ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #7 : เพื่อนคนใหม่ ที่ ไม่ธรรมดา (อดีต) กิ่งทิพย์ ศักดิ์ดี - รีไรท์ครั้งที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 63




    ฉากเปิดตัวยัยตัวแสบ "กิ่งทิพย์ ศักดิ์ดี"
    เมื่อนางมารแฝงตัวมาในคราบของนางเอก พระเอกของเราจะจัดการอย่างไร ?



     


            ถ้าการได้คบหากับคุณมิ้นท์ คือ ความสุข แต่ต้องจมทะเลทุกข์ในวันข้างหน้า แลกมา แล้วผมจะอยากเป็นแฟนกับเธอไปเพื่ออะไร...

            การดื้อดึง ถือดี ที่จะคิดถึงเธอ รักเธอต่อไป อาจทำให้ผมต้องต่อสู้กับสิ่งรอบตัวหลายอย่างในวันข้างหน้า และบางเรื่อง อาจจะหนักเกินกว่าที่คนอ่อนไหวเช่นผมจะรับไหว....

            ฐานะ สังคม ชาติตระกูลของเราไม่เท่าเทียมกัน เป็นอุปสรรคในวันข้างหน้า สู้ตัดใจไปจากเธอเสียตอนนี้ ยอมเจ็บแค่ครั้งเดียว โดยการไม่ขอพบ ไม่ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอ ไม่ขอคิดถึงเธออีก...จนวันที่ผมจบการศึกษา...แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่น...มันน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด...

     

            เวลาผ่านไป...คงช่วยให้ผมลืมเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเธอ ช่วยเยียวยาหัวใจให้ดีขึ้นได้บ้าง...รักมักทดแทนด้วยรัก ย่อมเป็นได้โดยการหาคนใหม่มาแทนที่เธอ !!

     

    เวลาเย็น 4 โมงครึ่ง เป็นเวลาหลังเลิกเรียน วิชาพละคือวิชาในคาบสุดท้ายของผม หลังจากเปลี่ยนชุดพละเป็นชุดนักเรียนเสร็จเรียบร้อย จึงเตรียมกลับบ้าน เพื่อนๆในโรงเรียนส่วนใหญ่ ก็จะนำรถมอเตอร์ไซด์ส่วนตัวมาใช้เอง เพื่อสะดวกในการเดินทางไปมาระหว่างบ้านและโรงเรียน บ้างก็มีผู้ปกครองมารับกลับ พวกที่บ้านอยู่ไกล มักจะกลับโดยรถโดยสารประจำทางนักเรียนที่จ่ายค่าบริการรถเป็นรายเดือน หรือบางคนก็อาศัยรถเพื่อนกลับก็มี.... 
     

    ส่วนผมเป็นเด็กบ้านใกล้โรงเรียน แค่เดินข้ามถนน ผ่านคาทอลิก ทะลุซอยไม่กี่ซอยก็ถึงบ้านตัวเองแล้ว จะกลับกี่โมงก็ได้ แต่มีคำสั่งจากคุณป้า ว่าห้ามเกิน 6 โมงเย็น หรือ ห้ามเลยไปถึงช่วงค่ำเด็ดขาด เพราะช่วงนั้นรถราจะขวักไขว่จอแจเต็มถนน เนื่องจากเป็นช่วงที่คนทำงานต่างก็ทยอยกันกลับบ้านตัวเอง คุณป้าเป็นห่วง เว้นแต่มีกิจกรรมที่ต้องช่วยทางโรงเรียน หรืออาจารย์เรียกตัวไปซ้อมกีฬา ป้าก็จะเป็นคนมาดักรอผมที่หน้าโรงเรียนเพื่อรับผมกลับบ้านด้วยตัวเอง....
     

    ...วันนี้... ไอ้ตี๋เชงนัดผมไปเจอที่หลังประตูโรงเรียน ตรงข้ามโรงเรียนสหะของผม ข้ามสะพายลอยไป ด้านฝั่งตรงข้ามจะเป็นโรงเรียนมัธยมชายล้วน ผมชะเง้อเพื่อมองหาไอ้ตี๋มัน แต่ก็ยังไม่เห็นหัวซะที แวะดีดลูกแก้วกับเหล่าก๊วนเพื่อนสนิท ฆ่าเวลา ซื้อน้ำโค้กถุงเย็นๆ มาดูดให้ชื่นใจ ซื้อขนมกุ่ยช่ายผักทอด ร้านโปรด มากินก่อนดีกว่า

     

    คุณมิ้นท์ ป่านนี้เธอคงจะมีรถส่วนตัวที่บ้านมารับกลับ หรือ ไม่ก็กำลังนั่งทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อย อยู่ในร้านอาหารหรูกับคุณพ่อของเธอที่ไหนสักแห่ง... 

     

    เฮ้ย..ว่าไงวะ ใจลอยเชียว นึกถึงใครเหรอ

    พอมาถึงไอ้ตี๋ก็รีบเดินมาทักข้างหลังผม แบบไม่รู้ตัว

    ไอ้ตี๋ ปล่อยกูรอตั้งนาน...ไหนละ ของดีที่มึงว่า...

    ใจเย็นสิ เดี๋ยวก็มา...

     

    ยอมรับว่าป่านนี้ ผมยังไม่เข้าใจเลยว่า ของดีที่มันว่า หมายถึงอะไร...

    กวาดสายตามองไปรอบๆ ทั่วบริเวณ ก็ไม่พบเห็นอะไรที่พิเศษหรือแปลกออกไป 

     อ้าว...เฮ้ย....นั่นไง มาแล้ว….มาแล้ว

    ไอ้ตี๋ตะโกนโหวกเหวกอย่างดีใจ มันยืนกวักมือเรียกเพื่อนใหม่ของมัน ที่ยืนอยู่อีกฟากถนนให้รีบข้ามมาหา ผมสายตาสั้น เห็นหน้าเธอไม่ถนัด แต่เมื่อเห็นเธอเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ท่าทางเป็นมิตร ยิ้มให้ผมก็รู้สึกอุ่นใจ และเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเรา หน้าตาสวยหวาน น่ารัก เป็นประกายมากทีเดียว  
     

    ...เธอมีดวงตากลมโตใสหวาน ไว้ผมยาวดำขลับเป็นมัน ผูกโบว์สีชมพูอ่อนที่ผมด้านหลัง ดูน่ารักตามสมัยนิยม เธอสวยคนละแนวกับคุณมินท์ ดอกฟ้าในใจของผม คุณมิ้นท์สวยใสน่ารัก สะอาดตา บอบบางบริสุทธิ์ ดังปุยเมฆ น่าปกป้อง งามแบบภาพวาดของสาวจีนโบราณในอุดมคติในนวนิยายของท่านกิมย้งที่ผมเคยอ่าน ส่วนเธอคนนี้ก็สวยตรึงตาแบบไทย อรชรอ่อนช้อย เหมือนนางบุษบาในวรรณคดีของอิเหนา นั้นเชียวครับ ไม่มีใครกินใครลงได้เลย... 

     

     ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่แว่น

    เธอเรียกผมว่าพี่แว่น พลางส่งยิ้มหวานให้ ผมยังยืนอึ้งในความน่ารักของเธออยู่ จึงทำอะไรไม่ถูกนัก 

     เอ่อ...จ๊ะ ชื่ออะไรเหรอคุณ

     ฉันชื่อกิ่งทิพย์ค่ะ เรียกกิ่งเฉยๆ ก็ได้นะคะ

     เราชื่อดรีมนะ

     ดรีมที่แปลว่า ความฝันน่ะเหรอ..

     ใช่...ความฝัน
     

    เป็นไงถูกใจล่ะสิ จะบอกให้นะ กิ่งน่ะเขานิสัยดี ตอนอยู่โรงเรียนเก่านะ ก็เป็นคฑากรไม้หนึ่งด้วยล่ะ...สู้คุณมิ้นท์คนสวยของแกได้สบายๆ ไอ้ตี๋รีบอวด

    คุณลุงของกิ่งน่ะ ตอนนี้เขามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย ผอ.โรงเรียนเรา เชียวนะ แกคบกิ่งไว้ เวลามีอะไรเดือดร้อน ให้กิ่งเขาช่วยแกได้นะ...จะบอกให้ 

    ไอ้ตี๋เชงช่วยเล่าประวัติกิ่งให้ผมฟังเสร็จสรรพ...ประวัติเธอไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

    แหม....ไอ้หมอนี่ มันรู้ไปซะทุกเรื่อง…. 
     

    โอย...ลุงกิ่งไม่ใหญ่โตอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ ดรีมอย่าไปฟังคนอีตาคนขี้โม้...

     กิ่งหันมามองไอ้ตี๋แล้วหัวเราะขันๆ ท่าทางเธอถ่อมตนอย่างมาก เธอเป็นถึงหลานผู้ช่วย ผอ. แต่ไม่มีท่าทีหยิ่งจองหอง ผมชักเริ่มถูกชะตาเพื่อนใหม่คนนี้ขึ้นมาแล้วล่ะสิ

     
    แค่ลุงกิ่งเป็นคนขยันทำงาน ผอ.เลยรักท่านก็แค่นั้นเองค่ะ...

     และทำไมเพิ่งย้ายมาปีสุดท้ายล่ะกิ่งผมสงสัยเลยถาม เท่าที่เคยรู้จากอาจารย์บางคนเล่าให้ฟัง การย้ายโรงเรียนมากลางเทอม แบบนี้ยากมาก หรือเธอจะมีเส้นสายใหญ่โต

     ใจก็อยากย้ายมาตั้งแต่ ม. 4 แล้วค่ะ

    แต่คุณลุงของกิ่งน่ะสิ ขอทำเรื่องไปก็นานอยู่ กว่าผอ.โรงเรียนเก่าจะอนุมัติให้ย้ายน่ะคะ ยิ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่ในเมืองใกล้ตลาดแบบนี้นะ ย้ายมาลำบากมากค่ะ

     

    กิ่งบอกผมว่า...ใครๆ ก็อยากจะเข้ามาเป็นครูประจำที่โรงเรียนมัธยมในตัวเมืองกันทั้งนั้นล่ะครับ เพราะเป็นโรงเรียนใหญ่ มีชื่อเสียง การเดินทางสัญจรสะดวกสบาย ถ้าไม่มีรถส่วนตัวเองก็ยังมีรถโดยสารประจำทางมาเปิดป้ายคอยให้บริการคุณครูเช้าจรดเย็น ต่างกับครูในโรงเรียนชนบท ที่ดูจะลำบากกว่าในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องรายได้ การเดินทาง น้ำกิน น้ำดื่ม น้ำใช้ อุปกรณ์การสอนอะไรต่างๆ นานา ก็หาได้ยากกว่าครูในเมือง 

     

    รายได้ของพวกครูในเมืองยังมีเปิดรับจ๊อบสอนพิเศษภาคค่ำให้แก่พวกนักเรียนที่ค่อนข้างมีฐานะหน่อยมาเรียนพิเศษเป็นคอร์ส เป็นรายได้เสริมของครูอีกทาง ซึ่งคุณลุงของกิ่ง ก็ต้องการจะหารายได้ทางนั้น จึงยอมทิ้งโรงเรียนเดิม ย้ายมาสอนที่แห่งใหม่ โดยมีหลานรักอย่างกิ่ง ตามติดมาด้วย 
     

    ส่วนผมเป็นประเภทเด็กฐานะพอใช้ได้ แค่มีเงินซื้อชุดนักเรียนใหม่รองเท้าใหม่ไปอวดเพื่อนในวันเปิดเทอมฯ ก็ถือว่าหรูมากแล้ว ป้าผมเป็นแค่ครูรับจ้างในโรงเรียนอนุบาลเอกชนเล็กๆ ท่านหาเช้ากินค่ำ รายได้ที่เอามาจุนเจือเลี้ยงดูผมเป็นค่าอาหาร ค่าขนม การศึกษา ก็มาจากรายได้ของท่านตัวคนเดียว...ไม่พึ่งพาใคร

     

    ช่วงปิดเทอมฯ ผมจะออกไปรับงานพาร์ทไทม์ของนักศึกษา ขายดอกไม้บ้าง ขายไก่ทอด ขายเสื้อผ้าแถวตลาดนัด บ้าง รับจ้างเพื่อนทำรายงานบ้าง เพื่อนำเงินมาช่วยป้าอีกทาง แต่เบ็ดเสร็จแล้ว ก็ยังได้เงินมาไม่มากพอใช้เท่าไหร่....

     

    เรื่องเรียนพิเศษ ท่านไม่มีเงินเหลือใช้มาให้ผมเรียนเพิ่มหรอก ต้องอาศัยขยันท่องตำรับตำราหนังสือหนังหาเอาเอง ถ้าเรียนไม่ผ่านก็แค่สอบตกซ้ำชั้น ป้าบอกไว้...อย่างนั้นเสมอ ว่าให้เจียมตัวว่าฐานะเราเป็นยังไง….

    อย่าริเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นที่เขามั่งมีกว่าเรา แล้วทำตัวฟุ่มเฟือยซื้อของกินของใช้เกินตัว เกินฐานะ ถ้าเห็นเพื่อนๆ มีของดีดีแพงๆ มาอวด แล้วอยากได้บ้าง ก็ให้ตัดใจซะ แล้วคิดว่าเรากับเขา  เกิดมาแตกต่างกัน...
     

    บางทีการหลีกห่างจากคุณมิ้นท์มา มันอาจเป็นการบ่มเพาะความสมถะ เจียมเนื้อเจียมตัวของผม ที่คุณป้าพยายามอบรมสั่งสอนผมมาแต่เด็กแต่น้อย จนกลายเป็นนิสัยที่ซึมซับเข้าไปอย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้จึง ทำให้ผมไม่กล้าเทียบเคียงกับคุณมิ้นท์ไม่ว่าจะนำมาเปรียบกันด้วยเรื่องใด มันก็ไม่อาจจะวัดรอยเท้ากันได้ ไม่กล้าเลยจริงๆ แค่เผลอจับมือเธอวันนั้น ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว...     
     

    ใช่ๆๆๆ จะบอกให้นะ ลุงของกิ่งนะ เขาเส้นใหญ่ในโรงเรียนเรานะโว้ย...

    ทำไมต้องใช้เส้น

    โอย...สมัยนี้ มันก็ต้องมีเส้นสายกันทั้งนั้นล่ะ ไอ้ดรีม ไอ้ซื่อบื้อ...

    "ต่อไปนะ ถ้าแกอยากสอบเข้ากรมศิลปากรได้ง่ายๆ แกก็ต้องมีเส้นกะเขาบ้างนะโว้ย….”

    ฉันจะใช้ความสามารถ ความพยายามของฉันนี่แหละ สอบเข้าให้ได้...แกคอยดูไอ้ตี๋” ผมพูดพร้อมกำมือตัวเองแน่นอย่างทนงและมุ่งมั่น ผมจะต้องขยันอ่านหนังสือและซ้อมวาดภาพซึ่งเป็นวิชาหลักให้มากกว่าเดิม เพราะคะแนนในวิชาวาดภาพจะเป็นตัววัดว่าเราจะเข้าศิลปากรได้หรือเปล่า

    ดรีมดูเป็นคนจริงจังดีนะคะ กิ่งจะเป็นกำลังใจให้ละกัน” เธอหันมายิ้มให้ผมอย่่างอ่อนโยน เป็นรอยยิ้มที่งดงามและน่ารักที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย รู้สึกประทับใจมิตรใหม่เช่นเธอแ่ต่แรกเห็นซะแล้ว
     

    ไอ้ดรีมเนี่ยนะ มันหล่อสุดๆ ในห้องแล้วล่ะกิ่ง ขนาดยัยกวางยังตื้อตามทุกวัน ไม่ยอมปล่อย”  ไอ้ตี๋รีบออกรับหน้าแทนผม

    กิ่งพิศหน้าตาผมอยู่นานครู่หนึ่ง จึงเอ่ยบ้าง.....

    ใช่...เห็นด้วย กิ่งมองครั้งแรกว่างั้นละค่ะ ดรีมหล่อกว่าเพื่อนที่กิ่งเคยเจอมาทุกคน หุ่นก็ดีมากๆ ด้วย ชอบจัง...ขอเคล็ดลับได้ไหม

     ผลจากการชอบเล่นกีฬาตีแบดช่วงเย็นๆ ทำให้ผมหุ่นดีขึ้นมาเลยหรือนี่ จริงๆ มันก็แค่การสร้างกล้ามเนื้อให้ดูดี สมบูรณ์สมส่วนตามกำลังของตัวเองดื่มนมมากๆ ไม่ลองเหล้ากับบุหรี่เหมือนที่วัยรุ่นในวัยนี้หลายคนชอบลองกัน

    ดรีมชอบกินแต่ผัก ผลไม้ แล้วก็นมสด 
    ด้วยความเขินคำชม ผมเลยบอกกิ่งไปแบบนั้น

    น่ารักจังคะ เกิดมาเพิ่งเจอคนพูดจาน่ารักแบบเนี้ย...

     ผมชอบเล่นกีฬา จึงมีรูปร่างล่ำนิดๆ พอประมาณ แต่ถึงกระนั้นผมก็อยากมีหุ่นสวยๆ เท่ห์ๆ แมนๆ แบบพวกนักกีฬาอยู่ดี...

    ดรีมต้องมีสาวๆ มาชอบเยอะแน่ๆ ค่ะ

    แต่กิ่งก็ชอบนะน่ารักดี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองคบเป็นแฟน

    ว่าแต่...กวางหรือใครเหรอคะ? อาเชง...

    ไอ้ตี๋กำลังจะขยับปากพูด แต่ถูกผมเอามือปิดปากชิงพูดแทน

    อ่า...กูรู้นะว่ามึงจะบอกกิ่งว่าไง...เดี๋ยวจะโดนไอ้ตี๋

    กวางคือเพื่อนสนิทของดรีมเองจ๊ะเราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม.1 ไปไหนมาไหนด้วยกัน เลยค่อนข้างสนิทกันมาก...  ผมรีบออกตัวอธิบายไว้ก่อน กันการเข้าใจผิดไปกันใหญ่

    อะไรๆ ก็อ้างเพื่อน แล้วยัยกวางเขาคิดกับแกแบบนั้นเรอะไอ้ดรีม

     

    เราสามคนเดินตามกันไป คุยกันไปอย่างสนุก แวะซื้อขนม แวะร้านหนังสือการ์ตูน ผมเริ่มสนิทสนมกับกิ่ง จะว่าไปการพูดคุยกับกิ่ง ผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าการคุยกับคุณมิ้นท์ สำหรับคุณมิ้นท์ เธอก็คือคนที่น่ารักและนิสัยดีมากก็จริง แต่ทุกครั้งที่ได้ใกล้เธอ เหมือนผมต้องระมัดระวังคำพูดการกระทำของตัวเองที่แสดงออกต่อเธอตลอดเวลา อุปมาดั่งมีกระจกใสใสบางบางแผ่นหนึ่งมากั้นเรา บางครั้งผมก็รู้สึกห่างไกล คล้ายกับว่ารู้จักเธอได้ไม่ดีพอ...ใครๆ ในโรงเรียน ก็อยากจะเข้าใกล้เธอ อยากพูดคุยกับเธอทั้งนั้น ถ้าไม่มีผมเป็นเพื่อนสักคน คุณมิ้นท์เธอคงไม่เดือดร้อนอะไร...

     

    เอาวะ ต่อไปนี้ ดรีมกับกิ่ง ขอให้เป็นเพื่อนกันนะ มีอะไรก็ช่วยเหลือกันนะอย่าลืม  ตี๋เชงเดินตามมา จับมือของผมกับกิ่งให้ประสานกันเข้าไว้

     

    เฮ้ย !!”  ผมร้องอย่างตกใจที่มือตัวเองไปสัมผัสโดนมือสวยของกิ่ง รีบชักมือกลับทัน แต่กิ่งกลับรั้งมือผมเอาไว้แน่นไม่ปล่อย ผมรู้สึกหวิวๆ ซาบซ่าน ร้อนผ่าวไปทั่วตัวชอบกล เอาล่ะ คิดซะว่าเป็นการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ละกัน ไม่นานเราทั้งคู่คงคุ้นเคยกันและชินไปเอง ไอ้ตี๋...ไอ้หมอนี่จะทำเพื่อนอย่างผมใจแตก ด้วยการจับมือสาวซะแล้ว...

     วิธีทำสนธิสัญญาแบบเพื่อนในตอนนั้น ตามประสาเด็กๆ ของเราทั้งคู่คือการซื้อน้ำอัดลมมาดูดร่วมกันหนึ่งถุง ต้องดูดหลอดเดียวกันด้วยนะ แล้วก็ซื้อขนมปังมาหนึ่งก้อน...เพื่อกัดกินร่วมกัน

     ดรีมไม่รังเกียจกิ่งใช่ไหม เธอเอ่ยอย่างอายๆ แล้วส่งขนมปังก่อนที่เหลือจากเธอให้ผมรับไปกินบ้าง โดยมีไอ้ตี๋คอยเชียร์ คอยปรบมือให้ท้าย หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ

    คนน่ารักแบบกิ่ง ใครจะรังเกียจลงล่ะ

    ดรีมปากหวานยังกะนิยายเลย...” เธอชม

     

    ...การไม่ถือเนื้อถือตัวของกิ่ง ทำให้ผมกล้าขึ้น และกล้าขึ้น ทุกที... 
     

    เอ่อ...พรุ่งนี้ช่วงพัก เราไปทานข้าวที่โรงอาหารด้วยกันไหม แล้วก็แวะไปห้องดนตรี ดรีมจะเล่นเปียโนให้กิ่งฟัง...

    จริงเหรอคะ กิ่งชอบเสียงเปียโนมากเลย ดรีมเล่นได้จริงเหรอ อยากฟังจังเลยค่ะ

    ไอ้ดรีมมันนักเปียโนมือเอกของโรงเรียนเราเลยน่ะกิ่ง”  ตี๋เชงจอมโม้รีบบอก
     

    คุณลุงเคยบอกว่า เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นยากมากเลย ถ้าไม่รบกวน ช่วงวันหยุดวันไหนก็ได้ ดรีมไปสอนกิ่งที่บ้านลุงได้ไหม...กิ่งอยากเล่นเป็นบ้างค่ะ 

     

    กิ่งทิพย์บอกผมว่า คุณลุงเธอมีเปียโนที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยคุณทวดของเธอยังมีชีวิตอยู่ โดยซื้อมาจากนักแต่งเพลงรุ่นเก่าชื่อดังของเมืองไทยที่เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้คุณลุงยกให้เธอเป็นเจ้าของเปียโนหลังนั้น แต่เธอยังไม่มีเวลาไปเรียนเปียโนเป็นจริงเป็นจัง...โอ้โห ตำนานเปียโนเครื่องนี้ช่างคลาสสิคจริงๆ ชักอยากจะลองสัมผัสเสียแล้วสิ ส่วนเจ้าของเปียโนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมก็สวยและน่ารักเหลือเกิน

     

    ท่าทางจะเป็นเครื่องที่ทรงคุณค่าและโบราณน่าดูเลย น่าจับน่าลองเล่นเสียนี่กระไร ได้ยินประวัติความเป็นมาของเปียโนแล้ว ทำให้ผมนึกครึ้มใจอยากเห็นของจริง จึงตกปากรับคำอาสาไปเป็นครูสอนเปียโนชั่วคราวให้กิ่งทิพย์ที่บ้านของเธอ ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ตามแต่ผมจะว่างไปวันไหนก็ให้บอกเธอ...

     

    ดรีมใจดีจัง กิ่งให้สัญญาจะหาขนม เครื่องดื่มอร่อยๆ มาเลี้ยงดรีมให้อิ่มเลยค่ะ ไม่ต้องห่วง...ส่วนเรื่องค่าสอน เดี๋ยวให้ลุงจัดการให้ เธอแสดงสีหน้าดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด...เมื่อผมไม่ปฏิเสธ แต่ผมต้องรีบยกมือค้าน ที่เธอบอกจะให้ค่าจ้างเรียนเปียโน เพราะคติของผมคือ การสอนดนตรีแก่ผู้คนมันคือการให้ทานแห่งความสุข ผมจึงไม่เคยคิดเงินเลยสักบาทเวลาสอนเพื่อนๆ เล่นดนตรี ผมเล่นเป็นหลายชิ้นทั้งเครื่องดนตรีไทยและจีน แต่ที่ชอบที่สุด ก็เห็นจะเป็น เม้าส์ออแกน ปี่แตร และขลุ่ยจีน ที่ชอบเป่าให้คุณมิ้นท์ฟังอยู่บ่อยๆ ตรงศาลาริมน้ำหลังโรงเรียน

    "ดรีมไม่สอนดนตรีเอาเงินใคร" ผมตอบจริงใจ

    "คนอะไรเนี่ย ทั้งหล่อทั้งใจดี" กิีงยิ้มรับด้วยสายตาซาบซึ้ง
     
     

    คุณลุงของกิ่งดุมากไหม ดรีมเกรงใจครับ

    ไม่ดุเลยค่ะ เล่นได้ตามสบาย ไม่แน่นะ เผื่อดรีมอาจได้อะไรวิชาเปียโนดีดีมาจากลุงกิ่งก็ได้ กิ่งเคยเห็นลุงเล่นนะคะก็เพราะดี แต่ท่านคงไม่มีเวลาสอนกิ่งเท่าไหร่...ท่านงานเยอะ 
     

    ที่สำคัญที่ห้องดนตรีโรงเรียน พรุ่งนี้ผมต้องไม่พลาดการเดี่ยวเปียโนครั้งแรกต่อหน้ากิ่ง ประเดิมโชว์ฝีมืออวดสาวน้อย เพื่อนใหม่คนนี้ ซะหน่อยแล้วเรา.... 
     

    เฮ้ย..ไอ้เชง ถ้าพรุ่งนี้ คาบว่างมึงไปถึงห้องดนตรีก่อนกู มึงรีบจองเครื่องเปียโนไว้ให้กูหนึ่งเครื่องเลยนะ อย่าให้ใครมาแตะก่อนล่ะ 

    เออ...ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครแย่งมึงหรอก เพราะเขาเล่นกันไม่เป็น

    หลังจากเราทั้งสามเกลอ แยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว เจ้าตี๋เชงก็โทรมาหาผมที่บ้านในช่วงหัวค่ำ... 
     

    กูอยากให้มึงมองกิ่งบ้างนะไอ้ดรีม

    แล้วไง จะให้กูทำไงต่อล่ะ...

    กูรักมึงนะ...เห็นมึงได้แต่นั่งเศร้าอกหัก คิดถึงคุณมิ้นท์ตลอดเวลา ลืมคุณมิ้นท์เสียเถอะนะไอ้ดรีม ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี มึงก็รู้นี่...

    แล้วมึงว่ากิ่งเขาจะชอบกูเหรอ เขามีแฟนหรือยัง

    ไม่มีแน่นอน กูสืบมาแล้ว สบายใจได้ ไอ้ตี๋พูดไปหัวเราะไป

    มึงก็จะเรียนจบแล้วนะไอ้ดรีม หาใครสักคนมาเป็นแฟนได้แล้ว กูขอร้อง 
     

    ไอ้ตี๋มันบอกให้ผมพยายามจีบกิ่งอย่างจริงจัง ถ้าการมีแฟน จะช่วยเพิ่มกำลังใจในการเรียนให้ผมก่อนจบการศึกษา มันก็ดีอยู่ใช่น้อย ชีวิตที่เคว้งคว้างไม่มีที่ยึดเหนี่ยว จะได้มีหลักให้ยึดเกาะได้บ้าง ทุกวันนี้ผมเหมือนขอนไม้กลางแม่น้ำ ที่ล่องลอยไปเรื่อยๆ ไม่รู้ทิศทางชะตากรรมของตัวเองว่าจะจบลงตรงไหน สิ้นสุดที่ใด แล้วก็เพิ่งค้นพบว่า ตัวแปรสำคัญคือความรัก ความอบอุ่น จากใครสักคนหนึ่งที่รักและเข้าใจผม นอกเหนือจากคุณป้าที่ผมเคารพรัก...  
     

     ดรีมอยากได้ความรักและกำลังใจจากคนที่พิเศษของหัวใจ...เพื่อเป็นแรงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะดีดีของดรีมในวันข้างหน้า... 
     

    ยังจำคำอธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์เมื่อวันก่อนได้ดี ฤาเบื้องบน พระเป็นเจ้า ควีนแห่งรัก กำลังช่วยชี้ทาง โดยท่านอาจคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะรักใครสักคน เธอคนนั้นอาจจะกำลังก้าวเข้ามาในชีวิต เป็นสิ่งพิเศษที่เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตที่เคยราบเรียบมาตลอดของผม เริ่มมีชีวิตชีวา มีสีสันดั่งภาพวาดของจิตรกร มีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้น มีความประทับใจต่างๆ ให้ผมได้จดเอาไว้ในความทรงจำที่งดงามในห้วงหนึ่งของชีวิตที่แสนว่างเปล่าบ้างก็ยังดี... 
     

    ความรักสร้างสรรค์สิ่งดีดีให้เรามากมาย หากเรารู้จักรักและรักเป็น

    คุณป้าเคยบอกผมแบบนั้นนานแล้ว ผมยังไม่ลืมสิ่งที่ท่านพูด.....จนวันนี้


    ....วันของสองเราในที่สุดจะได้เห็น ชีวิตที่มีคุณค่าสำหรับเธอและฉัน
    และด้วยรักของเรา...บนเส้นทางแห่งน้ำตาและขวากหนาม เราจะสามารถฟันฝ่าข้ามผ่านทุกพายุร้ายไปได้
    วันของสองเรา สักวัน วันที่จะมีโลกใหม่ โลกแห่งความหวังของเธอกับฉัน...โอ้ความรัก อัศจรรย์ถึงเพียงนี้ เชียวหรือ….

     

    ผมเองก็ไม่เคยมีแฟนคนแรกกับเขาสักที บางครั้งก็อิจฉาเพื่อนในวัยนี้ที่เขาต่างมีแฟนกันเป็นคู่ควงและไปไหนด้วยกันสองต่อสอง อยู่ด้วยกันในวันหยุดเทศกาลต่างๆ ทำกิจกรรมร่วมกัน เดินห้าง ซื้อของ ดูหนัง ฟังเพลง  
     

    กิ่งในสายตาผมเป็นคนน่ารัก ผมจะจริงใจ จะไม่มองกิ่งเป็นของเล่นชิ้นใหม่ ที่เอามาทดแทนคุณมิ้นท์เด็ดขาด.... 
     

    ต่อไปนี้ กูจะดูแลกิ่งเอง มึงไม่ต้องห่วง...” ผมบอกไอ้ตี๋อย่างมั่นใจ

    เอ่อ..ให้มันได้อย่างนี้สิวะไอ้ดรีม.. เพื่อนรัก..." ไอ้ตี๋รีบให้ท้าย แล้วมันก็วางหูโทรศัพท์ไปอย่างสมความตั้งใจ
     

    ลมเย็นพัดโชยผ่านหน้าต่างห้องนอนยามดึก ผ้าม่านสีชมพูที่ผมผูกติดไว้ที่หน้าต่าง ปลิวพลิ้วไหวไปตามแรงของกระแสลม ทำให้เห็นพระจันทร์ดวงกลมโตสว่างเต็มดวง ที่เปล่งแสงสีทองสุกอร่าม ลอยเด่นอยู่เหนือผืนฟ้า มีหมู่ดาวน้อยใหญ่ส่องประกายอวดแสงล้อมรอบเดือนเพ็ญ สวยงามตาน่าพิศน่าเชยชม.... 
     

    ผมจึงนึกเปรียบเทียบพระจันทร์เป็นความรักคงงามซึ้งชวนฝัน... 
     

    แต่ทว่า... รักที่อยู่สูงเกินไปกับหญิงงามบางคน ที่เราอาจคงมองเห็นแต่แค่ตาเท่านั้น...แต่ไม่มีสิทธิเอื้อมคว้ามาเป็นเจ้าของกลับทำให้รู้สึกเหน็บหนาวเศร้าใจ ถวิลหาในอุรายิ่งนัก....

    กลิ่นน้ำอบไทยที่ประพรมลงไปที่หมอนหนุนตอนหัวค่ำ ส่งกลิ่นหอมเย็นสบาย จนทำให้ผมได้แต่เคลิ้มใกล้หลับใหลเต็มที เปลือกตาค่อยปิดลงทีละน้อย สมองไม่คิดถึงเรื่องใดใดอีก นอกจากจะขอให้ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งเช้า เพื่อลมหายใจของชีวิตในวันพรุ่งนี้ก็เท่านั้น.... 


    โคลงบทหนึ่งในวรรณคดีอิเหนาจากปากซินแสเฒ่าชาวจีนคนนึง ดังแว่วมาตามสายลม พร้อมเสียงดีดพิณผีผาอันไพเราะกังวานหวาน หากแต่ดรีมมิได้ฟัง หรือได้ยินเสียงนั้นเช่นใครๆ เลย เพราะเขากำลังหลับสนิทอยู่ในห้วงนิทราอันแสนสุขเสียแล้ว...

     
     

    โอ้ว่าอนิจจาความรัก                        พึ่งประจักษ์ดังสายน้ำไหล
    ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป        ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา
      สตรีใดในพิภพจบแดน                  ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า
    ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา                 จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์
       โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก                   เพราะเชื่อสิ้นหลงรักจึงช้ำจิต
        จะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ                เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร


     


    ............................................







    เพลงประกอบปิดท้ายตอน





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×