามข้อมูลหรอกมั้ง คำว่าคนในรูป ทำเอาผมตัวชาไปเลยทีเดียว รูปบ้านั่นอีกแล้ว ยังจะตามมาหลอกหลอนผมอยู่ได้ อะไรกันนักหนา ว่าจะไม่นึกถึงมันอยู่แล้วนะ แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะตอบปฎิเสธกลับไปนั้น อยู่ๆก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมา

    “ขอคุยเรื่องอะไรวะ” มีอะไรต้องคุยกันอีกหรือไง มันก็ชัดเจนพอแล้วนี่ ผมว่าไอ้เจ้าตัวก็คงรู้อยู่แหละว่าในเวลานี้ผมเลิกกับไอ้เซนท์แล้ว แล้วมันจะมาขอคุยกับผมเพื่ออะไร ทำไมไม่ไปตามไอ้เซนท์เอาล่ะ คนแบบผมมันก็เป็นแค่อดีตไปแล้ว พอคิดได้แบบนั้นก็เกิดความสงสัยในสิ่งที่ไอ้เด็กชื่อฟอร์สต้องการที่จะทำ อยากคุยงั้นหรอ ได้ อยากรู้จัดเหมือนกันแหละน่า

    ที่ไหน

    ข้อความคำถามถูกส่งออกไป รู้สึกเหมือนกำลังจะหาเรื่องใส่ตัวอย่างไรก็ไม่รู้แฮะ

    ห้องน้ำริมสุด ตึก R

    ให้ตายเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กม.ปลายแบบมันจะรู้จักที่นั่นด้วย จะให้ผมพูดอย่างไรดีล่ะ เวลานี้ที่นั่นมันไม่มีคนเลยนะ เป็นที่อันตรายพอสมควร ไม่อยากบอกเลยว่าเป็นมุมอับกล้องวงจรปิดด้วยล่ะ เป็นที่ๆนักศึกษาชอบนัดไปเคลียร์ปัญหากัน เพราะจะได้ไม่โดนจับ แล้วผมจะต้องไปที่นั่นจริงๆหรือเนี่ย ในเวลาแบบนี้ตัวคนเดียวด้วยเนี่ยนะ ถ้าเกิดต้องมีเรื่องจริงๆผมควรทำไงดีเนี่ย ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นแค่นักเรียนนะ ปัญหาเยอะชะมัดเลย ให้ตายเถอะ

    “เอาว่ะ ยังไงก็แค่เด็กนักเรียน ไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ผมพูดกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจไปที่นัดหมายจริงๆ ระยะทางจากที่ผมอยู่ปัจจบันกับที่นัดหมายก็ไม่ไกลมาก เนื่องจากเป็นที่ส่วนกลางเหมือนกัน ไม่ได้เป็นเขตของคณะใดๆ แต่ก็จะไม่แปลกเช่นกัน ที่จะไม่มีคนเดินเลย เพราะที่นี่มีแต่ห้องเอาไว้เรียนบรรยายเท่านั้นแหละ เวลาเย็นแบบนี้ไม่แปลกที่จะไม่มีคน

    “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” นี่คือเสียงทักทายจากเด็กม.ปลายงั้นหรอเนี่ย เริ่มมาก็ไม่ค่อยสบอารมณ์เลยแฮะ ผมมองดูเด็กหนุ่มที่ยืนพิงกำแพงหน้าห้องน้ำด้วยสายติเหนื่อยๆ

    “มีธุระอะไรก็รีบพูดมา หวังว่าจะมีสาระมากพอนะ” ผมแอบเห็นสายตาโกรธๆจากอีกคนทันทีที่ผมพูดจบ หือ ไม่พอใจงั้นหรือ แต่ก็ถือว่ายังดีนี่ที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้น่ะ

    “ดูเหมือนจะไม่ค่อยแคร์สักเท่าไรเลยนะ” พูดเหน็บแนมผมงั้นหรอ ไม่มีประโยชน์หรอก

    “ก็มันไม่มีสาระอะไรจริงๆนี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ๆอยู่ว่ามาเรื่องไอ้เซนท์ ทำไม มีอะไรสงสัยมากนักหรือไงถึงต้องมาหาถึงที่นี่เนี่ย” น้ำเสียงผมดูเหมือนจะค่อนข้างหาเรื่องพอสมควร แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้มีหวังไม่เข้าเรื่องสักทีแน่ๆ แต่ว่านะ ทำไมผมต้องมาพูดดีๆกับคนที่สร้างปัญหาให้ผมด้วยเนี่ย ถ้าไม่มีไอ้เด็กคนนี้ทั้งคน ชีวิตผมก็คงไม่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนี้หรอก

    “พี่ยังคิดจะคืนดีกับไอ้เซนท์อยู่ใช่ไหม” ผมถอนหายใจออกมาทันทีที่ได้ยินคำถาม

    “คืนดีในที่นี้หมายถึงในสถานะไหนล่ะ” ผมถามกลับไป ผมไม่ได้กวนนะ เพราะว่ายังไงผมกับไอ้เซนท์ก็ต้องเจอกันอยู่ดี ยังไงก็ต้องคืนดีกัน ภารกิจติวสอบของผมยังไม่จบสักหน่อย แล้วถึงอย่างไร มันก็เป็นน้องข้างบ้านผม จะให้ผมโกรธมันไปตลอดปีตลอดชาติเลยหรือไงกัน

    “หมายความว่าไง” แต่เหมือนคนตรงหน้าผมจะไม่เข้าใจสักเท่าไร

    “เฮ้อ ก็ถ้ากลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ยังไงก็คนข้างบ้านกัน จะให้โกรธกันไปตลอดมันเป็นไปไม่ได้ แต่ไอ้สถานะที่นายสงสัยน่ะ พี่ตอบไม่ได้หรอก กลับไปถามไอ้เซนท์เองเถอะ” ก็ต้องดูกันอีกทีแหละนะ ว่าไอ้เซนท์มันจะทำอะไร เอาจริงๆผมไม่มีปัญหานะ ถ้าเราสองคนจะกลับไปอยู่ในสถานะแค่พี่น้องน่ะ เพราะผมชินแล้วล่ะ ชินกับการอยู่คนเดียวน่ะ

    “ทำไมต้องให้กลับไปถามไอ้เซนท์ด้วย พี่ให้คำตอบผมเองไม่ได้หรือไง”

    “พูดเหมือนไม่รู้นิสัยไอ้เซนท์งั้นแหละ นี่ถามจริง ชอบไอ้เซนท์แล้วทำไมไม่ไปถามเอาที่มัน มาถามพี่ทำไม ต่อให้วันนี้พี่ตอบคำถามนายไป แต่ถ้าไอ้เซนท์มันไม่ยอมเสียอย่าง คิดว่าพี่จะหยุดมันได้หรือไงกัน” ไอ้เด็กที่ชื่อฟอร์สเงียบไปเหมือนกำลังพยายามประมวลความคิดของตัวเองอยู่ ให้ตายเถอะ เสียเวลาผมจริงๆเลย ผมว่าเรื่องแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องคนที่ชอบมันหรือสนิทกับมันหรอก แค่รู้จักมันในระดับหนึ่งก็คงต้องเดาออกอยู่แล้ว ว่าไอ้เซนท์เป็นคนแบบไหน

    “ก็ถ้าพี่ไม่เล่นด้วยไม่สนใจด้วยเสียอย่าง ไอ้เซนท์มันจะทำอะไรได้หรือไง” มันฟังเหมือนว่าจะเป็นคำพูดที่ถูกนะ แต่นั่นมันต้องเป็นกรณีที่ผมกับไอ้เซนท์เป็นแค่คนรู้จัก

    “พูดมันทำได้นะ แต่เวลาทำมันทำยาก ก็เหมือนนายเองนั่นแหละ อยู่ๆแค่คำพูดกับการกระทำเปลี่ยนใจได้เซนท์ได้เลยทันทีหรือไงกัน” ถ้าความรู้สึกคนมันเปลี่ยนได้ง่ายขนาดนั้น โลกนี้ก็คงไม่มีใครต้องมานั่งร้องไห้เพราะถูกทิ้งหรือไม่ก็ไม่ถูกรักหรอกน่า ทำไมไม่เข้าใจนะ

    “พูดแบบนี้ก็หมายความว่า ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะไม่ปล่อยไอ้เซนท์ไปใช่ไหม” โอ้ย ทำไมคนๆนี้มันถึงได้วุ่นวายแบบนี้นะ ผมพยายามเข้าใจนะว่าคนเราเวลาพยายามเพื่อคนที่ตัวเองรัก มันทำอะไรก็ได้ แต่บางทีบางสถานการณ์มันก็ควรจะเข้าใจด้วยไหมว่ามันก็มีข้อจำกัดอยู่

    “นายนี่ทำไมเข้าใจอะไรยากชะมัดเลยแฮะ ก็บอกแล้วว่ามาถามเอาที่พี่มันจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ ไปหาไอ้เซนท์เถอะ ง่ายกว่าไหม ไร้สาระชะมัดเลย ต้องมาทะเลาะอะไรไม่เข้าเรื่อง คือทำให้พี่กับไอ้เซนท์เลิกกันนายก็ทำสำเร็จแล้วนี่ ในเมื่อเลิกกันแล้วนายจะมายุ่งกับพี่อีกทำไม เรื่องแค่นี้คิดเองไม่เป็นหรือไง งี่เง่าว่ะ โตๆกันแล้วนะ ยังจะมามีเรื่องกันเพราะแย่งผู้ชายหรือไง หัดมีศักดิ์ศรีซะบ้างเถอะ” ผมพูดร่ายยาวออมาอย่างหมดความอดทน ไอ้เด็กบ้านี่มันจะหน้ามืดตามัวอะไรขนาดนั้นวะ ผมว่าผมจะไม่ใส่ใจกับเรื่องโง่ๆที่ไอ้เด็กนี่ทำลงไปแล้วนะ เพราะผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่งี่เง่ามากเลยทีเดียวถ้าผมจะต้องมาทะเลาะกับมันเนี่ย  

    “หึ แล้วศักดิ์ศรีที่พี่ว่าน่ะ มันหยุดความรู้สึกได้ไหมล่ะ มันหยุดความเจ็บปวดได้ไหม เพราะไม่สมหวัง คนเราถึงต้องพยายามเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ความรู้สึกที่สูญเสียน่ะ มันทดแทนได้ด้วยศักดิ์ศรีหรือไงกัน” ชั่วครูหนึ่งที่ผมแอบมีความรู้สึกเห็นใจได้เด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น อาจเพียงเพราะว่าผมชินแล้วก็ได้ ผมไม่เคยไขว่คว้า ไม่เคยเรียกร้องใดๆจากไอ้เซนท์ ผู้ชายกับผู้ชาย มันก็มีแค่ความบังเอิญเท่านั้นที่จะมารักกันได้จริงๆ

    “เพราะพี่ไม่เคยตั้งความหวังแต่แรก ที่พี่คบกับไอ้เซนท์ได้ มันก็เป็นแค่ความบังอิญ เป็นเรื่องที่พี่เองก็คิดไม่ถึง ทำให้มาตอนนี้ถึงจะเป็นฝ่ายบอกเลิก พี่ก็ไม่ได้คิดว่าสูญเสียอะไรไปเพราะไม่ได้คิดอยากเป็นเจ้าของมันแต่แรก ก็แค่กลับไปเหมือนวันก่อนหน้า วันที่พี่อยู่คนเดียว” มันอาจจะดูเข้าใจยากนะ สำหรับความรู้ของผม แต่สำหรับใครที่เคยผ่านการรักเขาข้างเดียวมาก่อน ความรู้สึกนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยกับการที่เรารักใครสักคนแต่ก็ไม่มีแม้แต่ความหวังน่ะ

    “แต่มันก็มาจำเป็นว่าคนเราต้องคิดเหมือนกันนี่ ในเมื่อถ้าผมจะใช้ความพยายามมากกว่าการรอคอยมันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ใช่หรือไง” รู้สึกเหมือนมันจะวนกลับมาที่เดิมนะ

    “นั่นก็แล้วแต่จะคิดเถอะ พี่ไปบังคับอะไรไม่ได้ มีอะไรจะพูดกับพี่อีกไหม ขอที่มันสร้างสรรค์มากกว่าเรื่องที่มาขอไอ้เซนท์จากพี่ทั้งๆที่นายทำให้พวกพี่เลิกกันแล้วเนี่ย” ผมไม่หลงกลหรอก พยายามจะทำให้ผมเห็นใจ ทำให้ผมรู้สึกผิดล่ะสิ ไม่มีทางหรอก แต่เหมือนผมจะพูดตรงจุดไปหน่อย ไอ้ฟอร์สถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว พึ่งจะรู้ตัวว่ามันไม่สร้างสรรค์หรือไง

    “แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะไม่กลับไปคบกันมัน” อยู่ๆไอ้ฟอร์สก็พูดออกมาพร้อมแววตาเข้าเล่ห์ที่ไม่น่าไว้วางใจ เฮ้ๆ หวังว่ามันคงไม่คิดที่จะทำอะไรแปลกๆหรอกใช่ไหม

    “พี่ว่าพี่พูดไปแล้วนะ....” หลายรอบแล้วนะ เบื่อแล้วนะเฮ้ย แต่ไม่ทันพูดจบ

    “นั่นมันในกรณีที่พี่ยังเป็นพี่ไนน์ของมันคนเดิม” ไอ้ฟอร์สพูดแทรกขึ้นมายิ่งทำให้ดูไม่น่าไว้ใจมากขึ้นหว่าเดิม สายตาของคนเศร้าหายไป กลายเป็นสายตาเจ้าเล่ห์แบบก้าวร้าวแทน

    “หมายความว่ายังไง” ผมถามมันกลับด้วยความระแวง คำพูดแม่งกำกวมอ่ะ ไอ้ฟอร์สทำเพียงแค่ยิ้มให้ ก่อนที่จะสาวเท้าเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ชิบหายละ อะไรของมันเนี่ย

    “ลองคิดดูเล่นๆนะว่า ถ้าเกิดพี่ไนน์ กลายเป็นของคนอื่นไป ไอ้เซนท์มันยังจะคิดแบบเดิมหรือปล่า” เพียงแค่คำพูดแบบนี้ ก็ทำให้ผมพอเริ่มที่เดาออกแล้วล่ะว่ามันคิดจะทำอะไร

    “ที่นี่มันที่สาธารณะนะเว้ย คิดจะทำอะไรกัน” ถ่วงเวลาไว้ก่อนดีที่สุด

    “พูอย่างกับว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงจะมีคนมาช่วยพี่ทันงั้นหรือครับ ที่ลับตาคนแบบนี้น่ะ” ผมไมรู้ว่าไอ้ฟอร์สมันรู้ได้ไง แต่ก็จริงอย่างที่มันพูด แถวนี้น่ะ ที่ลับตาของจริงเลยล่ะ ผมหันซ้ายขสวา มองหาช่องทางหนี ก่อนจะก้าวท้าวเตรียมออกจากที่อันตรายแห่งนี้ แต่ทว่า

    หมับ!  

    “โอ๊ย! ไอ้เด็กบ้านี่” มันคว้าแขนผมเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะผลักผมไปชนกำแพงบริเวณทางเข้าห้องน้ำ ใครมันช่างสร้างทางเช้าห้องน้ำให้เป็นมุมอับแบบนี้เนี่ย โธ่เว้ย!!

    “คิดว่าจะหนีได้งั้นหรือไงครับ บอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าเป็นเรื่องใช้กำลังน่ะ ผมไม่ได้ด้อยไปกว่าไอ้เซนท์นักหรอก” ไม่ต้องบอกก็รู้เฟ้ย แม่ง ผมว่าถ้ามันต่อยกับไอ้เซนท์นี่ไม่รู้ผลง่ายๆอ่ะ

    “ความจริงก็ไม่อยากลงมือเองให้แปดเปื้อนหรอกนะ แต่ช่วยไม่ได้ วันนี้มันจำเป็น” ไอ้ฟอร์สจัดการดึงเสื้อลากผมเข้าไปในห้องน้ำแล้วดันหน้าผมอัดติดกับกำแพง โดนมีมันยืนบังอยู่ข้างหลัง สองมือถูกล็อคไขว้อยู่ด้านหลัง ก่อนที่จะถูกพันด้วยเทปกาวอย่างแน่นหนา

    “ไอ้เชี่ยฟอร์ส” ผมกัดฟันพูดชื่อมันออกมาอย่างลำบาก เพราะใบหน้าด้านข้างผมยังถูกอัดติดอยู่กับกำแพง หางตาผมแอบเห็นรอยยิ้มมันยิ้มอย่างสะใจ ก่อนที่มันจะพูดอะไรบางอย่าง

    “หึ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ไม่แน่ว่าผมอาจจะทำพี่ลืมไอ้เซนท์ไปเลยก็ได้นะ” ทำไมไอ้เด็กม.ปลายเดี๋ยวนี้มันแรงเยอะงี้วะ ร่างสูงของไอ้ฟอร์สแนบชินติดกับตัวผมก่อนที่มือข้างหนึ่งจะเลื่อนมาด้านหน้าผมเพื่อปลดเข็มขัดออกอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกมากมายประดังเข้ามาราวกับจะเยาะเย้ยผม ทำไมวะ ทำไมผมถึงอ่อนแอแบบนี้ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับผม ท่ามกลางความสิ้นหวังเข็ดขัดผมก็ถูกดึงออกจากตัวและขณะที่กางเกงกำลังจะถูกปลดออก

     “เฮ้ย!! หยุดนะเว้ย”

     

    [Pasta]

    เสียงตะโกนร้องห้ามของผมดังก้องไปทั่วห้องน้ำ และมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ใครบางคนหยุดการกระทำบางอย่างได้เลยทีเดียว

    “ไอ้พาสต้า ไอ้คิว” เสียงพี่ไนน์เรียกชื่อผม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโล่งใจ ก่อนที่ผมจะเข้าไปดึงตัวพี่ไนน์ของมาจากคนแปลกหน้า พร้อมๆกับเพื่อนอีกคนของผมเข้าไปล็อคตัวเด็ก ม.ปลายที่ไม่น่าไว้ใจคนนั้นทันที น่าแปลกที่ไม่มีท่าทีขัดขืนอะไรมาก ราวกับคนที่ยอมแพ้เอง

    “นี่มันเรื่องอะไรครับเนี่ย” ผมหันไปถามพี่ไนน์อย่างงงๆ

    “ไม่มีอะไรมากหรอก ปัญหานิดหน่อยน่ะ แล้วมึงอ่ะ มาได้ไง” พี่ไนน์เลือกที่จะปิดเงียบ

    “ผมพึ่งไปคุยกับอาจารย์เสร็จ เดินผ่านมาทางนี้เห็นเหมือนมีเรื่องกันอยู่เข้าพอดีน่ะครับ ก็เลยรีบวิ่งมาเลยเนี่ย” ไม่อยากคิดเลยแฮะว่าถ้าผมไม่มาทางนี้พอดีในเวลานี้จะเกิดอะไรขึ้นกัน

    “แล้วเอาไงต่อดีวะเนี่ย” ไอ้คิวที่ล็อคตัวเด็กคนนั้นไว้อยู่เอ่ยปากถามผม ก่อนจะมองไปที่พี่ไนน์อยากขอความคิดเห็น แต่ก่อนที่พี่ไนน์จะได้ตอบอะไร ผมก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

    “เรื่องไอ้เซนท์ใช่ไหมพี่” ผมเห็นแววตาตกใจที่แสดงออกมาทั้งจากพี่ไนน์และจากเด็กคนนั้น ทำให้ผมมั่นใจเลยว่าไอ้เซนท์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องนี้แน่ๆ

    “มึง” เหมือนพี่ไนน์จะเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกเลยในเวลานี้

    “ผมเดาเอาจากชุดนักเรียนน่ะครับ” แหงล่ะครับ ชุดนักเรียนของเด็ไทยมันแยกออกยากเสียที่ไหนล่ะ ตัวย่อโรงเรียนก็ปักหราอยู่บนหน้าอกเสียขนาดนั้นน่ะ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์นี่ไม่ต้องบอกเลยครับว่ารู้ได้ไง ก็ไอ้เซนท์เล่นแทยจะหาเรื่องผมทุกทีที่มีโอกาสเลยนี่ครับ มันประกาศตัวออกชัดเจนขนาดนั้น ทำไมผมจะไม่รู้เรื่องพี่ไนน์กับมันล่ะ แต่พี่ไนน์ไม่รู้นะว่าไอ้เซนท์ทำอะไรไว้มากกว่ที่พี่ไนน์คิด แหงล่ะครับ ขืนบอกมันโดนพี่ไนน์เกลียดแน่ๆล่ะ

    “จับมันไว้งั้นก่อน แป๊ปนึง กูคิดออกละ” ผมพูดไปพลางแกะเทปที่พันมือพี่ไนน์อยู่ออก สายตาคนเป็นรุ่นพี่มองมาที่แบบไม่ค่อยไว้ใจเท่าไร

    “มึงจะทำอะไร” คำถามนี้ถ้าเป็นเวลาอื่นผมอาจจะตอบนะ แต่ไม่ใช่เวลานี้ เพราะผมรู้ว่าถ้าผมบอกไปพี่ไนน์ต้องห้ามผมไว้แน่ๆ ดังนั้นผมไม่บอกหรอก ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาก่อนจะกดโทรออกหาใครบางคน ที่ผมเดาว่าตอนนี้ก็คงร้อนใจอยู่พอสมควร

    “ไอ้พาส มึงโทรหาใคร” ผมทำท่าทางบอกให้พี่ไนน์เงียบก่อน ไม่นานนักก็มีคนรับสาย

    “ช่างมันก่อน ไม่ต้องถามมาก รู้แค่ว่ากูอยู่กับพี่ไนน์ตอนนี้ กับเด็กโรงเรียนมึงคนหนึ่ง” ปลายสายไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใคร แต่ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาเล่นเกมคำถามกับมันนะ

    “ห้องน้ำข้างล่างตึก R ตรงสุดทางรู้จักป่ะ...เออนั่นแหละ...รีบมาเอาตัวเพื่อนมึงกลับไปได้ละ เร็วๆเลย” ผมวางสายแค่นั้นก่อนจะหันมามองคนต้นเรื่องทั้งสอง พี่ไนน์กับเด็กปริศนา สายตาที่ไปด้วยคำถามถูกส่งมาหาผมจากคนทั้งคู่ แต่คนละความรู้สึก

    “เดี๋ยวไอ้เซนท์มา” ผมบอกพี่ไนน์พลางมองไปที่เด็กนักเรียนคนนั้น ทำไมมันเงียบวะ

    “เฮ้ย! มึงโทรหามันทำไม แล้วมึงมีเบอร์มันได้ไง” เป็นรุ่นพี่ผมซะงั้นที่โวยวาย ส่วนไอ้เด็กนั่นจากเงียบธรรมดาตอนนี้เปลี่ยนเป็นซึมไปเลยทันที ยอมให้ไอ้คิวล็อคซะว่าง่ายเลย

    “ก็เรียกต้นเรื่องมาเคลียร์เลยไงพี่ จบเร็วกว่าเยอะ ส่วนผมมีเบอร์มันได้ไงไม่สำคัญหรอกครับ” เรื่องอะไรผมจะบอกล่ะว่าจิ๊กเอามาจากเครื่องวิคเตอร์น่ะ ขืนบอกไปได้มีคำถามอีกยาว

    “แล้วมันไม่นานหรอวะ” ไอ้คิวเอ่ยถามผม ดูเหมือนมันจะเริ่มขี้เกียจที่จะกันไอ้เด็กม.ปลายนั่นแล้วล่ะนะ เอาไงได้ จับตัวไว้ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่ามันจะไม่หนี

    “คงไม่อ่ะ เห็นมันบอกว่าอยู่ในม. นี้แล้วล่ะ” นับว่าความรู้สึกค่อนข้างดีนะ ผมไม่รู้นะว่าอะไรทำให้มันมาอยู่ในเขตมหาวิทยาลัยได้ แต่ผมว่าน่าจะเรื่องเดียวกันนี้แหละ

    “ส่วนเรา พี่ไม่รู้นะว่าเราทำแบบนี้ทำไม แต่แบบนี้พี่ว่ามันไร้สาระเกินไปนะ มาได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แถมไม่พอจะทำให้ตัวเราเองมีปัญหาอีกด้วย” ผมพูดเตือนสติไอ้เด็กม.ปลายคนนั้น ซึ่งไอ้เรื่องจะถามชื่อหรือที่มา นั่นไม่ใช่หน้าที่ของผม เพราะผมไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง ต้องให้คนในเรื่องมาจัดการกันเองดีกว่า ดูจากสายตาของไอ้เด็กนั่นมองที่พื้นอย่างเดียวเลย ไม่รู้ว่ามันตั้งใจที่จะไม่สนจะพวกผมหรือกำลังปลงตกกันแน่ก็ไม่ทราบได้

    “เฮ้ย ปล่อยมันทำไมวะ” ผมถามไอ้คิวทันทีที่อยู่ๆนก็ปล่อยไอ้เด็กนั้น

    “มันไม่ทำอะไรแล้ว ความกล้ามันหมดไปแล้วล่ะ” ผมมองดูเด็กคนนั้นแล้วก็พอจะเข้าใจที่ไอ้คิวพูด เหมือนกับรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อมาเสี่ยงตายครั้งเดียวยังไงก็ไม่รู้สิ

    “ไนน์” เสียงเรียกชื่อของคนที่ยืนอยู่ข้างผมทำเอาทุกคนหันขวับในทันที เด็กหนุ่ม ม.ปลายสามคนยืนอยู่หน้าประตูด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไปอย่ายากที่จะเดาความรู้สึก

     

    [Saint]

    “เชี่ยฟอร์ส” คำพูดแรกที่ผมพูดออกมาหลังจากที่เรียกชื่อไอ้พี่ไนน์แล้วเห็นว่ามันปลอดภัยดี สภาพของไอ้พี่ไนน์ที่ผมเห็นทำให้พอจะเดาออกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนที่ผมจะมา  มือทั้งสองข้างของผมถึงกับกำหมัดแน่น มองไปที่คนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนของผมอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่ผมจะได้ก้าวเข้าไปหาไอ้เพื่อนคนนั้น อยู่ๆก็ใครบางคนจับแขนผมไว้ก่อน

    “มึงไม่ต้อง กูจัดการเอง” ผมหันไปมองไอ้คีย์แล้วก็ต้องยอมหลีกทางให้ แม้ผมจะโกรธแค่ไหน แต่พอเห็นสายตาของเพื่อนคนนี้ผมว่า ผมไม่ควรไปยุ่งกับมันตอนนี้เลยดีกว่า

    “จะยังดื้ออยู่อีกไหม” พวกผมมองไปที่สองคนนั้นอย่างประหลาดใจ นี่มันมีเรื่องอะไรระหว่างสองคนนี้เนี่ย เพราะทันทีที่ไอ้คีย์พูดแค่นั้น ไม่รอให้มีคำถามต่อ มันดึงตัวไอ้ฟอร์สให้ซบที่ไหล่ของมันอย่างอ่อนโยน แล้วสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือไอ้ฟอร์ส....ร้องไห้

    “ไอ้คีย์ ไอ้ฟอร์ส นี่พวกมึง” เป็นไอ้วิคเตอร์ที่ทำลายความเงียบระหว่างพวกเราทั้งหมด

    “กูขอเคลียร์กับมันเอง มึงไม่มีปัญหาใช่ไหม” ก็ภาพตรงหน้ามันออกมาซะขนาดนี้แล้วจะให้ผมปฏิเสธมันไปยังไงล่ะ  ผมหันไปมองหน้าไอ้ไนน์ ซึ่งก็ราวกับมีความคิดเห็นที่ตรงกันที่มันก็มองมาที่ผมเหมือนกัน สีหน้าของมันก็งงไม่ต่างไปจากผมเท่าไร แต่ก็พยักหน้าให้ผม

    “เออ” พอได้ยินแค่นั้นไอ้คีย์ก็ลากไอ้ฟอร์สออกจากห้องน้ำไปทันที  อารมณ์โกรธของผมเมื่อกี้หายวับไปกับตาเลย  ไม่ต่างอะไรจากทุกคนทที่ยืนอยู่ตรงนี้เท่าไรหรอก

    “เฮ้ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย” ไอ้เชี่ยวิคเตอร์ครับ มันอีกแล้ว

    “ฮะฮะ แบบนี้ก็มีด้วยหรอวะเนี่ย” ผู้ชายในชุดนักศึกษาซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนของไอ้พาสต้า หัวเราะออกมา พอๆกับรอยยิ้มของไอ้พี่ไนน์กับไอ้พาสต้า พวกนี้คิดอะไรอยู่เนี่ย

    “บางทีมันก็อธิบายยากนะ เรื่องของความรู้สึกเนี่ย” คำพูดของไอ้ไนน์พร้อมกับสายตาที่มองมาที่ผมทำเอาพูดไม่ออกเลย อะไรคือความหมายที่มันต้องการจะสื่ออกมากัน

    “ไนน์” ผมเรียกชื่อมันอย่างแผ่วเบา ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากอะไรก่อนในเวลานี้ ผมควรจะพูดว่าอะไร  แต่เหมือนว่าอีกคนจะอ่านใจผมออกเลยให้คำตอบออกมาก่อนที่ผมจะคิดออก

    “ยังไม่ใช่ตอนนี้เซนท์ กูยังไม่โอเค เข้าใจนะ” มันมองผมด้วยสายตาขอร้อง ก่อนที่จะเดินผ่านผมไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก ผมเองก็คงไม่ดื้อดึงพอที่จะรั้งมันไว้หรอก

    “กูจะรอนะ” ผมไม่รู้ว่าคนที่เดินผ่านผมไปจะหยุดฟังผมไหม ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินผมพูดหรือเปล่า ผมไม่มีแม้แต่คววามกล้าที่จะหันไปมอง แต่ผมก็ได้พูดมันออกไปแล้ว แม้ว่าผมจะประกาศกร้าวว่าจะไม่ยอมรับในสิ่งที่มันตัดสินใจ แต่เอาเข้าจริงผมก็ก็แพ้มันอย่างราบคาบทำอะไรต่อไปไม่ถูกเลยจริงพอเจอหน่ามันจริงๆ เก่งก็ไม่เก่งให้ตลอดนะ น่าสมเพชตัวเองชะมัด

    “อืม” หึหึ ได้แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ

     

    [Victor]

                ผมมองตามไอ้เซนท์ที่เดินออกไปอย่างสงสาร หวังว่ามันจะเคลียร์กับพี่ไนน์ได้เร็วๆนะ ผมอยากได้เพื่อนผมคนเดิมกลับมานะ มันอาจจะดูไม่เป็นอะไรมากต่อหน้าคนอื่น มันอาจจะทำตัวเหมือนว่ามันเหนือกว่าพี่ไนน์ แต่สำหรับผมที่เป็นเพื่อนสนิทมัน ทำไมผมจะดูไม่ออกล่ะ ว่าความจริงแล้ว ตัวมันไม่เคยเหนือกว่าพี่ไนน์เลย เพราะมันไม่เคยเหนือกว่ารู้สึกของมันเองไงล่ะ

    “ก็นั่นแหละความรู้สึกคน มันอธิบายได้ยากจริงๆนั่นแหละ” เสียงเพื่อนไอ้พาสต้าพูด ดึงผมให้กลับมาสนใจภายในห้องนี้ต่อ เหลือแค่พวกผมสามคนเท่านั้นแหละ ตอนนี้ คำพูดของเพื่อนไอ้พาสแม้จะลอกคำพูดพี่ไนน์มาแต่มันกลับมองสลับระหว่างผมกับไอ้พาสต้าซะงั้น

    “ไม่เห็นจะยากเลย มันก็แค่ทางเลือกว่าควรจะพอหรือควรจะไปต่อ” ไอ้พาสต้าพูดแล้วมองมาที่ผมแวบหนึ่งก่อนที่มันจะเดินออกไปดื้อ เดินผ่านผมออกไปราวกับผมไม่มีตัวตน

    “นั่นสินะ ควรพอจริงๆหรอ” เพื่อนไอ้พาสต้ามองมาที่ผม คนๆนี้มันรู้เรื่องอะไรบ้างเนี่ย ทำไมดูเหมือนว่าจะรู้ไปเสียทุกเรื่องอย่างนั้นแหละ  ผมละสายตาจากเพื่อนไอ้พาสต้าแล้วรีบเดินออกมาเพราะใครอีกคน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนๆนั้นยืนรอผมอยู่แล้ว

    “พี่รู้ว่าเราจะทำอะไรวิคเตอร์ อย่าพยายามเลย” ผมรู้สึกชาไปทั้งตัวทันที่ได้ยินคำพูดนั่น

    “ไอ้พาส” ผมพูดชื่อมันด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยคำถาม นี่มันจะเปลี่ยนไปจริงๆหรอ

    “เราคุยกันแล้ว” คนตรงหน้าผมย้ำเตือนถึงสิ่งที่เคยคุยกันมาก่อนหน้านี้ ทำให้ผมถึงกับเงียบไป ทำไมผมจะจำไม่ได้ว่าผมเคยพูดอะไรออกไป แล้วมันพูดอะไรกับผมบ้าง แต่ทว่า

    “ก็กูไม่อยากทำ” ผมยอมรับว่าผมทำไม่ได้จริงๆ ไม่รู้สิ แต่ความรู้สึกผมมันบอกอย่างนั้น

    “งั้นก็ไม่ต้องคุยกันวิคเตอร์ ถ้าไม่ใช่ในฐานะเพื่อนไอ้วินเนอร์ พี่กับเราก็แค่คนแปลกหน้าต่อกัน ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วพี่ขอตัวนะ”  ไอ้พาสต้าพูดตอบกลับมาเพื่อนตอกย้ำถึงความจริง มันยืนรอผมสักพัก แต่พอเห็นว่าผมไม่ตอบอะไรมันออกไป มันก็เล่นหันหลังเดินไปเลย

    “เฮ้ย!!เดี๋ยวดิ  ไอ้พาส” ผมพยายามร้องเรียกเพื่อนจะรั้งมันไว้ มองตามแผ่นหลังนั้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ใครคนนั้นไม่แม้แต่จะหยุดเดิน ไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจกับเสียงเรียกของผม

     “พี่ต้า” ผมพูดออกไปแล้ว กับชื่อเรียกนั้น กับเสียงของผมแม้จะเบา แต่มันก็ได้ผล

    “ครับ วิคเตอร์” มันหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม ... ยิ้มที่ผมไม่ต้องการ

    ไอ้พาสต้า คนนิสัยไม่ดี


    **********************************************************


    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับผม



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×