ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    @ - > นายคือสัตว์เลี้ยงของฉัน - -a

    ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตพลิกผัน

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 49


    สถานีหัวลำโพง สถานีหัวลำโพง ผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะลงจากรถด้วยค่ะ

               ชายหนุ่มได้ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆแต่ครั้นได้ยินเสียงประกาศถึงสถานีที่ตนต้องลงก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าเป้กระเป๋าเดินทางแสนเทอะทะลงจากรถไฟอย่างเร่งรีบ ทั้งๆที่ตนเองไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้เพราะกว่ารถจะออกก็อีกสิบนาทีและผู้โดยสารในรถก็ไม่หนาแน่นด้วยแต่เนื่องจากตัวเขาไม่อยากเสียเวลาแม้แต่เพียงนิดเดียวเพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจพลาดโอกาสสำคัญได้

    "เชิญครับคุณหนู" ชายชราในชุดสูทเปิดประตูรถสีดำให้กับชายคนนั้นทันทีเมื่อเขาเดินออกมาจากสถานีพร้อมกับเดินเข้าไปยังที่นั่งคนขับอย่างรวดเร็วเมื่อคุณหนูเข้ามานั่งบนรถแต่พอจะเอ่ยปากถามว่าให้ขับไปที่ไหนเขาได้รับคำสั่งจากคุณหนูทันทีว่า

    "ไปสำนักพิมพ์ที่เดิม ด่วน" ชายชราผู้นี้ทราบถึงคำว่าด่วนของชายผู้นี้ดีจึงรีบขับรถออกไปพร้อมกับเลือกเส้นทางที่จะไปได้เร็วที่สุด

               วิวทิวทัศน์ของถนนอันแสนน่าเบื่อของเมืองกรุงไม่น่าชวนพิศมัยให้เขาเชยชมดังเดิมแต่ทว่าช่วงเวลาที่เครียดขนาดนี้เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกจากก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตนและเงยหน้าออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกของรถ

    "เรียบร้อยแล้วคะ"

    "เฉียดฉิวแฮะ" คุณหนูพูดพลางเอามือขวาของตนมาปาดเหงื่อที่จะเข้าตาออก

    "คะ คุณโคโค้หวังว่าผลงานครั้งนี้ของคุณจะได้รับรางวัลชนะเลิศอีกนะคะ" พนักงานสาวเอ่ยกับโคโค้

    โครม!

               เสียงประตูที่เปิดออกอย่างแรงและฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นมายังชั้นสองที่โคโค้กำลังคุยกับพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์อย่างชัดเจน

    "นี่คือนวนิยายที่จะส่งเข้าประกวดครับ" ชายเจ้าของเสียงรีบยื่นต้นฉบับกับพนักงานสาว

    "เสียใจด้วยคะทางเราปิดรับต้นฉบับแล้วคะ" เธอตอบพร้อมกับชี้นิ้วไปทางนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกับอีกหกนาที

    "นะครับ ได้โปรด" ชายคนนั้นขอร้องกับเธอแต่ไร้ผลเพราะเธอไม่รับต้นฉบับแต่อย่างใดเนื่องจากตอนนี้มันเลยเวลารับต้นฉบับที่จะหมดเขตตอนหกโมงเย็น

               โคโค้ที่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบเดินออกไปแต่ทว่ามันสายไปแล้วเพราะสิ่งที่เขาเดาว่าจะเกิดมันก็ได้เกิดขึ้น

    "ทำไมถึงรับผลงานของคนนั้นล่ะ หรือว่าเพราะเขาเป็นแชมป์เก่า" น้ำเสียงที่ไม่พอใจและสายตาแห่งความโกรธแค้นส่งมายังโคโค้

    [กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้]

    "เพราะว่าเขาเอามาส่งทันก่อนหมดเวลาคะ" เธอตอบกับชายคนนั้นอย่างสุภาพและรอยยิ้ม

    [มันไม่เชื่อแน่]

    "ผมไม่เชื่อเพราะถ้าเขาส่งทันมีหรือเขาจะอยู่จนถึงป่านนี้" เขาพูดพร้อมทุบกำปั้นลงไปบนต้นฉบับนวนิยายของเขาบนโต๊ะอย่างแรง

    [ว่าแล้วเชียว]

    "เขาคนนั้นเอาต้นฉบับมาส่งตอนห้าโมงห้าสิบและที่เขายังอยู่จนถึงตอนนี้เพราะฉันกำลังคุยกับเขาอยู่" เธอตอบอย่างใจเย็น

    "ยังไงผมก็ไม่เชื่อและนี่มันก็ไม่ถึงกับสายมากยังไงก็รับไปด้วยสิ" ชายคนนั้นเริ่มใส่อารมณ์อย่างรุนแรงจนโคโค้เริ่มทนไม่ไหวและตัดสินใจที่จะพูดออกไปในที่สุด

    "นักเขียนที่ดีนอกจากจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาแล้วต้องรู้จักการใช้เวลาด้วย" คำพูดที่ออกมาจากปากของโคโค้เหมือนกับเติมเชื้อฟืนลงไปในกองเพลิงที่กำลังจะลุกโชน ผลคือชายคนนั้นคว้ามือซ้ายเข้ามากระชากเสื้อเชิ้ตสีขาวของโคโค้พร้อมกับง้างหมัดขวาหมายต่อยหน้าแสนเย็นชาของโคโค้ให้เลือดโชกจนย้อมผมสีดำอันสั้นให้เป็นสีแดง

    ปึก!

               ทว่าหมัดของชายคนนั้นถูกหยุดลงด้วยพนักงานสาวที่เอาสันมือฟาดลงไปยังต้นคอของนักเขียนบ้าคลั่งทำให้โคโค้ล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะโดนร่างที่ไร้สติของชายที่หมายต่อยหน้าตนล้มทับเอา

    "เป็นอะไรเปล่าคะ" พนักงานสาวยกร่างของนักเขียนบ้าคลั่งขึ้นเพื่อให้โคโค้ลุกขึ้นได้

    "ยังมือหนักเหมือนเดิมเลยนะครับ" โคโค้พูดพร้อมกับนึกไปถึงตอนที่เขาขึ้นไปรับรางวัลเมื่อตอนต้นปี ตอนนั้นมีนักเขียนที่ไม่พอใจว่าทำไมผลงานของตนจึงแพ้โคโค้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีทั้งๆที่ตนมีอายุมากกว่าและมีประสบการ์มากกว่าจึงตรงเข้ามาหาเรื่องกลางงานมอบรางวัลแต่พนักงานคนนี้เป็นคนยุติเรื่องราวลงด้วยการฟาดสันมือเพียงครั้งเดียว

    "แหมพี่คิดว่าครั้งนี้พี่เบาแรงลงเยอะแล้วนะ" เธอพูดพร้อมรอยยิ้มตามสไตล์ของเธอ

    "ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ"

    "เชิญคะ"

    "เชิญครับ" คนขับรถเปิดประตูให้โคโค้

    "กลับบ้าน" โคโค้สั่งและขึ้นไปนั่ง

               เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่โคโค้ต้องการทำอย่างเร่งด่วนมีเพียงสิ่งเดียวคือการพักผ่อนหลังจากการเดินทางกลับมาจากการเข้าค่ายเก็บตัวของชมรมโดยปล่อยให้คนรับใช้ในบ้านเป็นคนจัดการกระเป๋าเดินทางของตน

    "เหนื่อยจริงๆ" โคโค้พูดบ่นออกมาพร้อมล้มตัวลงไปกระแทกลงบนเตียงนอนอันแสนนุ่มของตน

               บ้านของโคโค้นับว่าเป็นบ้านที่ใหญ่โตหลังหนึ่งในเมืองกรุง ด้วยอาณาเขตของบ้านที่กว้างขวางจนมีทั้งสระว่ายน้ำและสวนดอกไม้แต่ทว่าโคโค้กลับไม่ค่อยชอบในความกว้างขวางแบบนี้ซักเท่าไหร่นักเพราะเขาต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังร่วมกับคนรับใช้ต่างๆ ขณะที่พ่อและแม่ของตนต้องออกไปทำงานจนไม่มีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่นักเพราะเดินทางเพื่อติดต่อเรื่องธุรกิจตลอด ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติสำหรับชายคนนี้ที่จะอยู่เงียบๆตามลำพัง

    กรี้ง~~

    "ฮัลโหล"

    "หวัดดีครับท่านประธานเป้าสะอาด" โคโค้พูดอย่างสนิทสนมกับคู่สนทนาที่โทรมาตอนสองทุ่มครึ่ง

    "อย่ามาล้อกันสิเพื่อน นายเองเถอะแม่นไม่เปลี่ยนเลยนะ" ชายคู่สนทนาด้วยตอบกลับ

    "ว่าแต่มีธุระอะไรรีบว่ามาดีกว่า"

    "พรุ่งนี้รู้ใช่ไหมว่าเป็นวันปฐมนิเทศน์เริ่มปีการศึกษาใหม่"

    "จะให้ไปช่วยหาสมาชิกเพิ่มเหรอ"

    "เปล่าหรอก แต่จะให้ไปคัดเด็กที่เข้ามาต่างหาก" คำพูดนี้เล่นทำเอาโคโค้ยืนงงอยู่ซักพัก

    "มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ"

    "คืองี้นะ ชมรมยิงธนูของเราได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศมาสามปีซ้อนจึงมีนักเรียนเข้าใหม่เข้ามาติดต่อขอเข้าชมรมกับฉันที่เป็นประธานโดยตรงเพียบจนมากเกินกว่าที่โรงฝึกจะรับไหว"

    "เลยจะให้คัดว่าใครเหมาะให้เข้าใช่ไหม" โคโค้เริ่มเข้าใจแล้วถึงหน้าที่ๆประธานสั่งมา

    "ใช่ เพราะทั้งฉันและรองประธานต่างมีหน้าที่ในวันนั้นคือการชักชวนรุ่นน้องให้มาเข้าชมรมให้มากที่สุด"

    "และจะให้ฉันคัดพวกที่มาติดต่อกับนายโดยตรงเท่านั้นใช่มั้ย"

    "ใช่"

    "งั้นถ้าไม่มีไรอีกเราขอไปนอนก่อนละ"

    "อืม บาย"

               โคโค้เมื่อรับคำสั่งเรียบร้อยก็เดินตรงเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อทำการอาบน้ำให้เรียบร้อยและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแต่เมื่อกำลังจะล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยล้าเขากลับเดินไปจัดกระเป๋านักเรียนของตนก่อนที่จะเข้านอน

    "เรียบร้อย" หลังจากโคโค้ตรวจดูว่าตนไม่ลืมเอาพจนานุกรมเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อก่อนเดินทางไปค่ายเก็บตัวใส่ลงในกระเป่าก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับหลับลงไปในทันทีที่หัวถึงหมอนและคลุมผ้าห่มเรียบร้อย

    กรี้ง~~

               เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นแต่เช้ามืดทำเอาโคโค้ที่กำลังนอนหลับอย่างสบายต้องตื่นขึ้นมารับซึ่งแน่นอนว่าการที่มีคนโทรมาปลุกเขายามวิกาลแบบนี้มันเป็นสิ่งที่โคโค้ไม่ชอบแต่ด้วยเสียงที่เขาได้ฟังออกมาจากหูโทรศัพท์ทำเอาเขาโกรธไม่ลง

    "สวัสดีครับคุณแม่"

    "ลูกรักของแม่ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีเปล่าเอ่ย"

    "สบายดีครับ"

    "เดี๋ยววันนี้ก็เป็นวันเริ่มปีการศึกษาใหม่แล้วนะและลูกต้องตั้งใจเรียนมากๆล่ะเพราะปีหน้าลูกก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ"

    "ครับ"

    "นอนหลับฝันดีนะลูก"

    "คุณแม่เช่นกันครับ"

               การสนทนากับแม่ในครั้งนี้ทำให้โคโค้มีความสุขมากเพราะตนเองไม่ได้พูดคุยกับแม่มานานเกือบครึ่งปีได้จึงทำให้โคโค้หลับอย่างสบายใจพร้อมที่จะไปจัดการกับภาระที่เพื่อนมอบหมายไว้ให้ทำ

    [มิน่ามันมอบหน้าที่นี้ให้เรา]

               ในเช้าตรู่วันแรกของปีการศึกษาก่อนเริ่มการปฐมนิเทศน์ บรรดานักเรียนรุ่นน้องที่สอบเข้ามาเพื่อหมายเข้าชมรมยิงธนูโดยผ่านทางการติดต่อโดยตรงจากประธานชมรมต่างพากันมายืนรออยู่หน้าโรงฝึกเป็นจำนวนเกินยี่สิบคนซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่โคโค้คิด

    "สวัสดีรุ่นน้องทุกคน" โคโค้ทักทายรุ่นน้องทุกคนซึ่งน้อยคนนักที่จะทักตอบ

    "พอดีประธานชมรมเขาไม่ว่างเลยให้ฉันมาทำหน้าที่คัดเลือกคนเข้าชมรมแทน" ทันทีที่โคโค้พูดคำว่าคัดเลือกก็เกิดเสียงที่เหมือนไม่พอใจบางอย่าง

    "พวกเธอที่มาขอเข้าชมรมผ่านประธานโดยตรงแบบนี้อย่าบอกนะว่าไม่มีฝีมือเลย" คำพูดนี้ทำให้นักเรียนรุ่นน้องต่างพากันเงียบกริบทันที

    "งั้นก็เชิญเข้ามาได้เลย"

               โคโค้เชิญนักเรียนรุ่นน้องซึ่งมีทั้งนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งและชั้นปีที่สี่จำนวนแทบใกล้เคียงกันและแต่ละคนเองก็มีคันธนูพกมาส่วนตัวด้วย โดยนักเรียนรุ่นน้องหารู้ไม่ว่าตามปกติโรงเรียนแห่งนี้ทุกชมรมจะรับสมาชิกกี่คนก็ได้ไม่จำกัดและชมรมยิงธนูแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในการแข่งขันแต่ก็รับสมาชิกที่ไม่เก่งเข้ามามากมายขอแค่ใจรักเป็นพอ ซึ่งการทดสอบครั้งนี้ได้จัดขึ้นเพื่อทดสอบว่าบุคคลที่ไปขอเข้าโดยตรงกับประธานมีใจรักการยิงธนูอย่างแท้จริงหรือไม่

    "ท่าทางมีคันธนูทุกคนสินะงั้นก็..." โคโค้ที่ยังไม่ทันพูดจบรุ่นน้องต่างพากันหยิบคันธนูออกมากันอย่างพร้อมเพรียง

    [เฮอะๆๆ พวกนี้ลูกคนรวยแหงม]

               ไม่แปลกที่โคโค้จะคิดแบบนั้นเพราะธนูทุกคนที่หยิบออกมาเป็นธนูแบบผ่อนแรงโดยมีรอกเป็นตัวผ่อนแรงพร้อมทั้งติดอุปกรณ์ต่างๆมากมายลงไปรวมทั้งอุปกรณ์ช่วยเล็งด้วยซึ่งการติดอุปกรณ์ลงไปในคันธนูก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักเพราะมีขายกันทั่วไปแต่ที่โคโค้แปลกใจคือทำไมใช้แต่คันธนูชนิดผ่อนแรงหมด

    "งั้นทดสอบโดยการ..."[ทำไมพวกนี้รู้ดีกันจริง]

               โคโค้ยังไม่ทันบอกเลยว่าจะทำการทดสอบอย่างไรเหล่านักเรียนหน้าใหม่ต่างพากันเตรียมพร้อมที่จะยิงไปยังเป้าที่แขวนไว้ซะแล้วแถมยังเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกซะด้วย

    "ยิง" น้ำเสียงแห่งความเบื่อหน่ายของรุ่นพี่ปีหกพูดออกมาเป้นสัญญาณให้รุ่นน้องยิงออกไป

    [แม่นอีกแฮะ]

               โคโค้เห็นว่าแต่ละคนที่มาทดสอบก็แม่นพอควรแต่ที่แน่ๆคือคนเหล่านี้น่าจะขาดสิ่งหนึ่งแน่ๆจึงเดินไปหยิบลังกระดาษออกมา

    "ทุกคนต่อไปจะให้ใช้คันธนูนี้ยิงแทนคันธนูที่พวกเธอใช้อยู่" สิ้นคำพูดทำเอารุ่นน้องต่างพากันตะลึงในสิ่งที่โคโค้สั่ง

               คันธนูที่โคโค้ให้เอาไปใช้นั้นคือคันธนูที่ทำมาจากไม้และเก่ามากรวมถึงเป็นของที่ทำเองด้วยมือโดยรุ่นพี่รุ่นก่อนๆที่จบไป

    "อ๋อและก็ยิงไปจนกว่าลูกธนูจะเสียบผ่าซีกซ้อนกันที่เป้าตรงกลางนะ"

               แน่นอนว่าคำสั่งแบบนี้นับว่าเป็นคำสั่งที่บ้าที่สุดเพราะขนาดนักธนูมืออาชีพจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแถมทำด้วยคันธนูที่โทรมๆแบบนี้อีก จึงทำให้รุ่นน้องเกือบครึ่งเดินจากชมรมไปอย่างไม่พอใจทันทีที่ได้ยินคำสั่งนี้แต่ยังคงมีคนอยู่ต่อและจะทำโคโค้จึงเปิดลังไม้ที่บรรจุลูกธนูทำจากไม้ให้ทุกคนมาหยิบไปใช้เพราะขืนใช่ลูกธนูที่ทำจากโลหะไม่มีทางผ่าซีกแน่

    "อ้าวยังทดสอบไม่เสร็จอีกเหรอเขาปฐมนิเทศน์จบแล้วนะ"

               ประธานชมรมยิงธนูเดินเข้ามาทักโคโค้อย่างแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมทดสอบนานจังรวมทั้งรองประธานเองก็แปลกใจเช่นกันเนื่องจากปกติโคโค้ทดสอบแปปเดียวก็รู้ผล

    "ท่านประธานมาแล้วหรือครับ ทำไมการทดสอบแปลกจัง" รุ่นน้องปีสี่ที่เข้ามาทดสอบรีบเข้ามาทักทายประธานอย่างเร่งรีบ

    "นายให้พวกเขาทดสอบอะไร" ประธานถามโคโค้

    "ยิงธนูให้ลูกซ้อนแบบผ่าซีก" รุ่นน้องปีสี่รีบตอบทันที

               ความหวังของรุ่นน้องทั้งหลายที่มาทดสอบเริ่มปรากฎเพราะพวกเขามั่นใจว่าประธานต้องเอาเรื่องชายผู้นี้แน่เพราะสีหน้าประธานบ่งบอกได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเขาเองที่จะทดสอบแบบนี้

    "ท่านรองจัดการเรื่องลงทะเบียนเป็นสมาชิกชมรมให้ที" พวกรุ่นน้องต่างพากันรีบเก็บคันธนูลงเมื่อได้ยินประโยคที่รอคอยมานาน

    "เดี๋ยวพวกเธอทดสอบต่อไปก่อนที่จะลงทะเบียนคือคนที่อยู่ด้านนอกโรงฝึก" คำพูดนี้ทำเอาทุกคนผิดหวังจนมีคนเริ่มไม่พอใจอย่างมาก

    "ทดสอบบ้าๆแบบนี้ใครมันจะทำได้ ลองมายิงให้ดูก่อนสิ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากรุ่นน้องซึ่งหลายคนเองก็เห็นด้วย

    "โค..." "ทราบแล้วประธาน" โคโค้ลุกขึ้นและหยิบคันธนูจากลังกระดาษและลูกธนูสองดอกจากลังไม้เดินไปยังช่องยิงที่เป้ายังสะอาดอยู่

    ฉึก! ฉึก!

               เสียงลูกธนูทั้งสองดอกที่ปักลงบนเป้าแทบเป็นเสียงเดียวทำเอารุ่นน้องทั้งหลายต่างได้แค่ยืนอยู่เงียบๆอย่างตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะยิงธนูสองดอกอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วปานกับยิงเพียงครั้งเดียวและแถมทั้งสองดอกยังปักไปยังจุดเดียวกันโดยมีดอกที่สองยิงผ่าซีกดอกแรกด้วย

    "ทีนี้คงไม่มีข้อโต้แย้งกันแล้วสินะ" ประธานพูดกับรุ่นน้องซึ่งพวกเขาก็หันกลับไปทำตามคำสั่งเดิมต่อ

               เสียงฝีเท้าเดินเข้าและเดินออกจากโรงฝึกพร้อมกับเสียงของสายธนูและลูกที่ปักลงบนเป้าแทบเป็นเสียงเดียวกันเพราะแน่นอนว่าพวกรุ่นน้องที่ทำตามคำสั่งบ้าๆอย่างเอาเป็นเอาตายย่อมไม่พอใจที่จู่ๆมีคนเข้ามาเป็นสมาชิกของชมรมนี้โดยไม่ต้องทดสอบ ซึ่งพอคนจากนอกโรงฝึกที่ลงชื่อเดินเข้ามาข้างในประมาณสองถึงสามคนก็จะมีคนสองถึงสามคนเดินออกไปเช่นกันเพราะเบื่อการทดสอบแบบนี้จนกระทั่งสมาชิกหน้าใหม่ที่ท่านประธานและท่านรองไปแสวงหาลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วก็ยังคงมีคนที่ทำการทดสอบอยู่เพียงสองคนคือหนึ่งชายและหนึ่งหญิงแต่สุดท้ายหนึ่งชายก็ทนไม่ได้และเดินออกไปขณะที่ท่านรองกำลังแนะนำสมาชิกรุ่นเก่าให้รุ่นใหม่ฟัง

    "เธอคนนั้นหยุดทดสอบได้แล้วล่ะ" โคโค้บอกกับเธอซึ่งเธอเองก็ยังคงพยายามยิงต่อไป

    "จะทดสอบต่อทำไมเมื่อเธอผ่านแล้ว" ประธานพูดกับเธอซึ่งคำพูดนี้ทำเอาเธอตกใจและหันมาหาประธานด้วยสีหน้างุนงง

    "ท่านรองรีบพาหน้าม้ากลับไปได้แล้วมั้ง" โคโค้พูดกับรองประธานซึ่งสมาชิกหน้าใหม่ก็ต่างพากันเดินออกไปจากโรงฝึกภายใต้การนำของรองประธาน

    "ที่ว่าผ่านแล้วหมายความว่ายังไงคะ" เธอยังคงงงอยู่ว่าเพราะอะไรเธอจึงผ่าน

    "ทดสอบที่หมอนี่มันทำคือทดสอบว่าเธอรักการยิงธนูจริงหรือเปล่าแค่นั้นเอง" ประธานพูดพร้อมเขกหัวโคโค้อย่างแรงทีนึง

    "เธอเองก็รีบมาทำแผลเถอะ" โคโค้พูดพร้อมหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมาจากหลังลังไม้

               เธอเดินเข้ามาหาโคโค้พร้อมยื่นมือที่มีบาดแผลจากการยิงธนูอย่างต่อเนื่องซึ่งโคโค้เองก็พยายามทำแผลให้เธออย่างเบามือที่สุด

    กรี้ง~~~

    "ขอโทษ"

    "ไม่เป็นไรคะ"

               โคโค้ที่จะทำแผลให้กับเธออย่างเบามือที่สุดก็ต้องพลาดเมื่อเผลอกดเธออย่างแรงเพราะตกใจจากเสียงกระดิ่งสัญญาณว่าหมดเวลาในการหาชมรมเข้าไปอยู่แล้ว

    "ว่าแต่โรงเรียนนี้แปลกจังนะคะ" เธอพูดกับโคโค้ขณะเขากำลังใช้ผ้าพันแผลให้เธออยู่

    "ก็ไม่มากนักเพราะที่โรงเรียนนี้เปิดโอกาสให้แต่ละชมรมหาสมาชิกเพิ่มอย่างเต็มที่ในวันปฐมนิเทศน์ อ่ะเสร็จแล้ว"

    "ขอบคุณคะ"

    "เธอเองรีบกลับเข้าห้องเรียนเถอะนะเพราะกำลังจะเริ่มวิชาแรกแล้ว" ประธานพูดกับสมาชิกใหม่พร้อมกับยื่นกระดาษให้เธอแผ่นนึง

    "ตอนเลิกเรียนเอามาส่งด้วยล่ะ" โคโค้พูดกับเธอและเดินออกจากโรงฝึกไปพร้อมกับประธานโดยปล่อยให้เธอนั่งอยู่ตามลำพังในโรงฝึก

    "ทำไมเธอยังไม่ออกมาอีกล่ะ" โคโค้พูดพร้อมกับจะเดินเข้าไปเรียกเธอ

    "ช่างเถอะคงกำลังร้องไห้เพราะดีใจที่เข้าได้แล้วมั้ง"

    "เฮ้ยร้องไห้เลยเรอะ" โคโค้ไม่อยากเชื่อกับคำพูดนี้ซักเท่าไหร่

    "ก็เธอคนนั้นเป็นเด็กนักเรียนทุนและทุนจะถูกยกเลิกหากเข้าชมรมยิงธนูไม่ได้รวมถึงเมื่อไหร่ที่โดนไล่ออกก็โดนยกเลิกทุน"

    "และถ้าเกิดเธอโดนยกเลิกทุนก็จะต้องออกจากโรงเรียนเพราะบ้านเธอจนมากใช่ไหมล่ะ"

    "นายเองก็รู้นี่นา"

    "เปล่าเดาเอาและท่าทางนายจะเอ็นดูเธอมากเลยนะ" โคโค้พูดย้อนด้วยน้ำเสียงแฝงเล่ห์นัย

    "เอ็นดู จะบ้าเรอะ"

    "แต่ฉันจำได้แน่ๆว่าคันธนูที่เธอใช้เป็นของนาย" คำพูดนี้ทำเอาประธานแก้ต่างไม่ออก

    "งั้นนายก็..." "อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครสินะ รู้แล้วน่าเพื่อน" โคโค้พูดอย่างรู้ใจเพื่อนสนิท

               ทั้งสองเมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนก็ต้องพบกับสิ่งน่าเหลือเชื่อขึ้น

    "เกิดอะไรขึ้นเหรอท่านรอง" โคโค้ทักรองประธานที่นั่งอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว

    "ฟังดูอาจตลกนะ คือนอกจากพวกเราสามคนที่ได้อยู่ห้องเดียวกันแล้วเพื่อนร่วมห้องคนอื่นโดนพักการเรียนหมด" ท่านรองพูดพร้อมกับชี้นิ้วให้ทั้งสองคนหันไปอ่านใบประกาศที่ประตูห้องเรียนซึ่งสิ่งที่เขียนในใบประกาศนั้นคือรายชื่อนักเรียนที่โดนพักการเรียน

    "แล้วแบบนี้ท่าทางจะสบายไปสองเดือนเลยสินะ" โคโค้หันไปพูดกับประธานเมื่ออ่านใบประกาศจบ

    "ก็เล่นไปก่อเรื่องขนาดนั้นโดนพักสองเดือนอาจน้อยไปด้วยมั้ง" ประธานพูดพร้อมเดินไปจับจองที่นั่งมุมดีๆของห้อง

               การเรียนในวันแรกอาจเรียกได้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่สร้างความแปลกใจกับอาจารย์ทุกท่านมากพอสมควรเนื่องจากการสั่งพักการเรียนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนค่ำจึงยังไม่มีอาจารย์ท่านใดรู้เรื่องนี้เลยนอกจากอาจารย์ใหญ่และจะเข้าประชุมในเย็นวันนี้เพื่อพิจารณาว่าจะลดโทษหรือเพิ่มโทษกับนักเรียนกลุ่มนั้นอย่างไรดี

    "น่าเบื่อเลยนะวันนี้หนะ" โคโค้บ่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    "แล้วปกตินายเรียนด้วยเหรอ" ประธานพูด

    "เห็นปกติเอาแต่แต่งนิยายเวลาเรียนนี่นา" รองประธานเองก็เห็นด้วย

    "แต่งวดนี้ฉันขอชนะตามเดิมนะ" โคโค้พูดพร้อมกับปล่อยลูกธนูดอกสุดท้ายออกไป

               ทั้งสามคนต่างพากันทำเอาสมาชิกเก่านั่งมองอย่างตะลึงและสมาชิกใหม่อีกหนึ่งที่ผ่านการทดสอบงุนงงกับการโชว์ฝีมืออดีตตัวแทนที่เคยไปแข่งยิงธนูระดับประเทศในประเภทเยาวชนโดยส่งไปในนามของโรงเรียน

    "ใครอยากลองแสดงฝีมือบ้างเอ่ย" โคโค้ลองถามรุ่นน้องดูแต่ไม่มีใครซักคนกล้าออกมาเลยเพราะรุ่นพี่ปีหกทั้งสามเมื่อกี้ต่างประลองฝีมือในการยิงลูกธนูให้ซ้อนกันแบบผ่าซีก

    "ไม่มีใครอยากออกมางั้นก็เรียงตามรายชื่อเลยละกัน" ประธานหันหน้าไปหาท่านรองเป็นสัญญาณว่าให้เริ่มฝึกซ้อมได้แล้ว

               รุ่นพี่ปีหกของชมรมยิงธนูมีอยู่เพียงแค่สามคนซึ่งทั้งสามนั้นยังคงทุ่มเทกับการฝึกฝนและดูแลรุ่นน้องทำให้บรรยากาศต่างกับชมรมอื่นที่ปกติปีห้าต้องฝึกและปีหกแค่เป็นพี่เลี้ยงเพราะต้องเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งพวกปีห้าแน่นอนว่าไม่ค่อยชอบที่จะถูกฝึกอย่างหนักแทนที่จะไปดูแลรุ่นน้องแต่ต้องยอมรับว่าฝีมือตนไม่ถึงขั้น อย่างไรก็ดีพวกปีห้าทั้งหลายต่างไม่รู้ตัวกันเลยว่ารุ่นพี่ของตนพยายามถ่ายทอดเทคนิคให้มากที่สุดผ่านการฝึกเพื่อให้ไปสอนรุ่นน้องต่อไปภายหน้า

    "จะว่าไปรุ่นพี่โคโค้รู้สึกเก่งกว่าประธานอีกนะทำไมถึงไม่ได้เป็นประธานล่ะ" รุ่นน้องปีสองคนหนึ่งพูดขึ้นมากับเพื่อนข้างๆโดยหารู้ไม่ว่าคำพูดที่ตนพูดออกมานั้นได้ยินกันทั่วทั้งโรงฝึก

    "เพราะว่าโคโค้เขายิงแม่นอย่างเดียวไง" รองประธานกระซิบตอบข้างหูเธอเบาๆพร้อมกับจดบันทึกคะแนนของเธอ

               อย่างที่รองประธานพูดโคโค้ถึงแม้เก่งมากแต่ทว่าเขามีดีแค่ยิงแม่นและต่อเนื่องแต่เรื่องการติดต่อกับภายนอกรวมทั้งงานบริหารไม่ได้เรื่องเนื่องจากเป็นคนที่ค่อนข้างเฉยๆต่อเรื่องต่างๆโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนซึ่งขาดคุณสมบัติของประธานในการดูแลสมาชิกทุกคนไป

    "เทคนิคการยิงสองดอกติดกันรึ"

    "ครับ"

               รุ่นน้องปีห้าสามคนเดินเข้ามาขอให้โคโค้สอนเทคนิคการยิงสองดอกติดต่อกันกับโคโค้ซึ่งเรียกได้ว่ามันเป็นเทคนิคที่โคโค้ใช้เวลามานานมากในการฝึกฝนจนเรียกได้ว่ามันคือรูปแบบการยิงพิเศษของตนก็ว่าได้

    "ขอมาก็จัดให้" คำตอบนี้ทำเอารุ่นน้องทั้งสามดีใจจนแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

    "แต่สอนครั้งเดียวแล้วไปฝึกกันเองล่ะ"

               โคโค้เดินเข้าไปในช่องยิงพร้อมกับขอยืมคันธนูกับหยิบคันธนูของตนออกมาเตรียมพร้อม ขณะเดียวกันรุ่นน้องหลายคนต่างรีบเดินเข้ามาฟังเทคนิคนี้

    "ขอเตือนก่อนนะว่าเวลาจะฝึกเทคนิคนี้สวมถุงมือและใส่เกราะอกด้วยไม่งั้นบาดแน่" โคโค้บอกตำเตือนจบก็หยิบธนูทั้งสองดอกออกมาและค่อยๆขยับอย่างช้าๆทีละสเต็ปโดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำ

    ฉึก! ฉึก!

    "ก็แค่นี้แหละ"

               สิ้นสุดการอธิบายแบบไร้คำพูดของโคโค้นั้นทำให้รุ่นน้องเข้าใจและรีบลองแต่ทว่ากลับไม่มีใครที่เอาไปใช้แล้วทำได้เลยรวมทั้งได้ของแถมมาด้วยคือสายธนูบาดมือหรือถูกลูกแทงเข้าที่มือของตน

    "นายคิดว่าควรสอนเทคนิคนั้นแล้วรึ" รองประธานเดินมาถามโคโค้

    "ก็รุ่นน้องขอมา" โคโค้ตอบง่ายๆ

    "นั่นสินะ รุ่นพี่ที่ดีก็ควรให้แต่เทคนิคนี้อันตรายนายก็รู้ดีอยู่นี่" รองประธานแสนเยือกเย็นเริ่มแสดงอารมณ์ออกมานั่นหมายถึงลางร้ายสำหรับโคโค้

    "ใช่มันอันตรายเพราะอาจโดนบาดถูกเส้นเลือดใหญ่ตรงข้อมือได้" คำพูดที่ทำเป็นเหมือนไม่ใช่เรื่องของตนยิ่งทำให้รองประธานมีน้ำโหมากขึ้นในสายตาคนอื่นแต่หากเป็นเช่นนั้นไม่

    "อืม ทีหลังเตือนคนอื่นเรื่องนี้ด้วยล่ะ" คำพูดที่แสนผิดคาดทำเอารุ่นน้องทั้งหลายพากันงงเพราะนึกว่าจะเกิดมวยสดซะแล้ว

               และแล้วการฝึกที่ชมรมก็จบลงด้วยการที่โคโค้ต้องเป็นคนทำความสะอาดโรงฝึกในขณะที่สมาชิกคนอื่นกลับกันหมดแล้ว ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการลงโทษที่ไม่ยอมบอกอันตรายของเทคนิคที่ตนสอนไป ซึ่งโคโค้เองก็รู้สึกดีซะอีกทีได้กลับมาทำความสะอาดโรงฝึกเพราะล่าสุดที่ตนถูกพื้นโรงฝึกนี่ก็ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้ว

    [คิดถึงวันเก่าๆจัง] โคโค้พลางระลึกถึงวันเก่าๆขณะถูพื้นไปอย่างเรื่อยๆโดยหารู้ไม่ว่าข้องนอกโรงฝึกมีคนกำลังยืนรออยู่ถึงสองคน

               หลังจากโคโค้จัดการทำความสะอาดเรียบร้อยก็ลงนอนไปบนพื้นโดยไม่สนใจว่าพื้นที่ตนนอนลงไปยังไม่แห้งพร้อมทั้งยืนมือขวาชูออกไป

    [นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้มาทำเรื่องแบบนี้] โคโค้ยังคงจำได้ว่าวันแรกที่ตนมาลงชื่อเป็นสมาชิกชมรมคนอื่นต่างล้อชื่อของตนที่แปลกประหลาดแต่ถึงกระนั้นมีคนอยู่สองคนที่ไม่ได้ล้อเลียนเขาทำให้โคโค้คิดว่าสองคนนี้น่าสนใจ และในปัจจุบันเขาทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาหรือก็คือประธานและรองประธานชมรมยิงธนูในปัจจุบันนั้นเอง

    "เออ นี่คือ" โคโค้ที่ออกมาจากโรงฝึกกลับเจอสองสาวรุ่นน้องยืนรอหน้าโรงฝึกโดยคนหนึ่งยื่นจดหมายสีชมพูมาให้เขา

    "ต้องอ่านนะคะ" เธอพูดจบก็ลากแขนเพื่อนของเธอวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    [แบบนี้จดหมายรักแหงมๆ]

               ทันทีที่โคโค้กลับถึงบ้านก็รีบตรงดิ่งเข้าห้องของตนเพื่ออ่านจดหมายสีชมพูฉบับนั้นซึ่งข้างในจดหมายเล่นเป็นแผ่นดิสก์ทำเอาโคโค้ต้องเซ็งเพราะวันนี้เขากะไม่เปิดคอมเพื่อที่จะได้นอนแต่หัวค่ำเนื่องจากนิสัยเสียของโคโค้คือเปิดคอมเมื่อไหร่จะไม่ยอมออกมาจากคอมจนกว่าจะแต่งนิยายไม่ออก

    [เออ มีของแถมด้วยรึเนี่ย]

               โคโค้ที่เสียบแผ่นดิสก์ลงไปพบว่าแผ่นมีไวรัส แต่ก็ตัดสินใจที่จะเปิดไฟล์โดยจัดการกับไวรัสก่อนซึ่งผิดจากปกติที่ตนจะลบไฟล์ทิ้งเลยโดยทำเป็นไม่สนใจ

    [แค่จดหมายรักเนี่ยนะจะยอมเสี่ยงให้คอมเจ้งรึและจดหมายรักที่ไหนเขาจะเล่นแถมไวรัสมาให้หรือแกเห็นใจที่เขามารออยู่ตั้งนานจนสองทุ่ม] โคโค้ที่สับสนและพยายามหาคำตอบก็ตัดสินใจลืมๆมันไปและอ่านสิ่งที่เธอให้มา

               ภายในจดหมายรักไฮเทคนั้นเต็มไปด้วยบันทึกประจำวันของเธอคนนั้นและจากการอ่านบันทึกไปเรื่อยๆทำให้โคโค้ยิ่งมั่นใจว่าเธอคงแอบชอบเขามานานมากแล้วแต่ไม่กล้าเข้ามาบอกซึ่งโคโค้เองก็ไม่รอช้า ทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและส่งอีเมล์ให้กับเธอไปตามเมล์ที่เธอให้มาด้วยประโยคสั้นๆว่า [เรามาเริ่มจากการเป็นเพื่อนก่อน] ซึ่งอีกนัยนึงคือประโยคปฏิเสธนั่นเองแต่เป็นประโยคที่ยังให้ความหวังเอาไว้อยู่

    "พรุ่งนี้แล้วสินะ" โคโค้พลางนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่ตนต้องไปเข้าฟังผลว่าใครจะได้รับรางวัลจึงรีบเข้าไปนอนโดยที่พยายามตัดใจปิดคอมลงด้วยความรู้สึกฝืนใจ

               เช้าวันใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นโดยไร้เสียงนาฬิกาปลุก โคโค้ที่ตื่นขึ้นมาต้องหรี่ตาลงเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ส่งเข้ามากระทบตาตนเนื่องจากเมื่อคืนลืมปิดม่าน

    "เฮ้ยสายแน่" โคโค้ตะโกนออกมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้มันเก้าโมงแล้วซึ่งงานเริ่มตอนสิบโมง

               สุดท้ายโคโค้ก็สามารถมางานได้ทันเวลาเปะด้วยชุดนักเรียนเพราะกะว่างานเลิกจะกลับไปเรียนต่อ ภายในงานนี้เต็มไปด้วยนักประพันธ์นวนิยายชื่อดังมากมายซึ่งกิจกรรมพิเศษในงานคือการมอบรางวัลแก่นักเขียนมือใหม่ หากใครสามารถได้รับรางวัลในการประกวดย่อมหมายถึงการก้าวเข้าสู่มืออาชีพและปีที่แล้วโคโค้เองก็ลงประกวดเหมือนกันแต่ทว่ารางวัลชนะเลิศของตนเป็นรางวัลร่วมกับคนอีกคนหนึ่งและปีนี้โคโค้จึงลงประกวดอีกครั้งและครั้งสุดท้ายเนื่องจากงานนี้ให้สำหรับนักเขียนเยาวชนที่อายุไม่เกินสิบแปดปี ด้วยผลงานใหม่ที่ตนลงทุนไปเก็บข้อมูลตลอดปิดเทอมด้วยการไปสัมผัสสถานที่จริง

    "สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ถึงเวลาสมควรแล้วที่จะมอบรางวัลแก่ผู้ที่ชนะการประกวดนวนิยายนักเขียนเยาวชนครั้งที่ยี่สิบสาม" พิธีกรกล่าวกับแขกทุกท่านพร้อมทั้งชูซองจดหมายสีขาวในมือของตนให้ทุกคนเห็นชัดๆ

    "ขอเชิญคุณโคโค้ เอลาเมนต์ ผู้ที่ได้รับรางวัลปีที่แล้วมาเป็นผู้ประกาศชื่อของนวนิยายที่ผ่านการประกวดนะครับ"

               โคโค้ที่ได้ยินพิธีกรพูดแบบนั้นก็เดินออกไปข้างหน้าและเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ ความเงียบสงบที่คืบคลานเข้ามาในห้องจัดงานทำเอาโคโค้เองก็เครียดว่าตนจะชนะไหม และถ้าชนะจะประกาศไงล่ะเพราะมันคือชื่อของตน แต่ทว่าพอตนรับซองจดหมายมาก็รีบเปิดออกโดนยังคงรักษามารยาทและรีบอ่านข้อความที่อยู่ในนั้นทันทีโดยไม่สนว่ามันเขียนอะไร

    "นิยายที่ชนะการประกวดคือเรื่อง การเดินทางของสายลม ผู้ส่ง..."

    [เฮ้ย ชื่อเรื่องคุ้นๆนะ]

    "ใช่แล้วครับคุณโคโค้ คุณคือผู้ชนะการประกวดครับ" พิธีกรประกาศออกทางไมค์ซึ่งทันทีที่ประกาศออกไปก็เกิดเสียงปรบมือลั่นห้องจัดงาน

               โคโค้ที่ดีใจกับการชนะครั้งนี้อ่านใบประกาศผลอีกครั้งก็มีแต่ชื่อของตนเพียงคนเดียว ไม่มีชื่อคนอื่นอยู่ด้วยทำให้เจ้าตัวรู้สึกดีใจจนไม่ได้ยินเสียงปรบมือที่ดังสนั่นนี้ แต่เสียบปรบมือต้องจบลงด้วยเสียงกระแทกประตู

    "แกตายซะเถอะ" ชายที่เปิดประตูเข้ามาถือกล่องของขวัญสีแดงใบหนึ่งซึ่งทันทีที่เห็นหน้าโคโค้ก็จำได้ว่าคือชายที่ส่งต้นฉบับไม่ทัน

               ชายคนนั้นปากล่องมายังเวทีซึ่งแขกทุกคนต่างพากันวิ่งเพราะใครก็เดาว่าในนั้นคือระเบิดแต่โคโค้ก็ไม่เข้าใจว่าถ้านั่นคือระเบิดทำไมต้องโยนแบบนี้ปกติเขาต้องส่งมา แต่พอโคโค้เห็นว่าชายคนนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เดาได้เลยว่าในนี้มันระเบิดแบบสั่งด้วยมือถือจึงรีบคว้ากล่องเพื่อโยนกลับแต่สายไปแล้ว

    บรึ้ม!

               แรงระเบิดทำเอาห้องทั้งห้องกลายเป็นทะเลเพลิงแต่ทว่าตาของโคโค้ที่ปิดลงเมื่อเปิดขึ้นกลับพบว่าห้องเปลี่ยนไป ผนังห้องจัดงานที่เต็มไปด้วยสีสันกลายเป็นผนังหินแตกๆ พื้นที่ตนนอนอยู่ก็เป็นพื้นหิน คนต่างๆก็หายไปหมดเหลือเพียงแค่คนสองคนในชุดแปลกๆซึ่งทั้งสองกำลังสนทนาด้วยภาษาที่ตนไม่รู้จัก

    เพี้ย!

               ทันที่ที่โคโค้จะลุกขึ้นก็ต้องล้มลงเมื่อโดนแส้ที่ฟาดลงไปที่พื้นเฉี่ยวขาของตน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมสั้นในชุดแปลกตาเข้ามาใกล้ตนพร้อมทั้งเอามือมาแตะที่แผลซึ่งแผลของโคโค้ก็เริ่มสมานตัว

    <ไม่ต้องตกใจนะ เธออาจจะฟังเราไม่รู้เรื่องแต่ฉันสามารถพูดคุยกับเธอโดยตรงได้ ตอนนี้เธอคงกำลังรู้สึกแปลกๆสินะ ไม่ต้องกลัว> เสียงของผู้หญิงที่ดังก้องเข้ามาในหัวทำให้โคโค้ยิ่งสับสนว่าตอนนี้เกิดอะไรกันแน่

               และเมื่อแผลของโคโค้ปิดสนิทเธอก็ลุกขึ้นไปสนทนากับอีกคนซึ่งโคโค้พยายามฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันเพราะภาษาที่ใช้มันแปลกๆจึงลองสำรวจรอบๆพบว่ากระเป๋านักเรียนติดมาด้วย

    <ขอโทษนะ แต่ช่วยตามชั้นมาหน่อยนะ> เธอเดินกลับมาจูงมือโคโค้ให้เดินตามเธอไปซึ่ง

    โคโค้ก็ตามไปแต่โดยดี

               ทางเดินที่เป็นบันไดหินและผนังที่ติดคบเพลิงเพื่อเป็นแสงให้กับทางเดินทำให้โคโค้รู้สึกว่าตนหลุดมาในโลกแฟนตาซีรึไงเพราะมันคงไม่ใช่ความฝันแน่เนื่องจากความเจ็บจากแส้เมื่อกี้นี้มันแสบไม่ใช่เล่น

    <ขอโทษนะช่วยรออยู่ในนี้ก่อนนะเดี๋ยวฉันจะกลับมาสอธิบายให้เธอฟัง> เธอพาโคโค้มายังห้องใต้ดินที่เต็มไปด้วยห้องขังซึ่งแต่ละกรงเต็มไปด้วยสัตว์แปลกตามากมาย

               โคโค้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ข้างในแต่โดยดีเพราะขัดขืนไปก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างและมันคงเป็นหนทางที่แสนโง่ด้วย

    <ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก>

               เธอจากโคโค้ไปกับหญิงอีกคนที่ดูน่าเกรงขามซึ่งคำพูดสุดท้ายก่อนจากทำให้โคโค้เริ่มลองคิดดูก็พอเดาเอาว่าเธอคงสามารถพูดคุยกับตนได้เมื่อสัมผัสกับตนและอาจเป็นคนเดียวที่สื่อสารกับตนได้ในขณะนี้

    เพี้ย!

    "ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย" โคโค้ที่สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นพลางลูบหน้าที่ตนเพิ่งตบไปโดยยังคงความคิดว่านี่มันไม่ใช่ฝันแน่ๆเพราะตบเมื่อกี้เจ็บไม่เบา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×