ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #9 : อดีตที่ผูกพัน-ยามไกล (อดีต-ปัจจุบัน) อาหมิ่นลี่ - หทัยภัทร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 340
      0
      17 ต.ค. 63



       

    ตอน อดีตที่ผูกพัน


     
    ….เมื่อหทัยภัทรกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเลยพลบค่ำ ล่วงเข้ายามสองไปแล้ว จันทร์บนฟ้าเพิ่งลอยเด่นเหนือหัว...กำลังเปล่งแสง ฉายรัศมีอวดเดือน หญิงสาวเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามา เจ้าแฟรงค์ สุนัขพันธุ์ฝรั่งตัวเล็กน่ารัก อายุเพียงไม่กี่เดือน ที่เธอเลี้ยงไว้ วิ่งกรูเข้ามาหาอย่างดีใจ มันส่งเสียงเห่าทักทายเอ็ดอึง แต่ครั้นพอหญิงสาวก้มลง เอามือตบที่หลังมันเบาๆ พลางลูบหัวอย่างปราณี  มันก็เงียบเสียงลงทันที 
     
    หญิงสาวจัดแจงถอดรองเท้าคู่โปรด แล้วนำไปวางไว้บนชั้นวางรองเท้า ตรงริมประตูบ้านนั่นเอง...
     
    อันที่จริงที่นี่ก็คือบ้านเดิมของเธอนั้นเอง แต่เจ้าอาร์ทผู้พี่ได้ทำการรื้อถอน ปรับปรุงต่อเติมใหม่หมด แถมซื้อที่ดินว่างเปล่าบริเวณใกล้เคียงไว้หลายตารางวา เพราะต้องการขยายบริเวณเนื้อที่บ้านให้กว้างขึ้น เจ้าอาร์ทเป็นนักศิลปะ มีอารมณ์กวี รักอิสระเสรี หลงใหลในสถาพแวดล้อมแบบธรรมชาติและป่าเขาที่เงียบสงบร่มรื่น เขาไม่ชอบเมืองหลวง แต่อยากมีชีวิตใกล้กับธรรมชาติ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ของต่างจังหวัด เลยคิดลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ไปตลอด...ส่วนหทัยภัทรเมื่อเรียนจบ ก็ได้ย้ายไปอาศัยอยู่กับมารดาและบิดาที่บ้านปลูกใหม่ในกรุงเทพ เพราะที่ทำงานของเธออยู่ที่นั่น....
     
    “อ้าว...พี่อาร์ท ไหงมานอนแผ่อยู่นี่ล่ะคะ คุณแม่ไปไหน” เอ่ยทักเจ้าคนพี่ที่กำลังนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์ในบ้าน...
     
     
    ....หญิงสาวคิดว่าแปลกไป ที่วันนี้พี่เธอกลับอยู่ดึกกว่าเคย ปกติหลังเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เขาจะไม่คิดทำสิ่งใดอีก นอกจากเก็บตัวเงียบเชียบ รีบเข้านอนเสียแต่หัวค่ำ เพี่อเก็บแรงกายไว้ตื่นขึ้นมาวาดภาพอีกทีในตอนเช้ามืด-เช้าตรู่ เขาชอบนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่เฉลียงบ้าน รับลม ชมทิวไม้ ทุ่งหญ้า ฟังเสียงหมู่สกุณา เก็บภาพของเมฆขาวตอนฟ้าแผ้ว เก็บแสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ในยามเช้า ไว้เป็นโลเกชั่นสำหรับงานวาดของเขาเสมอ...
     
     “อืม...กลับมาแล้วเหรอจ๊ะกวาง คุณแม่น่ะ รอเธอจนหลับไปแล้วนะ บอกพี่ด้วยว่าถ้ากวางมา ให้ปลุกท่าน”
     
    เจ้าอาร์ทรีบบอกน้องสาว ถึงผู้เป็นมารดาที่เพิ่งกลับมาจากการทำวิปัสสนาที่วัด เมื่อช่วงสามทุ่ม
     
    “ให้คุณแม่หลับให้สบายเหอะค่ะ มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ อย่าไปรบกวนใจท่านเลย”
     
    “แล้วทำไมพี่เองถึงยังไม่นอนล่ะคะ ปกตินอนเร็วนิ ยังไม่ง่วงอีกเหรอ... ดูทีวีดึกเชียวนะ” 
     
    “พี่ก็รอน้องไง เป็นห่วง เลยดูทีวีฆ่าเวลาไปพลางๆ ก่อนจ้ะ” อาร์ทพูดพลางเอามือปิดปากหาวบิดขี้เกียจสักสองสามที พอได้สบายตัว จึงผลุนลุกขึ้นจากโซฟา รีบตรงมา คว้าตัวน้องสาวสุดที่รักไปกอดอย่างรักใคร่เอ็นดู
     
    “เป็นไงบ้าง กาแฟร้านเปิดใหม่ใช้ได้ไหม ว่างๆ พี่จะพาเพื่อนไปดื่มบ้าง”
     
    “โอเคเลยคะ รสนุ่มมาก แล้วก็อาหารว่างหลายอย่าง ก็น่าทาน” หญิงสาวเล่าอย่างอารมณ์ดี
     
    “ไม่เห็นพาเพื่อนใหม่มาให้พี่รู้จักบ้างเลย พี่จะไปรับที่ร้านกาแฟก็ไม่ยอม” หทัยภัทรสะดุ้งนิดหนึ่ง นึกไปถึงเจ้าของรถมอเตอร์ไซด์สีน้ำเงินคันงาม ที่เพิ่งแยกจากเธอไปเมื่อครู่ ถ้าบอกว่าไปกับเจ้าดรีม คงต้องโดนพี่ของเธอสวดยาวทั้งคืนแน่ 
     
    “ก็...เอ่อ... เมื่อกี้กวางก็ชวนเขาเข้าบ้านมานะ เขาอยากมาไหว้พี่อาร์ท แต่เขาขี้อายน่ะคะ เลยไม่กล้ามา”
     
    “อย่างนี้ก็มีด้วยนะ แต่เอาเหอะ วันหลังชวนเขามาบ้านเราสิจ๊ะ พี่จะทำอาหารเลี้ยงเขา” 

    หทัยภัทรหยิบถุงน้ำเต้าหู้สามถุงที่เจ้าดรีมซื้อมาให้ ยกขึ้นอวดพี่ของเธอ แล้วก็ชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อย...

     
     
    “เขามีน้ำใจนะคะ นี่ไง.. ซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากพี่อาร์ทด้วยล่ะ” เจ้าหล่อนว่าพลาง เดินไปหยิบแก้วกระเบื้องเคลือบเปล่าใบหนึ่งที่โต๊ะอาหาร แล้วแกะยางมัดถุงน้ำเต้าหูออก ค่อยๆ รินมันอย่างระมัดระวัง นำไปให้พี่ของเธอได้ดื่มที่โต๊ะรับแขกหน้าบ้าน...ส่วนอีกถุงหนึ่งเก็บแช่ไว้ในตู้เย็น เพื่ออุ่นให้มารดาได้ดื่มตอนเช้าๆ หลังตื่นนอน เพราะเจ้าดรีมสั่งเสียมาแบบนั้น
     
    “ค่อยๆ ดื่มนะคะ พี่อาร์ท มันร้อนน่ะค่ะ”
     
    “อืม...ดีเหมือนกัน ได้ดื่มอะไรร้อนๆ ก่อนนอนคงสบายท้อง หลับดี”

    เจ้าอาร์ทยกซดน้ำเต้าหูแก้วนั้นดื่มจนหมด ด้วยความอร่อย เมื่ออิ่มสบาย ก็ทำท่าจะนอนแผ่หลาไปกับพื้นบ้านอีกรอบ พยายามจะข่มตาไม่ให้สะลึมสะลือ เพราะอยากคุยกับน้องนานๆ  แต่ทำไม่ได้ด้วยความง่วงที่เริ่มมาเยือน...
     
    “ฮั่นแน่...พี่อาร์ทของกวางตาปรือแล้ว อย่าฝืนเลย ไปนอนเหอะคะ ส่วนของที่รื้อไว้ เดี๋ยวกวางจัดการเก็บให้เอง”
     
    หญิงสาวมองไปที่กองหนังสือกับแผ่นซีดีที่พี่ของเธอ รื้อออกมาจากตู้ มันถูกวางไว้ระเกะระกะที่หน้าโทรทัศน์ ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็น แล้วได้แต่ยิ้มๆ พลางส่ายหน้าอย่างอ่อนระอา นึกห่วงว่าถ้าเธอออกเรือนไป จะมีผู้หญิงคนไหนมาคอยดูแล จัดบ้านช่องให้เขาแทนเธอ ผู้เป็นน้องสาว...
     
    “เฮ้อ....นี่ตั้งแต่กวางออกไปข้างนอก ยังไม่เก็บอีกเรอะคะคุณพี่ขา...”
     
    “จ๊ะ...คือว่าพี่มันขี้เกียจอ่ะจ๊ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเก็บนะจ๊ะ ไม่ต้องห่วง แหะๆ”

    เจ้าคนพี่หันมามองน้องสาวตัวเอง พลางหัวเราะเก้อๆ ยกมือเกาหัวด้วยความกระดากอาย....


    หทัยภัทธยิ้ม แอบก้มหน้าหัวเราะเบาๆ นึกขันในนิสัยอันเคยชินของพี่ชาย ที่แม้จะโตจนมีการงานทำแล้ว เขาก็ยังมีนิสัยความเป็นระเบียบระบอบ ต่างกันกับเธอ ราวหน้ามือกับหลังมือ...
     
    “อะไรกันนักหนา พวกชายโสดนี่นะ รกกันจริงเชียว เก็บของไม่เป็นระเบียบกันเล้ย....”

    หญิงสาวบ่นไปพลางเก็บของที่พี่เธอรื้อรกไป ไม่นานก็เสร็จ บ้านช่องกลับมาเรียบร้อย เป็นระเบียบ น่ามองดังเดิม ในใจไม่ใคร่จะถือสาอะไรในพี่ของเธอนัก นึกไปในทางเอ็นดูเสียมากกว่า หญิงสาวนึกในใจ พวกหนุ่มโสดมันก็แบบนี้แหละ รกเป็นกิจวัตร ตราบใดที่ยังหาผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนมาจัดแจงให้บ้านเป็นระเบียบเข้าที่เข้าทางไม่ได้ คนที่อาสาเก็บให้ก็คงเหนื่อยอยู่ บ้านก็ไม่ต่างอะไรกับรังหนู เวลาจะเดินที ต้องหาทางแหวกๆ เอา อีตาดรีม เพื่อนรักของเธอ เจ้าก็คงไม่ต่างอะไรกับพี่เธอเช่นกัน...

     
     
    หลังจากราตรีสวัสดิ์ ส่งผู้เป็นพี่เข้านอนไปเรียบร้อยแล้วหทัยภัทร จึงมีเวลาคิดเรื่องของตัวเองบ้าง หญิงสาวอาบน้ำฝักบัวจนรู้สึกเย็นชื่นสบายกาย ทอดตัวเอนกายนอนลงบนเตียงใหญ่หนานุ่มอบอุ่น หยิบรูปถ่ายตั้งโต๊ะที่หัวเตียงมาพิศดู เป็นรูปเก่าๆ สมัยมัธยมของเธอ ที่ถ่ายโดยนายช่างผู้ชำนาญ ถูกหญิงสาวใส่กรอบไม้เก็บรักษาไว้อย่างดี เพื่อชะลอความเก่าแก่ของรูปและกาลเวลาที่ล่วงพ้นไป
    มันคือภาพหมู่ของนักเรียนโรงเรียนทวีศิลป์ทุกคนในห้อง 6/7  ที่ถ่ายไว้ก่อนจบการศึกษา และแจกจ่ายให้กันคนละใบสองใบเก็บไว้เป็นที่ระลึกเวลาคิดถึงเพื่อนๆ และเจ้าหนุ่มน้อยหน้าหยกที่ยืนยิ้มเพียบแป้ลอยู่ข้างกายเธอ จะเป็นใครเสียไม่ได้ นอกจาก "เจ้าดรีมองครักษ์ประจำตัวประจำใจ" เพื่อนตายของเธอ  


    เหตุใดคืนนี้จึงรู้สึกอิ่มใจเป็นพิเศษ เป็นเหตุผลลี้ลับที่เธอเองก็หาคำตอบไม่ได้ ข่าวใหม่ของดรีม อลงกต ที่เล่าให้เธอฟังเมื่อตอนหัวค่ำ ว่าตัวเขาเพิ่งเลิกกับแฟนสาวมาหมาดๆ หลังจากดูใจกันมาหลายปี แต่ค้นพบว่าไปกันไม่ได้ เธอเองจะยินดีหรือยินร้ายกับเขาดีนะ ใจหนึ่งก็อดสงสารเจ้าเพื่อนรักคนนี้เสียไม่ได้ ที่ไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมมารยาของผู้หญิงสมัยนี้จนพาลอกหัก ช้ำรักอยู่บ่อยๆ อีกใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีปรีดา ที่คนอย่างเขา ได้ก้าวข้ามผ่านหลุมพรางแห่งรักที่หลอกลวงของเจ้าหล่อนคนนั้นมาได้
    หทัยภัทรอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ และกระซิบปลอบเจ้าของใจช้ำนั้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า อดทนหน่อยนะดรีม ตอนนี้คุณอาจจะเหงาบ้าง ท้อบ้าง แต่สักวันคุณจะเจอคนที่ดี ที่ดูแลและรักคุณอย่างจริงใจ ผู้หญิงเราไม่ได้ร้ายกาจ โชกโชน เจ้าเล่ห์เหมือนกันไปเสียหมดทุกคน หากเจ้าดรีมของเธอจะยังศรัทธาในรักแท้ รักที่ครั้งหนึ่ง เขาเคยบอกเธอว่า มันเป็นสิ่งสูงค่า น่าถนอม เป็นพรอันประเสริฐของพระเจ้า และเขาเองก็เชื่อมั่นบูชามันนักหนา ถ้าเจ้าหมอนี่ ไม่พาลเอาความผิดหวังขึ้นตั้งหน้า มันก็จะไม่มีเวรมาแทรก แต่สิ่งที่หญิงสาวกลัวใจที่สุดในเพลานี้คือ พิษรักกลัดหนองในอก จะพาลให้มันเกลียดผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้ไปเสียหมด แล้วผลักไสผู้หญิงดีดีไปจากชีวิตมัน โดยไม่มีความไว้วางใจในสตรีเพศหลงเหลืออยู่เลย หากนายทำแบบนั้น นายจะเป็นคนใจแคบและมองโลกในแง่ร้ายอย่างที่สุดเลย ดรีม อลงกต


    ความเป็นเพื่อนรักรู้ใจมาแต่เยาว์วัย ทำให้หญิงสาวตระหนักในความเป็นเขาอย่างดี เจ้าดรีมที่เธอรู้จัก มันเป็นคนอ่อนไหวก็จริง แต่ทว่าเมื่อสลักคำว่ารักแล้วหัวใจมันแกร่ง เหลือเชื่อ เจ้าดรีมมันเป็นชายใจเด็ด เมื่อเสียใจถึงที่สุด มีดที่มือมันเกลือกจะฆ่ามันเองเสียก็ได้ บ่อยครั้ง หทัยภัทรจะได้รับรู้เรื่องราวในชีวิตของดรีม อลงกต ผ่านตัวอักษรที่เขาระบายมาทางจดหมาย เรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องรักที่ลุ่มๆ ดอนๆ ของเขา เธอนึกไปถึงงานเลี้ยงรุ่น ม.6 ที่เหล่าผองเพื่อน รวมตัวกันจัดขึ้น เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว....
     
    +++++++++++++++++
     
    ....ณ ร้านอาหารทะเล ริมป่าชายเลน....


     
    ถูกปิดร้านเป็นการภายในชั่วคราว เพื่อเหมาจ่ายจัดโต๊ะฉลองในชุดใหญ่ราคาพิเศษ ถึงประมาณ 50 กว่าที่นั่ง สำหรับงานเลี้ยงรุ่นสังสรรค์เพื่อนเก่า ร.ร. ทวีศิลป์ เมื่อต่างคนต่างแยกย้ายกันไปนานกว่า 10 ปี กว่าจะหาหนทาง ติดต่อร่วมใจ รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ได้ก็ยากอยู่ ก็ได้อาศัยเจ้าอาร์ท ที่เป็นคนเก่งการสมาคมและผองเพื่อนกลุ่มสนิท ที่รู้จักมักคุ้นกับอาจารย์และนักเรียนเก่าร่วมรุ่นในโรงเรียนทวีศิลป์อยู่มากมาย ได้เป็นแรงติดต่อประสานงานไปยังเพื่อนเก่าๆ ที่พอจะข้องแวะชักชวนมาได้ แล้ว ณ วันนี้ จึงมีทั้งเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องและรุ่นเดียวกัน มาเจอกันค่อนข้างพร้อมหน้า พร้อมตาที่ร้านแห่งนี้  อันเป็นร้านขึ้นชื่อของจังหวัด บ้างอยู่ถึงกรุงเทพ เชียงใหม่ แต่พอได้ข่าวนัดรวมเพื่อน ก็สู้ขับรถมาไกล ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยบางคนที่หายหน้าไป มาไม่ได้ ก็ถูกเพื่อนเก่าที่มาได้ ถามไถ่ โอภาปราศรัย ถึงข่าวสารทุกข์สุข อยากเจอ เป็นธรรมเนียม....
     
     
    อาหารหลายอย่างจากบริกรของทางร้าน ถูกยกเรียงทยอยมาเสริฟ โดยเฉพาะอาหารทะเลหลายชนิด ที่ขึ้นชื่อของทางร้าน กุ้งทะเลอบวุ้นเส้น ปลากะพงนึ่งมะนาว ยำไข่แมงดา ปูไข่ทะเลเผา หมึกย่างอบเกลือ หอยแครงลวก ฯลฯ  และตบท้ายด้วยเหล้าฝรั่งและเบียร์เย็นๆ รวมทั้งไวน์องุ่น เป็นเครื่องดื่มอย่างดีในการเพิ่มรสชาติความอร่อยให้กับอาหารสดคาวจากทะเล
     
    “อยากสั่งอะไรสั่งมาเลยเต็มที่ วันนี้เราจะหารกัน ถ้าเกินงบ ฉันจ่ายให้”

    เจ้าคนต้นคิดคนหนึ่ง หันไปบอกเพื่อนร่วมรุ่นที่มาด้วยกันอย่างร่าเริง ลำพองใจ อันนี้ถึงจะกลุ่มใหญ่ก็จริง แต่ก็ยังแบ่งเป็นสัดส่วน กล่าวคือ พวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย ที่มาของเขาก็ส่วนหนึ่ง มาไกลบ้างใกล้บ้าง ก็จับกลุ่มตั้งวงเสวนาเรื่องสุรา นารี ปลาปิ้ง กันอย่างออกรส ส่วนพวกเพื่อนสาวๆ ที่มาด้วยกัน ก็อีกส่วนหนึ่ง ปล่อยพวกเธอให้นั่งคุยสัพเพเหระ เล่าทุกข์สุข เล่าเรื่องคนรัก ตามประสาหญิงของพวกเธอไป....
     
    “แหม....หัวหน้าวงโยธวาทิตแห่งทวีศิลป์ ของเรานี่ช่างใจกว้างเกินแม่น้ำเสียจริง”

    เจ้าอาร์ท รุ่นพี่ว่าพลางหัวเราะกังวานคออย่างชอบอกชอบใจ  รีบกวักมือเรียกพนักงานเสริฟเด็กสาวรุ่นคนสวย ที่ยืนหน้าแฉล้ม รอการเรียกใช้จากลูกค้ามาใกล้ๆ ตัว
     
    “พี่ขอแหนมกับถั่วมาแกล้มเหล้าหน่อยสิจ๊ะ น้องจ๋า...”
     
    เจ้าอาร์ท ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีของงาน พอเลยแก้วสองคอสุราไป ก็ชักจะพูดจาอ้อแอ้ ไม่ได้ศัพท์ แม้จะถูกปรามจากน้องสาวคนดีว่าให้เพลาๆ ลงหน่อย ก็ยังไม่วายยกดื่ม ยกดื่ม กรอกคอได้ง่ายดายเหมือนรินน้ำเปล่าก็มิปาน ไม่นานนัก ก็มีกับแกล้มอย่างดีมาวางบนโต๊ะ 3-4 อย่าง ตามความชอบอกชอบใจ ของเพื่อนๆ ที่พิศมัยน้ำจันท์......
     
    “จะไม่ใจกว้างได้อย่างไรกันเล่าพี่อาร์ท ไอ้ก้องมันรักน้องสาวเขา ก็ต้องเอาใจคนพี่เขาเป็นธรรมดาด้วย”
     
    เจ้าเจน เพื่อนคนหนึ่งในวงเหล้าออกปากเย้าอย่างครึกครื้น เลยฮาขึ้นครืนใหญ่พร้อมๆ กับเสียงโห่ เพราะเพื่อนๆ ย่อมรู้ดีว่าหมายถึงใคร  

    เจ้าก้อง หรือในนาม “ก้องกวี ดาวเด่นแห่งชมรมดนตรี โรงเรียนทวีศิลป์” เจ้านี่มันหลงรักหทัยภัทร มานานนักหนา ตั้งแต่สมัยเป็นหัวหน้าวงโยฯ ที่โรงเรียน เมื่อเรียนจบแยกย้ายกัน ก้องกวีเปลี่ยนทิศทางจากนักดนตรีอิสระที่ใจรัก มาเป็นวิศวกรที่มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเอง เพราะรายได้ดีกว่า ดูมีเกียรติ น่านับหน้าถือกว่าว่าอาชีพเต้นกินรำกิน  แต่เจ้าหนุ่มก็ยังไปมาหาสู่บ้านของเจ้าอาร์ทสม่ำเสมอ  
     
    อาร์ทเองก็มีใจเห็นดี พลอยส่งเสริมให้ด้วย ที่น้องสาวสุดที่รักของมัน จะมีใจคบหากับก้องกวี เพราะเจ้าก้องมันเข้าตามตรอก ออกตามประตู มีอะไรมันไม่เคยปิดบัง จีบก็จีบว่ากันตามเนื้อผ้า คนอย่างก้องกวีเองก็มีดีในคุณสมบัติของชายที่คู่ควรกับผู้หญิงอย่างหทัยภัทรทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ธุรกิจ ที่ดิน เงินเก็บในธนาคาร
     

    ข้อสำคัญที่เจ้าอาร์ทถูกใจนักหนาก็คือน้ำใจมันงามล้นเหลือ พอๆ กับความมั่งคั่งทางทรัพย์ฤงคารของเจ้าตัวนั่นเอง ติดแต่หทัยภัทรเท่านั้นที่มิได้มีใจรับรัก ทอดสะพานให้ ด้วยประการฉะนี้ รักของเจ้าก้องจึงไม่เป็นผลสำเร็จ ซ้ำร้ายยังต้องเจอพายุทางใจลูกใหม่ซัดเข้าอีกระลอก เพราะน้องหทัยภัทร คนที่มันหลงรัก ได้ประกาศแต่งงานกับหนุ่มนักธุรกิจที่กรุงเทพเสียแล้ว ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
    !
     
     “เฮ้ย...ไอ้เจน เอ็งจะแซวอะไรข้าเนี่ย อย่าให้มันแรงนักนะ ลำพังเอ็งมันรุ่นเดียวกับข้า จะยอมยกให้ได้หรอกว่ะ แต่กับพี่อาร์ทน่ะ ข้านับถือ เขาจะได้อายเพราะเอ็ง ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”  ก้องกวีพูดจบก็หัวเราะอย่างกันเอง นัยว่ามันไม่ได้ถือสาอะไรนักกับคนช่างแซว เพราะรู้ทางกันอยู่มาแต่สมัยเรียน ว่าเจ้าเจนมันมีนิสัยเช่นไร


    ด้านเจ้าอาร์ท ตอนนี้รู้สึกเมากึ่มๆ กำลังได้ที เลยคะนองปากหยอกเย้าเจ้าดรีมที่นั่งขรึม ก้มหน้าก้มตาดวดเหล้าที่โต๊ะฝั่งตรงกันข้าม เย้าเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ ที่มันทั้งรักทั้งชัง ไปตามประสาคนคุ้นกัน
    ตามธรรมดาของเจ้าอาร์ท นิสัยเป็นคนเจ้าสำราญ หายใจอยู่ได้ด้วยความทะเล้น ตลกคะนอง เฮฮา พอลืมตาขึ้นมาได้ ก็ชอบยั่วคนอยู่เป็นนิจ…..
     
    “ดื่มมากระวังนะ ไอ้ดรีม จะเสื่อมสมรรถภาพเอาได้ สาวๆ หนีกันหมด”

    เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ได้ยินถนัด พากันเฮลั่น ตบเข่า ชอบอกชอบใจ เพราะเจ้าอาร์ทสั่งสอนเจ้าดรีมได้ทะลึ่ง ชวนขัน ส่วนเจ้าอาร์ทเอง ปล่อยหัวเราะก๊ากใหญ่ เมื่อเห็นเจ้าดรีมไม่อินังขังขอบอะไร มันก็ได้ใจ ไล่รุก ไล่ต้อน เสียสนุกปาก
     
    “ฉันไม่ได้อาฆาตอะไรแกนักหนาเว้ย ไอ้ดรีม แต่ฉันแค้น แค้นที่แกดันเกิดมาหล่อกว่าฉัน ผู้หญิงของฉันเลยกลายเป็นของแกหมดทุกคน ถ้าแกยอมเป็นน้องเขยฉันดีดีแต่แรก คงไม่เคืองขนาดนี้”  เจ้าอาร์ทมันพูดทีเล่นทีจริง หัวเราะเสียงดัง พลางยิ้มยั่ว กะจะให้เจ้าดรีมตอบโต้วาทะกลับมาบ้าง แต่ก็ผิดคาด เพราะไอ้ดรีมหน้าสวยมันเอาแต่นิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน….
     
     
    “เขาเรียกว่าหน้าแตกใช่ไหมล่ะพี่ อยากได้มันเป็นน้องเขย พอไม่ได้ เลยหัวเสีย”
     
    เพื่อนในวงเหล้าที่สนิมกับเจ้าอาร์ทคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เจ้าคนนี้มันพอจะรู้อะไรดีอยู่ เพราะครั้งหนึ่งเคยเห็นเจ้าอาร์ทกับเจ้าดรีม แสนดีต่อกัน คนพี่เคยเป็นถึงพ่อสื่อให้หทัยภัทรกับเจ้าดรีมได้สมรักกันด้วย แต่เมื่อรู้ความตอนท้ายว่าเจ้าดรีม มันหันเหใจไปให้กิ่งทิพย์ จนน้องสาวตัวเองต้องน้ำตาตกใน เจ้าอาร์ทเลยแปรไปเป็นคนละคน ด้วยความรักน้องดุจชีวิตจิตใจ เห็นน้ำตาน้องสาว ก็เหมือนเห็นมีดกรีดใจตัวเอง มันทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ และยังมีคดีเก่าแต่หนหลังที่ดรีม อลงกต มันดันไปแอบลอบรักแม่ดอกฟ้ายาใจคนงามของมันอย่างคุณมิ้นท์ ถิรญา

    ที่ร้ายกาจคือมันดันรักผู้หญิงทีเดียวสามคนรวด เจ้าอาร์ทเลยคิดเข้าใจผิดไปว่าเจ้าดรีมมันสวมวิญญาณขุนแผน สนองใจในรักใหม่ ลืมเก่า หลอกล่อน้องตัวให้หลงรักแล้วพาลสลัดทิ้งไปไม่ใยดี  ไอ้ดรีมคนดีในสายตาของเจ้าอาร์ทเมื่อก่อน เลยกลายเป็นจอมนักรักผู้รวนเร เชื่อถือไม่ได้แต่นั้นมา หรือมันใช้ความรูปหล่อของมันเอาชนะใจผู้หญิงทุกคนที่อยู่ใกล้ตัว ไอ้นี่มันเสือผู้หญิงแท้เทียว เห็นหงิมๆ สนิมสร้อยเช่นนี้ แต่เขี้ยวเล็บมันมี หากซ่อนคมเอาไว้ในฝัก มึงนะมึง อย่าคิดว่ากูเขลา ไม่ทันเล่ห์มึงนะไอ้ดรีม ไอ้เรามันก็คนศิลป์ธาตุเดียวกันนี่เอง กูรู้ทันได้อ่านทางมึงออกหรอกโว้ย...ชิชะ
    !! ไอ้คนกะล่อน ร้อยเล่ห์ มารยาพะเรอเกวียน คิดจะตลบหลังกูล่ะสิ  เจ้าอาร์ทมันคิดไปในทางนั้น....เสียแล้ว
     
    “อย่าคิดมากไปเลยว่ะไอ้น้องชาย ถือเสียว่าน้องกวางของพี่มันซื่อ เอาเข้าว่าไม่ทันใจแกหรอกนะ ไอ้ดรีม”
     
    เจ้าอาร์ทว่าพลางทำใจเย็น ตบหลังเจ้าดรีมเบาะๆ รักมันก็จริงใช่ แต่ลึกๆ แล้วยังแค้นใจไม่จางเสียที พยายามยกเหตุแต่ปูมหลังเดิมที่ว่ามันเป็นคนอาภัพหนัก กำพร้าพ่อแม่ บวกกับหน้าตาอันสลักเสลา น่ารักน่ามองอยู่ในที เลยให้นึกสงสารแกมเอ็นดูอยู่บ้าง...  
     
    “พี่จะไปติมันอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะพี่อาร์ท ตอนนี้น้องสาวพี่น่ะ ทำมันอกหักเสียมากกว่า ฉันได้ข่าวว่าจะเป็นเจ้าสาวของลูกชายเศรษฐีที่เมืองกรุง เร็วๆ นี้เสียด้วยสิ”  
     
    น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยอาลัยเสียดายแลน้อยใจอยู่ในที  ยิ่งเห็นหทัยภัทรหันมาโปรยตาดุใส่พลางค้อนปราดๆ เข้าให้หลายวง เจ้าก้องก็ยิ่งเจ็บเหมือนเข็มพุ่งเข้าหัวใจ แต่มันก็ไม่เคือง กลับส่งตาหวานกลับมาเป็นการตอบแทนหล่อนเสียนี่ ก้องกวีรักเธอนี่นะ แถมเป็นรักแรกของเขาเสียด้วย ถึงจะรู้ว่าอีกไม่นานคงสิ้นหวัง เพราะหทัยภัทรกำลังจะตกเป็นของคนอื่นทั้งตัวและหัวใจ แต่มันก็ยังรักอยู่ดีนั่นเอง...

    ว่าแล้วเจ้าหนุ่มเชื้อผู้ดี ผู้มากไปด้วยความภูมิฐาน ก็กลับโอนอ่อนผ่อนลงในนิสัยตามเคย ตักเนื้อปลาทะเลในหม้อไฟร้อนกรุ่นใส่จานให้หทัยภัทรเสียหนึ่งคำ ก่อนบรรจงเขี่ยพริกออกให้อย่างจะเอาใจ เพราะรู้ดีว่าหทัยภัทรไม่ชอบทานเผ็ด แต่ฝ่ายสาวเจ้าดูไม่ใคร่จะสนใจเท่าใดนัก...เธอสนใจก็แต่เจ้าดรีมที่นั่งเศร้าคอตกอยู่ตรงหน้า เขาเฝ้าเอาใจตักอาหารที่เธอชอบให้ทาน แต่เธอเองกลับไปเอาอกเอาใจ คอยรินน้ำ เติมอาหารให้แต่เจ้าดรีมมันกินแทน มันช่างน่าน้อยใจนัก...ก้องกวีนึกท้อ แล้วก้มหน้างุด ละเอียดข้าวในจานตัวเองต่อไปอย่างแช่มช้า เซื่องซึม....

     
    หทัยภัทรนึกหมั้นไส้ในคำพูดของเจ้าก้องเมื่อครู่ ทำไมเจ้าหมอนี่มันช่างปากดี ไม่รู้จักใจ รู้จักตน อ่านเพื่อนของมันให้กระจ่างเสียบ้างเลย โตมาก็ป่านนี้แต่ดันไม่มีไหวพริบ หล่อนเองต่างหากที่รู้ดีว่าในใจเจ้าดรีมตอนนี้แล้ว คิดกระไรอยู่ สายตาและการกระทำของเขาไม่ได้รักหล่อนเกินไปกว่าเพื่อนที่สนิทและเชื่อใจ เล่าสารทุกข์สุขดิบให้ฟังอย่างหมดเปลือก หทัยภัทรจึงพบว่า ไม่ใช่เธอที่เป็นตัวต้นเหตุความผิดหวังซึมเศร้าของเขาครั้งนี้หากแต่กิ่งทิพย์ ต่างหากล่ะ หล่อนทิ้งเขาไปแสวงหารักใหม่ ผีร้ายที่คอยหลอกหลอน ทรมานใจเขาอยู่ทุกยามหลับ ยามตื่น ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง กิ่งทิพย์เอ๋ย...เธอมันบาปล้ำลึกนักที่หลอกคนซื่อๆ อย่างเจ้าดรีมได้ลงคอ

    เจ้าดรีมมันกำลังคลั่งด้วยฤทธิ์รักที่โดนฝากรอยเป็นแผลสลักตรึง เลยมุทะลุ หันหาน้ำเมาเป็นที่พึ่ง ยามเหงาว้าเหว่....
     
     
    เจรจาพาทีฉันท์มิตรสนิทกับเพื่อนเก่าอยู่นานสองนาน เจ้าอาร์ทเลยได้โอกาสคุยอวดเรื่องบ้านที่เพิ่งปรับปรุงใหม่เสียเลย บอกสวย ร่มรื่นอย่างน่าเชยชม มีทิวทัศน์อย่างงาม เหมือนจำลองธรรมชาติมาไว้ใกล้ตัว มีพรรณไม้หลากสีระรื่นตา มีบ่อน้ำพุร้อนสร้างใหม่แล้วเสร็จ ที่ลงทุนหมดไปหลายอัฐ  มีน้ำตกจำลอง พรั่งพร้อม ต้อนรับเพื่อนๆ หากใครไปมาหาสู่  บ้านของเจ้าอาร์ทจะแปรเป็นวิมานแห่งความบรมสุขในโลกอันสุนทรีของเหล่าศิลปิน บ้านซึ่งตอนนี้แทบจะกลายเป็นรีสอร์ทย่อมๆ เพราะเจ้าอาร์ทมันฟลุคได้เงินก้อนโตมาจากการขายภาพศิลปะได้หลายต่อหลายชิ้น ซึ่งเป็นภาพสีน้ำมันราคาแพงส่งขายให้เศรษฐีชาวมะกันรายหนึ่งที่คลั่งไคล้ในงานศิลปะ อันเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา จึงนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปเป็นทุนรอน ตบแต่ง ขยายเนื้อที่บริเวณบ้าน ก่อตั้งศาลาใหม่อีกหนึ่งแห่งเป็น “ชมรมจิตกวี แห่ง ทวีศิลป์” เป็นชมรมนักศิลปะ ที่บรรดาเพื่อนๆ ศิษย์เก่าร่วมรุ่นของเจ้าอาร์ท ที่รักการวาดภาพและร่ายกวีเป็นชีวิต เข้ามาละเลงพู่กันสีน้ำ จิบน้ำชา พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนผลงานฝีมือของตัวเองกันอย่างกลมเกลียว

    พอถึงช่วงสิ้นปี ก็จะมีการจัดฉลองนิทรรศการภาพเขียน งานปั้น งานแกะสลักช่างศิลป์ เพื่อแสดงผลผลิตทางศิลปะ กันอย่างครึกโครมออกหน้าออกตา มีนักข่าวมาทำข่าวเพื่อโปรโมทผลงานที่ลงทุนลงแรง เหน็ดเหนื่อยทำกันมาข้ามปีและยังสร้างรายได้ให้เพื่อนๆ นักศิลปะที่ว่างงานอีกด้วย ในวงการศิลปะแล้ว อาร์ท พิสุทธิ์  ไม่ได้เป็นสองรองใคร หากแต่เสียทีที่เจ้าดรีม จิตรกรร่วมรุ่น ผู้อัจฉริยะ อดีตนักล่ารางวัลแห่งทวีศิลป์อีกคน มันดันไปใฝ่ใจทางงานประพันธ์หนังสือเสียมากกว่า จึงไม่ได้มีงานวาดสีน้ำลายสวยๆ มาอวดสายตาเพื่อนๆ ในชมรมมากมายนัก ไม่เช่นนั้นแล้ว วงการศิลปะก็คงจะมีชื่อของ ดรีม อลงกต ผงาดขึ้นมาดั่งหงส์ผู้สง่างาม พร้อมผลงานทรงคุณค่า ประทับไว้ที่หอศิลป์แห่งชาติ ตามติดชื่อ อาร์ท พิสุทธิ์ ไปด้วยอีกหนึ่งคน
    ….

     
    เมื่อเห็นน้องสาวตัวเองนั่งแอบอิงเจ้าดรีมอย่างนั้น แล้วเหลือบไปเห็นเจ้าก้องที่นั่งหน้าเก้อมองดูหทัยภัทรกับเจ้าดรีมนั่งพินอบพิเทาต่อกัน เจ้าอาร์ทก็ยิ่งขุ่นเคืองใจ อดที่จะกระแนะกระแหนผู้เป็นน้องไม่ได้ ด้วยความเป็นคนปากไว ไม่ทันคิด
     
     “ทำใจเหอะว่ะ ผู้หญิงมันก็แบบนี้แหละวะไอ้ก้อง รู้ว่าเขาทำให้เขาเจ็บแล้ว แต่ก็ยังมีหน้าไปดีกับเขา โง่ๆๆๆ ที่สุด ก็แค่ผู้ชายไม่เอาไหนแค่คนเดียว แย่งกันจะเป็นจะตาย!
     
    หทัยภัทรรีบหันขวับมามองหน้าพี่ด้วยความโกรธ เพราะรู้ว่าดีว่าพี่เธอกำลังแอบเหน็บเธออย่างร้าย ยิ่งเมาเขาก็ยิ่งพูดจาเลอะเทอะ เปื้อนเปรอะ ไปกันใหญ่ หญิงสาวกลัวชนวนแห่งความหลังของพี่เธอกับเจ้าดรีมมันจะประทุขึ้นมา จนเกิดเรื่องเกิดราวกันอีก แล้วงานสังสรรค์วันนี้ก็จะกลายเป็นงานกร่อยไปเสีย.....
     
    “พี่อาร์ท พอเหอะค่ะ พี่เมาแล้วพูดมากจริงๆ กวางรำคาญ” หญิงสาวเสียงเขียวใส่ สำแดงว่าเริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมา
     
     “ดรีมก็ด้วย.. ดื่มไปหลายแก้วแล้วนะ อายเพื่อนๆ มั่ง”
     
    หญิงสาวยกมือขึ้นรั้งแก้วของคนพี่เอาไว้แน่น  อีกมือเอื้อมไปคว้าขวดเหล้าที่เจ้าดรีมกอดติดไว้กับตัว พอแย่งมาได้ ก็แอบซ่อนเสียให้ห่างๆ ตา ส่งสัญญาณมือให้เพื่อนหญิงอีกคนของเธอ ช่วยนำเอาไปซุกซ่อนไว้ตรงมุมอื่น เพราะเจ้าดรีมมันกำลังเตลิด จะรินโซดาผสมเติมต่ออีกแก้ว
     
    “กวาง.... เอาเหล้ามานี่เดี๋ยวนี้ ดรีมจะกิน“ หญิงสาวแสร้งทำเมินเฉย ไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด แต่ตอกกลับไปว่า
     
    “กวางไม่ให้กิน มีอะไรไหมเล่า...ถ้าอยากกินก็เชิญไปซื้อนอกร้านนู้น..ไป๊! แล้วก็ไปดวดเสียให้ห่างๆ เหม็นค่ะ ไม่ชอบคนขี้เมา...”
     
    โดนดุตามด้วยทุบที่ไหล่เข้าให้แรงๆ เพื่อเรียกสติ เจ้าดรีมมันเลยหน้าหงอ ไม่กล้าสบตาหญิงสาว นึกอายอยู่บ้างที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้เมา แว่บหนึ่ง หทัยภัทรนึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับใจ เธอแสนเกลียดคนขี้เหล้าเมายา แต่ก็มีพี่ที่ติดเหล้า ซ้ำยังมาเจอเพื่อนขี้เหล้าอย่างเจ้าดรีมอีกคน….
     
     
     “ไอ้นี่มันเป็นอะไรของมันวะ กุ้งหอยปูปลา สั่งมาเต็มโต๊ะไม่กิน ซัดแต่เหล้ากับเบียร์....ไม่ยอมพูดยอมจากับใคร”
     
    เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนึกห่วง เมื่อเห็นเจ้าดรีมกระดกแก้วสุราที่เหลือลงคอ เป็นแก้วที่สี่แล้ว มันกินหมดเกลี้ยงจนหยดสุดท้ายไม่เหลือติดก้นให้ใครเห็น เจ้าเพื่อนหนุ่มวัยฉกรรจ์ คนที่นั่งอยู่ริมขวาของโต๊ะอาหาร  รีบยกแก้วเหล้าตัวเองหนี เพราะฤทธิ์สุราทำให้เจ้าดรีมเริ่มมึน ทำท่าจะเอื้อมคว้าแก้วเหล้าของเพื่อนมันไปกินต่างหน้าแทนเสียนี่  บ๊ะ!! ไอ้นี่มันคอทองแดงชัดๆ !!
     
    “เฮ้ยๆ…ไอ้ห่ะ !!..นี่แก้วกูนะโว้ย...พอเหอะมึง เดี๋ยวก็ได้ตายเป็นผีเฝ้าขวดเหล้า ก่อนกลับบ้านแน่...ไอ้ดรีม”
     
     
    เจ้าเจนเหลือบมองไปที่จานข้าวของเจ้าดรีม เห็นปลาไข่ตัวใหญ่น่าลิ้มตัวหนึ่ง ถูกวางแช่ไว้ในนานแล้ว แต่ไม่พร่อง ไม่ขยับ สำแดงว่าเจ้าของไม่เอาใจใส่ที่จะกินมัน หรือไม่ว่าหทัยภัทรจะพยายามตักอาหารหลายๆ อย่างส่งให้เขา แต่เจ้าดรีมก็ไม่ได้แลเหลียว คงตั้งหน้ามุ่งหาแก้วสุราในมือของมันอยู่นั่นเอง...
     
    “ไอ้ดรีมเอ๋ย เหล้าน่ะมันอยู่ในขวด จะกินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ปลาน่ะมันอยู่ในน้ำนะมึงนา...ใช่จะนึกได้อย่างใจแล้วจะลอยมาให้ตรงหน้า สงสารใจคนที่เขาสู้อุตส่าห์ไปแส่หามาให้แดกมั่ง ปลาไข่เนื้อดี ราคาแพง สมัยนี้ใช่ว่าจะหากินกันได้ง่ายๆ แบบตะก่อนเสียเมื่อไร จะทำอะไรให้มันดูสมัยเขามั่ง เดี๋ยวผู้หญิงเขาจะติเอาได้”
     
    ว่าแล้วมันก็นึกครึ้มใจ ด้นกลอนสดขึ้นมาบทหนึ่ง จะว่าใช้สอนใจเจ้าเพื่อนรักก็ว่าประไรมี
     
    มุ่งหาน้ำเมาเป็นอาจิณ...
    ด้วยถวิลถึงนารีที่จากไกล...
    เพิ่งตระหนักว่า รักนั้นหนักอกจริง...
    ดั่งผีสิงใจเรา...เขาว่าไว้...
    เมาแล้วเมาเล่าไม่จางหาย...
    ยิ่งเมาหนักเหมือนพักใจให้สบาย...
    เจ็บเจียนตายสนามรักพักไม่ลง....
     
    อดข้าวดอกชีวาวาย อดรักบ่ตายดอก สหายเอ๋ย...
     
     
    “ เกิดมาเป็นคน ถ้าตายในสนามรบ ถือว่ามีศักดิ์ศรี แต่ถ้าตายในสนามรักละก็ ถือว่าเสียชาติเกิดมาเป็นชายทั้งแท่งโว้ย...ไอ้ดรีม อลงกต”

    เจ้าเจนมองเจ้าดรีมอย่างนึกเวทนา และคิดไปเองอย่างไม่รู้ตื้นลึกว่า มันคงจะเสียใจที่หทัยภัทรไปแต่งงาน เลยคลั่งใจเจ็บ ดวดเหล้าเสียสมอยาก ขำใจก็ขำ สงสารก็สงสาร เพราะเจ้าดรีมในวันนี้ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับที่มันเคยเห็นในอดีต มันไม่ใช่ดรีม อลงกต คนเก่า ที่เพื่อนๆ เคยคุ้นตารู้จัก พฤติกรรมใหม่สร้างความประหลาดใจให้เพื่อนๆ นัก...
     
     
    “อ้ายเจน... หนาย...นายบอกวันนี้จามีอะไรดีดีมาเซอร์ไพรส์ฉานงาย...”

    เจ้าอาร์ทลากเสียงยาวกระท่อนกระแท่น แทบจับความไม่ได้ ด้วยกำลังมึนเมาเต็มที
     มันรีบทวงสัญญา เพราะนึกได้ตั้งแต่เมื่อเย็น ว่าเจ้าเจนจะนำความพิเศษอย่างหนึ่ง มารายงานให้มันและเพื่อนๆ รับรู้  เจ้าเจนหันไปกระซิบกระซาบเพื่อนหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างตัว เจ้าหล่อนเลยรีบล้วงเอาของบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋าสะพายส่วนตัว ส่งให้เจ้าเจนรับมา
     
    มันเป็นซองจดหมายสีขาว จ่าหน้าถึงศิษย์เก่าโรงเรียนทวีศิลป์ทุกคน แต่หน้าซองไม่ได้ลงนามชื่อเจ้าของจดหมายว่าเป็นใคร จากไหน รายละเอียดทั้งหมดอาจถูกระบุไว้ข้างใน จนกว่าจะได้แกะผนึกซองออก....
     
    “อะแฮ่ม !! ฟังนะทุกคน” เจ้าเจนกระแอมไอหนึ่งครั้งพอเป็นพิธี ลุกจากเก้าอี้  ก้าวไปยืนตรงหัวโต๊ะที่เพื่อนๆ ทุกคนจะมองเห็นมันได้ถนัดตา แล้วค่อยๆ ดึงผนึกซอง คลี่จดหมายที่พับไว้นั้น กางออกมา
     
    “ระวัง ค่อยๆ แกะหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้ขาดไม่ได้รู้กันพอดี ดูท่าทางเจ้าของจดหมายเขาจะตั้งใจเขียนมาให้ซะด้วย” เจ้าอาร์ทกล่าว
     
    เจ้าเจน สูดลมหายใจลึกๆ แม้จะแอบรู้ล่วงหน้ามาแล้วว่าเจ้าของจดหมายคือใคร แต่มันก็ยังไม่ได้อ่านเนื้อความข้างใน มันเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าใครๆ เริ่มสาธยายต่อด้วยน้ำเสียงอันมั่นใจ เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทุกคน หันมามองเจ้าเจนเป็นจุดเดียว แล้วต่างตั้งใจสดับฟัง บรรยากาศเงียบลงชั่วครู่...
     
    “นี่เป็นสารลับจากท่านประธานมิ้นท์ ถิรญา ขวัญใจของพวกเราทั้งหลายโว้ย...."

    เจ้าเจนตะโกนเกือบๆ จะสุดเสียงด้วยความดีใจ พอขาดคำ ทุกคนอื้ออึง ตบมือกันเกรียวใหญ่ รอยยิ้มแห่งสุขเคล้าความปลาบปลื้มยินดี ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเพื่อนๆ ศิษย์เก่าโรงเรียนทวีศิลป์ทุกคน ณ ที่นั้น เรื่องสนทนาในวงเพื่อน จึงเปลี่ยนเป็นเรื่องราวของอดีตท่านประธานนักเรียนคนสวยชั่วคราว เพราะข่าวนี้เป็นสิ่งเหนือคาดหมาย ไม่มีการตระเตรียมมาก่อนล่วงหน้า และไม่มีใครในงานนี้ล่วงรู้เลย นอกจากเพื่อนสาวที่นำจดหมายมาส่งถึงมือเจ้าเจนเป็นคนแรก….
     
    “โอ้โห...คุณมิ้นท์ นางฟ้าของทวีศิลป์ของเรานี่เอง นึกว่าใครเสียอีก...ฮ่าๆๆ”

    เจ้าพวกเพื่อนๆ เกลอที่นั่งอยู่ ต่างพากันพูดถึงคุณมิ้นท์ต่างๆ นานา เสียงส่วนใหญ่จะเป็นแง่ดี ในเรื่องความสวย เรียนเก่งของเธอ  “ฉันว่าตอนนี้คงสวยเป็นบ้าเลยว่ะ ขนาดตอนเรียนด้วยกันยังดาวขนาดนั้น ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว เธอคงสวยจนหนุ่มๆ พากันเหลียวหลัง”
                   
     “อ้า...ไหนๆ เล่ามาเลย เร็วๆ ไอ้เจน อยากฟังใจจะขาด “ เจ้าอาร์ทพูดเสียงรัวเร็ว ตาลีตาลานกว่าใครพวก หายเมาไปแล้วกึ่งหนึ่ง เพราะชื่อของคุณมิ้นท์ สะกดใจมัน แทบทำให้สร่างเหล้า จากนี้ก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก นอกจากเรื่องของเธอ…..
     
     
    ถึง มิตรรัก ศิษย์เก่าโรงเรียนทวีศิลป์ ทุกท่าน
     
     
     
    รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับการเชื้อเชิญจากเพื่อนรักร่วมรุ่นของดิฉันทุกคน ให้มาร่วมงานในครั้งนี้ ดิฉันได้ทราบข่าวดีนี้จาก ศิริพร เพื่อนเก่าร่วมห้องของดิฉัน เธอมีน้ำใจโทรไปหาคุณพ่อของดิฉันที่บ้านในเมืองไทยเพื่อที่จะบอกข่าวว่าเพื่อนๆ ของเราได้นัดรวมตัวกัน จัดงานเลี้ยงสังสรรค์อาหารมื้อค่ำในนามของ “ศิษย์เก่าทวีศิลป์”  ในครั้งนี้ แต่ติดขัดด้วยขณะนี้ดิฉันกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการศึกษาทางด้านเภสัชศาสตร์เคมี ในวิชาภาคฤดูร้อน จึงทำให้ไม่สามารถบินกลับมาที่เมืองไทยได้ทันกำหนดเวลาที่เพื่อนๆ ได้นัดหมายมาเลี้ยงสังสรรค์ร่วมกัน ดิฉันรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ไม่ได้ไปพบเจอเพื่อนๆ ตามเป้าหมาย และร่วมเสวนาพูดคุยกันให้หายคิดถึง แต่เชื่อว่าทุกคนคงเป็นสุขและสบายดี.... 
               
     
    ฉันมีข่าวดีอย่างหนึ่งนำมาบอกค่ะ อีกหกเดือนข้างหน้า ฉันจะสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และจะกลับมาทำงานที่เมืองไทยตามความประสงค์ของคุณพ่อ ที่อยากให้ดิฉันได้อยู่ใกล้ๆ และคอยรับใช้ปรนนิบัติท่านได้อย่างเต็มที่  ฉันกำลังคิดจะเตรียมเข้าสอบบรรจุเป็นข้าราชการในโรงพยาบาลของรัฐที่กรุงเทพ และจะทำงานอย่างเต็มกำลัง ฉันรักเมืองไทย บ้านเกิดของฉัน ฉันจะนำเอาความรู้ที่ได้ไปช่วยเหลือคนไข้ในโรงพยาบาล และใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างคุ้มค่าที่สุด
     
     
    ขณะที่พวกท่านได้แกะจดหมายฉบับนี้เปิดอ่าน เป็นช่วงเวลาที่ดิฉันได้ออกมาทัศนศึกษาที่เมือง Brighton ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ คณะของดิฉันได้กำลังทำการทดลองค้นคว้าอยู่ในห้องปฏิบัติการศูนย์วิจัยทางทะเล เพื่อนำเซลล์ของสัตว์น้ำบางชนิดมาสกัดเป็นยารักษาโรคตัวใหม่ และยังไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่ หากผลงานการวิจัยเป็นผลสำเร็จ ก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย ที่เราสามารถค้นพบยารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว ถือเป็นความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำขึ้นไปอีกขั้น
     
    เมื่อลงมาถึงที่เมืองไทยและจัดการธุระปะปังของฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดิฉันยินดีจะจัดงานเลี้ยงเพื่อพวกเราอีกครั้งหนึ่ง ส่วนสถานที่สังสรรค์นัดกินนั้น จะเป็นที่บ้านในเมืองไทยของดิฉัน หอประชุมโรงเรียน หรือสถานที่ใดใดก็ดี ก็ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของเพื่อนๆ เถิด ไม่ขัดหรือทัดทานด้วยประการทั้งปวง ด้วยดิฉันไม่ได้กลับมาเยือนเมืองไทยเป็นเวลานานหลายปีแล้ว  จึงไม่ใคร่จะคุ้นเคยกับสถานที่นัก….
     
     
    แต่อย่างไรก็ดี เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้น ก็ขอเชิญพวกท่านไปนั่งดื่มกินกันอย่างกันเองตามอัธยาศัย และไม่ต้องลำบากนำของตอบแทนอะไรมาให้ดิฉัน เพราะดิฉันไม่อยากรบกวนเงินของเพื่อนๆ ดิฉันมีความตั้งใจและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะจัดงานครั้งนี้ขึ้นด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการรำลึกถึงมิตรภาพและความผูกพันเก่าๆ ในความเป็นเพื่อนที่พวกเราเคยมีต่อกันในโรงเรียนทวีศิลป์ นั่นคือข้อสัญญาทางใจที่ฉันจะได้ให้กับเพื่อนๆ ของฉันในที่นี้ ขอทุกคนเป็นพยานด้วย
     
     
    ขอยืนยันด้วยเกียรติของอดีตประธานสภานักเขียนคนหนึ่งของโรงเรียนทวีศิลป์ จดหมายฉบับนี้ เป็นความจริงทุกประการ ตัวอักษรทุกตัวถูกเขียนขึ้นด้วยมือของดิฉัน นส.ถิรญา ไม่ใช่การปั้นแต่ง หลอกลวง ปั้นเรื่องเพื่อการอำ ล้อเล่น คะนองปาก ลวงเพื่อนๆ ให้หลงเชื่อแต่ประการใด
     
    สุดท้ายนี้
     

    ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนจงรักษาตัว มีสุขภาพที่แข็งแรงสดใส...
    ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดคุ้มครองเพื่อนรักของดิฉันด้วยเถิด
     
    ด้วยรักและคิดถึงเพื่อนๆ ทุกคน อยากเจอเป็นที่สุด
     
      ลงชื่อ ดิฉัน นส. ถิรญา อัศวชัยบดินทร์ (อดีตประธานสภาฯ ทวีศิลป์) 


     
    ถ้าพินิจให้ดี จะเห็นว่าเจ้าของจดหมายได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นด้วยความตั้งใจ มิใช่โดยไม่เอาใจใส่เลย หรือแม้กระทั่งรูปหัวใจสีแดงดวงเล็กๆ หลายดวงนั้นก็ถูกบรรจงวาดขึ้นอย่างประดิษฐ์และน่ารัก ภาพวาดรูปคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังล้อมวงจับมือกัน นัยว่าอาจจะหมายรวมถึงเพื่อนๆ ของเธอในที่นี้ก็เป็นได้ บ่งบอกถึงความอ่อนโยน ละเอียดอ่อน  ช่างจดช่างจำ เอาใจใส่ในสิ่งละอันพันละน้อย ไม่ละเลย ตามนิสัยอันเป็นพื้นเดิมของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี....
     
     
    “ถ้าคุณมิ้นท์เธออยากจัดงานเลี้ยงอีกสักครั้ง ฉันนี่แหละจะเป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือเธอเรื่องสถานที่จัดงานเอง พวกนายจะว่าอย่างไรกันบ้าง” เจ้าอาร์ทออกความเห็น
     
    “เป็นความคิดที่ดีที่สุดเลย นายนี่มันช่างเป็นสุภาพบุรุษที่น่าชื่นชมจริงๆ แล้วไม่ต้องห่วงนะ สำหรับพวกฉันเนี่ย จะคอยดูแล จัดการเรื่องอาหารการกิน โต๊ะเก้าอี้ต่างๆ จิปาถะ จะไม่ให้นายกับคุณมิ้นท์ต้องเหนื่อยยากลำบากกายเลย สัญญา” เจ้าเจนสำทับขึ้น
     
    “อันที่จริงนะ คุณมิ้นท์ก็มีเงินมากล้นเหลือ จะจ้างวานคนมาจัดงานให้สักกี่อัฐ ก็คงไม่สะเทือนกระเป๋าเธอ แต่เธอคงจะไม่อยากรบกวนพวกเรา เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อน แต่พวกเราต่างหากสิที่เกรงใจเธอ ฉะนั้นพวกเราควรทำอะไรตอบแทนคุณมิ้นท์กันบ้างจะดีกว่า” เจ้าก้องเป็นฝ่ายเสนอขึ้นบ้าง เพื่อนๆ ที่นั่งฟังอยู่ต่างเห็นดีเห็นงามด้วย
     
     
    “อืม...เอาอย่างนี้นะ ใจฉันน่ะอยากให้ทุกคนเตรียมของขวัญติดมือเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นกระเช้าดอกไม้ก็ดี ขนมคุกกี้ที่เธอชอบก็ดี พวกนายจะรวมกันเฉลี่ยเงินหรือซื้อให้เธอส่วนตัวก็ว่ากันไป ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจอันดีงามของเธอที่มีต่อพวกเรา...ส่วนตัวฉันน่ะ คิดมานานแล้วว่า จะซื้อของบางอย่างให้คุณมิ้นท์เขาน่ะ คือว่าฉันน่ะนะ เอ่อ...ก็รักคุณมิ้นท์เหมือนกัน...”  เจ้าอาร์ทกล่าวเขินๆ พลางยิ้มหวานอยู่ในหน้าอันแช่มชื่น
     
    ความผิดหวังจากใครบางคน เกือบๆ จะเลือนหายไปโดยสิ้นเชิง เพราะข่าวการกลับมาเมืองไทยของคุณมิ้นท์ ยังความอิ่มเอมใจเหลือคณานับให้กับเจ้าดรีม น้ำใสๆ เริ่มคลออยู่ขอบตา ด้วยความรู้สึกเต็มตื่น ดังน้ำทิพย์ชโลมหัวใจอันแห้งผากให้เจ้าจิตรกรหนุ่มผู้ช้ำรัก ที่ดูเหมือนว่าหัวใจได้ตายซากไปแล้ว ได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และแล้วพลังแห่งความหวัง ความปรารถนาอันใหม่ ก็ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้งในห้วงใจของเจ้าดรีม อลงกต มันบีบมือหทัยภัทร อย่างดีเนื้อดีใจ
     
     
    “คุณมิ้นท์จะกลับมาแล้วใช่ไหมกวาง ดรีมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ...ใช่ไหม” ถามทวนเหมือนจะไม่เชื่อในสารที่ได้รับเวลานี้
     
     
    “ค่ะ...ไม่โกหกหรอก คุณมิ้นท์ไม่เคยโกหกพวกเรานี่ กวางมั่นใจ และก็ดีใจมากไม่แพ้ดรีม กวางไม่คิดว่าคุณมิ้นท์จะกลับมา เพราะได้ข่าวว่าเธอไปร่ำเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนาโน้น...”
     
    “คุณมิ้นท์ ยอดรัก ยอดดวงใจของดรีม...” เจ้าดรีมรำพัน วาดสายตาเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างมีฝัน
     
    “ฮึ ! คุณมิ้นท์ยอดรักยอดดวงใจ...ของแกซะที่ไหนกันเล่า ช่างกล้าพูดออกมาได้ ไม่อายปากบ้างเลย”

    "ขนาดเพิ่งอกหักมาได้ไม่ทันไร ก็จะเพริดไปหาผู้หญิงคนใหม่เสียแล้ว แผลเก่ารักษาหายดีแล้วรึ !" เจ้าอาร์ทรีบสวนขึ้นทันควันอย่างประชด
    พิษหึงเข้าจับหัวใจ แม้จะไม่แน่ใจนักว่าคุณมิ้นท์ คิดกับเจ้าดรีมในเชิงพิศวาสหรือไม่ แต่อากัปของเจ้าดรีมที่มันเห็นอยู่ตรงหน้า ก็เร้าอารมณ์ของเจ้าอาร์ทให้ขุ่นมัวได้ประหนึ่งน้ำที่ถูกกวนให้ขุ่นแล้ว….
     
     
    “เอาล่ะนะ พวกนายไม่ต้องเถียงกันหรอก พวกเราก็มีสิทธิในตัวคุณมิ้นท์เท่าๆ กันทุกคนนั่นแหละ แต่ฉันคิดนะว่าคุณมิ้นท์เธออาจจะมีแฟนเป็นฝรั่ง หล่อๆ รวยๆ อยู่ที่เมืองผู้ดีไปแล้วก็ได้ ชายบ้านๆ อย่างพวกเรา คงหมดสิทธิจะเด็ดดอกฟ้าดอกนี้เสียแล้วกระมัง”
     
    “อย่าคาดเดาไปเลยเจ้าเจน ฉันรู้นะว่านายเองก็สนใจคุณมิ้นท์อยู่เหมือนกัน”  เพื่อนในวงคนหนึ่งเอ่ยปากแซวขึ้น
     
    “ไอ้ฉันน่ะนะ มันคนเจียมตัว ฉันคิดว่า...ฉันไม่คู่ควรกับผู้หญิงที่เพอร์เฟคอย่างคุณมิ้นท์หรอก เอาเป็นว่าฉันขอถอนตัวละกัน เชิญพวกนายลงสนามรักช่วงชิงหัวใจของเธอกันเอาเอง ใครจีบได้ ฉันยินดีจะเลี้ยงข้าวฟรี....”  เจ้าเจนพูดอย่างอารมณ์ดี

     
    ก่อนจากกัน เพื่อนๆ ทุกคนช่วยกันร้องเพลงประจำโรงเรียนเพื่อเป็นการส่งท้ายงานเลี้ยงในครั้งนี้ เป็นการระลึกถึงวันเก่าๆ บรรยากาศตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น เสียงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความร่าเริงเบิกบานใจอันเปี่ยมไปด้วยการมิตรภาพที่ดีของเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ของทวีศิลป์ทุกคน....ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรติดขัด ต่างเล่นหัวกอดคอกันสวนเสเฮฮา สนิทสนมรักใคร่กลมเกลียว ตามประสาเพื่อนอย่างกันเอง แล้วจึงได้เอ่ยคำอำลา ก่อนแยกย้าย กลับไปทำธุระของใครของมัน...   
     
    เจ้าดรีมยืนเสวนาอยู่กับหทัยภัทรครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปส่งเธอที่รถ ส่วนตัวเขานั้นได้ให้เบอร์มือถือกับหทัยภัทรไว้ เพื่อใช้ในคราวติดต่อกัน

    “ถ้าคุณมิ้นท์มาเห็นดรีมกลายเป็นขี้เมาแบบนี้ เธอคงเสียใจแย่นะคะ”

     
    “กวาง...ดรีมจะเลิกดื่มเหล้า ถ้าคุณมิ้นท์กลับมา คิดถึงคุณมิ้นท์เหลือเกิน”

    น้ำเสียงของเจ้าดรีมหนุ่ม บ่งชัดว่าปลื้มใจในตอนท้าย หทัยภัทรเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า คุณมิ้นท์จะทำให้เจ้าดรีมของเธอกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกครั้ง เพราะความรักจะเป็นแรงผลักดันให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามสมประสงค์ที่ตั้งใจไว้....
     
                   
     ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เพลงประกอบปิดท้ายตอน







    ก็ถือว่าจบลงไปด้วยดีอีก 1 ตอนนะครับ หากมีข้อติติงหรือเสนอแนะวิจารณ์อะไรก็ฝากผมไว้ได้นะครับ ผมยินดีน้อมรับคำวิจารณ์จากผู้อ่านทุกท่านครับ แล้วอย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะครับ กว่าจะเขียนเสร็จ ผมเหนื่อยมากเลยครับ ขอตัวไปนอนก่อน แหะๆ

    ...รักทุกคนครับ... (ผู้เขียน)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×