ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    @ - > นายคือสัตว์เลี้ยงของฉัน - -a

    ลำดับตอนที่ #2 : ปลอกคอและต่างหู

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 49


    กริ๊ก!

               เสียงเบาๆจากการปิดกระเป๋าที่ปกติจะแทบไม่ได้ยินมันกลับดังไปทั่ว โคโค้หลังจากตื่นขึ้นมาก็ลองสำรวจกระเป๋านักเรียนตนดูว่ามีอะไรอยู่บ้างก็พบแต่พจนานุกรมกับกล่องดินสอและสมุดโน้ตเปล่าหนึ่งเล่มที่ตนกะไว้ใช้ตอนแต่งนิยายเรื่องใหม่ส่วนหนังสือเรียนที่น่าจะมีอยู่นั้นโคโค้ได้ทิ้งมันไว้ที่ล็อกเกอร์ของโรงเรียนทำให้กระเป๋าบางลงไปเยอะ

    [ไม่ใช่ฝันสินะ] โคโค้ที่ตื่นขึ้นมาก็ลุกขึ้นเดินมาตรงลูกกรงเพื่อสำรวจห้องขังอื่นๆ

               ห้องขังแต่ละห้องจะมีผนังหินล้อมสามด้านและเบื้องหน้าเป็นลูกกรงจึงทำให้โคโค้เห็นสัตว์แปลกๆที่อยู่ในห้องขัง ซึ่งบางตัวก็คล้ายกับสัตว์ในนิยายโบราณมากมายเช่นกริฟฟิน มังกร แต่ถึงกระนั้นโคโค้ก็ยังงงอยู่ดีว่าตนมาที่นี่ได้อย่างๆไร และมันคงไม่ใช่ห้องขังสำหรับนักโทษเพราะไม่มีมนุษย์

    ครืด!!!

               เสียงเสียดสีเบาๆของประตูไม้ที่เข้ามาในเขตคุมขังและกลิ่นหอมแปลกๆทำเอาผู้ถูกคุมขังทุกคนตื่นขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับว่าถึงเวลาอะไรซักอย่าง

    [เวลาอาหารนี่เอง]

               หญิงสาวที่หน้าคุ้นเคยพร้อมกับรถเข็นขนาดใหญ่ที่บรรทุกอาหารจำนวนมากค่อยๆเคลื่อนไปอย่างช้าๆ สัตว์ทั้งหลายนั้นดูเหมือนจะชอบเธอมากเพราะเมื่อเธอเอาอาหารไปให้พวกมันแต่ละตัวจะแสดงท่าทีที่เป็นมิตรหมดเว้นแต่ห้องขังเบื้องหน้าของโคโค้ที่เฉยๆและไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อย

    [นี่ของเรารึ] อาหารเบื้องหน้าของโคโค้คือถาดใส่ขนมปังและสเต็กรวมทั้งยังมีน้ำอีกหนึ่งแก้วซึ่งพอโคโค้จะเดินเข้าไปหยิบเท่านั้น

    <เธอชื่ออะไรหรือ ฉันชื่อมาย่า>

               ไออุ่นจากมือของเธอที่สัมผัสกับมือโคโค้ที่จะหยิบจานและเสียงที่ดังก้องขึ้นในหัวของโคโค้ทำเอาเจ้าตัวตกใจแต่ยังเก็บอาการไว้อยู่

    "โคโค้" โคโค้พูดตอบออกไป

    <ขอเรียกว่าโคจังได้ไหม>

    "อืม ได้สิไม่มีปัญหาว่าแต่ที่นี่มันคือที่ไหน" โคโค้ที่ได้โอกาสเริ่มยิงคำถามที่สงสัยมานาน

    <สำหรับเธออาจจะดูแปลกตาเพราะเธอถูกอัญเชิญมายังที่แห่งนี้>

    "อัญเชิญ"

    <ใช่ คือเธอได้ถูกองค์ราชินีของประเทศแห่งนี้อัญเชิญเธอมาจากดินแดนที่เธอเคยอาศัยอยู่>

    "แล้วเจ้านี่ล่ะ" โคโค้ถามพร้อมเอามืออีกข้างมาจับยังปลอกคอสีดำที่เต็มไปด้วยอักขระแปลกๆสีขาว

    <ปลอกคอที่เธอสวมอยู่นั้นคือหลักฐานว่าเธอคือสัตว์เลี้ยง>

    "สัตว์เลี้ยงงั้นรึ มันไม่ตลกเลยนะ" โคโค้เริ่มมีน้ำโหกับฐานะใหม่ของตน

    <ต้องขอโทษด้วยนะ แต่ฉันจะพยายามดูแลเธออย่างดีที่สุด>

    "เธอไม่ต้องขอโทษหรอกน่า ก็เธอไม่ใช่คนที่เรียกฉันมาที่นี่นี่นา" โคโค้รีบพูดปลอบเพราะน้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นและมีน้ำไหลรินออกมาจากดวงตา

    <อืม ถ้าต้องการอะไรก็บอกนะเพราะฉันจะมาเยี่ยมทุกคนที่นี่ทุกวัน>

    "เธอกลับไปทำหน้าที่ของเธอเถอะ" โคโค้พูดตัดบทไปเพราะตนรู้ทุกอย่างแล้วและสิ่งที่ต้องการตอนนี้คือการจัดการกับเสียงจากกระเพาะของตน

               เมื่อเธอจากไปโคโค้ก็รีบจัดการกับอาหารเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงมารยาทใดๆทั้งสิ้นทั้งนี้ด้วยเหตุผลเดียวคือเมื่อวานทั้งวันไม่ได้กินอะไรเลยนั่นคือความคิดแรกที่เขาจะทำแต่ทว่า

    [จะว่าไปกลิ่นนี้มัน] โคโค้ผู้ที่กำลังจะสวาปามอาหารเบื้องหน้าแต่กลับต้องเจอกลิ่นที่ตัวเองรังเกียจที่สุด นั่นก็คือ

    [ใครกินเหล้าแถวนี้เนี่ย]

               กลิ่นนั้นลอยมาจากสัตว์ประหลาดเบื้องหน้าของโคโค้นั้นมีความสูงและรูปร่างที่ไม่ผิดจากมนุษย์ทั่วไปแถมยังใส่เสื้อผ้าอาภรที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับอีก มีเพียงสิ่งเดียวที่แปลกไปจากมนุษย์คือ ศีรษะสีดำที่คล้ายกับหัวของมังกรในภาพยนตร์ที่โคโค้เคยเห็น

    [อยู่ฝั่งตรงข้ามซะด้วย] สัตว์ผู้ถูกคุมขังฝั่งตรงข้ามของโคโค้ค่อยๆบรรจงซดเหล้าในถังไม้อย่างช้าๆโดยไม่มีท่าทีจะวางถังไม้ลงพักเลย

    "ช่างแล้ว" โคโค้กลั้นหายใจและเริ่มจัดการกับอาหารเบื้องหน้าก่อนที่ตนจะอดกินเพราะไม่รู้ว่าเขาจะมาเก็บไปเมื่อไหร่

    [จะว่าไปก็ดีแล้วที่มาที่นี่] ไม่แปลกที่โคโค้จะคิดแบบนั้นเพราะเขาควรตายจากแรงระเบิดไปแล้วแต่จู่ๆมาโผล่ในโลกที่ไม่รู้จักซึ่งเมื่อวานทั้งวันตัวเขาเอาแต่คิดว่าที่นี่คือดินแดนของคนตายเปล่าแต่พอได้ฟังคำพูดของมาย่าทำให้คิดได้ว่ามันไม่ใช่

    [ว่างๆแบบนี้ทำไรดีเนี่ย]

               เวลาที่ไหลผ่านไปราวกับกระแสน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ ชายหนุ่มที่แสนเบื่อไม่รู้จะทำอะไรเพราะตนไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไรค่ากลับได้เพียงแค่สังเกตดูพฤติกรรมของสัตว์ตัวอื่นที่ตนสามารถมองเห็นได้จากลูกกรง

    [จะว่าไปนั่นมัน] โคโค้เริ่มสังเกตถึงสิ่งแปลกปลอมของสัตว์ทุกตัวได้คือนอกจากการมีปลอกคอแล้วทุกคนจะมีเครื่องประดับอีกชิ้นซึ่งมันเหมือนกับต่างหูที่ทำจากทองคำและฝังเพชรสีแดง ติดไว้ที่อวัยวะที่น่าจะเป็นหูของสัตว์แต่ละตัว

    [ท่าทางมันคงไม่ใช่แค่เครื่องประดับแน่] โคโค้พลางนึก

    แกร้ง!!

               เสียงจากแผ่นไม้ลอยมากระทบกับซี่ลูกกรงทำเอาโคโค้หันไปยังทิศที่วัตถุนั้นลอยมานั่นก็คือฝั่งตรงข้าม ซึ่งแผ่นไม้ที่ลอยมามันก็คือฝาปิดถังไม้นั่นเอง และแน่นอนว่ากลิ่นของเหล้ามันก็ยังคงติดที่ฝาอยู่

    "ฮิ" เสียงคำรามและท่าทีที่แสดงถึงบางอย่างของเจ้ามังกรตัวนั้นทำให้โคโค้รู้ได้แน่ชัดว่ามันจงใจและท่าทางคงรู้ว่าโคโค้ไม่ชอบกลิ่นเหล้าแน่นอน

               ไม่แปลกที่ใครจะไม่รู้หากเห็นท่าทีของโคโค้ที่พยายามอุดจมูกและกลั้นหายใจบ่อยๆในตอนที่ทานอาหารซึ่งโคโค้เริ่มออกอาการตอนที่มังกรกึ่งมนุษย์เปิดฝาถังเหล้าและพอปิดถังโคโค้ก็กลับมาเป็นปกติ และขณะนี้เองโคโค้ก็พยายามยื่นแขนลอดซี่กรงแสนเล็กเพื่อปัดฝาถังไม้ออกไปให้ไกลๆอย่างเต็มความสามารถแต่กลับยื่นมือไปถึงเพียงแค่ปลายนิ้ว

    [ช่วยไม่ได้] โคโค้ไม่อยากเอานิ้วสัมผัสฝาเพราะถึงผลักไปก็คงไม่ไกลแถมกลิ่นจะติดนิ้วอีกแต่พอจะเอาแขนกลับเท่านั้นแหละตนก็ต้องพบว่าดึงกลับไม่ได้

               โคโค้ที่อยากตะโกนออกมาดังๆให้คนมาช่วยเอาแขนตนออกแต่ถึงตะโกนไปก็คงไม่มีใครเข้าใจคำพูดของตนจึงเก็บแรงไว้เพื่อดึงแขน แต่ไม่ว่าจะออกแรงเท่าไหร่แขนที่ติดก็ไม่ยอมหลุดออกซึ่งเจ้ามังกรดำเบื้องหน้าที่เคยสงบลงไปชักอยู่กับพื้นพร้อมเอามือกุมท้องราวกับหัวเราะเยาะโคโค้ในการกระทำแสนโง่แบบนี้

    [ซวยสองต่อ แขนก็ติด แถมกลิ่นก็...]

               โคโค้ที่พยายามทนกับกลิ่นพร้อมกับรอคนมาเก็บอาหารไปเร็วๆเพื่อเห็นสภาพของตนจะได้ช่วยเอาออกให้ แต่กลับต้องทนอย่างยาวนาน เข็มวินาทีจากนาฬิกาข้อมือของโคโค้ค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆ

               เวลาที่ค่อยๆผ่านไป หนึ่งนาที สิบนาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีคนมาเก็บอาหารออกไปเลย และสติของโคโค้ก็เริ่มเลือนลางลงเรื่อยๆจนเจ้าตัวสลบลงไปเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์แสนเบาบางจนคนทั่วไปอาจไม่รู้สึกแต่การดมนานเป็นชั่วโมงก็ทำเอาคนที่ไม่ถูกกับของแบบนี้อย่างโคโค้สลบลงได้

    [เย็นแฮะ]

               โคโค้ที่ตื่นขึ้นมาเพราะความหนาวจัดต้องพบว่าตนได้นอนอยู่บนน้ำที่แสนตื้นเขินจนเห็นพื้นหินกระเบื้องอย่างชัดเจนและด้วยแสงสีฟ้าลางๆสะท้อนขึ้นมาจากผิวน้ำทำให้พอมองเห็นรอบๆข้างที่แสนมืดมิด ซึ่งไม่ว่าจะมองไปไหนก็มีแต่พื้นที่เต็มไปด้วยน้ำไม่มีที่สิ้นสุดจนทำให้คิดว่าตัวเองอาจฝันไปก็ได้หากแต่ทำไมฝันมันถึงหนาวแบบนี้

    "หลุดมิติอีกแล้วรึเรา" นั่นคือคำตอบเดียวที่โคโค้สามารถบอกกับตัวเองได้

               ทว่าโคโค้รู้สึกถึงความหนาวที่ค่อยๆคืบคลายจากเท้าขึ้นมาถึงหัวเข่า ใช่แล้ว น้ำกำลังท่วมสูงขึ้นนั่นเองและรวดเร็วมากเสียด้วย โคโค้หากอยู่แบบนี้อาจจมน้ำแน่จึงรีบมองไปรอบๆว่ามีที่สูงไหมแต่พอเงยหน้าขึ้นไปก็ต้องพบกับสิ่งที่เรียกได้ว่าความหวัง หากแต่มันจะไม่น่าสงสัยเลยเพราะตอนที่โคโค้ตื่นขึ้นมาตอนแรกพบแต่ท้องฟ้าที่มืดสนิท

    [ไม่มีเวลามาสงสัยแล้ว]

               โคโค้พยายามยื่นมือขวาขึ้นเพื่อไปจับราวบันไดสีดำที่ยื่นลงมาแต่ทว่าเอื้อมไม่ถึง ไม่ว่าจะกระโดดยังไงก็เอื้อมไม่ถึงและแถมตอนนี้น้ำก็สูงขึ้นมาเกือบถึงไหล่แล้วด้วย โคโค้จึงเลิกกระโดดหากใช่เพราะความสิ้นหวังแต่รอให้น้ำสูงกว่านี้จะได้ใช้ลอยตัวเองให้สูงขึ้น และไม่นานนักน้ำก็สูงขึ้นมาจนถึงคอและสูงขึ้นไปอีกแต่มันกลับไม่ยอมท่วมหัวของโคโค้เพราะโคโค้กำลังลอยตัวอยู่

    [ถึงแล้ว]

    กริก!

               พอแขนซ้ายของโคโค้ที่จับกับราวบันไดได้และจังหวะที่จะเอื้อมแขนขวามาจับขั้นต่อไปโคโค้ต้องพบว่าแขนขวาของตนถูกโซ่ล็อคเอาไว้ซึ่งทั้งๆที่เมื่อกี้ยังไม่มีโซ่เลย เจ้าตัวพยายามออกแรงดึงแค่ไหนก็ไม่สามารถให้แขนขวาหลุดพ้นพันธนาการได้และน้ำเองก็ไม่รอให้โคโค้หลุดพ้นได้เอาแต่เพิ่มระดับสูงขึ้นจนจะถึงหัวแล้ว

    "ช่วยไม่ได้"

               โคโค้สูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุดจากนั้นดำดิ่งลงไปในน้ำอย่างเร็วโดยแรงถีบของขาทั้งสองข้างกับบันไดเพื่อลงไปแกะโซ่ออก ซึ่งที่พื้นข้างล่างนั้นปลายของโซ่ติดอยู่กับพื้นโลหะซึ่งมันยิ่งแปลกเข้าไปอีกเพราะเมื่อกี้มันคือพื้นหินกระเบื้องแต่เจ้าตัวไม่สนใจและไม่รู้ตัวอีกด้วยเพราะในความคิดมีแต่การปลดพันธนาการเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็กระชากออกมาไม่ได้และแถมที่ข้อมือของตนก็ล็อคอย่างแน่นหนาอีก

    [อากาศมัน] โคโค้ที่อยู่ในน้ำนานเริ่มอึดอัดเพราะขาดอากาศแต่พอจะกลับขึ้นไปบนผิวน้ำก็ต้องพบว่าแขนของตนติดโซ่อยู่จึงขึ้นไปไม่ถึงผิวน้ำ

               โคโค้ที่ถึงขีดสุดต้องปล่อยฟองอากาศจำนวนมาออกจากปากมาทำให้น้ำไหลทะลักเข้าไปอย่างรวดเร็วซึ่งสิ่งนี้ทำให้สติของโคโค้เริ่มเลือนลางลงเรื่อยๆพร้อมกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ปอดและความหนาวเย็นของกระแสน้ำมันยิ่งลบสติของโคโค้ลงไปเรื่อยๆ

    "แฮก ๆๆ"

    "ตื่นแล้วสินะ"

               เสียงอันแสนคุ้นเคยทำให้โคโค้ที่เพิ่งตื่นลุกขึ้นพรวดต้องมองไปหาเจ้าของเสียง และก็ไม่ผิดเจ้าของเสียงที่ทักทายตนนั้นคือมาย่านั่นเอง

    "วันหลังอย่าเล่นซนอีกนะ" เธอบอกกับโคโค้

               โคโค้ที่รู้สึกมึนๆ พยายามเรียบเรียงเรื่องราวจนสรุปได้สั้นๆคือเมื่อกี้คือฝันที่เกิดหลังจากตนสลบไป แต่

    "ทำไมตอนนี้ฉันฟังเธอรู้เรื่องแล้วล่ะ" โคโค้รีบถามโดยลืมเรื่องที่แขนตัวเองติดไปเสียสนิท

    "นั่นไง" เธอยื่นแขนลอกลูกกรงเข้ามาสัมผัสที่ใบหูของโคโค้

    "อะไรอ่ะ" โค้โคเองก็เพิ่งรู้สึกว่ามีอะไรติดอยู่ที่ใบหูข้องซ้ายของตน

    "มันคือต่างหูพิเศษที่ไว้สำหรับสัตว์เลี้ยงขององค์ราชินีเพื่อให้สัตว์เลี้ยงสื่อสารกับมนุษย์รู้เรื่อง" คำพูดของเธอนั้นคือคำตอบที่เข้าใจง่ายหากแต่โคโค้ยังคงไม่ชอบคำว่าสัตว์เลี้ยงอยู่ดี

               มาย่าเอามือล้วงเข้าไปในในเสื้อคลุมของตนแล้วควักตลับทรงกลมแบนสีน้ำตาลออกมาแล้วเปิดออกให้โคโค้ดู

    "คิดว่าไงล่ะ" เธอให้โคโค้ดูภาพสะท้อนในกระจก

               ภาพที่โคโค้เห็นคือหน้าตาของตนที่เหมือนเดิมแต่ทว่าใบหูข้างซ้ายมีต่างหูสีเหลืองประดับด้วยอัญมณีสีแดงติดอยู่และมันไม่ใช่ทรงของต่างหูทั่วไปเพราะมันไม่ติดตรงติ่งหูโดยการเจาะแต่มันติดเข้ากับใบหูรอบนอกราวกับเกาะติดอยู่ ซึ่งหากเป็นที่โลกเดิมของโคโค้คงต้องเรียกว่าแฟร์ชั่น

    "ก็ดี" โคโค้ในใจเองก็โล่งไประดับนึงเพราะต่างหูที่ติดไม่ดูเหมือนของผู้หญิงใส่กันเท่าไหร่

    "งั้นฉันไปก่อนนะ แล้วก็อย่าเล่นซนจนแขนไปติดอีกล่ะ" เธอลาโคโค้แล้วเดินออกไป

               อาการหิวเข้ามาแทนที่ทันทีเมื่อเธอจากไปและโคโค้ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีจานขนมปังและแก้วน้ำวางไว้แต่พอโคโค้จะเข้าไปหยิบเท่านั้นฝาถังไม้อันเดิมก็พุ่งไปโดนจานข้าวของตนอย่างแม่นยำ

    "ทำอะไรของนายอ่ะ" โคโค้หันไปตวาดเจ้ามังกรสีดำพร้อมกับโยนฝาถังไม้ที่ตนรับได้อย่างเฉียดฉิวออกไป

    "นายอย่าทำตัวเด่นล่ะไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน" มังกรดำเอาถังไม้ที่ตนดื่มของข้างในหมดแล้วกระแทกกับพื้นจนไม้แตกกระจายออก

               โคโค้ที่รู้สึกลางไม่ดีจึงรีบหยิบจานของตนกับแก้วเข้ามาในสุดของกรง และเป็นอย่างที่คิดเจ้านั่นใช้แผ่นไม้ที่แตกออกปาเข้ามาอย่างแม่นยำโดยเล็งมาทางอาหารของโคโค้ แต่โคโค้เองก็โยนขนมปังขิ้นเดียวเข้าปากอย่างรวดเร็วพร้อมกับหลบแผ่นไม้ไปจากนั้นก็กลืนลงไปรวดเดียวพร้อมกับซดน้ำตามลงไปเพราะติดคอ แต่เจ้ามังกรนั่นยังปาแผ่นไม้มาต่อโดยเล็งไปยังแก้วในจังหวะที่โคโค้กำลังจะดื่มมัน แต่ต้องพลาดเป้าเพราะเป้าหมายรู้ตัวและหลบได้

    "หลบเก่งดีนี่" มังกรเจ้าปัญหาล้มตัวนอนลงไปตามเดิมเพราะไม่รู้จะแกล้งไงอีกแล้วนอกจากกลิ่นเหล้าที่น่าจะโชยในกรงของโคโค้จากแผ่นไม้ที่ตนปาไป

               นับตั้งแต่โคโค้ได้ต่างหูมาก็ผ่านไปแล้วถึงสามวันซึ่งจากวันแรกที่โคโค้มาอยู่เจ้าตัวก็รู้สึกแปลกๆที่ห้องขังมันเงียบสงบดีผิดไปจากสวนสัตว์ที่พอไปต้องเจอสัตว์ทีปฏิสัมพันธ์หากโดนขังเดี่ยวเฉยๆมักมีอาการบ้าง แต่ที่ไหนได้พอเงี่ยหูฟังดีๆก็ได้ยินการสนทนาเบาๆจากกรงที่ห่างออกไป ซึ่งนั่นคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่สัตว์เลี้ยงในที่นี้แห่งนี้ไม่เบื่อเพราะมีเพื่อนพูดคุยอยู่

    "ว่าไงจ๊ะ" การโผล่เข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงของมาย่าทำเอาโคโค้ตกใจจนกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว

    "ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ" เธอกล่าวด้วยหน้าตาที่ซึมเศร้าทำเอาโคโค้ต้องรีบเข้ามาหา

    "ว่าแต่มีเรื่องถามหน่อย"

    "อะไรหรือจ๊ะ" เธอหันขึ้นมาหาขณะที่กำลังสอดจานผ่านช่องให้อาหารแสนเล็ก

    "สัตว์เลี้ยงที่องค์ราชินีอัญเชิญมาจะมีคัดเลือกอะไรเปล่า"

    "อืม องค์ราชินีจะอัญเชิญมาทุกๆเดือนและการอัญเชิญนั้นจะเรียกแต่สัตว์อสูรที่มีความสามารถทั้งด้านกำลังและสติปัญญาออกมา" เธอตอบโคโค้อย่างเรียบง่าย

    "แล้วปกติสัตว์เลี้ยงที่นี่จะอยู่กันเฉยๆเลยเหรอ" โคโค้เองก็ชักเริ่มเบื่อเหมือนกันที่ต้องถูกขังในที่แออัดแบบนี้นานๆรวมถึงโดนหาเรื่องจากเพื่อนฝั่งตรงข้ามไม่เว้นวัน

    "ก็ถ้าไม่มีคำสั่งจากองค์ราชินีต้องอยู่แต่ในนี้ เธอคงเบื่อสินะ" มาย่าถามอย่างรู้ทัน

    "ประมาณนั้น"

    "งั้นฉันไปก่อนนะ คนอื่นๆกำลังรออาหารอยู่" เธอรีบลาและไปดูแลกรงอื่นๆเพราะแต่ละกรงเริ่มเอะอะแล้ว

               แน่นอนว่าโคโค้ที่ได้รับอาหารมาต้องรีบกินอย่างเร่งรีบก่อนที่มาย่าจะออกไปไม่เช่นนั้นตนอาจจะไม่ได้กินด้วยฝีมือของมังกรสีดำฝั่งตรงข้าม

    ปึก!

               เสียงประตูที่ถูกปิดลงทำให้โคโค้รีบพุ่งตัวเข้าไปชิดด้านในสุดของห้องเพื่อดูท่าทีของเจ้านั่นและก็อย่างเดิมเหมือนทุกครั้งเจ้านั่นจะเริ่มกินหลังจากมาย่าเดินออกไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ หยุดพักบ้างและดื่มรวดเดียวเป็นระยะ ไม่มีอาการจิบอย่างช้าๆ แต่ทว่าท่าทีเหมือนกับคนที่กำลังดื่มพลางคิดอะไรอยู่เสียมากกว่า

    "ว่าแต่นายเองก็อยากกลับไปโลกเดิมสินะ" โคโค้รีบชิงพูดทันทีเมื่อเหล้าในถังไม้นั่นหมด

    "ทำไมคิดงั้นล่ะ" มังกรดำตัวนั่นมองหน้ามาหาพร้อมกับลุกขึ้นเดินมาจับลูกกรง

    "เออ ก็เห็นท่าทีที่นายดื่มเหมือนกำลังระลึกอดีตอะไรซักอย่าง"

    "ก็จริง ว่าแต่นายชื่ออะไร"

    "โค" โคโค้บอกชื่อสั้นๆที่มาย่าใช้เรียกตนให้

    "ฉันชไนเดอร์"

               หลังจากมังกรดำบอกชื่อตนก็กลับไปนั่งพิงกำแพงตามเดิม ซึ่งคราวนี้นับว่าโคโค้รอดไปครั้งหนึ่งที่ไม่โดนหาเรื่องและตนเองก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมหมอนั่นชอบหาเรื่องตนอยู่เรื่อยทั้งๆที่โคโค้เองก็ไม่เคยไปหาเรื่องอะไรเลย

    กริ้ง!!!

               เสียงของโลหะที่กระทบกันราวกับกระดิ่งดังขึ้นอย่างช้าๆและค่อยๆไล่มาเรื่อยๆทำให้โคโค้ที่กำลังนอนอย่างสบายลุกขึ้นตื่นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต้องพบกับทหารในชุดเกราะสองนายและมาย่าเดินมาไขเปิดกรงทีละกรงอย่างช้าๆแต่เช้ามืด การกระทำอย่างระมัดระวังของทหารทั้งสองนายที่ดูจะพร้อมจัดการกับผู้ถูกคุมขังทันทีด้วยหอกหากเห็นท่าไม่ดีแต่ทว่าผู้ถูกคุมขังที่ถูกปลดปล่อยนั้นกลับดูเฉยๆไม่มีท่าทีดุร้ายเลย

    "หวัดดีจ๊ะ" มาย่าทักทายกับโคโค้ทันทีเมื่อเดินมาถึงกรงของโคโค้

    "นี่เรื่องอะไรรึ" โคโค้ถาม

    "ก็วันนี้เป็นวันที่ราชินีให้สัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่นข้างนอกไง" มาย่าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

               ท่ามกลางทางเดินที่ทำด้วยหินไร้ซึ่งหน้าต่างใดๆและมีเพียงสิ่งประดับเดียวคือคบไฟที่ให้ความงามและแสงสว่าง การเดินที่โคโค้ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยแต่คราวนี้กลับรู้สึกว่าแค่จะก้าวขาก็แทบไม่มีแรง อาจเป็นเพราะการนั่งและลุกขึ้นเดินไปมาเล็กน้อยนานๆทำให้ขาทั้งสองข้างของตนคงล้าไปแล้ว

    "เฮ้ยรีบเดินสิ" ทหารพลักโคโค้ที่เดินช้าๆให้ก้าวไปข้างหน้าเร็วๆ

               โคโค้เองก็อยากออกมาเจอโลกภายนอกเหมือนกันแต่เพราะขาที่ไม่มีแรงทำให้เดินไม่ถนัดประกอบกับแรงผลักของทหารอีกทำให้ตนล้มลงไป

    "เฮ้ยลุกเร็ว"

               โคโค้ใช้แขนทั้งสองผลักตัวขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วและเดินต่อไปอย่างช้าๆตามเดิม

    [ท่าทางแขนเรายังคงมีแรงอยู่สินะ]

               ทันทีที่โคโค้ออกมาจากห้องขังใต้ดินก็ต้องพบกับแสงของดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆขึ้นมาอย่างช้าๆซึ่งนั่นคือภาพที่โคโค้ไม่ได้เห็นมานานและคิดว่าอาจไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้วตลอดกาล

    "ท่าทางคงดีใจสินะที่ได้ออกมา" มาย่าเดินเข้ามาหา

    "แล้ว..."

    "ที่นี่คือสวนหย่อมเล็กๆที่ให้สัตว์เลี้ยงขององค์ราชินีเดินเล่น" เธอตอบก่อนที่โคโค้จะถามอะไรราวกับรู้ในสิ่งที่จะถาม

    "และ..."

    "เธอมีเวลาจนถึงตะวันตกดินจะวิ่งเล่นหรือทำอะไรก็ได้นะ"

    "อืม"

               สนามหญ้าอันกว้างขวาง ต้นไม้ที่มีมากมายหลายสิบเกือบครึ่งร้อย ท้องฟ้าที่กว้างขวาง ทั้งหมดจำกัดไว้ด้วยกำแพงหินผาที่สูงชั้นล้อมรอบห้าด้านโดยมุมของทั้งห้าด้านนั้นจะเป็นทางเข้าไปหอคอยที่มีทหารเฝ้าอยู่ด้านละสองนายและยอดของหอคอยจะมีลูกแก้วใสที่กลืนไปกับท้องฟ้าประดับอยู่ และมันไม่ได้มีไว้ประดับเล่นแต่มีเพื่อไม่ให้สัตว์เลี้ยงที่บินได้บินออกไปจากเขตของกำแพงนี่เอง

    [ไม่มีช่องให้หนีเลยแฮะ แบบนี้ใช้เวลาให้คุ้มดีกว่า]

               โคโค้ที่เห็นการควบคุมแบบนี้ก็ถอดใจจากการหลบหนีและหันมาทำให้ร่างกายแข็งแรงดังเดิมด้วยการวิ่งเพื่อออกแรงขาให้มาที่สุด แต่วิ่งไปไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องล้มตัวลงนอนกับพื้นด้วยท่าทีราวกับคนใกล้ตาย

    "ไม่ได้ออกแรงนานนี่รู้สึกแย่จริงๆ"

               โคโค้หลังจากนอนพักได้เกือบครึ่งชั่วโมงก็เริ่มมีแรงอีกครั้งและก็เริ่มออกวิ่งต่อแต่คราวนี้วิ่งไปไม่ถึงห้านาทีก็ต้องกลับมาในสภาพเดิมอีกครั้ง

    "น่าอนาถจริง" ชไนเดอร์ที่นอนเล่นอยู่บนต้นไม้พูดออกมาเมื่อเห็นโคโค้

               ในที่สุดสัญญาณที่บ่งบอกถึงอิสระก็จบลงด้วยตะวันที่ค่อยๆลับขอบฟ้า โคโค้เองก็ได้ใช้เวลาไปกับการวิ่งทั้งวันซึ่งจะเรียกว่าใช้ไปกับการนอนน่าจะถูกมากกว่าเพราะวิ่งไปทั้งหมดรวมไม่ถึงชั่วโมงแต่เวลาที่เหลือหมดไปกับการนอนพัก

    "ลุกขึ้นได้เวลาเข้ากรงแล้ว" ทหารยามเดินมาสั่งให้โคโค้ลุกขึ้น

    "ขอนอนต่อหน่อยเถอะน่าถึงไปตอนนี้ก็ต้องไปยืนรออยู่ดีนั่นแหละ"

               โคโค้ชี้นิ้วไปยังทางเดินที่ตรงไปห้องขังใต้ดินซึ่งตอนนี้ทางเดินเต็มไปด้วยกองทัพสัตว์เลี้ยงที่ยืนออกันเพื่อกลับลงไปข้างล่าง

    "แต่แถวว่างเมื่อไหร่ต้องรีบลงไปทันทีล่ะ"

    "รับทราบ"

    เปรี้ยง!

               เสียงดังอันคุ้นเคย เสียงดังอันน่าคิดถึง เสียงที่มาพร้อมกับกลิ่นอายของสายฝน สิ่งเหล่านี้โคโค้ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วความเปียกจากการตากฝน สายฝนที่เทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนทั้งๆที่เมื่อกี้ยังไม่มีวี่แววใดๆ โคโค้เองก็ชักอยากกลับเข้าไปในกรงแล้วสิเพราะไงก็ดีกว่าเปียกสายฝนแบบนี้แต่ทำไงได้เนื่องจากคิวยังแน่นอยู่เลย

    [จะหวัดกินไหมเนี่ยเรา]

    เปรี้ยง!

    [ล้อเล่นน่า]

               สายฟ้าได้ฟาดลงมายังต้นไม้ใหญ่ข้างๆกับต้นที่โคโค้นอนหลบฝนอยู่จนผ่าออกมาเป็นสองซีกและเกิดเปลวเพลิงขึ้นแต่ซักพักมันก็ดับไปด้วยสายฝน

    "ขืนนอนอยู่ใต้ต้นไม้ต่อมีหวังตายไม่รู้ตัว" โคโค้ชักรู้สึกไม่ดีจึงรีบลุกไปห่างจากต้นไม้

    เปรี้ยง!

               สายฟ้าได้ผ่าลงมาอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ได้ผ่าลงมาแค่ต้นเดียวทว่าต้นไม้ทั้งสามต้นโดนผ่าพร้อมกัน

    "พายุสายฟ้าหรือไงเนี่ย" ขณะที่กำลังบ่นกำตัวเองอยู่เพราะเหตุการณ์นี้โคโค้ถูกอะไรซักอย่างกระแทกข้างหลังอย่างแรงจนล้มลง

    [เจ็บนะเฟ้ย] ตนที่ล้มลงได้เอี้ยวตัวกลับไปดูว่าอะไรลอยมากระแทกและทับตนอยู่

               ร่างของผู้คุมที่สั่งให้โคโค้ให้กลับเข้ากรงเมื่อคิวว่างบัดนี้อาบไปด้วยเลือดและนอนทับตนอยู่ พร้อมกับมีกลุ่มคนใส่ชุดคลุมสีดำปิดหน้าอย่างมิดชิดอีกสี่คนกำลังจัดการกับทหารยามที่เหลือ

    [แกล้งหลับอยู่แบบนี้ท่าจะปลอดภัย]

               ในไม่ช้าทหารยามก็โดนจัดการจนหมดสิ้น เหล่าสัตว์เลี้ยงขององค์ราชินีที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้ก็ต่างพากันแตกตื่น

    "ฆ่าทิ้งให้หมดล่ะ"

    เปรี้ยง!

               สายฟ้าคราวนี้ได้ผ่าลงมายังกำแพงที่ล้อมไว้ทั้งห้าทิศพังไปหนึ่งด้าน รวมทั้งจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เศษหินนั่นลอยมาทับโคโค้กับศพของผู้คุมจนมิดทำให้พวกนั้นไม่รู้ว่ามีคนที่ยังไม่ตายอยู่ตรงนี้คนนึง

    "@#$%"

               เสียงตะโกนแปลกๆที่ฟังดูคุ้นๆหูได้เกิดขึ้นอีกครั้งโคโค้ได้ชำเลืองดูที่ซอกหินที่มาทับตนพบว่าพวกนั้นได้วิ่งออกไปทางกำแพงที่พังแล้ว

    [รอดแล้วสินะเรา]

               โคโค้ที่นอนดูซักพักเห็นว่าไม่มีใครผ่านไปมาแล้วจึงพยายามดันหินที่ทับตนอยู่ออกซึ่งตัวเองก็คิดว่าโชคช่วยจริงๆเพราะหินลอยมาขนาดนี้ไม่กระแทกโดนตัวเองเนื่องจากร่างของผู้คุมทับอยู่

    [ทำไมเจ็บหูจังวะ]

               โคโค้เอื้อมมือไปจับที่ใบหูต้องพบว่ามีเลือดออกและสิ่งที่ควรมีมันกลับไม่มีอยู่ ใช่แล้วต่างหูที่ทำให้ตนสามารถฟังและสนทนากับคนอื่นได้หายไป และเมื่อก้มตัวลงต้องพบว่ามันแตกไปเรียบร้อยแล้ว

    [ท่าทางโดนหินลอยมาเมื่อกี้สินะ]

               ณ ตอนนี้โคโค้ได้เห็นทางอยู่สองทางคือหนึ่งกลับเข้านอนรอในกรงเฉยๆหรือทางที่สองคือใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์หนีไปเพื่ออิสระภาพ

    [ช่วยไม่ได้งานนี้]

               เมื่อตนตัดสินใจได้จึงวิ่งออกไปตรงรูโหว่ของกำแพงเพื่อทางเลือกที่สามคือ <ดูว่าเกิดอะไรขึ้น> เนื่องจากตนที่สูญเสียต่างหูที่ใช้สื่อสารกับคนอื่นไปแล้วจึงมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่น่าจะสื่อสารกับตนรู้เรื่อง

               ทางเดินหินทอดยาวผ่านสวนไปเรื่อยๆ โคโค้ได้หยุดวิ่งลง ณ ศาลากลางแจ้งแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้ราวกับเป็นสวนดอกไม้ด้วยเหตุผลเดียวคือ

    "เหนื่อย" โคโค้บ่นออกมาพร้อมกับนั่งลงเพื่อพักเอาแรง

    "ฝนหยุดตกแล้วรึ" สายฝนที่เทลงมาอย่างไม่มีที่ท่าจะหยุดจู่ๆก็หยุดลงอย่างกระทันหัน

               โคโค้ที่เห็นดังนี้ก็รีบมุ่งหน้าตรงต่อไปทันทีโดยลดความเร็วในการวิ่งลงเพื่อออมแรงเอาไว้บ้างแต่วิ่งไปไม่นานก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยและคิดจะหยุดพักเมื่อเข้ามาในปราสาทแต่เป็นเพราะสิ่งเบื้องหน้าที่เกะกะทางเดินอยู่ทว่าจะเรียกว่าเกะกะคงกระไรอยู่เนื่องจากสิ่งที่ขวางทางเดินมันไม่ใช่สิ่งอื่นใด

    [ตายอนาถเลยแฮะ]

               ซากศพของทหารที่นอนเรียงรายนับสิบเบื้องหน้าต่างมีสภาพเดียวกันคือศีรษะและลำตัวขาดออกจากกันและไม่มีบาดแผลอื่นใดเลยตามร่างกาย

    [ท่าทางมีฝีมือ]

               โคโค้ที่กำลังดูซากศพที่นอนตายเรียงกลางสวนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งเข้าซึ่งสิ่งนั้นคงเป็นประโยชน์ไม่น้อยในตอนนี้

    กรี้ด~~~

               เสียงแหลมแสบแก้วหูที่ดังขึ้นมาทำเอาโคโค้ตกใจจนเกือบโดนดาบที่วางไว้กับพื้นบาดเข้าเสียแล้ว

    "เสียงมาจากทางนั้นนี่"

               เจ้าตัวที่ได้ยินเสียงนั้นก็รีบหยิบเจ้าของจำเป็นและมุ่งหน้าไปทางต้นเสียงทันทีโดยลืมไปอย่างว่าสิ่งที่ตนกำลังทำคือมุ่งหน้าไปหาอันตราย

    เคร้ง!

               เสียงของโลหะที่ดังกระทบอย่างไม่ขาดสายแต่กลับไม่มีสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดเสียงนอกจากสองสาวที่นั่งอยู่ที่พื้นโดยหนึ่งในนั้นคือมาย่าและท่าทางเธอจะบาดเจ็บเสียด้วย

    [หรือว่า]

               โคโค้เมื่อเงยหน้าขึ้นไปต้องพบกับเงาสีดำกำลังประลองดาบกันอยู่ยังชั้นสองโดยเงานึงรูปร่างคล้ายกับมังกรและอีกหนึ่งคล้ายกับคนแต่ไม่สามารถมองได้ชัดเพราะมืดมาก

    "เป็นอะไรมากเปล่า" โคโค้รีบเดินเข้าไปหามาย่าที่บาดเจ็บแต่ต้องหยุดเพราะอีกหนึ่งสาวได้หยิบมีดสั้นออกมา

    "!@#$$%#@!@#"

               คำพูดที่ไม่สามารถฟังรู้เรื่องแต่น้ำเสียงแสดงความรู้สึกถึงความไม่ไว้ใจและไม่เกรงกลัว และโคโค้เองการที่ไม่ยอมตอบใดๆแต่ในมือยังถืออาวุธไว้ทำให้เธอยิ่งชักระแวงจึงค่อยๆเขามาใกล้ๆเพื่อหมายให้เข้าระยะของอาวุธตน

    ฉึก!

    เคร้ง!

               โคโค้ได้ตัดสินใจใช้ธนูที่เอามาจากซากศพเมื่อกี้แผลงศรออกไปและเธอผู้นั้นก็กระโดหลบออกไปด้านข้างพร้อมกับปามีดเข้าใส่ แต่เทคนิคการยิงนัดที่สองอย่างรวดเร็วของโคโค้ได้ช่วยเอาไว้โดยตนสามารถยิงมีดที่ปาเข้ามาทิ้งได้อย่างเฉียดฉิว

    "ทางนั้น!" โคโค้ตะโกนออกไปอย่างเสียงดังพร้อมกับชี้ไปยังทิศที่ตนยิงธนูออกไป

               เธอคนนั้นไม่เข้าใจความหมายของคำพูดแต่เหลือบสายตาไปมองต้องพบกับคนในชุดคลุมสีดำที่นอนอยู่พร้อมกับดาบในตำแหน่งที่ใกล้กับตนเมื่อกี้มาก

               ใช่แล้วเป้าที่โคโค้กะยิงไม่ใช่เธอแต่เป็นคนที่จะเข้ามาทำร้ายเธอข้างหลังซึ่งเธอตอนนี้ดูท่าทางจะรู้แล้วด้วยจึงเดินเข้ามาเก็บมีดที่ตกใกล้ๆกับโคโค้

    ฉึก!

               ดาบหนึ่งเล่มได้ลอยตกมาปักลงพื้นกั้นระหว่างโคโค้และเธอซึ่งโคโค้เองเมื่อหันกลับไปดูข้างบนที่มีเงาสองคนสู้กันโดยคราวนี้ได้เห็นอย่างชัดเจนเนื่องจากแสงจันทร์ได้ส่องเข้าไปยังตรงนั้นพอดี

    "ชไนเดอร์"

               ภาพเบื้องหน้าคือชไนเดอร์ที่นั่งอยู่กับพื้นและอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆพร้อมกับดาบในมืออย่างช้าๆ ซึ่งดาบที่ลอยตกลงมานี้คงเป็นของชไนเดอร์ที่พลาดท่าแน่นอน

    [ช่วยไม่ได้] ถึงแม้โคโค้จะไม่ค่อยชอบหน้าหมอนั่นซะเท่าไหร่แต่คราวนี้ต้องช่วยเพราะตอนคงสู้กับพวกนั้นไม่ไหวแน่จึงตัดสินใจยิงธนูออกไป

               ลูกธนูที่พุ่งออกไปถูกปัดออกอย่างง่ายดายโดยคนนั้นไม่ได้หันกลับมามองแม้แต่น้อยทว่า

    ฉึก!

               ลูกธนูดอกที่สองที่ตามไปอย่างรวดเร็วทำให้เขาผู้นั้นต้องเอี้ยวตัวหลบแต่ไม่พ้น ลูกธนูได้เฉี่ยวเอาผ้าที่คลุมหน้าออกทำให้เห็นใบหน้าของเขาและแววตาที่ส่งสายตาอาฆาตมุ่งมาที่โคโค้

               ทว่าเมื่อเขาได้ละสายตาจากชไนเดอร์ไปทำให้ชไนเดอร์ใช้โอกาสนี้พุ่งเข้ามาผลักจนชายผู้นั้นลอยตกลงมาจากชั้นสองกระแทกพื้นอย่างจัง แต่ก่อนที่เขาจะกระแทกพื้นนั้นได้มีขวดแก้วใบหนึ่งลอยออกมาจากเสื้อคลุมของเขา

    เพล้ง!

               ขวดแก้วนั้นได้ลอยมากระแทกกับด้ามของดาบที่ปักอยู่ทำเอาของเหลวในขวดกระเด็นออกมาโดนหลังมือช้างซ้ายของโคโค้

    "แสบ"

                ของเหลวสีดำที่มาโดนโคโค้นั้นทำเอาโคโค้รู้สึกแสบอย่างมากจึงพยายามเอาชายเสื้อเช็ดออกแต่ไม่ได้ผล หยดของเหลวที่กระเด็นไปยังพื้นก็ย้อนกลับมาที่หลังมือของโคโค้สร้างความปวดแสบปวดร้อนมากขึ้น และมันค่อยๆลามขึ้นมายังต้นแขนเป็นสายๆจนถึงหัวไหล่อย่างกับอักขระอะไรซักอย่าง และการที่มันลามไปส่วนอื่นๆยิ่งทำให้ส่วนนั้นปวดแสบปวดร้อนตามไปด้วยจนเจ้าตัวเริ่มทนไม่ไหวทรุดตัวลงและหมดสติไปเพราะความเจ็บปวดในที่สุด
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×