คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตพลิกผัน
สถานีหัวลำโพง สถานีหัวลำโพง ผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะลงจากรถด้วยค่ะ
ชายหนุ่มได้ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆแต่ครั้นได้ยินเสียงประกาศถึงสถานีที่ตนต้องลงก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าเป้กระเป๋าเดินทางแสนเทอะทะลงจากรถไฟอย่างเร่งรีบ ทั้งๆที่ตนเองไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้เพราะกว่ารถจะออกก็อีกสิบนาทีและผู้โดยสารในรถก็ไม่หนาแน่นด้วยแต่เนื่องจากตัวเขาไม่อยากเสียเวลาแม้แต่เพียงนิดเดียวเพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจพลาดโอกาสสำคัญได้
"เชิญครับคุณหนู" ชายชราในชุดสูทเปิดประตูรถสีดำให้กับชายคนนั้นทันทีเมื่อเขาเดินออกมาจากสถานีพร้อมกับเดินเข้าไปยังที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็วเมื่อคุณหนูเข้ามานั่งบนรถแต่พอจะเอ่ยปากถามว่าให้ขับไปที่ไหนเขาได้รับคำสั่งจากคุณหนูทันทีว่า
"ไปสำนักพิมพ์ที่เดิม ด่วน" ชายชราผู้นี้ทราบถึงคำว่าด่วนของชายผู้นี้ดีจึงรีบขับรถออกไปพร้อมกับเลือกเส้นทางที่จะไปได้เร็วที่สุด
วิวทิวทัศน์ของถนนอันแสนน่าเบื่อของเมืองกรุงไม่น่าชวนพิศมัยให้เขาเชยชมดังเดิมแต่ทว่าช่วงเวลาที่เครียดขนาดนี้เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกจากก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตนและเงยหน้าออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกของรถ
"เรียบร้อยแล้วคะ"
"เฉียดฉิวแฮะ" คุณหนูพูดพลางเอามือขวาของตนมาปาดเหงื่อที่จะเข้าตาออก
"คะ คุณโคโค้หวังว่าผลงานครั้งนี้ของคุณจะได้รับรางวัลชนะเลิศอีกนะคะ" พนักงานสาวเอ่ยกับโคโค้
โครม!
เสียงประตูที่เปิดออกอย่างแรงและฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นมายังชั้นสองที่โคโค้กำลังคุยกับพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์อย่างชัดเจน
"นี่คือนวนิยายที่จะส่งเข้าประกวดครับ" ชายเจ้าของเสียงรีบยื่นต้นฉบับกับพนักงานสาว
"เสียใจด้วยคะทางเราปิดรับต้นฉบับแล้วคะ" เธอตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปทางนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกับอีกหกนาที
"นะครับ ได้โปรด" ชายคนนั้นขอร้องกับเธอแต่ไร้ผลเพราะเธอไม่รับต้นฉบับแต่อย่างใดเนื่องจากตอนนี้มันเลยเวลารับต้นฉบับที่จะหมดเขตตอนหกโมงเย็น
โคโค้ที่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบเดินออกไปแต่ทว่ามันสายไปแล้วเพราะสิ่งที่เขาเดาว่าจะเกิดมันก็ได้เกิดขึ้น
"ทำไมถึงรับผลงานของคนนั้นล่ะ หรือว่าเพราะเขาเป็นแชมป์เก่า" น้ำเสียงที่ไม่พอใจและสายตาแห่งความโกรธแค้นส่งมายังโคโค้
[กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้]
"เพราะว่าเขาเอามาส่งทันก่อนหมดเวลาคะ" เธอตอบกับชายคนนั้นอย่างสุภาพและรอยยิ้ม
[มันไม่เชื่อแน่]
"ผมไม่เชื่อเพราะถ้าเขาส่งทันมีหรือเขาจะอยู่จนถึงป่านนี้" เขาพูดพร้อมทุบกำปั้นลงไปบนต้นฉบับนวนิยายของเขาบนโต๊ะอย่างแรง
[ว่าแล้วเชียว]
"เขาคนนั้นเอาต้นฉบับมาส่งตอนห้าโมงห้าสิบและที่เขายังอยู่จนถึงตอนนี้เพราะฉันกำลังคุยกับเขาอยู่" เธอตอบอย่างใจเย็น
"ยังไงผมก็ไม่เชื่อและนี่มันก็ไม่ถึงกับสายมากยังไงก็รับไปด้วยสิ" ชายคนนั้นเริ่มใส่อารมณ์อย่างรุนแรงจนโคโค้เริ่มทนไม่ไหวและตัดสินใจที่จะพูดออกไปในที่สุด
"นักเขียนที่ดีนอกจากจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาแล้วต้องรู้จักการใช้เวลาด้วย" คำพูดที่ออกมาจากปากของโคโค้เหมือนกับเติมเชื้อฟืนลงไปในกองเพลิงที่กำลังจะลุกโชน ผลคือชายคนนั้นคว้ามือซ้ายเข้ามากระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวของโคโค้พร้อมกับง้างหมัดขวาหมายต่อยหน้าแสนเย็นชาของโคโค้ให้เลือดโชกจนย้อมผมสีดำอันสั้นให้เป็นสีแดง
ปึก!
ทว่าหมัดของชายคนนั้นถูกหยุดลงด้วยพนักงานสาวที่เอาสันมือฟาดลงไปยังต้นคอของนักเขียนบ้าคลั่งทำให้โคโค้ล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะโดนร่างที่ไร้สติของชายที่หมายต่อยหน้าตนล้มทับเอา
"เป็นอะไรเปล่าคะ" พนักงานสาวยกร่างของนักเขียนบ้าคลั่งขึ้นเพื่อให้โคโค้ลุกขึ้นได้
"ยังมือหนักเหมือนเดิมเลยนะครับ" โคโค้พูดพร้อมกับนึกไปถึงตอนที่เขาขึ้นไปรับรางวัลเมื่อตอนต้นปี ตอนนั้นมีนักเขียนที่ไม่พอใจว่าทำไมผลงานของตนจึงแพ้โคโค้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีทั้งๆที่ตนมีอายุมากกว่าและมีประสบการ์มากกว่าจึงตรงเข้ามาหาเรื่องกลางงานมอบรางวัลแต่พนักงานคนนี้เป็นคนยุติเรื่องราวลงด้วยการฟาดสันมือเพียงครั้งเดียว
"แหมพี่คิดว่าครั้งนี้พี่เบาแรงลงเยอะแล้วนะ" เธอพูดพร้อมรอยยิ้มตามสไตล์ของเธอ
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ"
"เชิญคะ"
"เชิญครับ" คนขับรถเปิดประตูให้โคโค้
"กลับบ้าน" โคโค้สั่งและขึ้นไปนั่ง
เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่โคโค้ต้องการทำอย่างเร่งด่วนมีเพียงสิ่งเดียวคือการพักผ่อนหลังจากการเดินทางกลับมาจากการเข้าค่ายเก็บตัวของชมรมโดยปล่อยให้คนรับใช้ในบ้านเป็นคนจัดการกระเป๋าเดินทางของตน
"เหนื่อยจริงๆ" โคโค้พูดบ่นออกมาพร้อมล้มตัวลงไปกระแทกลงบนเตียงนอนอันแสนนุ่มของตน
บ้านของโคโค้นับว่าเป็นบ้านที่ใหญ่โตหลังหนึ่งในเมืองกรุง ด้วยอาณาเขตของบ้านที่กว้างขวางจนมีทั้งสระว่ายน้ำและสวนดอกไม้แต่ทว่าโคโค้กลับไม่ค่อยชอบในความกว้างขวางแบบนี้ซักเท่าไหร่นักเพราะเขาต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังร่วมกับคนรับใช้ต่างๆ ขณะที่พ่อและแม่ของตนต้องออกไปทำงานจนไม่มีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่นักเพราะเดินทางเพื่อติดต่อเรื่องธุรกิจตลอด ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติสำหรับชายคนนี้ที่จะอยู่เงียบๆตามลำพัง
กรี้ง~~
"ฮัลโหล"
"หวัดดีครับท่านประธานเป้าสะอาด" โคโค้พูดอย่างสนิทสนมกับคู่สนทนาที่โทรมาตอนสองทุ่มครึ่ง
"อย่ามาล้อกันสิเพื่อน นายเองเถอะแม่นไม่เปลี่ยนเลยนะ" ชายคู่สนทนาด้วยตอบกลับ
"ว่าแต่มีธุระอะไรรีบว่ามาดีกว่า"
"พรุ่งนี้รู้ใช่ไหมว่าเป็นวันปฐมนิเทศน์เริ่มปีการศึกษาใหม่"
"จะให้ไปช่วยหาสมาชิกเพิ่มเหรอ"
"เปล่าหรอก แต่จะให้ไปคัดเด็กที่เข้ามาต่างหาก" คำพูดนี้เล่นทำเอาโคโค้ยืนงงอยู่ซักพัก
"มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ"
"คืองี้นะ ชมรมยิงธนูของเราได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศมาสามปีซ้อนจึงมีนักเรียนเข้าใหม่เข้ามาติดต่อขอเข้าชมรมกับฉันที่เป็นประธานโดยตรงเพียบจนมากเกินกว่าที่โรงฝึกจะรับไหว"
"เลยจะให้คัดว่าใครเหมาะให้เข้าใช่ไหม" โคโค้เริ่มเข้าใจแล้วถึงหน้าที่ๆประธานสั่งมา
"ใช่ เพราะทั้งฉันและรองประธานต่างมีหน้าที่ในวันนั้นคือการชักชวนรุ่นน้องให้มาเข้าชมรมให้มากที่สุด"
"และจะให้ฉันคัดพวกที่มาติดต่อกับนายโดยตรงเท่านั้นใช่มั้ย"
"ใช่"
"งั้นถ้าไม่มีไรอีกเราขอไปนอนก่อนละ"
"อืม บาย"
โคโค้เมื่อรับคำสั่งเรียบร้อยก็เดินตรงเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อทำการอาบน้ำให้เรียบร้อยและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแต่เมื่อกำลังจะล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยล้าเขากลับเดินไปจัดกระเป๋านักเรียนของตนก่อนที่จะเข้านอน
"เรียบร้อย" หลังจากโคโค้ตรวจดูว่าตนไม่ลืมเอาพจนานุกรมเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อก่อนเดินทางไปค่ายเก็บตัวใส่ลงในกระเป่าก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับหลับลงไปในทันทีที่หัวถึงหมอนและคลุมผ้าห่มเรียบร้อย
กรี้ง~~
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นแต่เช้ามืดทำเอาโคโค้ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายต้องตื่นขึ้นมารับซึ่งแน่นอนว่าการที่มีคนโทรมาปลุกเขายามวิกาลแบบนี้มันเป็นสิ่งที่โคโค้ไม่ชอบแต่ด้วยเสียงที่เขาได้ฟังออกมาจากหูโทรศัพท์ทำเอาเขาโกรธไม่ลง
"สวัสดีครับคุณแม่"
"ลูกรักของแม่ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีเปล่าเอ่ย"
"สบายดีครับ"
"เดี๋ยววันนี้ก็เป็นวันเริ่มปีการศึกษาใหม่แล้วนะและลูกต้องตั้งใจเรียนมากๆล่ะเพราะปีหน้าลูกก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ"
"ครับ"
"นอนหลับฝันดีนะลูก"
"คุณแม่เช่นกันครับ"
การสนทนากับแม่ในครั้งนี้ทำให้โคโค้มีความสุขมากเพราะตนเองไม่ได้พูดคุยกับแม่มานานเกือบครึ่งปีได้จึงทำให้โคโค้หลับอย่างสบายใจพร้อมที่จะไปจัดการกับภาระที่เพื่อนมอบหมายไว้ให้ทำ
[มิน่ามันมอบหน้าที่นี้ให้เรา]
ในเช้าตรู่วันแรกของปีการศึกษาก่อนเริ่มการปฐมนิเทศน์ บรรดานักเรียนรุ่นน้องที่สอบเข้ามาเพื่อหมายเข้าชมรมยิงธนูโดยผ่านทางการติดต่อโดยตรงจากประธานชมรมต่างพากันมายืนรออยู่หน้าโรงฝึกเป็นจำนวนเกินยี่สิบคนซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่โคโค้คิด
"สวัสดีรุ่นน้องทุกคน" โคโค้ทักทายรุ่นน้องทุกคนซึ่งน้อยคนนักที่จะทักตอบ
"พอดีประธานชมรมเขาไม่ว่างเลยให้ฉันมาทำหน้าที่คัดเลือกคนเข้าชมรมแทน" ทันทีที่โคโค้พูดคำว่าคัดเลือกก็เกิดเสียงที่เหมือนไม่พอใจบางอย่าง
"พวกเธอที่มาขอเข้าชมรมผ่านประธานโดยตรงแบบนี้อย่าบอกนะว่าไม่มีฝีมือเลย" คำพูดนี้ทำให้นักเรียนรุ่นน้องต่างพากันเงียบกริบทันที
"งั้นก็เชิญเข้ามาได้เลย"
โคโค้เชิญนักเรียนรุ่นน้องซึ่งมีทั้งนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งและชั้นปีที่สี่จำนวนแทบใกล้เคียงกันและแต่ละคนเองก็มีคันธนูพกมาส่วนตัวด้วย โดยนักเรียนรุ่นน้องหารู้ไม่ว่าตามปกติโรงเรียนแห่งนี้ทุกชมรมจะรับสมาชิกกี่คนก็ได้ไม่จำกัดและชมรมยิงธนูแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในการแข่งขันแต่ก็รับสมาชิกที่ไม่เก่งเข้ามามากมายขอแค่ใจรักเป็นพอ ซึ่งการทดสอบครั้งนี้ได้จัดขึ้นเพื่อทดสอบว่าบุคคลที่ไปขอเข้าโดยตรงกับประธานมีใจรักการยิงธนูอย่างแท้จริงหรือไม่
"ท่าทางมีคันธนูทุกคนสินะงั้นก็..." โคโค้ที่ยังไม่ทันพูดจบรุ่นน้องต่างพากันหยิบคันธนูออกมากันอย่างพร้อมเพรียง
[เฮอะๆๆ พวกนี้ลูกคนรวยแหงม]
ไม่แปลกที่โคโค้จะคิดแบบนั้นเพราะธนูทุกคนที่หยิบออกมาเป็นธนูแบบผ่อนแรงโดยมีรอกเป็นตัวผ่อนแรงพร้อมทั้งติดอุปกรณ์ต่างๆมากมายลงไปรวมทั้งอุปกรณ์ช่วยเล็งด้วยซึ่งการติดอุปกรณ์ลงไปในคันธนูก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะมีขายกันทั่วไปแต่ที่โคโค้แปลกใจคือทำไมใช้แต่คันธนูชนิดผ่อนแรงหมด
"งั้นทดสอบโดยการ..."[ทำไมพวกนี้รู้ดีกันจริง]
โคโค้ยังไม่ทันบอกเลยว่าจะทำการทดสอบอย่างไรเหล่านักเรียนหน้าใหม่ต่างพากันเตรียมพร้อมที่จะยิงไปยังเป้าที่แขวนไว้ซะแล้วแถมยังเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกซะด้วย
"ยิง" น้ำเสียงแห่งความเบื่อหน่ายของรุ่นพี่ปีหกพูดออกมาเป้นสัญญาณให้รุ่นน้องยิงออกไป
[แม่นอีกแฮะ]
โคโค้เห็นว่าแต่ละคนที่มาทดสอบก็แม่นพอควรแต่ที่แน่ๆคือคนเหล่านี้น่าจะขาดสิ่งหนึ่งแน่ๆจึงเดินไปหยิบลังกระดาษออกมา
"ทุกคนต่อไปจะให้ใช้คันธนูนี้ยิงแทนคันธนูที่พวกเธอใช้อยู่" สิ้นคำพูดทำเอารุ่นน้องต่างพากันตะลึงในสิ่งที่โคโค้สั่ง
คันธนูที่โคโค้ให้เอาไปใช้นั้นคือคันธนูที่ทำมาจากไม้และเก่ามากรวมถึงเป็นของที่ทำเองด้วยมือโดยรุ่นพี่รุ่นก่อนๆที่จบไป
"อ๋อและก็ยิงไปจนกว่าลูกธนูจะเสียบผ่าซีกซ้อนกันที่เป้าตรงกลางนะ"
แน่นอนว่าคำสั่งแบบนี้นับว่าเป็นคำสั่งที่บ้าที่สุดเพราะขนาดนักธนูมืออาชีพจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแถมทำด้วยคันธนูที่โทรมๆแบบนี้อีก จึงทำให้รุ่นน้องเกือบครึ่งเดินจากชมรมไปอย่างไม่พอใจทันทีที่ได้ยินคำสั่งนี้แต่ยังคงมีคนอยู่ต่อและจะทำโคโค้จึงเปิดลังไม้ที่บรรจุลูกธนูทำจากไม้ให้ทุกคนมาหยิบไปใช้เพราะขืนใช่ลูกธนูที่ทำจากโลหะไม่มีทางผ่าซีกแน่
"อ้าวยังทดสอบไม่เสร็จอีกเหรอเขาปฐมนิเทศน์จบแล้วนะ"
ประธานชมรมยิงธนูเดินเข้ามาทักโคโค้อย่างแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมทดสอบนานจังรวมทั้งรองประธานเองก็แปลกใจเช่นกันเนื่องจากปกติโคโค้ทดสอบแปปเดียวก็รู้ผล
"ท่านประธานมาแล้วหรือครับ ทำไมการทดสอบแปลกจัง" รุ่นน้องปีสี่ที่เข้ามาทดสอบรีบเข้ามาทักทายประธานอย่างเร่งรีบ
"นายให้พวกเขาทดสอบอะไร" ประธานถามโคโค้
"ยิงธนูให้ลูกซ้อนแบบผ่าซีก" รุ่นน้องปีสี่รีบตอบทันที
ความหวังของรุ่นน้องทั้งหลายที่มาทดสอบเริ่มปรากฎเพราะพวกเขามั่นใจว่าประธานต้องเอาเรื่องชายผู้นี้แน่เพราะสีหน้าประธานบ่งบอกได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเขาเองที่จะทดสอบแบบนี้
"ท่านรองจัดการเรื่องลงทะเบียนเป็นสมาชิกชมรมให้ที" พวกรุ่นน้องต่างพากันรีบเก็บคันธนูลงเมื่อได้ยินประโยคที่รอคอยมานาน
"เดี๋ยวพวกเธอทดสอบต่อไปก่อนที่จะลงทะเบียนคือคนที่อยู่ด้านนอกโรงฝึก" คำพูดนี้ทำเอาทุกคนผิดหวังจนมีคนเริ่มไม่พอใจอย่างมาก
"ทดสอบบ้าๆแบบนี้ใครมันจะทำได้ ลองมายิงให้ดูก่อนสิ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากรุ่นน้องซึ่งหลายคนเองก็เห็นด้วย
"โค..." "ทราบแล้วประธาน" โคโค้ลุกขึ้นและหยิบคันธนูจากลังกระดาษและลูกธนูสองดอกจากลังไม้เดินไปยังช่องยิงที่เป้ายังสะอาดอยู่
ฉึก! ฉึก!
เสียงลูกธนูทั้งสองดอกที่ปักลงบนเป้าแทบเป็นเสียงเดียวทำเอารุ่นน้องทั้งหลายต่างได้แค่ยืนอยู่เงียบๆอย่างตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะยิงธนูสองดอกอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วปานกับยิงเพียงครั้งเดียวและแถมทั้งสองดอกยังปักไปยังจุดเดียวกันโดยมีดอกที่สองยิงผ่าซีกดอกแรกด้วย
"ทีนี้คงไม่มีข้อโต้แย้งกันแล้วสินะ" ประธานพูดกับรุ่นน้องซึ่งพวกเขาก็หันกลับไปทำตามคำสั่งเดิมต่อ
เสียงฝีเท้าเดินเข้าและเดินออกจากโรงฝึกพร้อมกับเสียงของสายธนูและลูกที่ปักลงบนเป้าแทบเป็นเสียงเดียวกันเพราะแน่นอนว่าพวกรุ่นน้องที่ทำตามคำสั่งบ้าๆอย่างเอาเป็นเอาตายย่อมไม่พอใจที่จู่ๆมีคนเข้ามาเป็นสมาชิกของชมรมนี้โดยไม่ต้องทดสอบ ซึ่งพอคนจากนอกโรงฝึกที่ลงชื่อเดินเข้ามาข้างในประมาณสองถึงสามคนก็จะมีคนสองถึงสามคนเดินออกไปเช่นกันเพราะเบื่อการทดสอบแบบนี้จนกระทั่งสมาชิกหน้าใหม่ที่ท่านประธานและท่านรองไปแสวงหาลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วก็ยังคงมีคนที่ทำการทดสอบอยู่เพียงสองคนคือหนึ่งชายและหนึ่งหญิงแต่สุดท้ายหนึ่งชายก็ทนไม่ได้และเดินออกไปขณะที่ท่านรองกำลังแนะนำสมาชิกรุ่นเก่าให้รุ่นใหม่ฟัง
"เธอคนนั้นหยุดทดสอบได้แล้วล่ะ" โคโค้บอกกับเธอซึ่งเธอเองก็ยังคงพยายามยิงต่อไป
"จะทดสอบต่อทำไมเมื่อเธอผ่านแล้ว" ประธานพูดกับเธอซึ่งคำพูดนี้ทำเอาเธอตกใจและหันมาหาประธานด้วยสีหน้างุนงง
"ท่านรองรีบพาหน้าม้ากลับไปได้แล้วมั้ง" โคโค้พูดกับรองประธานซึ่งสมาชิกหน้าใหม่ก็ต่างพากันเดินออกไปจากโรงฝึกภายใต้การนำของรองประธาน
"ที่ว่าผ่านแล้วหมายความว่ายังไงคะ" เธอยังคงงงอยู่ว่าเพราะอะไรเธอจึงผ่าน
"ทดสอบที่หมอนี่มันทำคือทดสอบว่าเธอรักการยิงธนูจริงหรือเปล่าแค่นั้นเอง" ประธานพูดพร้อมเขกหัวโคโค้อย่างแรงทีนึง
"เธอเองก็รีบมาทำแผลเถอะ" โคโค้พูดพร้อมหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมาจากหลังลังไม้
เธอเดินเข้ามาหาโคโค้พร้อมยื่นมือที่มีบาดแผลจากการยิงธนูอย่างต่อเนื่องซึ่งโคโค้เองก็พยายามทำแผลให้เธออย่างเบามือที่สุด
กรี้ง~~~
"ขอโทษ"
"ไม่เป็นไรคะ"
โคโค้ที่จะทำแผลให้กับเธออย่างเบามือที่สุดก็ต้องพลาดเมื่อเผลอกดเธออย่างแรงเพราะตกใจจากเสียงกระดิ่งสัญญาณว่าหมดเวลาในการหาชมรมเข้าไปอยู่แล้ว
"ว่าแต่โรงเรียนนี้แปลกจังนะคะ" เธอพูดกับโคโค้ขณะเขากำลังใช้ผ้าพันแผลให้เธออยู่
"ก็ไม่มากนักเพราะที่โรงเรียนนี้เปิดโอกาสให้แต่ละชมรมหาสมาชิกเพิ่มอย่างเต็มที่ในวันปฐมนิเทศน์ อ่ะเสร็จแล้ว"
"ขอบคุณคะ"
"เธอเองรีบกลับเข้าห้องเรียนเถอะนะเพราะกำลังจะเริ่มวิชาแรกแล้ว" ประธานพูดกับสมาชิกใหม่พร้อมกับยื่นกระดาษให้เธอแผ่นนึง
"ตอนเลิกเรียนเอามาส่งด้วยล่ะ" โคโค้พูดกับเธอและเดินออกจากโรงฝึกไปพร้อมกับประธานโดยปล่อยให้เธอนั่งอยู่ตามลำพังในโรงฝึก
"ทำไมเธอยังไม่ออกมาอีกล่ะ" โคโค้พูดพร้อมกับจะเดินเข้าไปเรียกเธอ
"ช่างเถอะคงกำลังร้องไห้เพราะดีใจที่เข้าได้แล้วมั้ง"
"เฮ้ยร้องไห้เลยเรอะ" โคโค้ไม่อยากเชื่อกับคำพูดนี้ซักเท่าไหร่
"ก็เธอคนนั้นเป็นเด็กนักเรียนทุนและทุนจะถูกยกเลิกหากเข้าชมรมยิงธนูไม่ได้รวมถึงเมื่อไหร่ที่โดนไล่ออกก็โดนยกเลิกทุน"
"และถ้าเกิดเธอโดนยกเลิกทุนก็จะต้องออกจากโรงเรียนเพราะบ้านเธอจนมากใช่ไหมล่ะ"
"นายเองก็รู้นี่นา"
"เปล่าเดาเอาและท่าทางนายจะเอ็นดูเธอมากเลยนะ" โคโค้พูดย้อนด้วยน้ำเสียงแฝงเล่ห์นัย
"เอ็นดู จะบ้าเรอะ"
"แต่ฉันจำได้แน่ๆว่าคันธนูที่เธอใช้เป็นของนาย" คำพูดนี้ทำเอาประธานแก้ต่างไม่ออก
"งั้นนายก็..." "อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครสินะ รู้แล้วน่าเพื่อน" โคโค้พูดอย่างรู้ใจเพื่อนสนิท
ทั้งสองเมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนก็ต้องพบกับสิ่งน่าเหลือเชื่อขึ้น
"เกิดอะไรขึ้นเหรอท่านรอง" โคโค้ทักรองประธานที่นั่งอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว
"ฟังดูอาจตลกนะ คือนอกจากพวกเราสามคนที่ได้อยู่ห้องเดียวกันแล้วเพื่อนร่วมห้องคนอื่นโดนพักการเรียนหมด" ท่านรองพูดพร้อมกับชี้นิ้วให้ทั้งสองคนหันไปอ่านใบประกาศที่ประตูห้องเรียนซึ่งสิ่งที่เขียนในใบประกาศนั้นคือรายชื่อนักเรียนที่โดนพักการเรียน
"แล้วแบบนี้ท่าทางจะสบายไปสองเดือนเลยสินะ" โคโค้หันไปพูดกับประธานเมื่ออ่านใบประกาศจบ
"ก็เล่นไปก่อเรื่องขนาดนั้นโดนพักสองเดือนอาจน้อยไปด้วยมั้ง" ประธานพูดพร้อมเดินไปจับจองที่นั่งมุมดีๆของห้อง
การเรียนในวันแรกอาจเรียกได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่สร้างความแปลกใจกับอาจารย์ทุกท่านมากพอสมควรเนื่องจากการสั่งพักการเรียนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนค่ำจึงยังไม่มีอาจารย์ท่านใดรู้เรื่องนี้เลยนอกจากอาจารย์ใหญ่และจะเข้าประชุมในเย็นวันนี้เพื่อพิจารณาว่าจะลดโทษหรือเพิ่มโทษกับนักเรียนกลุ่มนั้นอย่างไรดี
"น่าเบื่อเลยนะวันนี้หนะ" โคโค้บ่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"แล้วปกตินายเรียนด้วยเหรอ" ประธานพูด
"เห็นปกติเอาแต่แต่งนิยายเวลาเรียนนี่นา" รองประธานเองก็เห็นด้วย
"แต่งวดนี้ฉันขอชนะตามเดิมนะ" โคโค้พูดพร้อมกับปล่อยลูกธนูดอกสุดท้ายออกไป
ทั้งสามคนต่างพากันทำเอาสมาชิกเก่านั่งมองอย่างตะลึงและสมาชิกใหม่อีกหนึ่งที่ผ่านการทดสอบงุนงงกับการโชว์ฝีมืออดีตตัวแทนที่เคยไปแข่งยิงธนูระดับประเทศในประเภทเยาวชนโดยส่งไปในนามของโรงเรียน
"ใครอยากลองแสดงฝีมือบ้างเอ่ย" โคโค้ลองถามรุ่นน้องดูแต่ไม่มีใครซักคนกล้าออกมาเลยเพราะรุ่นพี่ปีหกทั้งสามเมื่อกี้ต่างประลองฝีมือในการยิงลูกธนูให้ซ้อนกันแบบผ่าซีก
"ไม่มีใครอยากออกมางั้นก็เรียงตามรายชื่อเลยละกัน" ประธานหันหน้าไปหาท่านรองเป็นสัญญาณว่าให้เริ่มฝึกซ้อมได้แล้ว
รุ่นพี่ปีหกของชมรมยิงธนูมีอยู่เพียงแค่สามคนซึ่งทั้งสามนั้นยังคงทุ่มเทกับการฝึกฝนและดูแลรุ่นน้องทำให้บรรยากาศต่างกับชมรมอื่นที่ปกติปีห้าต้องฝึกและปีหกแค่เป็นพี่เลี้ยงเพราะต้องเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งพวกปีห้าแน่นอนว่าไม่ค่อยชอบที่จะถูกฝึกอย่างหนักแทนที่จะไปดูแลรุ่นน้องแต่ต้องยอมรับว่าฝีมือตนไม่ถึงขั้น อย่างไรก็ดีพวกปีห้าทั้งหลายต่างไม่รู้ตัวกันเลยว่ารุ่นพี่ของตนพยายามถ่ายทอดเทคนิคให้มากที่สุดผ่านการฝึกเพื่อให้ไปสอนรุ่นน้องต่อไปภายหน้า
"จะว่าไปรุ่นพี่โคโค้รู้สึกเก่งกว่าประธานอีกนะทำไมถึงไม่ได้เป็นประธานล่ะ" รุ่นน้องปีสองคนหนึ่งพูดขึ้นมากับเพื่อนข้างๆโดยหารู้ไม่ว่าคำพูดที่ตนพูดออกมานั้นได้ยินกันทั่วทั้งโรงฝึก
"เพราะว่าโคโค้เขายิงแม่นอย่างเดียวไง" รองประธานกระซิบตอบข้างหูเธอเบาๆพร้อมกับจดบันทึกคะแนนของเธอ
อย่างที่รองประธานพูดโคโค้ถึงแม้เก่งมากแต่ทว่าเขามีดีแค่ยิงแม่นและต่อเนื่องแต่เรื่องการติดต่อกับภายนอกรวมทั้งงานบริหารไม่ได้เรื่องเนื่องจากเป็นคนที่ค่อนข้างเฉยๆต่อเรื่องต่างๆโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนซึ่งขาดคุณสมบัติของประธานในการดูแลสมาชิกทุกคนไป
"เทคนิคการยิงสองดอกติดกันรึ"
"ครับ"
รุ่นน้องปีห้าสามคนเดินเข้ามาขอให้โคโค้สอนเทคนิคการยิงสองดอกติดต่อกันกับโคโค้ซึ่งเรียกได้ว่ามันเป็นเทคนิคที่โคโค้ใช้เวลามานานมากในการฝึกฝนจนเรียกได้ว่ามันคือรูปแบบการยิงพิเศษของตนก็ว่าได้
"ขอมาก็จัดให้" คำตอบนี้ทำเอารุ่นน้องทั้งสามดีใจจนแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"แต่สอนครั้งเดียวแล้วไปฝึกกันเองล่ะ"
โคโค้เดินเข้าไปในช่องยิงพร้อมกับขอยืมคันธนูกับหยิบคันธนูของตนออกมาเตรียมพร้อม ขณะเดียวกันรุ่นน้องหลายคนต่างรีบเดินเข้ามาฟังเทคนิคนี้
"ขอเตือนก่อนนะว่าเวลาจะฝึกเทคนิคนี้สวมถุงมือและใส่เกราะอกด้วยไม่งั้นบาดแน่" โคโค้บอกตำเตือนจบก็หยิบธนูทั้งสองดอกออกมาและค่อยๆขยับอย่างช้าๆทีละสเต็ปโดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำ
ฉึก! ฉึก!
"ก็แค่นี้แหละ"
สิ้นสุดการอธิบายแบบไร้คำพูดของโคโค้นั้นทำให้รุ่นน้องเข้าใจและรีบลองแต่ทว่ากลับไม่มีใครที่เอาไปใช้แล้วทำได้เลยรวมทั้งได้ของแถมมาด้วยคือสายธนูบาดมือหรือถูกลูกแทงเข้าที่มือของตน
"นายคิดว่าควรสอนเทคนิคนั้นแล้วรึ" รองประธานเดินมาถามโคโค้
"ก็รุ่นน้องขอมา" โคโค้ตอบง่ายๆ
"นั่นสินะ รุ่นพี่ที่ดีก็ควรให้แต่เทคนิคนี้อันตรายนายก็รู้ดีอยู่นี่" รองประธานแสนเยือกเย็นเริ่มแสดงอารมณ์ออกมานั่นหมายถึงลางร้ายสำหรับโคโค้
"ใช่มันอันตรายเพราะอาจโดนบาดถูกเส้นเลือดใหญ่ตรงข้อมือได้" คำพูดที่ทำเป็นเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนยิ่งทำให้รองประธานมีน้ำโหมากขึ้นในสายตาคนอื่นแต่หากเป็นเช่นนั้นไม่
"อืม ทีหลังเตือนคนอื่นเรื่องนี้ด้วยล่ะ" คำพูดที่แสนผิดคาดทำเอารุ่นน้องทั้งหลายพากันงงเพราะนึกว่าจะเกิดมวยสดซะแล้ว
และแล้วการฝึกที่ชมรมก็จบลงด้วยการที่โคโค้ต้องเป็นคนทำความสะอาดโรงฝึกในขณะที่สมาชิกคนอื่นกลับกันหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการลงโทษที่ไม่ยอมบอกอันตรายของเทคนิคที่ตนสอนไป ซึ่งโคโค้เองก็รู้สึกดีซะอีกทีได้กลับมาทำความสะอาดโรงฝึกเพราะล่าสุดที่ตนถูกพื้นโรงฝึกนี่ก็ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้ว
[คิดถึงวันเก่าๆจัง] โคโค้พลางระลึกถึงวันเก่าๆขณะถูพื้นไปอย่างเรื่อยๆโดยหารู้ไม่ว่าข้องนอกโรงฝึกมีคนกำลังยืนรออยู่ถึงสองคน
หลังจากโคโค้จัดการทำความสะอาดเรียบร้อยก็ลงนอนไปบนพื้นโดยไม่สนใจว่าพื้นที่ตนนอนลงไปยังไม่แห้งพร้อมทั้งยืนมือขวาชูออกไป
[นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้มาทำเรื่องแบบนี้] โคโค้ยังคงจำได้ว่าวันแรกที่ตนมาลงชื่อเป็นสมาชิกชมรมคนอื่นต่างล้อชื่อของตนที่แปลกประหลาดแต่ถึงกระนั้นมีคนอยู่สองคนที่ไม่ได้ล้อเลียนเขาทำให้โคโค้คิดว่าสองคนนี้น่าสนใจ และในปัจจุบันเขาทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาหรือก็คือประธานและรองประธานชมรมยิงธนูในปัจจุบันนั้นเอง
"เออ นี่คือ" โคโค้ที่ออกมาจากโรงฝึกกลับเจอสองสาวรุ่นน้องยืนรอหน้าโรงฝึกโดยคนหนึ่งยื่นจดหมายสีชมพูมาให้เขา
"ต้องอ่านนะคะ" เธอพูดจบก็ลากแขนเพื่อนของเธอวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
[แบบนี้จดหมายรักแหงมๆ]
ทันทีที่โคโค้กลับถึงบ้านก็รีบตรงดิ่งเข้าห้องของตนเพื่ออ่านจดหมายสีชมพูฉบับนั้นซึ่งข้างในจดหมายเล่นเป็นแผ่นดิสก์ทำเอาโคโค้ต้องเซ็งเพราะวันนี้เขากะไม่เปิดคอมเพื่อที่จะได้นอนแต่หัวค่ำเนื่องจากนิสัยเสียของโคโค้คือเปิดคอมเมื่อไหร่จะไม่ยอมออกมาจากคอมจนกว่าจะแต่งนิยายไม่ออก
[เออ มีของแถมด้วยรึเนี่ย]
โคโค้ที่เสียบแผ่นดิสก์ลงไปพบว่าแผ่นมีไวรัส แต่ก็ตัดสินใจที่จะเปิดไฟล์โดยจัดการกับไวรัสก่อนซึ่งผิดจากปกติที่ตนจะลบไฟล์ทิ้งเลยโดยทำเป็นไม่สนใจ
[แค่จดหมายรักเนี่ยนะจะยอมเสี่ยงให้คอมเจ้งรึและจดหมายรักที่ไหนเขาจะเล่นแถมไวรัสมาให้หรือแกเห็นใจที่เขามารออยู่ตั้งนานจนสองทุ่ม] โคโค้ที่สับสนและพยายามหาคำตอบก็ตัดสินใจลืมๆมันไปและอ่านสิ่งที่เธอให้มา
ภายในจดหมายรักไฮเทคนั้นเต็มไปด้วยบันทึกประจำวันของเธอคนนั้นและจากการอ่านบันทึกไปเรื่อยๆทำให้โคโค้ยิ่งมั่นใจว่าเธอคงแอบชอบเขามานานมากแล้วแต่ไม่กล้าเข้ามาบอกซึ่งโคโค้เองก็ไม่รอช้า ทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและส่งอีเมล์ให้กับเธอไปตามเมล์ที่เธอให้มาด้วยประโยคสั้นๆว่า [เรามาเริ่มจากการเป็นเพื่อนก่อน] ซึ่งอีกนัยนึงคือประโยคปฏิเสธนั่นเองแต่เป็นประโยคที่ยังให้ความหวังเอาไว้อยู่
"พรุ่งนี้แล้วสินะ" โคโค้พลางนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่ตนต้องไปเข้าฟังผลว่าใครจะได้รับรางวัลจึงรีบเข้าไปนอนโดยที่พยายามตัดใจปิดคอมลงด้วยความรู้สึกฝืนใจ
เช้าวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นโดยไร้เสียงนาฬิกาปลุก โคโค้ที่ตื่นขึ้นมาต้องหรี่ตาลงเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ส่งเข้ามากระทบตาตนเนื่องจากเมื่อคืนลืมปิดม่าน
"เฮ้ยสายแน่" โคโค้ตะโกนออกมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้มันเก้าโมงแล้วซึ่งงานเริ่มตอนสิบโมง
สุดท้ายโคโค้ก็สามารถมางานได้ทันเวลาเปะด้วยชุดนักเรียนเพราะกะว่างานเลิกจะกลับไปเรียนต่อ ภายในงานนี้เต็มไปด้วยนักประพันธ์นวนิยายชื่อดังมากมายซึ่งกิจกรรมพิเศษในงานคือการมอบรางวัลแก่นักเขียนมือใหม่ หากใครสามารถได้รับรางวัลในการประกวดย่อมหมายถึงการก้าวเข้าสู่มืออาชีพและปีที่แล้วโคโค้เองก็ลงประกวดเหมือนกันแต่ทว่ารางวัลชนะเลิศของตนเป็นรางวัลร่วมกับคนอีกคนหนึ่งและปีนี้โคโค้จึงลงประกวดอีกครั้งและครั้งสุดท้ายเนื่องจากงานนี้ให้สำหรับนักเขียนเยาวชนที่อายุไม่เกินสิบแปดปี ด้วยผลงานใหม่ที่ตนลงทุนไปเก็บข้อมูลตลอดปิดเทอมด้วยการไปสัมผัสสถานที่จริง
"สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ถึงเวลาสมควรแล้วที่จะมอบรางวัลแก่ผู้ที่ชนะการประกวดนวนิยายนักเขียนเยาวชนครั้งที่ยี่สิบสาม" พิธีกรกล่าวกับแขกทุกท่านพร้อมทั้งชูซองจดหมายสีขาวในมือของตนให้ทุกคนเห็นชัดๆ
"ขอเชิญคุณโคโค้ เอลาเมนต์ ผู้ที่ได้รับรางวัลปีที่แล้วมาเป็นผู้ประกาศชื่อของนวนิยายที่ผ่านการประกวดนะครับ"
โคโค้ที่ได้ยินพิธีกรพูดแบบนั้นก็เดินออกไปข้างหน้าและเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ ความเงียบสงบที่คืบคลานเข้ามาในห้องจัดงานทำเอาโคโค้เองก็เครียดว่าตนจะชนะไหม และถ้าชนะจะประกาศไงล่ะเพราะมันคือชื่อของตน แต่ทว่าพอตนรับซองจดหมายมาก็รีบเปิดออกโดนยังคงรักษามารยาทและรีบอ่านข้อความที่อยู่ในนั้นทันทีโดยไม่สนว่ามันเขียนอะไร
"นิยายที่ชนะการประกวดคือเรื่อง การเดินทางของสายลม ผู้ส่ง..."
[เฮ้ย ชื่อเรื่องคุ้นๆนะ]
"ใช่แล้วครับคุณโคโค้ คุณคือผู้ชนะการประกวดครับ" พิธีกรประกาศออกทางไมค์ซึ่งทันทีที่ประกาศออกไปก็เกิดเสียงปรบมือลั่นห้องจัดงาน
โคโค้ที่ดีใจกับการชนะครั้งนี้อ่านใบประกาศผลอีกครั้งก็มีแต่ชื่อของตนเพียงคนเดียว ไม่มีชื่อคนอื่นอยู่ด้วยทำให้เจ้าตัวรู้สึกดีใจจนไม่ได้ยินเสียงปรบมือที่ดังสนั่นนี้ แต่เสียบปรบมือต้องจบลงด้วยเสียงกระแทกประตู
"แกตายซะเถอะ" ชายที่เปิดประตูเข้ามาถือกล่องของขวัญสีแดงใบหนึ่งซึ่งทันทีที่เห็นหน้าโคโค้ก็จำได้ว่าคือชายที่ส่งต้นฉบับไม่ทัน
ชายคนนั้นปากล่องมายังเวทีซึ่งแขกทุกคนต่างพากันวิ่งเพราะใครก็เดาว่าในนั้นคือระเบิดแต่โคโค้ก็ไม่เข้าใจว่าถ้านั่นคือระเบิดทำไมต้องโยนแบบนี้ปกติเขาต้องส่งมา แต่พอโคโค้เห็นว่าชายคนนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เดาได้เลยว่าในนี้มันระเบิดแบบสั่งด้วยมือถือจึงรีบคว้ากล่องเพื่อโยนกลับแต่สายไปแล้ว
บรึ้ม!
แรงระเบิดทำเอาห้องทั้งห้องกลายเป็นทะเลเพลิงแต่ทว่าตาของโคโค้ที่ปิดลงเมื่อเปิดขึ้นกลับพบว่าห้องเปลี่ยนไป ผนังห้องจัดงานที่เต็มไปด้วยสีสันกลายเป็นผนังหินแตกๆ พื้นที่ตนนอนอยู่ก็เป็นพื้นหิน คนต่างๆก็หายไปหมดเหลือเพียงแค่คนสองคนในชุดแปลกๆซึ่งทั้งสองกำลังสนทนาด้วยภาษาที่ตนไม่รู้จัก
เพี้ย!
ทันที่ที่โคโค้จะลุกขึ้นก็ต้องล้มลงเมื่อโดนแส้ที่ฟาดลงไปที่พื้นเฉี่ยวขาของตน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมสั้นในชุดแปลกตาเข้ามาใกล้ตนพร้อมทั้งเอามือมาแตะที่แผลซึ่งแผลของโคโค้ก็เริ่มสมานตัว
<ไม่ต้องตกใจนะ เธออาจจะฟังเราไม่รู้เรื่องแต่ฉันสามารถพูดคุยกับเธอโดยตรงได้ ตอนนี้เธอคงกำลังรู้สึกแปลกๆสินะ ไม่ต้องกลัว> เสียงของผู้หญิงที่ดังก้องเข้ามาในหัวทำให้โคโค้ยิ่งสับสนว่าตอนนี้เกิดอะไรกันแน่
และเมื่อแผลของโคโค้ปิดสนิทเธอก็ลุกขึ้นไปสนทนากับอีกคนซึ่งโคโค้พยายามฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันเพราะภาษาที่ใช้มันแปลกๆจึงลองสำรวจรอบๆพบว่ากระเป๋านักเรียนติดมาด้วย
<ขอโทษนะ แต่ช่วยตามชั้นมาหน่อยนะ> เธอเดินกลับมาจูงมือโคโค้ให้เดินตามเธอไปซึ่ง
โคโค้ก็ตามไปแต่โดยดี
ทางเดินที่เป็นบันไดหินและผนังที่ติดคบเพลิงเพื่อเป็นแสงให้กับทางเดินทำให้โคโค้รู้สึกว่าตนหลุดมาในโลกแฟนตาซีรึไงเพราะมันคงไม่ใช่ความฝันแน่เนื่องจากความเจ็บจากแส้เมื่อกี้นี้มันแสบไม่ใช่เล่น
<ขอโทษนะช่วยรออยู่ในนี้ก่อนนะเดี๋ยวฉันจะกลับมาสอธิบายให้เธอฟัง> เธอพาโคโค้มายังห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยห้องขังซึ่งแต่ละกรงเต็มไปด้วยสัตว์แปลกตามากมาย
โคโค้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ข้างในแต่โดยดีเพราะขัดขืนไปก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างและมันคงเป็นหนทางที่แสนโง่ด้วย
<ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก>
เธอจากโคโค้ไปกับหญิงอีกคนที่ดูน่าเกรงขามซึ่งคำพูดสุดท้ายก่อนจากทำให้โคโค้เริ่มลองคิดดูก็พอเดาเอาว่าเธอคงสามารถพูดคุยกับตนได้เมื่อสัมผัสกับตนและอาจเป็นคนเดียวที่สื่อสารกับตนได้ในขณะนี้
เพี้ย!
"ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย" โคโค้ที่สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นพลางลูบหน้าที่ตนเพิ่งตบไปโดยยังคงความคิดว่านี่มันไม่ใช่ฝันแน่ๆเพราะตบเมื่อกี้เจ็บไม่เบา
ความคิดเห็น