ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #6 : ดอกไม้ในแจกัน (อดีต) อาหมิ่นลี่ - รีไรท์ ครั้งที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 63




     

    พูดถึงสาวน้อยในห้วงคำนึง ลูกสาวผู้พิพากษาคนเก่ง คุณมินท์ คือ คนที่อยู่ในใจผมตลอดมา ความรักก็เหมือนกับตะเกียง เป็นไฟส่องนำทางให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่หัวใจเรา....แต่บางครั้งก็เหมือนเข็มที่ซ่อนอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง หากหลงใหลลงไปแหวกว่ายด้วยความดื่มด่ำ ฉ่ำเย็น เพลิดเพลินเมื่อไหร่...มันก็อาจย้อนมาทิ่มตำเราให้เจ็บปวดได้วันหนึ่ง โดยไม่ทันรู้ตัวได้เหมือนกัน .....

    ยิ่งนานวันผมยังเก็บความในใจอยู่แบบนั้น เพราะคำนวณดูแล้ว เปิดเผยไป คงไม่มีประโยชน์อยู่ดี สภาพแวดล้อมสังคมของคุณมินท์และผม ต่างกันมาก ถึงแม้เราจะอยู่ในบนโลกเดียวกันก็จริง แต่โลกของผมมันก็คือ "โลกสีเทาอันเศร้าหมอง" ยากที่ใครจะมาเข้าใจอย่างถ่องแท้ บางครั้งเด็กกำพร้าอย่างผม ก็รู้สึกเหงาและห่างไกลผู้คนออกไปทุกที ....

    ถ้าได้มองเพื่อนๆในวัยนี้ ที่ต่างมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นของแปลกประหลาด ที่คนให้ความสนอกสนใจอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผม

    "ดรีม อลงกต ตัวคนเดียว เด็กกำพร้าหลังวัดริมคลอง อย่าไปคบมัน ไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายตีน!"
    "เด็กที่ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน มันจะเก่งไปได้สักกี่น้ำวะ ไอ้ขี้ครอก"
    "กูจะคอยดูน้ำหน้าคนอย่างมัน ทำตัวเป็นนักเลงโต ใครรังแกไม่ได้ คนอย่างมันจะได้เรียนสูงสักแค่ไหนวะ ป้ามันคงมีปัญญาส่งหลานแค่นี้ละมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า"


    สารพัดคำถากถางจากผู้คนที่พรั่งพรูเข้ามา ทำให้ผมต้องอดทนอดกลั้นต่อคำเยาะเย้ยถากถางของเด็กเกเร นักเลงหัวไม้แตกเปลี่ยว ประจำหมู่บ้าน แต่ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีจุดหักเห ที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อความอยู่รอด และก่อนที่ผมจะกลายเป็นไอ้สิงห์ใจเด็ด ที่ไม่กลัวใครหน้าไหนในโลกอีกต่อไป เรามารู้จักคุณมิ้นท์กันก่อนครับ


    คุณมินท์ สาวน้อยจิตใจดี งดงามดั่งนางไซซีในตำนานของจีน เปรียบเช่น มัจฉาจมวารี เธอสวย สวยแบบพิสุทธ์ใส บริสุทธิ์เหมือนลำธารใสที่เห็นตัวปลา

    แต่เธอเปรียบเหมือนดอกไม้ในแจกัน ดอกไม้สวยที่ผมได้แต่เฝ้ามองด้วยตาและชื่นชมอยู่ห่างๆ เท่านั้น เมื่อเข้าใกล้เธอไม่ได้มาก ผมจึงต้องแสวงหาความตื่นตาตื่นใจใหม่ๆ มาทดแทนให้ชีวิตวัยรุ่น โดยไม่รู้ว่าจะกลายเป็นพิษในภายหลัง...

    "นี่..ดรีม มีข่าวดีมาบอกจ๊ะ...อาทิตย์หน้ากวางจะสมัครเข้า "ชมรมต้นไม้สวย" กับท่านประธานมิ้นท์นะ ดรีมสนใจจะเข้าด้วยมั้ย จะได้เขียนชื่อใส่กระดาษไปให้อาจารย์....อยากอยู่ใกล้คุณมินท์เค้าไม่ใช่เหรอจ๊ะ..."

    ผมไม่อยากยุ่งเรื่องความรักอีกแล้ว การได้อยู่ใกล้คนที่เราชอบ แต่ไม่กล้ารัก ไม่กล้าเผยความในใจ มันเป็นความเจ็บลึก เศร้าตรม เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกว่าความรักมันอันตรายและทรมานสิ้นดี
    ลึกๆ ผมแค่อยากอาศัยเสียงเพลง-ดนตรี เป็นยารักษาใจตัวเองอย่างเงียบๆ แค่นั้น จึงหาทางปฎิเสธน้องกวางไป

    "ไม่หรอก อาจารย์ชาติ เขาคงชวนดรีมไปอยู่ชมรมดนตรีอยู่แล้วล่ะ... เพราะอาจารย์เขาต้องหาคนเล่นเปียโนในงานโรงเรียนที่จะถึง เดือนหน้านี้...."

    "ก็บอกอาจารย์เขาไปสิ ให้เขาหาคนใหม่ก็ได้ อาจารย์ชาติใจดีจะตาย ไม่ว่าหรอก อยู่ชมรมต้นไม้กับกวางดีกว่านะ สนุกด้วย ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกโรงเรียนด้วยกัน..."

    "นักเปียโนโรงเรียนเรา มีแค่ 2 คน ถ้าพี่เต้ไม่ว่าง ดรีมต้องไปเล่นแทนเขา" ผมพยายามหาข้ออ้าง

    "เีหรอ...น่าเสียดายนะ นี่...รู้้มั้ยคุณมิ้นท์น่ะ ใจดีมากเลย ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้เธอ ขนาดกวางเป็นผู้หญิงด้วยกันยังปลื้มเลย...วันนี้นะ เราคุยกันสนิทมาก...."

    กวางบอกผมว่า คุณมิ้นท์ชวนกวางกินขนมที่คุณพ่อซื้อมาฝากจากฮ่องกงด้วย อร่อยและแพงอย่างที่สุด เพราะเมืองไทยไม่มีขาย

    "กวางบอกว่า ดรีมปลื้มคุณมิ้นท์มากค่ะ เธอยิ้มใหญ่ ฝากขนมมาให้ดรีมด้วย..."

    ผมได้ฟังกวางเล่าเรื่องคุณมิ้นท์ให้ฟังแล้วอมยิ้มไป กินขนมที่เธอให้ไปด้วย เธอมีน้ำใจไมตรีนัก ผมหลงรัก หลงปลื้มคนไม่ผิด ทำไมนะ ผมต้องเกิดมาเป็นคนต่ำต้อย ต้องเก็บงำความต้องการลึกๆ ไว้ในใจตัวเองตลอดเวลา  แล้วถ้าคุณมิ้นท์รู้ความจริง ผมจะกลายเป็นตัวอะไรในสายตาของเธอและเพื่อนๆ รอบข้างเธอที่ล้วนมีแต่พวกลูกหลานชัวเถาเจ้าสัว ผู้ดีเก่า.....

    "กูเห็นคุณมิ้นท์ เขาดีกับทุกคน มึงอย่าคิดเ้ข้าข้างตัวเองไป ว่าเขาชอบมึง"

     ถูกอย่างที่ไอ้ตี๋มันบอก เท่าที่สังเกตุคุณมิ้นท์ นิสัยใจคอแบบนี้มาตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว มีน้ำใจ พูดเพราะ สุภาพ ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว เธออาจถูกอบรมมาดี ผมมองเห็นความเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วที่อยู่ในตัวเธอ แต่งกายสะอาด ถูกระเบียบเรียบร้อย กินข้าวก็ค่อยๆ กิน ไม่มูมมามแบบเพื่อนบางคน ไม่ชอบคุยเอะอะ เสียงดังเวลาอยู่ในหอประชุม  คุณมิ้นท์เธอมีกลุ่มเพื่อนสนิทที่เดินไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ประมาณ 4-5 คน ที่เห็นเธอสนิทๆ ก็จะมีลูกสาวคุณหมอบ้าง ลูกอัยการบ้าง ผมสังเกตุดูจากการแต่งตัว รองเท้า ข้าวของที่ใช้ในห้องเรียน กลุ่มเพื่อนคุณมิ้นท์ รู้สึกจะเป็นคุณหนูไฮโซด้วยกันทั้งนั้น เรามีโอกาสได้พูดคุยกันบ้าง ถ้าลงเรียนคาบเดียวกัน เช่น วิชาศิลปะ ดนตรี พละศึกษา...

    ผมเองสนิทกับครูในภาควิชาศิลปะอยู่หลายคนครับ ส่วนใหญ่ งานถนัดของผม เช่น งานทำป้ายนิทรรศการต่างๆ ให้โรงเรียน วาดลายกนกตกแต่งเวทีละครโรงเรียน ทำผ้าบาติกออกโชว์ในวันวิชาการ ซึ่งงานพวกนี้เป็นงานที่ผมและเพื่อนๆ ในสายวิชาศิลป์ทุกคน มักถูกเรียกตัวไปช่วยในวันหยุดเรียนเสาร์-อาทิตย์บ้าง ช่วงปิดภาคเรียนบ้าง บางทีงานเร่ง ต้องทำกันตั้งแต่เช้าถึงเย็น อาจารย์ท่านนึกเอ็นดู ก็จะพาพวกเราไปเลี้ยงขนม เลี้ยงไอศกรีม เพื่อเป็นกำลังใจบ้างก็มี....ผมไม่เหนื่อยและกลับรู้สึกสนุกสนาน เมื่อได้ทำในสิ่งที่รัก ที่ชอบ ชีวิตในวัยเรียน เป็นชีวิตที่อิสระเสรีจริงๆ ต่างกับชีวิตการทำงานตอนโตเป็นผู้ใหญ่มากเลย...

    "ดรีมจ๊ะ...มาช่วยแนะนำคุณมิ้นท์ เรื่องวาดภาพหน่อยสิ เราวาดเก่งไม่ใช่เหรอ..."

    ครูนิดเรียกผมเข้าไปหา ผมพยายามทำใจให้เป็นปกติที่สุดเวลาใกล้เธอทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีพิรุธ

    "มิ้นท์...ให้ดรีมเขาช่วยบอกได้นะจ๊ะ เขาเก่งนะ ประกวดได้หลายรางวัลแล้ว"

    "อ้อ...ค่ะ มิ้นท์วาดไม่ค่อยเก่งนะคะดรีม... มีอะไรแนะนำด้วยนะ" 

    "คุณมิ้นท์...สีตรงพื้นดินเนี่ย ต้องลงเข้มอีกนิด ให้มันดูแตกต่างจากท้องฟ้านะครับ จะได้เด่น"

    ผมแนะนำเรื่องการลงสีให้เธอ เพราะตัวเองเคยประกวดวาดภาพระดับโรงเรียน ก็พอมีพื้นฐานความรู้เชิงศิลป์อยู่ไม่น้อย

    อาจารย์ให้เวลาวิชาศิลปะ 1 ชั่วโมง เราจะเลือกวาดอะไร มุมไหนในโรงเรียนก็ได้  ตามแต่ชอบ การวาดภาพมันก็เหมือนเราได้จำลองชีวิตจริงเข้ามาในกระดาษ ลงสีให้ดูมีมิติ เหมือนจริง ภาพจะสวย ลองมองธรรมชาติของจริงเป็นหลัก ผมแนะนำคุณมิ้นท์ แบบนั้น มีเพื่อนๆ อีกหลายคนที่รักการวาดภาพ วิ่งเข้ามานั่งฟังด้วยความสนใจ.....

    "กระดาษเปล่าแผ่นนี้ เราต้องใส่จินตนาการเข้าไป"
    "ดรีมเก่งจัง เรียนจบ คิดจะเป็นครูสอนศิลปะบ้างไหม" คุณมิ้นท์ถาม เธอก้มหน้า แล้วเอาพู่กันละเลงสีน้ำในจานสีอย่างเพลิดเพลิน

    "ยังไม่รู้เลย ก็ชอบอยู่นะ แต่เรื่องดนตรี...ดรีมก็ชอบมากเหมือนกัน "
    "ก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งนะคะ จับงานที่เราชอบยึดเป็นอาชีพให้ได้"

    เราเริ่มคุยกันถูกคอมากขึ้น คุณมิ้นท์ถึงจะเป็นลูกคนจีนแต่เธอโตที่เมืองไทย เธอจึงพูดภาษาไทยได้คล่องชัด แม้บางครั้งจะติดสำเนียงกวางตุ้ง พูดไทยคำ จีนคำ แต่เธอก็เป็นคนคุยง่าย คุยสนุก อารมณ์ดี บางครั้งก็มีมุขมาให้เพื่อนๆ หัวเราะกันเสมอ

    "แล้วคุณมิ้นท์ล่ะ เรียนจบแล้วอยากต่อคณะอะไรเหรอ..."
    "กำลังคิดอยู่เหมือนกันคะ หมอ พยาบาล เภสัช นิติศาสตร์..."
    คุณมิ้นท์บอกผมว่าตอนนี้มี 4 คณะเป็นตัวเลือก ที่เธอต้องสอบติดให้ได้ตามความตั้งใจ

    ผมอยากเชียร์คุณมิ้นท์ให้ได้เป็นอัยการก่อน แล้วก็เป็นผู้พิพากษาไปเลย พูดถึงคุณพ่อคุณมิ้นท์แล้ว บุคลิกท่านดูน่าเกรงขาม อบอุ่น น่าเคารพยิ่ง ขนาดพวกอาจารย์ในโรงเรียน ยังรู้สึกเกรงใจ เจอท่านเป็นต้องยกมือไหว้กันทุกคน ดูจากมาดและบุคลิกของคุณมิ้นท์ตอนนี้ ถ้าได้เป็นผู้พิพากษาหญิงหรืออัยการจริงๆ คงสวยสง่า และเท่ห์ไม่เบา.....

    "อยากเป็นผู้พิพากษาเหมือนคุณพ่อหรือเปล่า...."
    "มิ้นฝันอยากเป็นหมอค่ะ ชอบ"
    "เป็นหมอ มันก็ยากพอๆ กับนักกฎหมายนี่นา..."
    "เป็นผู้พิพากษา ต้องท่องกฎหมายจนหัวบานเลยค่ะ"

    คุณมิ้นท์บอกผมว่าใจเธออยากเป็นแพทย์ทางยาจีน อยากช่วยเหลือคน โดยมีเหตุจูงใจมาจากอาการป่วยหนักของม่าม๊าที่รักษาไม่หายจนสิ้นชีวิตไปต่อหน้าต่อตาลูก สามี และ ญาติๆ

    "มิ้นเห็นอาม๊าป่วยจนถึงวันสุดท้ายที่อยู่โรงบาล มิ้นท์อยากเป็นหมอทางยา ที่เก่งๆ รักษาเขาให้หายขาด..."
    "มันทรมานจิตใจนะคะ ถ้าเห็นคนที่เรารักค่อยๆ ป่วย ค่อยๆ ซีดผอมและตายลง โดยช่วยอะไรไม่ได้เลย..."

    ผมพยายามปลอบคุณมิ้นท์์ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอหรือของใคร แต่การพลัดพรากมันเป็นสัจธรรมของมนุษย์ เกิดแก่เจ็บตาย ใครหนีพ้น คุณแม่ท่านทำบุญมามากเลยไปอยู่บนสวรรค์เร็วไปหน่อยก็เท่านั้น...สักวันพวกเราก็ต้องไปเหมือนท่าน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

    "ป่านนี้ท่านคงจะมองดูลูกสาวคนเก่งของท่านอยู่เบื้องบน"
    "มิ้นท์จะไม่ทำตัวให้ม๊าผิดหวังคะ ท่านเคยพูดว่า อยากให้มิ้นท์เรียนหมอให้ได้"

    ในความคิดผม การเป็นหมอเหนื่อยหนักและอันตรายมาก ชีวิตคนไข้ คือ ภาระที่ต้องแบก เดี๋ยวนี้การติดเชื้อทางเลือด หรือทางอื่น สามารถซึมผ่านคนไข้ไปยังหมอผู้รักษาได้ง่ายดาย มีโรคร้ายประหลาด หรือเชื้อไวรัสสายพันธุ์แปลกๆ เกิดขึ้นในวงการแพทย์ ถ้าไม่ระมัดระวังตัว หมอเองก็อาจติดโรคจากคนไข้ได้เหมือนกัน เช่น โรคเอดส์ วัณโรค ภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ฯลฯ

    "คุณมิ้นท์ไม่กลัวเข็ม ไม่กลัวเลือดเหรอไง..."
    "ไม่ค่ะ ถ้าเรามัวแต่กลัว คนคงตายกันหมดโลก ไม่มีใครเป็นหมออีกแล้ว..." จริงของเธอ

    "...คนเก่งอย่างคุณมิ้นท์เป็นได้ทุกอย่างอยู่แล้ว..."

    ผมรู้สึกว่าคุณพ่อคุณมิ้นท์คือต้นแบบที่ดีของผู้ชายที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง นอกจากจะรูปหล่อแล้ว รู้มาว่า..ท่านยังเป็นเจ้านายผู้ใหญ่ที่สุขุมทำงานเก่ง ผมเคยเห็นตัวจริงท่านมาตั้งแต่ผมอยู่ประถมแน่ะครับ ตอนนั้นผมยังเด็กมากทีเดียว

    ผมเห็นคุณมิ้นท์ในวัยประถม สะพายเป้น่ารัก วิ่งตามคุณพ่อ และคนขับรถของเธอขึ้นรถเบนซ์ต้อยๆ แล้วผมก็ไม่เคยได้ข่าวครอบครัวนี้อีก นอกจากจะได้เจอโดยบังเอิญบ้างตามที่ต่างๆ จนเติบโต เข้าเรียนมัธยม เราได้มาเรียนโรงเรียนเดียวกันช่วง ม. ปลาย ผมจึงได้ข่าวจากคนนั้นคนนี้มาอีกทีว่า คุณแม่ของคุณมิ้นท์เธอเสียไปได้ 3 ปีแล้วด้วยโรคประจำตัวของท่าน......

    "ดรีมเสียใจด้วยนะ... เรื่องคุณแม่ของคุณมิ้นท์"
    "ค่ะ..มิ้นท์ยังไม่ลืมท่าน...ท่านจากไปเร็วมาก ไม่ตั้งตัวเลย...." เสียงเธอสั่นเครือๆ
    "คุณมิ้นท์ยังมีปาป๊าอยู่อีกทั้งคนนะ ท่านยังแข็งแรง ต้องอยู่กับคุณมิ้นท์ไปอีกนานแน่ๆ" ผมยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน พูดเป็นเชิงให้กำลังใจ ผมรักคุณมิ้นท์ด้วยใจที่ซื่อบริสุทธิ์สะอาดจริงๆ ใครจะมองว่าเรามาเกาะคบลูกสาวคนรวยคนดังของโรงเรียนก็ช่าง แต่ใจผมรู้ดีว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเธอ

    "มิ้นรักคุณพ่อมากที่สุดค่ะ"
    "อย่าเสียใจเลยนะ ดรีมก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกันอ่ะนะครับ"

    ผมเล่าเรื่องรันทดของผมให้เธอฟังบ้าง แค่อยากให้เธอมีเพื่อน ไม่ว้าเหว่ ให้เธอคิดว่า โลกนี้ไม่ใช่มีแค่เธอที่ประสบชะตากรรมเป็นเด็กกำพร้าแม่ อย่างน้อยๆ ยังก็มีผมคนนึง ที่โชคร้าย ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าพ่อแม่ตัวเองเลยด้วยซ้ำ นอกจาก รูปถ่ายเก่าๆ ที่คุณป้าเก็บไว้ให้ดูในอัลบั้มวันแต่งงานพ่อกับแม่เท่านั้น.... 

    "ดรีมไม่รู้เหมือนกันว่า่พ่อแม่อยู่ไหน ตายไปหรือยัง ทำไมถึงไม่ติดต่อกลับมา เขาอาจมีลูกใหม่จนลืมดรีม..."

    เมื่อพูดถึงแม่ เรา 2 คน มีท่าทีเศร้าๆ เหมือนกันเลย.. เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า...

    "เออ...ขนมที่คุณมิ้นท์ฝากกวางมาให้ดรีมกิน อร่อยสุดขั้วเลยนะ" 
    "อาทิตย์หน้าคุณพ่อจะขึ้นไปดูงานที่เซี่ยงไฮ้ คงมีขนมมาฝากดรีมอีกกล่อง...." เธอหัวเราะเบาๆ
    "อยากกินอะไรก็บอกได้นะคะ...ที่จีนมีของกินอร่อยๆ สำหรับเด็กมากมายเลย"
    "อะไรก็ได้ ดรีมกินได้หมดเลย ขอแค่เป็นขนมที่คุณมิ้นท์ให้ก็พอ"
     
    ด้วยธรรมชาติของเด็กวัยรุ่นผู้ชาย เวลาผู้หญิงที่สวย น่ารัก ให้ความสนิทกับเรา แถมไม่รังเกียจเราอีก มันก็อดจะแทะเล็มหรือเกี้ยวเธอไม่ได้ ผมตอนนั้นมั่นใจอย่างมากแล้ว ว่าตัวเองก็ชายแท้ที่สมบูรณ์ปกติคนหนึ่ง อาจมีเผลอๆใจ ใฝ่ฝันถึงเรื่องรักของเราไปบ้างแบบไม่ตั้งตัวนะครับ...

    "คุณมิ้นท์ สีหกใส่มือเลอะไปหมดแล้ว" 
    เราคุยกันเพลินจริงๆ ด้วย มือเธอจึงเผลอไปปัดพู่กันที่วางอยู่ในแก้วน้ำ พลาดไปโดนจานสีหกกระจาย เปื้อนทั้งมือ เสื้อนักเรียน และ โต๊ะวาดภาพของเรา

    "คุณมิ้นท์รีบไปล้างมือก่อนเร้ว..เดี๋ยวดรีมหาผ้ามาเช็ดโต๊ะให้เอง....."
    "ไม่เอา ช่วยๆ กันเช็ดค่ะ จะไ้ด้เสร็จเร็ว.."
    เธอไม่ยอมไปไหน แต่กลับอยู่ช่วยผมเช็ดและเก็บโต๊ะที่เปรอะเปื้อน น่ารักอีกแล้ว
    หลังจากทำความสะอาดโต๊ะแล้ว ผมกับคุณมิ้นท์จึงลงมาล้างมือที่แท้งค์น้ำ ข้างล่าง หน้าอาคารศิลปะ

    "สีน้ำยี่ห้อนี้...นี่ล้างออกยากจังเลยค่ะดรีม ว่ามั้ย..." เธอพยายามใช้สบู่ถูมือไปมา
    "นั้นมันคือสีน้ำเกรดดี กล่องละ 500 น่ะคุณมิ้นท์"
    ผมประกวดวาดภาพชนะเลยได้มันเป็นรางวัล แต่ผมมอบให้ห้องศิลปะ ไว้ให้อาจารย์ได้ใช้ในงานศิลปะที่สำคัญของโรงเรียนจริงๆ บอกความจริงแก่เธอไป

    "โอ้โห..ดรีมใจดีจังค่ะ ว่าแต่แพงจังนะคะ มิน่า ระบายดี แห้งเร็ว ทนติดนาน"
    "ปกติอาจารย์ไม่ให้ใครยืมใช้หรอกนะ สีมันแพง อาจารย์เขาหวงครับ"
    "แสดงว่า..มิ้นท์ต้องเป็นศิษย์รัก ศิษย์โปรดอาจารย์แ่น่เลย..."
      คุณมิ้นท์พูดพลางหัวเราะเขินๆ อย่างไร้เดียงสา ตาหยีแต่แก้มขาวใสเป็นสีชมพู่ระเรื่อเหมือนลูกท้อสุก น่ารักจับจิต

    "ใครๆ ก็รักคุณมิ้นท์ทั้งนั้นแหละ รวมทั้ง..เอ่อ" ผมกำลังจะตอบว่ารวมทั้งผมด้วยที่หลงรักเธอ แต่ความเจียมตัว จึงทำให้หยุดไว้

    คิดแล้่วก็น้อยใจในความจน อันที่จริง คนอย่างผมไม่มีปัญญาซื้อสีดีดีแบบนั้นมาใช้หรอก ผมเลยต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายไปประกวดวาดภาพ เพื่อที่จะมีโอกาศได้หยิบจับใช้สีราคาแพงๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง แหะๆ...สำหรับพวกจิตรกร นักฝันอย่างเราแล้ว การมีสีน้ำอย่างดีไว้ใช้ คือที่สุดแห่งความสุข ความอภิรมย์ในชีวิต สียิ่งแพงเท่าไหร่ ภาพก็ยิ่งงาม...ตามราคา...มันคือสัจธรรมความจริง ถ้าเรามีอัฐมากมาย เราก็เลือกสรรสิ่งที่ดีให้ตัวเองได้



    "ต่อไปถ้าใช้สีน้ำมันจะยิ่งกว่านี้ เพราะมันทั้งเหนียวและเลอะง่าย...ต้องระวังหน่อย..."

    "ล้างแบบนั้น มันจะออกได้ยังไงละัคุณมิ้นท์ ต้องถูแรงๆ แบบนี้นะ"
    ผมพยายามล้างมือตัวเองให้เธอดูเป็นตัวอย่าง รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ เธอล้างมือไม่ได้อย่างใจผมเลย.....

    "เอามือมาสิ...เดี๋ยวดรีมล้างให้ นะ...."

    ผมจับมือคุณมิ้นท์ขึ้นมาล้างให้ด้วยความหวังดี ไม่ได้คิดลวนลาม
    มือเธอนุ่มนวลนิ่ม จนไม่อยากปล่อย ได้สัมผัสเนื้อเธอครั้งแรก มันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นไข้ ตื่นเต้นตัวสั่น ต่างกันกับที่จับมือของกวาง เพื่อนรัก ผมรู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกรักแบบหนุ่มสาวกับรักแบบเพื่อนสนิท มันต่างกันราวฟ้ากับเหว แบบนี้นี่เอง !!

    "มิ้นขอไปเอาแอลกอฮอลล์ ในห้องอาจารย์มาล้างดีกว่าค่ะ" เธอมีท่าทีแปลกๆ ไป ไม่กล้าสบตาผม

    ผมได้แต่ยืนนิ่งมองคุณมิ้นท์ เห็นเธอรีบวิ่งขึ้นไปบนอาคารเรียนศิลปะอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย ....

    ผมทำอะไรไม่ถูก ใจคิดว่าคุณมิ้นท์จะรังเกียจผมหรือเปล่าที่ไปจับมือเธอแบบนั้นจึงรีบเดินหนีไป รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปก็คราวนี้....

    นึกถึงคำพูดของไอ้คาสโนวาประจำโรงเรียน "ไอ้ตี๋เชง" ขึ้นมาตะหงิดๆ

    "ผู้หญิงเวลาชอบผู้ชายอ่ะนะ..จะมีอาการแปลกๆ เวลาโดนจับมือหรือถูกตัว"

    ก็อาจใช่สินะ ถ้าชอบแล้วล่ะก็เธอคนนั้น คงจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงวัยสาวแรกแย้มเต็มตัวที่สนใจในเพศตรงข้าม คือชายหนุ่ม อาจรู้สึกตื่นเต้น เขินอาย ประหม่า เวลาโดนคนอย่างเราสัมผัสมือ แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ผมเอาเรื่องนี้มาปรึกษากับไอ้ตี๋เชง มันอีกครั้ง

    "ซื่อบื้อที่สุด ต้องมาหากูบ่อยๆ รับรองจีบสาวได้ 3 คนภายในวันเดียว"
    "กูไม่ช่ำชองอย่างมึงหรอก ไอ้เชง อย่าว่าอ่อนหัดเลย...."
    "เอาใจช่วยว่ะ จะว่าไปกูก็ชอบคุณมิ้นท์นะ เขาสวยน่ารักดี คบไว้ลอกการบ้าน ลอกข้อสอบ ฮ่าๆๆ"
    "ชอบก็จีบสิ มาบอกกูทำไม.."
    "แต่ไม่ไหวอ่ะ ดีเกิน อยู่สูงเกิน...ไม่กล้าว่ะ...ได้ข่าวว่าพ่อหวงลูกสาวมาก"

    "กูเริ่มชอบคุณมิ้นท์ มากขึ้นทุกวันแล้วว่ะ ทำไงดี" 
    "มึงจะต้องเจอคู่แข่งอีกเป็นร้อย"
    "พอเห็นเขาพูดเรื่องแม่เขานะ กูยิ่งรัก ยิ่งสงสารว่ะ บอกไม่ถูก อยากดูแล อยู่ข้างๆ คอยปลอบใจเขา"
    "ระวังยัยกวางจะแหกอกเอานะ" 
    "กูกับกวางเป็นเพื่อนกัน บอกไปกี่รอบแล้ว"
    "เหรอ..ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ย้ำบ่อยๆ นะ ความจำกูมันสั้นวะ ลืมทู้ก...ที นึกว่าเป็นผัวเมียกัน ฮ่าๆๆ"
    "เฮ้ย...ไอ้บ้า..ลามก"  ไอ้ตี๋ทำท่าทางล้่อเลียน น่าตบ หมั้นไส้ที่สุด อยากไล่เตะมันจริงๆ


    "นี่...ไอ้ดรีม ถ้าไม่อยากอกหักนานนะ มีของดีมาแนะนำโว้ย..อยากรู้เจอกันหลังเลิกเรียนเย็นนี้..."

    ผมกับไอ้ตี๋เชงเริ่มสนิทกันทีละน้อย แต่เดิมไม่ค่อยชอบท่าทีห้าวๆ ดิบๆ แต่ไอ้ตี๋มันก็น่ารักอยู่นะครับ มันหวังดีต่อผม แม้การแนะนำแต่ละอย่างของมันจะไร้สาระและไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของมัน ถ้าไม่นับเรื่องโดดเรียน ตื่นสาย ขี้กร่าง บ้าผู้หญิง ชอบพูดเพ้อเจ้อ แอบกินขนมและคุยในห้องเรียน ก็น่าคบหาอยู่ เพราะตี๋เชงมันเองเป็นคนรักเพื่อน หลายๆ ครั้งไอ้หมอนี่ มันทำให้ผมประทับใจ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไปนะครับ....













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×