คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เจ้านาย
“ตื่นได้แล้วค่ะคุณหนู”
เสียงเล็กๆที่เข้ามากระทบหูพร้อมกับแสงที่ลอดผ่านผ้าม่านมายังใบหน้า บรรยากาศอันคุ้นเคยและชวนคิดถึง กลิ่นแสนคุ้นเคยที่ไม่มีวันลืม ใช่แล้ว โคโค้รีบลุกขึ้นพรวดอย่างรวดเร็วทันทีทำเอาผ้าห่มลอยไปคลุมคนใช้ที่มาปลุกเกือบทั้งตัว
ครืด!
โคโค้รีบรูดผ้าม่านเปิดออกเพื่อรับแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ในขณะที่คนรับใช้กำลังพับผ้าห่มของโคโค้อยู่ ซึ่งเจ้าตัวเองนั้นพยายามนึกถึงความฝันที่ตนได้ฝันไปว่าเรื่องนั้นมันเหมือนจริงมาก ทั้งความรู้สึก กลิ่น เสียง ราวกับว่าไม่ใช่ความฝันแต่เป็นเรื่องจริง
[จะคิดให้หนักหัวทำไม]
สุดท้ายเจ้าตัวก็สรุปลงง่ายว่าว่ามันคือความฝันที่เกิดจากการที่ตนชอบจินตนาการเพื่อแต่งนิยายนั่นเอง และเมื่อสรุปได้แล้วก็ไม่ช้าที่จะไปจัดการตัวเองให้พร้อมวันใหม่และเพื่อเอาเรื่องที่ฝันมาทำนิยายเรื่องใหม่
คลิก!
แฉะ!!!
ทันที่ที่โคโค้ย่างเท้าเข้าไปในห้องน้ำต้องพบว่าพื้นนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำและเสียงของน้ำที่ไหลอย่างแรง
[ใครไม่ปิดก๊อกเนี่ย]
เบื้องหน้าคือก๊อกน้ำสีทองอร่ามที่เปิดทิ้งเอาไว้จนน้ำเจิ่งนองไปทั่วทั้งพื้นห้องน้ำซึ่งนั่นเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมาก โคโค้จึงเดินตรงไปยังก๊อกที่เปิดอยู่และหมุนปิดทว่า
แอ็ด!!! โครม!
ประตูที่โคโค้เปิดทิ้งไว้ค่อยๆปิดลงและกระแทกอย่างแรงพร้อมกับก๊อกน้ำตัวการละลายกลายเป็นของเหลวสีเหลืองหยดลงมาที่พื้นและค่อยๆเปลี่ยนสีไปอย่างช้าๆจนเป็นสีน้ำตาลและมันก็ค่อยๆขยายตัวออกอย่างช้าๆ โคโค้ที่เห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อจะออกไปแต่ทันทีที่จับกลอนประตูเท่านั้นประตูก็กลายเป็นกำแพงที่เหลือไว้แต่เพียงลูกบิด
[นี่มันเรื่องอะไรกัน]
เมื่อโคโค้หันหลังกลับมาต้องพบว่าห้องน้ำของตนในตอนนี้กลายเป็นทะเลทรายไปเสียแล้วและพอหันหลังกลับไปหากำแพงสีขาวของห้องต้องพบกับต้นไม้ใหญ่ยังตำแหน่งที่ควรจะเป็นประตูในตอนแรกซึ่งมือของโคโค้ที่ยังจับลูกบิดคาไว้อยู่นั้นบัดนี้ไดถูกกลืนเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ไร้ใบไปเสียแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถถึงมืออกมาได้หนำซ้ำมือที่โดนกลืนเข้าไปตอนนี้มันค่อยๆดูดเอาโคโค้เข้าไปในต้นไม้อย่างช้าๆ และในขณะที่เจ้าตัวพยายามดึงมือออกมาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้นกิ่งและก้านของต้นไม้ก็ค่อยๆลดต่ำลงมาและพันตัวโคโค้อย่างช้าๆโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่ง
[หลุดซักที]
ทันทีที่แขนหลุดออกมาเป็นอิสระสมาธิที่จดต่อแต่การดึงกลับมาเป็นปกติทำให้รู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังลังเลื้อยอยู่รอบๆตัว และพอก้มลงดูต้องพบว่าตนนั้นถูกมัดเรียบร้อยแล้วและค่อยๆถูกยกให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
[ซวยล่ะทีนี้เรา]
กิ่งและก้านสากๆทำเอาโคโค้รู้คันบริเวณที่ถูกจับอย่างมากแต่ไม่สามารถเกาได้แม้แต่น้อยเพราะโดนมัดอยู่แบบนี้จึงพยายามดิ้นเพื่อหวังว่าจะหลุดจากพันธนาการแต่มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆและเจ็บเพราะปลายแหลมของกิ่งไม้ได้แทงเข้ามาที่ก้น ค่อยๆเข้าไปลึกเรื่อยๆ เรื่อยๆ
“เจ็บ!!!”
โคโค้ที่รู้สึกเจ็บได้กระโดนขึ้นพรวด ชไนเดอร์ที่กำลังนอนอย่างสงบได้ตื่นขึ้นหันขึ้นมาดูเจ้าของเสียงที่กำลังเอามือลูบก้นที่โดนบางสิ่งแทง
“ฝันหรือเนี่ย” เจ้าตัวบ่นกับตัวเองพึมพำก่อนที่จะมองดูรอบๆ
โคโค้ในตอนนี้กำลังยืนอยู่เหนือพื้นสูงประมาณตึกสี่ชั้นได้และพื้นที่กำลังยืนอยู่นั้นเป็นพื้นหยาบทอดยาวลงไปแล้ววกขึ้น ?
[ท่าทางเราคงไม่ได้เหยียบพื้นสินะ]
เมื่อโคโค้เงยหน้าขึ้นต้องพบกับใบหน้าของมังกรยักษ์และเมื่อไล่ตามคอ ลำตัว แขน มือ มาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ตัวเองยืนก็สรุปได้ทันที่ว่าตอนนี้ตนกำลังเป็นมนุษย์ในกำมือของมังกร แต่ต่างจากสุภาษิตที่เคยได้ยินมาตรงที่หากบีบตนได้ตายแน่ตามสุภาษิตแต่ตอนนี้มันก็คลายอยู่ตนก็ยังไม่รอดหนำซ้ำหากเจอมันปล่อยกลางอากาศละก็มีหวังได้ตายแน่ๆงานนี้
“หวัดดี” โคโค้ทักทายด้วยเสียงที่สั่นๆ
แต่ทว่าเมื่อตนนึกขึ้นได้ว่าต่างหูมันไม่อยู่แล้วจึงรีบเอามือไปจับที่ใบหูข้างซ้ายของตนและก็ต้องพบกับบางสิ่งที่ติดอยู่ ใช่แล้วต่างหูที่สามารถทำให้ฟังและพูดกับคนอื่นได้นั่นเองบัดนี้โคโค้ได้มันกลับมาอีกครั้ง เจ้าตัวคิดได้เพียงแค่ว่าคงได้มาจากมาย่าตอนที่ตนสลบไปแต่ทำไมตนต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะ
โฮก!!!
มังกรยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมาทว่าเสียงคำรามนั้นมันไม่น่ากลัวเท่าไหร่นอกเสียจากกลิ่นปากที่โชยตามออกมามันมีกลิ่นที่โคโค้เกลียดที่สุดปนออกมาด้วย ใช่แล้วมันคือกลิ่นของแอลกอฮอล์นั่นเอง แต่กลิ่นที่ไม่น่าพิรมและควรทำให้สติเลือนลางกลับเรียกสติของโคโค้ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่งว่าตอนนี้ตนไม่ได้นั่งอยู่บนพื้นแต่นั่งอยู่บนฝ่ามือของมังกรร่างยักษ์ที่ยกขึ้นมาสูงประมาณตึกสี่ชั้นได้
“ไม่ทราบว่าจะช่วยวางผมลงกับพื้นได้ไหม” โคโค้กล่าวกับมังกรยักษ์อย่างสุภาพพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ร่างอันยักษ์ใหญ่นั่นเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและค่อยเอามือโคโค้ลดต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งโคโค้เองแทนที่จะรู้สึกโล่งใจเพราะจะได้กลับลงไปเหยียบพื้นดินแต่กลับมีความรู้สึกแปลกๆกับการกระทำของเจ้ามังกรนั่น แต่แล้วพอมือจะแตะถึงพื้นเจ้ามังกรนั่นก็กำมืออย่างรวดเร็วพร้อมกับโยนโคโค้ขึ้นไปบนฟ้า
“เฮ้ย!!!”
เสียงร้องอย่างตกใจดังลั่นทำเอาชไนเดอร์ที่กำลังหลับอยู่ตื่นมาอีกรอบซึ่งคราวนี้เขาหงุดหงิดมากด้วย
ตุบ!
โคโค้ใจหายวาบนึกว่าตนต้องตายเสียแล้วแต่บัดนี้เขาอยู่ในอุ้งมืออีกข้างของมังกรยักษ์เจ้าเล่ห์ ซึ่งมันได้ก้มลงมามองดูโคโค้ด้วยสายตาที่ราวกับจะสำรวจให้ละเอียดจากนั้นมันก็เงยขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง แน่นอนโคโค้รู้ว่ามันคิดจะทำอะไรจึงรีบจะกระโดดลงจากมือมันเดี๋ยวนี้เพราะตอนนี้มืออยู่สูงจากพื้นไม่มากนัก
“อุบ”
ความรู้สึกที่ไม่ได้เจอมานานไปแปลบขึ้นมาอย่างผิดจังหวะ ใช่แล้วจากการที่โดนเหวี่ยงขึ้นไปบนฟ้าแล้วลอยตกลงมานั้นทำเอาขาทั้งสองข้างของโคโค้นั้นแพลงจนลุกขึ้นยืนไม่ไหว สิ่งเดียวที่เจ้าตัวในตอนนี้จะทำได้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
[คงต้องทำใจสินะ]
เจ้ามังกรยักษ์ได้กำมือแล้วเหวี่ยงโคโค้ขึ้นไปอีกครั้งและใช้มืออีกข้างรับพร้อมกับเตรียมการโยนครั้งต่อไปทันทีโดยไม่สนใจโคโค้ที่แสดงออกอาการเจ็บที่ข้อเท้าทั้งสองอย่างชัดเจน
ฟิ้ว~~~
โคโค้โดนโยนขึ้นไปในอากาศอีกครั้งและคราวนี้ด้วยความเจ็บปวดทำให้ตนไม่รู้เลยว่าคราวนี้ตนได้ตกลงไปแบบหัวดิ่งลงและมือข้างที่เตรียมรับของเจ้ามังกรยักษ์นั่นก็ได้รับพลาดไปแล้ว
พลัก!!!
เสียงกระแทกราวกับเสียงของลูกแตงโมที่โดนไม้ฟาดดังก้องให้หัวของโคโค้ทำให้เจ้าตัวได้ลืมตาขึ้นและต้องพบกับถึงไม้ที่แตกอยู่ ณ พื้นเบื้องล่างพร้อมกับของเหลวที่มีกลิ่นมันไม่พึงประสงค์ไหลออกมา
[หวิดไป]
บัดนี้โคโค้ได้ห้อยหัวทิ่มลงมากับพื้นโดยมีเกล็ดที่ลำตัวของมังกรเกี่ยวเข้ากับกางเกงของตนอยู่จึงทำให้ไม่ตกลงไปกระแทกที่พื้นเบื้องล่าง และชไนเดอร์เองก็ทนไม่ไหวในที่สุดแล้วเดินเข้ามาหาเจ้ามังกรยักษ์
[เจ้านี่เองก็เป็นคนดีกับเขาเป็นนี่] โคโค้เริ่มมีความหวังกับชไนเดอร์ที่เดินเข้ามา
“เฮ้ย อยากเล่นกับมันยังไงก็เชิญแต่หัดระวังบ้างสิแกเหยียบถึงเบียร์ข้าแตกไปถังนึก ถ้ามีครั้งที่สองแกเจอดีแน่”
เสียงตวาดที่ดังลั่นทำเอาโคโค้หายซึ้งทันทีและมีความคิดเดิมผุดเข้ามา “มันไม่สนใจใครนอกจากตัวเองหรอก” ซึ่งทางมังกรร่างยักษ์เองก็ไม่พอใจกับคำตะคอกจึงยกขาข้างที่เหยียบถังเบียร์ขึ้นมาพร้อมกับจะเหยียบลงไปแต่ต้องหยุดลงด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
“อยากโดนราชีนีเล่นงานรึไง”
เพียงประโยคสั้นๆทำเอามังกรร่างยักษ์เริ่มออกอาการตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัดและมันคงไม่ดีสำหรับโคโค้แน่เพราะตนกำลังจะตกแล้ว ซึ่งทันทีที่เกล็ดที่เกี่ยวโคโค้ไว้หลุดลงเจ้ามังกรยักษ์นั่นก็รีบคว้าตัวโคโค้ไว้พร้อมกับวางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวลแต่ผิดที่ไปหน่อยเพราะพื้นที่วางลงนั้นเจิ่งนองไปด้วยเบียร์ทำเอาโคโค้ทั้งตัวนั้นชุ่มไปด้วยกลิ่นของสิ่งที่ตนเกลียดที่สุด แต่ขณะที่เจ้าตัวสติกำลังเลือนรางเพราะกลิ่นของแอลกอฮอล์นั้นเองก็ได้เกิดความรู้สึกสดชื่นกลับฟื้นคืนมาด้วยสายน้ำที่ราดทั้งตัวโคโค้
[ว่าแต่มาจากไหนล่ะ]
คำถามแรกหลังจากที่เรียกสติกลับคืนมาได้ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปเพื่อหาสาเหตุก็ต้องพบกับสายน้ำที่เทลงมาอีกรวดหนึ่งราวหยดน้ำขนาดยักษ์ การกระทำของโคโค้ทำเอาชไนเดอร์ลงไปขำกลิ้งกับพื้นโดยออกอาการและเสียงอย่างเด่นชัดเนื่องจากน้ำที่ไหลลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้นมันเข้าตาโคโค้จนเจ้าตัวแสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น แต่หลังจากขยี้ตาไม่นานนักก็ลืมตาได้และเจ้าตัวก็เดินออกไปห่างจากจุดเดิมก่อนเพื่อที่จะเงยหน้าขึ้นไปคราวนี้ไม่โดนน้ำเข้าหน้าเต็มๆแต่ทันทีที่ก้าวเท้าเท่านั้น
โครม!
พื้นหินที่เดิมเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำทำให้หากเดินไม่ระวังอาจลื่นล้มได้และบัดนี้เจิ่งนองไปด้วยน้ำทำให้เกิดความลื่นมากกว่าเดิมสองเท่าทำให้โคโค้ล้มลงไปก้นกระแทกกับพื้น ซึ่งชไนเดอร์ที่เห็นภาพดังนั้นคราวนี้ได้หัวเราะเสียงที่ดังขึ้นกว่าเก่าและออกอาการล้มลงไปนอนทุบกับพื้นอย่างแรง แต่โคโค้เองก็ไม่ใส่ใจเท่าไหร่เพราะตอนนี้ตนรู้แล้วว่าน้ำนี่คืออะไรจากการที่ตอนล้มแล้วหน้าแหงนขึ้นไปบนฟ้าพอดี
โครม!
การล้มลงอีกครั้งในขณะที่พยายามจะลุกขึ้นแต่ต้องเจอกับสายน้ำเทลงมาใส่เต็มแรงซึ่งคราวนี้โคโค้ทนไม่ไหวแล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปและพร้อมที่จะตะโกนเต็มเสียงแต่กลับต้องสำลักน้ำชุดใหม่แทนที่เทลงมาในจังหวะเดียวกับตอนที่อ้าปากพอดี
“แค่กๆๆ”
ชไนเดอร์ตอนนี้จะขาดใจตายอยู่แล้วเพราะการกระทำที่ป้ำๆเป่อๆของโคโค้แต่โคโค้เองก็ไม่รู้สึกตลกด้วยคราวนี้จึงก้มหน้าตะโกนแทน
“แกน่ะหยุดร้องไห้ได้ยัง”
เสียงตะโกนที่ดังลั่นนอกจากทำให้น้ำไหลลงมาเป็นจังหวะหยุดไปและก่อเกิดความเงียบสงัดที่ไร้เสียงหัวเราะ โคโค้คราวนี้เริ่มวางใจว่าจะไม่โดนอะไรแน่หากเงยหน้าจึงได้มองขึ้นไปหาเจ้ามังกรยักษ์ต้องพบกับมันกำลังทำท่าสะอึกสะอื้นราวกับเด็กตัวเล็กๆไม่มีผิด
“เฮ้ย คิดว่าใหญ่มาจากไหนนั่นเด็กสองขวบเองนะเฟ้ย” ชไนเดอร์เดินเข้ามาตะคอกใส่โคโค้ที่กำลังจะลุกขึ้นยืน
[นั่นเนี่ยนะสองขวบ] โคโค้พลางนึกขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับชไนเดอร์
“แต่มันทำฉันเกือบตายและอีกอย่างมันร้องไห้ไม่หยุดซะทีแบบนี้โตขึ้นไปมันก็เป็นมังกรขี้แยพอดี” คำพูดของโคโค้ที่เรียบเรียงอย่างรวดเร็วได้ออกมาทางลมปากและกำลังรอผล
“เออก็จริง”
ชไนเดอร์ไม่สามารถหาคำพูดมาเถียงได้และนั่นเองก็เป็นสิ่งที่เจ้าตัวเองก็รู้แก่ใจดีในฐานะที่เป็นมังกรเหมือนกันจึงเงยหน้ากลับไปหาเจ้ามังกรร่างยักษ์นั่นจากนั้นจึงเดินไปนั่งพิงยังกำแพงในตำแหน่งเดิมที่ตนเดินมาเพราะตรงนั้นเต็มไปด้วยถึงเหล้าและเบียร์จำนวนมากวางไว้อยู่นั่นเอง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอนอนล่ะ” โคโค้พูดออกมาลอยๆและเดินไปนั่งพิงกำแพงในฝั่งตรงข้ามกับชไนเดอร์แล้วผล็อยหลับไปทั้งๆที่ตัวยังเปียกอยู่แบบนั้น
ทางด้านปราสาทเองตอนนี้ก็ได้ทำการประชุมอย่างสำคัญถึงเรื่องคนร้ายที่บุกเข้ามาจบพอดีทำให้เด็กสาวที่รอคอยผู้หนึ่งได้โอกาสที่จะพบกับมารดาเพื่อสิ่งที่ต้องการ
“ลูกมาทำอะไรรึ” องค์ราชินีที่เดินออกมาจะห้องประชุมได้ทรงถามลูกสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ลูกมีอยากถามถึงเรื่องที่ลูกได้ทูลขอเมื่อวาน”
“ได้สิ จัดการให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“ค่ะเสด็จแม่”
ครืด~~~
เสียงของฟันเฟืองที่ค่อยๆหมุนอย่างช้าๆโดยเสียงนั้นได้ทำให้โคโค้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างแรงเนื่องจากเมื่อคืนนอนทั้งๆที่ตัวเปียกแบบนั้นแต่ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ในใส่ใจเรื่องที่ตนกำลังเริ่มไม่สบายแต่กังวลกับประตูไม้ขนาดยักษ์ที่กำลังค่อยๆเลื่อนขึ้นอย่างช้าๆตามเสียงของฟันเฟือง
โฮก!!!
เสียงคำรามที่มาพร้อมกับไอร้อนของมังกรร่างยักษ์ทำให้โคโค้ที่กำลังจะลุกขึ้นยืนล้มลงไปก้นกระแทกพื้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายพอควรเพราะเมื่อวานนั้นตนได้ล้มลงไปกระแทกกับพื้นหลายรอบพอควร แต่โคโค้กลับต้องขอบใจมันแทนที่มันใช้ไอร้อนทำให้เสื้อผ้าของตนแห้ง
ตึง!
ทั้งสามบัดนี้มองไปยังกลุ่มเงาดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทันทีหลังเสียงกระแทกอย่างรุนแรงของประตูที่ดึงขึ้นจนสุด ความเครียดและความกังวลของทั้งสามนั้นได้ถูกผ่อนคลายลงด้วยใบหน้าที่พวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดี
“โคจังกับชไนเดอร์” ชื่อของทั้งสองที่ถูกเรียกนั้นราวกับต้องมนต์เพราะขาทั้งสองได้ก้าวเดินไปหาเธอทันทีโดยไม่รีรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เมื่อทั้งสองคนเดินมาหาเธอ มาย่าก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันหลังเดินไป ทั้งสองที่เห็นดังนั้นก็เดินตามเธอไปโดยทิ้งมังกรร่างยักษ์เอาไว้เพียงลำพังยังหลังประตูยักษ์ที่กำลังจะปิดลง
แสงตะวันอันแสบตาบ่งบอกถึงว่าบัดนี้คือยามเช้า เนื่องจากเบื้องล่างนั้นเป็นห้องใต้ดินโคโค้จึงไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่เมื่อรู้ว่านี่คือยามเช้าท้องของโคโค้เองก็เริ่มออกอาการซึ่งถึงแม้เสียงจะไม่ดังออกมาแต่ท่าทางมาย่ารู้เพราะเธอหันมาหาและกระซิบกับโคโค้เบาๆก่อนเดินต่อว่า “เดี๋ยวก็ได้กินแล้วนะ” และนั่นทำเอาโคโค้อายพอควรแต่ความรู้สึกนั้นได้หายไปอย่างรวดเร็วโดยแรงกดดันจากชไนเดอร์ที่เดินตามหลังโคโค้อยู่โดยที่มาย่าไม่รู้สึกถึงแรงกดดันนั้นเลยและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ และต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อถึงประตูปราสาทสีขาวขนาดยักษ์
“สองคนนี้มากับฉัน” เธอกล่าวกับทหารชุดเกราะทั้งสองที่ใช้หอกไขว้เป็นรูปกากบาทขวางประตูไว้ เสียงที่เรียบง่ายและรอยยิ้มนั้นทำให้ทหารทั้งสองเอาหอกของตนออกและเปิดประตูให้ทั้งสามเข้าไปในปราสาท ทันทีที่ประตูเปิดออกมาย่าก็หันกลับมามองโคโค้พักนึงก่อนที่จะเดินต่อไป
ปราสาทอันแสนกว้างขวาง ทางเดินที่แสนยาว แต่โคโค้รู้จักมันอย่างดีเพราะในคืนที่เกิดเรื่องตนได้เดินเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง มาย่าได้หยุดฝีเท้าลงยังบันไดที่จะเดินไปยังชั้นสองซึ่งตรงจุดนี้คือจุดเดียวกับที่ตนได้สลบไปในตอนนั้น โดยคราวนี้เองก็มีคนครบทั้งสี่คนดังคืนนั้นด้วย เธอคนที่อยู่กับมาย่าได้เดินลงมาจากชั้นสองอย่างช้าๆ ชุดยาวสีดำราวกับคนไว้ทุกข์ ผมที่ถูกหวีให้ตรง ท่าทางที่ออกเศร้าๆแต่ยังคงไว้รอยยิ้ม ความสวยงามเบื้องหน้านั้นผิดไปจากคืนนั้นอย่างสิ้นเชิง เธอในตอนนี้ราวกับเจ้าหญิง ชไนเดอร์เองที่เห็นภาพนั้นก็ยังคงเฉยๆอยู่ราวกับรู้จักกับเธอคนนั้นอยู่แล้ว
“นี่องค์หญิงไลน์เน่ และตั้งแต่นี้ไป จะเป็นเจ้านายของเธอ” โคโค้เมื่อได้ยินมาย่าพูดดังนี้กับตนทำให้เกิดความคิดที่ว่าตนนั้นซวยหนักกว่าเดิมหรือโชคดีกันแน่ เพราะเนื่องจากกริยาท่าทางของเธอคืนนั้นมันคนละเรื่องกันในตอนนี้และตนอาจตกเป็นเครื่องระบายอารมณ์ก็ได้แต่อาจจะโชคดีที่อย่างน้อยมีเจ้านายที่น่ารักไม่ใช่ราชินีที่แสนโหด
“แล้วฉันล่ะ” ชไนเดอร์ถามมาย่าดูด้วยความรู้สึกกังวลว่าใครที่จะต้องมาเป็นเจ้านายของตน แต่ความกังวลก็หายไปด้วยรอยยิ้มของมาย่าและนิ้วของเธอที่ชี้เข้าหาตัวของเธอเอง โคโค้เองที่ได้เห็นแบบนั้นก็บอกได้ทันทีว่าตัวเองนั้นซวย เพราะหากไปเป็นสัตว์เลี้ยงของมาย่ารับรองไม่มีทางลำบากหรือทรมานแน่ สิ่งที่ยืนยันแน่ชัดคือ ท่าทีของเหล่าสัตว์เลี้ยงขององค์ราชินีทั้งหมดที่มีต่อเธอและการที่ตนได้อยู่กับเธอแม้เพียงไม่นานแต่สามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นจากตัวของเธอได้เป็นอย่างดี
“องค์หญิงอยู่ที่นี่เองหรือคะ”
เจ้าของเสียงที่บ่งบอกถึงความเข้มงวด ณ ชั้นสองและดวงตาแดงที่จ้องลงมาหาองค์หญิงไลน์เน่นั้นทำเอาองค์หญิงเกิดอาการเกร็งซักพักก่อนที่จะหันไปหาเจ้าของเสียงนั้น แต่เจ้าของเสียงก็ค่อยๆเดินลงมาหาองค์หญิงโดยไม่รอให้เธอเดินไปหา เจ้าของเสียงผู้นี้เป็นผู้หญิงผมยาวสีแดง สูงประมาณร้อยแปดสิบ สวมเสื้อและกระโปรงยาวสีแดงซึ่งเป็นสีเดียวกับผมของเธอแต่ลำตัวของเธอนั้นประดับด้วยเกราะสีเงินซึ่งมีลวดลายประหลาดเขียนไว้อยู่ และแขนทั้งสองข้างของเธอก็สวมปลอกแขนโลหะสีเงิน ขณะที่กระโปรงยาวของเธอนั้นองก็มีแผ่นโลหะติดไว้ที่ด้านข้างไล่ลงมาจนสุดชายกระโปรงและเบื้องล่างรองเท้าของเธอเองก็เป็นรองเท้าโลหะของอัศวินชุดเกราะ การแต่งกายเหล่านี้บ่งบอกถึงความเป็นนักรบและดาบขนาดยักษ์ที่สะพายอยู่หลังเธอก็บ่งบอกถึงพละกำลังที่มหาศาลของเธอแต่ทว่าการแต่งกายแบบนี้มันก็ต่างไปจากทัศนคติเดิมของโคโค้ที่มีต่ออัศวินในชุดเกราะโดยสิ้นเชิง
“เรนคือ...”
“องค์หญิงคะนี่เลยเวลาเรียนมามากแล้วนะคะ”
เสียงที่เรียบง่ายและเด็ดขาดทำเอาทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงนี้เกิดอาการขนลุกซู่ไม่เว้นแต่ชไนเดอร์ที่ไม่มีขนยังเกิดอาการสั่นเล็กน้อย เรนหันมามองที่โคโค้และพยักหน้าก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดตามเรนไป มาย่าเองเมื่อเห็นดังนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับชไนเดอร์โดยทิ้งโคโค้ไว้เพียงลำพัง
[หรือว่าเมื่อกี้บอกให้ตามไป]
เจ้าตัวตอนนี้เมื่อคิดดังนั้นจึงรีบตามไปชั้นสองเพื่อตามไปแต่ทว่าบนชั้นสองนั้นกลับมีผู้หญิงผมสั้นสีม่วงในชุดเมดสีดำยืนอยู่และจ้องหน้ามายังโคโค้
“สำหรับคุณเชิญทางนี้คะ” เธอกล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับเดินนำโคโค้ไป
โคโค้ที่ตามเธอเรื่อยๆต้องหยุดลงที่ประตูห้องสีขาวโดยเธอเปิดประตูให้โคโค้เข้าไปข้างในก่อน ภายในห้องหลังประตูสีขาวนั้นเป็นห้องสีชมพูที่ก้าวขวาง มีเตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้องและตู้ไม้อีกสามตู้วางเรียงติดกัน แต่มีสิ่งที่บ่งบอกว่านี่เป็นห้องของผู้หญิงแน่ๆคือโต๊ะสำหรับแต่งหน้าที่มีขวดน้ำหอมนับสิบตั้งอยู่
“นี่คือห้องขององค์หญิงซึ่งต่อแต่นี้ไปนายจะต้องอยู่ในห้องนี้กับองค์หญิง”
ประโยคที่เล่นทำเอาใจหาย โคโค้ชายผู้ที่นอนเพียงลำพังคนเดียวตลอดนับตั้งแต่จำความได้ แม้ว่าจะเข้าค่ายก็จะแยกมานอนคนเดียวเสมอ บัดนี้เขาต้องนอนร่วมห้องกับเพศตรงข้าม แต่ขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเองก็มีคนมาสะกิดหลังของโคโค้ให้หันกลับ เมื่อโคโค้ได้หันกลับเท่านั้นต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่อไม่ใช่คนรับใช้ที่พาตนมาสะกิดเรียก แต่กลับเป็นองค์หญิงไลน์เน่ซึ่งเธอไม่น่าจะอยู่ที่นี่เพราะโดนนักรบคนหนึ่งพาไป
“ตกใจอะไรกัน” เธอถามโคโค้พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“คือเรียนเสร็จแล้วหรือครับองค์หญิง” โคโค้ถามกลับ
“อืม พอดีเรนโดนเรียกประชุมด่วนเลยได้โอกาส”
คำพูดนี้แสดงถึงการหลบหนีจากหน้าที่ชัดๆ แต่โคโค้ก็ไม่สามารถว่าอะไรเธอได้เพราะตนไม่อยู่ในฐานะนั้นแม้อยากบอกให้เธอกลับไปเรียนก็ตาม เนื่องจากตนนั้นติดนิสัยเก่ามาคือชอบลากเด็กโดดเรียนให้กลับมาเรียนและไม่เคยทำไม่สำเร็จซักครั้งหากคิดที่จะทำ แต่ตอนนี้ตนกลับไม่สามารถทำได้เลยจึงเกิดความหงุดหงิดเล็กน้อย
“เตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม”
คำพูดแปลกๆที่ยากแก่การคาดเดาและการกระทำของเธอที่จู่ๆลากตนเข้าไปยังประตูอีกบาน ภาพเบื้องหน้าที่บ่งบอกว่ามันคือห้องอาบน้ำอันกว้างขวางที่มีบ่อสำหรับแช่ราวกับสระว่ายน้ำย่อมๆ ซึ่งโคโค้ไม่ต้องเดาอะไรให้เสียเวลาเลยว่าตนจะโดนอะไรในตอนนี้เพราะมันเป็นของแน่นอนสำหรับสัตว์เลี้ยง
“เดี๋ยว ไม่ต้องฉันจัดการเองได้” โคโค้รีบบอกกับเธอก่อนที่จะโดนจัดการ
“งั้นตามใจ แต่อดข้าวกินไม่รู้ด้วยนะ”
คำพูดหวานๆ สายตาที่มองอย่างเจ้าเล่ห์ และท่าทางที่เหมือนล้อเล่น แต่ละอย่างนั้นยิ่งทำเอาโคโค้ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าหากให้เธอทำให้จะเกิดอะไร แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้กินอะไรแน่นอน เจ้าตัวจึงต้องจำใจเสียแล้วจึงได้พยักหน้าเป็นคำตอบไป ทางไลน์เน่เองที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มลงมือจัดการทันที
ตูม!!!
สายน้ำที่กระเด็นขึ้นมาแล้วตกลงราวกับสายฝนพร้อมกับเสียงของวัตถุที่ขนาดใหญ่ตกลงไปในน้ำ โคโค้ที่กำลังเตรียมใจอยู่โดนองค์หญิงถีบตนตกลงไปในน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว โคโค้จึงโผล่หน้าขึ้นมาพร้อมกับอาการสำลักน้ำและหันไปมองเธออย่างงุนงง
“ไว้คืนนี้ก่อนละกันนะเพราะตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว” เธอกล่าวพร้อมกับหันหลังเดินออกจากห้องไป
[ทำเอาเราเกือบจมน้ำตายเนี่ยนะ]
โคโค้ลุกขึ้นมาจากสระพร้อมกับเอามือลูบหัวของตนที่กระแทกกับพื้นสระ ความเจ็บปวดในเมื่อครู่ทำเอาเกือบสลบไปเหมือนกัน แต่โคโค้ในตอนนี้กลับไม่โกรธอะไรเธอเลยกลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าที่ได้อาบน้ำคนเดียว และเมื่อไม่มีใครในห้องน้ำเจ้าตัวก็รีบถอดเสื้อออกเพื่อจัดการกับเนื้อตัวที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนลืมเรื่องสำคัญไปและเป็นเรื่องสำคัญมากพอควร
“ว่าไป...” โคโค้ที่อาบน้ำเสร็จแล้วในตอนนี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองนั้นลืมอะไรไป ใช่แล้ว สิ่งที่ต้องมีอยู่นั้นไม่มีคือหนึ่งผ้าเช็ดตัวและสองเสื้อชุดใหม่ โคโค้เองจะมานึกในตอนนี้ก็สายไปแล้ว จะเอาชุดเก่าที่เปียกมาใส่ก็ไม่ได้ จะออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ ทำได้แค่รอตัวแห้งกับชุดแห้ง แต่ กว่าเสื้อผ้าของตนจะแห้งมันก็กินเวลาอีกไม่รู้เท่าไหร่นี่สิ
กริก!
ประตูห้องน้ำได้ถูกเปิดออก ใบหน้าหนึ่งจ้องมองเข้ามา ซึ่งคนคนนั้นได้ถือของที่ตนต้องการเข้ามาด้วย นั่นก็คือ ผ้าเช็ดตัวนั่นเอง แต่โคโค้กลับไม่สามารถขยับเดินเข้าไปหยิบได้เพราะคนที่เดินเข้ามานั้นเป็นเพศตรงข้ามและไม่ใช่ใครแต่เป็นเมดที่พาตนมาห้องขององค์หญิงไลน์เน่นั่นเอง โคโค้ที่ไม่ยอมเดินเข้าไปนั้นเพราะทำอะไรไม่ถูก เธอจึงเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเอง
“ฉันได้เตรียมเสื้อผ้ากับอาหารเรียบร้อยแล้ว” เธอกล่าวห้วนๆพร้อมยื่นผ้าเช็ดตัวให้โคโค้
“อืม” โคโค้ที่ได้รับผ้ามาแล้วก็จัดการเอาผ้ามาพันกับตัวแล้วเดินออกจากห้องน้ำไปเพื่อใส่เสื้อผ้าและทานอาหารที่ตนรอมานานตั้งแต่เช้า
มื้อเที่ยงที่รอมานานกลับกลายเป็นมื้อแห่งความเครียดเสียมากกว่ามื้อแห่งความสุข อาหารที่โคโค้ได้รับต้องเรียกว่าหรูพอควรด้วยสเต็กเนื้อชิ้นใหญ่ สลัดและขนมปัง แต่ทว่าโคโค้กลับกินอย่างช้าๆและพูดคุยกับคนรับใช้เพื่อเรียกข้อมูลต่างๆมาให้ได้มากที่สุด แต่เธอไม่ยอมบอกอะไรนอกจากบอกว่าตัวเธอนั้นชื่อว่า <เฟต> เป็นคนรับใช้ส่วนตัวขององค์หญิงไลน์เน่เท่านั้น
“ฉันขอตัวก่อน และโปรดรออยู่ในห้องนี้จนกว่าองค์หญิงจะกลับมา”
เธอพูดกับโคโค้เมื่อทานเสร็จพร้อมกับหยิบจานและแก้วน้ำใส่ถาดเดินออกไปจากห้อง โคโค้ในตอนนี้ได้ถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้อง แน่หละมันเป็นเรื่องน่าเบื่อ ทั้งๆที่เจ้าตัวเองก็ชอบที่จะอยู่ในห้องเงียบๆแต่นั่นเพื่อสมาธิและจินตนาการในการแต่งนิยายนั่นเอง ทว่าบัดนี้กระเป๋าของตนก็ไม่อยู่กับตัวซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในห้องใต้ดินโคโค้ได้ลงมือเขียนบันทึกลงไปบ้าง โดยที่บันทึกนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตนในอดีตเท่าที่จะนึกออกมาได้ เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ลืมโลกที่ตนจากมาแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จะเคยชินกับโลกนี้เพียงไร จะได้มีความทรงจำดีๆเก็บเอาไว้
“กลับมาแล้วเบื่อไหมเอ่ย” องค์หญิงไลน์เน่ที่กลับมาทักโคโค้อย่างทันที โคโค้ที่ได้ยินเสียงประตูเปิดและเสียงขององค์หญิงก็ได้ตื่นขึ้นจากการนอนเพราะความเบื่อ ความง่วงหลังจากการตื่นใหม่ๆที่ปกติโคโค้จะมีนั้นได้หายไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ไลน์เน่กำลังถืออยู่ กระเป๋าที่ตนใส่สมุดบันทึกไว้บัดนี้ได้กลับมาอีกครั้ง
“เป็นเด็กดีสินะ” เธอเดินเข้ามาลูบหัวโคโค้ก่อนที่จะยื่นกระเป๋าให้
แกร้ง!
เสียงของถาดโลหะที่วางลงพร้อมกับกลิ่นหอมทำเอาโคโค้ที่กำลังดีใจกับการได้กระเป๋าคืนเริ่มรู้สึกหิว แต่เมื่อตนจะลุกขึ้นก็ต้องโดนไลน์เน่เอามือทั้งสองข้างจับหน้าหันมามองตาเธอ “คง-ไม่-ลืม-สัญ-ญา-นะ” เธอค่อยๆพูดเน้นทีละคำ ซึ่งคำพูดประโยคนี้ทำเอาโคโค้ขนลุกซู่ขึ้นมาทันทีเพราะสัญญาอะไรนั้นโคโค้ไม่เคยให้ไว้กับเธอแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอบอกไว้ก่อนที่จะไปว่าเธอจะทำเมื่อกลับมา
“เตรียมน้ำเรียบร้อยแล้วคะ” เฟตกล่าวกับองค์หญิงไลน์เน่
“อืม คืนนี้กะแช่น้ำร้อนนานหน่อยนะ” องค์หญิงกล่าวพร้อมกับลากโคโค้เข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยพละกำลังที่โคโค้ดิ้นไม่หลุด
โคโค้ที่ลืมตื่นขึ้นมาต้องพบกับความมืดสนิท เบื้องหน้านั้นมีแต่ความมืดไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ตาม สิ่งที่ผ่านมานั้นคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงมืดขนาดนี้ โคโค้จึงได้เข้าใจทันทีว่านั่นคือฝัน ฝันว่าตนได้มานอนและกินอาหารอย่างดีและถึงแม้มีเรื่องแย่ๆอย่างโดนผู้หญิงจับอาบน้ำแต่ก็เรียกว่าสบายกว่าอยู่ในห้องใต้ดินไปวันๆ
ปึก!
ทันทีเท่านั้นที่โคโค้จะพยายามลุกขึ้นหน้าของตนต้องไปชนกับอะไรบางอย่างอย่างแรก แต่มันกลับไม่เจ็บมากนักเหมือนกับมีเบาบางๆมาหุ้มวัตถุแข็งเอาไว้ แต่แล้วคราวนี้ความมืดได้หายไปพร้อมกับเผยใบหน้าหนึ่งขึ้น องค์หญิงไลน์เน่ตอนนี้กำลังนอนทับโคโค้อยู่นั่นเองและที่โคโค้เงยหน้าขึ้นมาก็กระแทกเข้ากับองค์หญิงเต็มๆ
“รุนแรงจังนะ” เธอกล่าวกับโคโค้พร้อมกับนวดหน้าอกที่โดนกระแทก
“ขอประทานอภัยครับแต่ ช่วยกรุณาลุกขึ้นก่อนได้ไหมขอรับ” โคโค้รีบพูดติดจรวด
ใบหน้าของเธอที่จ้องลงมามองโคโค้ที่กำลังเขินอายนั้นส่อแววพิรุธอย่างชัดเจน และเธอก็ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลาก้มลงมาตะครุบกอดโคโค้ทันที ความอึดอัดและความทรมาณโถมเข้าหาโคโค้ที่กำลังจะขาดใจตายในอ้อมอกขึ้นมาทันทีด้วยกำลังของของเธอที่ค่อยๆรัดแรงขึ้นเข้าไปทุกๆที
“องค์หญิง ได้เวลาหารอาหารเช้าแล้ว”
เสียงของนางฟ้าหน้าขรึมได้ดังขึ้น เฟตคนรับใช้ส่วนตัวเดินเข้ามาปลุกองค์หญิง และองค์หญิงเองก็ยอมทำตามแต่โดยดี เธอได้ลุกขึ้นจากเตียงและเปิดตู้ออกและทำการเลือกชุดที่จะใส่ในวันนี้ โคโค้ในตอนนี้ก็พยายามหายใจให้ทั่วท้องหลังจากเกือบขาดอากาศตาย และพอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นก็ต้องรีบหันหลบไปข้างหลังทันทีเพราะองค์หญิงไลน์เน่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่
“จริงสิลืมสนิทเลย” ไลน์เน่ที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่ก็ผุดเรื่องสำคัญออกมาจึงหันกลับมา
“เธอมีชื่ออะไรจ๊ะ หรือ ยังไม่มีชื่อเอ่ย” ไลน์เน่ถาม
“โคโค้” โคโค้ตอบห้วนๆพร้อมหันหลังกลับ
โคโค้ที่หันหลังกลับมาเพราะนึกว่าองค์หญิงเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วแต่ทว่าเธอนั้นยังเปลี่ยนไม่เสร็จดี ชุดที่เธอใส่ในตอนนี้เป็นชุดแบบเดียวกับเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยนแต่หากว่ามันกลับหลุดลุ่ยอย่างไม่เรียบร้อยจนเห็นผิวกายของเธอ โคโค้ที่เห็นแบบนั้นจึงรีบหันหลังกลับและองค์หญิงไลน์เน่ที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะเล็กเบาๆออกมา
“เป็นอะไรเอ่ย เมื่อคืนตอนอาบน้ำให้ก็ไม่ยอมมองมาที่ฉันเลยนะ” องค์หญิงถามพร้อมกับจัดชุดให้เรียบร้อย
“หรือว่า ฉันน่าเกลียด”
“ไม่หรอกครับ” โคโค้ตอบกลับทันที
“งั้นฉันไปก่อนนะ เป็นเด็กดีล่ะโคโค้”
ปึง!
เสียงปิดประตูได้หายไปซักระยะ สิ่งนั้นบ่งบอกถึงว่าเธอเดินออกไปแล้ว และเมื่อเธอเดินออกไปแล้วนั่นหมายถึงตอนนี้ปลอดภัยแล้ว โคโค้จึงหันหลังกลับมาอีกครั้งเพื่อดูว่าเฟตยกอาหารของตนเข้ามาเปล่า แต่เธอนั้นได้ยื่นเสื้อผ้ามาให้ทันทีที่โคโค้หันกลับมา
“ใส่ซะ” คำพูดสั้นๆเรียบง่ายเข้าใจทุกความหมายแต่กระนั้นโคโค้ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนตรงนี้
“จะไปไหนรีบเปลี่ยนสิ” คำพูดที่เด็ดขาดที่ไม่อยากได้ยินเปล่งออกมาจนได้
โคโค้จำต้องเปลือยกายต่อหน้าเพศตรงข้ามอีกครั้ง และเจ้าตัวในตอนนี้พยายามรีบทำให้ชินเพราะคงต้องเจออีกหลายครั้งแน่นอน ชุดใหม่ที่ได้รับมานั้นเป็นกางเกงขายาวสีดำและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำราวกับไว้อาลัยให้ใครซักคน โคโค้เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จก็จะหันไปถามถึงอาหารตนเอง แต่ไม่ต้องถามแล้วเพราะมันมาวางตรงหน้าแล้ว อาหารเช้าเบาๆด้วยแซนวิชและนมนี้ทำเอาโคโค้ค่อยๆกินอย่างช้าๆและสบายใจได้
“เธอไม่ต้องทำอย่างอื่นรึ” โคโค้ลองชวนเฟตคุยดู
“หน้าที่ฉันคือคอยทำตามคำสั่งองค์หญิงไลน์เน่เพียงผู้เดียว” เธอตอบ
“งั้นหรือ แล้วมีใครในวังตายเปล่า” โคโค้ลองถามคำถามดูซึ่งเป็นคำถามที่ไม่น่าควรถามเท่าไหร่นักในฐานะของตน
“ทำไมจึงคิดแบบนั้น” เธอกลับเป็นฝ่ายถามแทน
“ก็เห็นใส่ชุดสีดำแบบนี้มันอดคิดไม่ได้” โคโค้ตอบพร้อมกับก้อมมองดูชุดที่ตนใส่อยู่
“ตามที่นายคิด นายเองก็จำได้สินะในคืนนั้น”
“คืนนั้นฉันเองก็เกือบไม่รอด” โคโค้ที่นึกถึงคืนนั้นยังเสียวไม่หายเพราะถ้าตนไม่โดนหินทับอยู่มีหวังได้ตายไปแล้วอย่างแน่นอน
“แต่คืนนั้นนายเองก็ทำให้คนตายน้อยลงด้วย”
“หา” โคโค้งงกับคำพูดของเธอยิ่งนัก
“ในคืนนั้นมีคนเข้ามาลอบปลงพระชนม์ทั้งราชวงศ์ แต่นายได้ช่วยองค์หญิงไลน์เน่เอาไว้ ด้วยเหตุนี้นายจึงได้มาอยู่ตรงนี้ไง” คำพูดนี้ทำเอาโคโค้เข้าใจทันทีว่าทำไมตนถึงได้ออกมาจากห้องใต้ดินและดูแลอย่างดี
“คำถามสุดท้าย” โคโค้เอ่ยปากก่อนที่เฟตจะเอาถาดอาหารที่โคโค้กินเสร็จออกไป “ราชวงศ์มีใครโดนปลงพระชนม์ไปบ้าง” คำถามนี้ได้เปลี่ยนสีหน้าที่เฉยเมยของโคโค้เป็นสีหน้าที่จริงจัง และเฟตเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกตินี้ เพราะที่ผ่านมาสีหน้าของโคโค้จะเฉยๆและยิ้มแสยะเหมือนคนรู้สึกแย่ๆประชดตนเองบ้าง แต่สีหน้าที่จริงจังที่หาได้ยากนั้นทำเอาเธอเริ่มไม่ไว้ใจโคโค้ขึ้นมาทันทีจึงคิดที่จะออกจากห้องไปโดยไม่ตอบ แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อได้ยินอีกประโยค “ถ้าบอกไม่ได้ก็ต้องขอโทษด้วยละกัน เพราะท่าทางมันเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรถามและควรรู้ด้วยสินะ” คำพูดขอโทษที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นักแต่น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงว่าชายคนนี้รู้สึกผิดจริงๆ เธอจึงตัดสินใจหยุดเท้าและหันกลับมาหาโคโค้ “พระราชาโดนลอบปลงประชนม์เพียงพระองค์เดียว” เธอตอบและเดินจากไปทันที
ความเงียบสงบอันยาวนานในห้องเล็กๆได้เริ่มต้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้โคโค้ไม่มีอารมณ์ที่จะทำอะไรเลยนอนจากนอนแผ่บนเตียงของไลน์เน่ ในขณะที่ตนควรจะทำตามนิสัยเดิมคือเรียบเรียงอดีตของตนลงในสมุดบันทึก นั่นอาจเป็นเพราะรู้เรื่องที่พ่อของไลน์เน่เสียแล้วนั่นเอง ไลน์เน่เป็นองค์หญิง พระราชาโดนลอบปลงพระชนม์ ชุดสีดำ สิ่งต่างๆหมายถึงการไว้ทุกข์ให้กับองค์ราชานั่นเอง แต่เธอนั้นไม่แสดงออกถึงความเศร้าเลยทั้งๆที่พ่อของตนได้จากไป เธออาจจะเข้มแข็งจริงก็ได้ หรือ ไม่ใส่ใจเลยเพราะนี่คือเรื่องปกติในราชวงศ์ที่จะมีการแย่งอำนาจกัน ทว่าเธอเองก็ไม่น่ามีนิสัยแบบนั้นเพราะในคืนที่ตนพบกับเธอครั้งแรกนั้นการแสดงออกมันต่างกันมากจนเทียบไม่ได้ อารมณ์ของเธอในตอนนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและมีน้ำตาไหลรินออกมาเล็กน้อยแสดงถึงความเสียใจราวกับต้องจากกับใครซักคนซึ่งตอนนั้นโคโค้ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้ตนกลับเอามาคิดหนัก
“หรือเธอกำลังหลอกตัวเองนะ” โคโค้ได้กล่าวลอยๆออกมาพร้อมกับยื่นมือชูขึ้นไปราวกับจะคว้าอะไรซักอย่าง
แกรก
เสียงลูกปิดประตูดังขึ้นอย่างเบาๆ หญิงผู้หนึ่งค่อยๆเข้ามาในห้องอย่างช้าๆโดยที่โคโค้ผู้ซึ่งกำลังนอนคิดเรื่องไลน์เน่อยู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเข้ามาในห้องและถือของบางสิ่งที่สะท้อนกับแสงแวววาวเข้ามาด้วย
สวบ!
ไลน์เน่คว้าโคโค้เข้ามากอดทันที และโคโค้เองที่กำลังคิดเพลินๆอยู่ก็ตกใจมิใช่น้อย สิ่งที่เธอถืออยู่นั้นก็พลอยตกลงไปที่พื้นด้วยจนของที่บรรจุไว้เริ่มไหลออกมา และเสียงของวัตถุที่ไหลออกมานี้เองได้ทำให้เธอเลิกกอดโคโค้และหันไปเก็บกลับเข้าไป โคโค้ที่เห็นเธอกำลังเก็บอะไรอยู่จึงลุกขึ้นและเดินไปหาเพื่อช่วยเก็บ สิ่งนั้นคือเหรียญโลหะบางๆสีทองจำนวนมากตกอยู่ที่พื้นและองค์หญิงพยายามเก็บกลับเข้าไปในถุงผ้าที่ส่องประกายของทองแวววาวราวกับทอด้วยทอง แต่นั่นไม่สำคัญในตอนนี้โคโค้รีบก้มลงช่วยเก็บแต่พอก้มลงเท่านั้นไลน์เน่ก็ลุกขึ้นพอดี
โป้ก!
เสียงประสานระหว่างศีรษะของไลน์เน่และคางของโคโค้ดังขึ้นในระดับที่ทั้งสองได้ยินชัดเจน ไลน์เน่นั้นเอามือขึ้นมาลูบหัวของตนที่โดนกระแทก แต่ทางโคโค้ตอนนี้นอนลงไปสลบคาพื้นเพราะโดนเสยคางจนน็อคไปเสียแล้ว ไลน์เน่ที่เห็นดังนั้นจึงลองเขย่าดูแต่ก็ไม่ฟื้นเธอจึงเอาหน้าไปซบที่อกโคโค้ พบว่าหัวใจยังเต้นอยู่จึงโล่งใจและเก็บเหรียญต่อ
“เป็นไรมากมั้ย” เธอถามทันทีที่โคโค้ฟื้น
“ไม่อ่ะ” โคโค้ตอบ
“ดีแล้วล่ะไปกันเถอะ” ไลน์เน่รีบพยุงโคโค้ขึ้นทันที
“แต่เราจะไปไหนกัน” โคโค้ถามทันทีเมื่อกำลังจะโดนลากออกจากห้อง
“จะหนีออกไปข้างนอก”
ไลน์เน่พาโคโค้เดินออกมาจากห้องของตน พาเดินมาเรื่อยๆและลงไปยังห้องโถงชั้นล่าง จากนั้นพาเดินออกไปยังสวนดอกไม้ ตามทางที่โคโค้เคยเดินเข้ามาปราสาทในคืนนั้น ทุกย่างก้าวที่เดินราวกับเดินย้อนทางในวันนั้นไม่ผิดเพี้ยน และองค์หญิงไลน์เน่ก็ได้หยุดฝีเท้าลง ณ กำแพงสูงใหญ่ซึ่งหลังกำแพงนั้นคือสวนหย่อมที่ตนได้ออกมาเดินเล่นในตอนนั้นนั่นเอง แต่โคโค้ในตอนนี้มิอยู่เพียงลำพังกับองค์หญิงไลน์เน่สองคนเท่านั้น แต่มีเฟตยืนอยู่ด้วย
“ช่วยหน่อยนะเฟต” องค์หญิงกล่าวกับคนรับใช้
เฟตเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันหน้าเข้าหากำแพงและหยิบแท่งสีขาวออกมาจากกระเป๋ากระโปรงก่อนที่จะทำการเสียบเข้ากับกำแพงที่ไม่มีรู้ใดๆทั้งสิ้น และกำแพงตรงจุดนั้นที่โดนเสียบข้าไปบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นประตูไม้สีน้ำตาล
“โปรดกลับมาก่อนอาทิตย์ตกดินด้วย” เธอกล่าวห้วนๆขณะที่องค์หญิงรีบเดินออกไป
โลกภายนอกปราสาทนั้นต่างจากโลกที่โคโค้ได้อยู่อย่างสินเชิง ตอนนี้โคโค้กำลังรู้สึกเหมือนกับว่าตนได้ตกเข้าไปอยู่ในโลกแฟนตาซีเสียแล้วเพราะในเมืองนั้นอาคารต่างๆถูกสร้างขึ้นจากการนำหินมาเรียงต่อกันและตามถนนหนทางเต็มไปด้วยร้านแผงลอยที่ขายของอย่างเกลื่อนกลาด แต่ผู้คนที่ผ่านไปมาแต่งชุดในแบบเดียวกันหมดคือชุดสีดำราวกับไว้ทุกข์ให้กลับใคร แน่หละพวกเขาคงกำลังไว้อาลัยให้กับองค์ราชา
“นี่สวยไหม” ไลน์เน่สะกิดถามโคโค้ที่กำลังเหม่ออยู่
“อืม เหมาะนะ” โคโค้ตอบเธอที่กำลังดูต่างหูอยู่
“งั้นเอาอันนี้แหละคะ” เธอนั้นเมื่อตกลงก็หยิบเหรียญทองออกมาจ่าย
เหรียญนั้นไม่ใช่อื่นใดนั่นคือเงินของโลกนี้นั่นเองและไลน์เน่ก็ได้รับเหรียญเงินและของกลับมา เหรียญเงินนั้นคงเป็นเงินทอน แต่การซื้อของไม่จบแค่นี้ไลน์เน่ได้ลากโคโค้ไปเดินเที่ยวเล่นอย่างไม่หยุดหย่อน แวะดูของน่ารักไปทั่วและอดใจไม่ไหวจนต้องซื้อมา และผู้ที่ต้องถือของเหล่านั้นก็คือโคโค้นั่นเอง
“ตายล่ะป่านนี้แล้ว” ไลน์เน่แสดงท่าทีตกใจหลังหยิบโลหะทรงกลมออกมาดู
“อะไรหรือ” โคโค้ถาม
“จริงสินะ นี่คือนาฬิกาไว้บอกเวลา และตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้วด้วยสิ” เธอยืนนาฬิกามาให้โคโค้ดู
นาฬิกาเรือนเล็กที่คล้องกับสายโซ่ ช่างเป็นนาฬิกาที่ดีมีราคาพอควร แต่โคโค้ไม่สนใจสิ่งนั้น และไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ต้องรีบกลับ แต่สนใจที่โลกแห่งนี้มีนาฬิกา ซึ่งหมายถึงว่านาฬิกาข้อมือของตนไม่ไร้ค่าแล้วเพราะนาฬิกาข้อมือของตนไม่ได้ใช้ถ่านแต่ใช้”การสั่นเพื่อสร้างพลังงาน
“แปลกใช่ไหมล่ะ” คำพูดของเธอที่เริ่มแปลกๆ
“รีบกลับเถอะ” โคโค้นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาโอเอ้แล้ว
“ขอเที่ยวต่ออีกได้เปล่า” เธอถาม
“แต่ ”
โคโค้ในตอนนี้เริ่มเห็นความผิดปรกติ ท่าทางของเธอที่แสนร่าเริงกำลังหายไป ตอนนี้เธอกำลังจะร้องไห้ สมมุติฐานของโคโค้ไม่ผิดเพี้ยน ท่าทีต่างๆที่เธอแสดงออกมานั้นเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกเจ็บปวดจากการที่ต้องจากกับพ่อไป แต่ตอนนี้ขืนอยู่กลางเมืองต่อไปคงไม่ดีแน่ถ้าจะให้องค์หญิงมาร้องไห้ต่อหน้าราษฎร โคโค้จึงตัดสินใจจูงเธอและออกวิ่ง วิ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจว่าจะไปที่ไหน ไม่สนว่าปราสาทอยู่ทางไหน ขอแค่สถานที่ไร้ซึ่งผู้คนพอ
“จะร้องก็ร้องออกมาได้แล้วไม่มีคนอยู่แล้ว” โคโค้บอกกับเธอเมื่อพาเธอออกมาจากชุมชนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน และเธอเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างเสียงดังและไม่อายใคร โคโค้เองในตอนนี้ไม่สามารถทำไรได้นอกจากโอบกอดเธอไว้ เสียงร้องไห้โฮที่ดังลั่นท่ามกลางความมืดมิดของซอกอาคารไร้ซึ่งผู้คน หากมีใครอยู่แถวนี้คงได้ยินแน่แท้ และคงหันมามอง แต่เมื่อไม่มีคน เธอก็ร้องไห้อย่างเต็มที่ด้วยความรู้สึกที่อัดอั้น ถ้าอยู่ในปราสาทก็ไม่สามารถทำได้ด้วยเนื่องจากองค์ราชินีสั่งกับเธอทันทีหลังจากเธอทราบเรื่องการสิ้นพระชนม์ว่า ห้ามร้องไห้ออกมาเด็ดขาด ห้ามแสดงความอ่อนแอออกมา แต่ต้องเข้มแข็งไว้ ทว่าสายสัมพันธ์ของพ่อลูกยังไงก็ตัดไม่ขาด จู่ๆต้องสูญเสียไป โดยไม่มีการบอก การเตือน หรือร่ำลา องค์หญิงไลน์เน่ผู้ซึ่งเป็นเพียงแค่สาววัยรุ่นอายุสิบเจ็ด ย่อมต้องอ่อนไหวกับการจากไปอย่างไม่หวนคืน
“ร้องพอแล้วสินะ” โคโค้ถามเธอที่หยุดร้องแล้ว
“อืม”
“งั้น กลับกันได้แล้วสินะ”
“อืม”
ปัญหาแรกจบลงไปด้วยดีแต่ตอนนี้ได้เกิดปัญหาใหม่เสียแล้วเพราะทั้งสองตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ไหน โคโค้เองก็ไม่สามารถตอบได้ด้วยเพราะตอนที่วิ่งนั้นดันไม่ได้จำทางเอาไว้เสียด้วย ไลน์เน่ก็ออกมานอกปราสาทไม่กี่ครั้งจึงรู้จักเส้นทางไม่มาก ทั้งสองจึงเดินออกมาจากซอกหลืบและไลน์เน่เดินไปถามทางกับคนแถวนี้เพื่อกลับไปเส้นทางที่ตนรู้จัก และสุดท้ายก็สามารถกลับมายังปราสาทในที่สุดแต่ก็ไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดินได้
“ขอโทษนะเฟตที่กลับมาช้า” ไลน์เน่ที่เปิดประตูลับเข้ามากล่าวขอโทษ
“แอบหนีออกแบบนี้รู้ไหมว่าคนเขาเป็นห่วง” เสียงอันไม่คุ้นเคยผุดขึ้น
[ท่าทางไม่ดีแฮะ] ตอนนี้คนที่ยืนอยู่นอกจากเฟตยังมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือคะ” ไลน์เน่พูดเสียงอ่อยๆ
“ตามพี่มาคืนนี้ต้องอบรมนานหน่อยล่ะ” เสียงที่เด็ดขาดของผู้เป็นพี่ทำเอาไลน์เน่ผู้เป็นน้องนั้นต้องผวาต่อการลงโทษแต่ตนเองก็รู้สึกว่าคุ้มเพราะได้ระบายความเศร้าโศกที่อัดอั้นออกไปหมดแล้ว
“และสองคนนั่น บังอาจพาองค์หญิงหนีออกไปนอกปราสาทต้องโดนลงโทษด้วย”
[แล้วจะโดนอะไรบ้างเนี่ยเรา] คำพูดและสายตาขององค์ชายทำเอาโคโค้คิดไม่ตกว่าจะโดนอะไรในคืนนี้
ความคิดเห็น