ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #4 : เพื่อนรักแสนดี (อดีต-ปัจจุบัน) หทัยภัทร - รีไรท์ครั้งที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 63




    คำโปรย

    "ให้ตายเหอะ กลิ่นสาบอะไรที่กวางบอกนั่น มันตามผมมาอีกแล้ว กวางเป็นรายที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย ที่เ่อ่ยทักว่าร่างกายผมมีกลิ่นประหลาดบางอย่างโชยมา" !




    ตอน เพื่อนรักแสนดี



    เมื่อเด็กหนุ่มที่มีความเพ้อฝัน รวมทั้งอ่อนไหว และเปราะบางทางอารมณ์สูง มาเจอกับเพื่อนสาวที่แสนน่ารัก นุ่มนวล อ่อนโยน มันก็เลยเหมือนสายน้ำ 2 สายที่มาบรรจบกันได้ดี แบบไหลตามกัน เรารักชอบในสิ่งเดียวกัน ความคิด ความอ่านก็คล้ายคลึงกันไปหมด ผมเกิดราศีมีน ชอบเรื่องฝันๆ รักๆ จินตนการ ส่วนกวางราศีกันต์ เป็นสาวน้อยแสนซื่อ บริสุทธิ์ ยึดมั่นในความรัก ชอบเรื่องกลอน นิยาย และบทกวี แทบไม่น่าเชื่อ ว่าฟ้าจะให้เพื่อนแท้กับผม เพื่อนที่รู้ใจและเข้าข้างไปเสียทุกเรื่อง อาจจะเป็นบุญของผมที่ทำมาบ้างในชาติก่อน ทำให้ได้เจอกับเธอ

    แต่ก็บอกไว้ก่อน "กวางเป็นคนอ่อนหวาน โอนอ่อนผ่อนตาม จิตใจดี" ก็จริง แต่ถึงคราวที่ต้องตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องนึงขึ้นมา เธอจะกลายเป็นคนที่เฉียบขาด มีจิตใจเข้มแข็ง มั่นใจในตัวเองสูง เรียกว่า มีความเด็ดเดี่ยวเป็นเลิศ เหมือนกันล่ะครับ โดยเฉพาะเรื่องความรัก !!

    โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนไทยที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนเชื้อสายจีนบนแผ่นดินไทย จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ตั้งฮั้วหมิน วิทยาคม" ตามคุณูปการของท่านเจ้าสัวเจิ้งหลี่ เศรษฐีจีนผู้่ร่ำรวยและมีหน้ามีตาในแวดวงสังคมชาวจีน ที่เข้ามาตั้งรกรากและประกอบธุรกิจค้าขายบนแผ่นดินสยาม ซึ่งเป็นต้นตระกูลจีนอันเป็นที่บุกเบิกและบริจาคทรัพย์บำุรุงโรงเรียนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และแน่นอน ซึ่งหนึ่งในรายชื่อตระกูลจีนผู้มีอุปการะคุณของตั้งฮั้วหมิน ก็มีต้นสกุลบรรพบุรุษของคุณมิ้นท์รวมอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันครอบครัวของเธอก็ยังให้การเอื้อเฟื้อและร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินบำรุงอาคาร โต๊ะหนังสือ อุปกรณ์กีฬาและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็รวมทั้งเงินทุนนักเรียนขาดแคลน ซึ่งแม้แต่ตัวผมเองก็ยังเคยได้รับทุนการศึกษานี้มาจากคนในครอบครัวของคุณมิ้นท์ด้วยเช่นกัน !

    ผมเลือกเรียนที่นี่ เพราะแม่และพี่ชายของยัยกวางเป็นผู้แนะนำ! ครอบครัวของกวางเป็นคนไทยแท้ที่รักจะอยู่วัฒนธรรมของความเป็นจีนแบบดั้งเดิม พวกเขาดำรงชีิวิตแบบชาวจีน ชอบทานอาหารจีน ดื่มน้ำชาจีน อ่านตำราจีน และพยายามหัดพูดภาษาจีนจนคล่องแคล่ว โดยเฉพาะ "พี่อาร์ท" พี่ชายของยัยกวาง ที่ดูจะคลั่งไคล้ในประเทศจีนอย่างมาก จนต้องไปขึ้นทะเบียนที่อำเภอ เพื่อตีตราชื่อของตัวเองเป็นภาษาจีนว่า "หว่างลี่เผิง" ดูเขามีความสุขมากกับสิ่งที่ครอบครัวได้ปลูกจิตสำนึกให้ลูกหลานนั้น จมอยู่กับวัฒนธรรมจีนแบบหยั่งรากลึกในจิตใจจนยากจะถ่ายถอน

    ส่วนผมเป็นประเภทอยู่ง่ายกินง่าย จะจีนจะไทย ผมรับได้หมด เพราะทุกคนในโรงเรียนเราคือเพื่อนกัน  ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ใน "ตั้งฮั้วหมิน" ก็มักเป็นลูกหลานของคนจีนเสียส่วนมาก แต่เด็กไทยอย่างพวกเรา ก็มีความรักใคร่กลมเกลียวและสามัคคีกันดีครับ พวกเราสามารถอยู่ร่วมกัน กินนอน เรียนหนังสือ ทำกิจกรรมต่างๆ นานาร่วมกัน กินข้าวหม้อเดียวกันในโรงอาหารเดียวกันอย่างครึกครื้นร่าเริง โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ทุกคนเข้าแถวถือถาดรอรับอาหารกลางวันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ยกถาดข้าวมานั่งกิน จับกลุ่มชวนกันคุยเรื่องเรียน เรื่องสัพเพเหระกันอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งอาหารของเด็กๆ อย่างเรา ก็มักจะเป็นอาหารจีนที่ปรุงโดยลูกจ้างครัวจีน นานๆ ที ถึงจะมีอาหารไทยมาปะปนสักครั้ง พวกเด็กจีนก็จะส่งเสียงเซงแซ่ ชอบอกชอบใจทีไ่ด้ทานอาหารไทยและขนมไทยแปลกๆ บ้าง โดนเฉพาะคุณมิ้นท์ เธอชอบทาน "ขนมชั้น" อย่างมาก เธอเรียกมันเป็นภาษาจีนว่า "เชียนเฉิงเกา"

    ผมเองเป็นเด็กไทย คุ้นเคยและชินกับรสชาติกับอาหารไทยอยู่แล้ว กลับไปบ้านตกเย็นคุณป้าก็ทำอาหารไทย สารพัดทั้ง น้ำพริกปลาทู แกงเลียง แกงส้ม ผัดกระเพรา ผมกินได้ทุกอย่างและปรับตัวได้เก่งทั้งสภาพแวดล้อมแบบกึ่งไทยผสมจีนที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ ซึ่งต้องบอกว่า อาหารกลางวันของโรงเรียนเราอร่อยมาก และผมชอบทานหมั่นโถว และ ฮกเกี้ยนหมี่ เป็นที่สุด!  


    ผมสนิทกับพี่เต้ เพื่อนรุ่นพี่ผู้ชาย เราอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน ....

    พี่เต้เป็นคนมีพรสวรรค์มาก เล่นเครื่องดนตรีไทยและสากลได้ครบแทบทุกประเภท โดยเฉพาะซอสามสาย ระนาด ช่วงคาบว่าง ผมมักมาฝึกฝนดนตรีกับพี่เต้เสมอ...เพื่อนๆ จะรู้กันดีว่า ผมรักการดนตรีมาก พอๆ กับการวาดภาพ

    สำหรับกวาง ช่วงกลางวันหลังจากพักเที่ยง เราจะจูงมือกันมาที่ห้องสมุด ที่ประจำของเรา ชอบมานั่งหลบมุม อ่านนิยาย บทกวี เหมือนคนที่มีโลกส่วนตัว ยิ่งถ้าตอนบ่ายหลังพักเป็นคาบว่าง ยิ่งอิสระเบิกบานใจเลย เพราะมันจะเท่ากับ ว่างติดต่อกันถึงสองชั่วโมง ผมชอบอ่านกลอนของสุนทรภู่ ลิลิตพระลอ ฯลฯ ให้เธอฟัง หานวนิยายรักขลังๆ ดีดีให้เธอยืมจากห้องสมุดไปอ่าน สนิทกันแบบนี้ แล้วจะไม่ถูกเพื่อนๆ ล้อและแอบนินทาได้อย่างไร

    "รู้มาตั้งนานแล้ว ว่าดรีมกับยัยกวางเป็นแฟนกัน เรียนจบแล้วคงแต่งงานกันได้ อิอิ..."

    การแซวกันแบบนี้ ถือเป็นปกติในหมู่เพื่อนๆ วัยรุ่นตอนปลายเป็นช่วงสนุกสนาน แสวงหาประสบการณ์ชีวิต หากใครคะนองมากไป ก็จะถูกอาจารย์คาดโทษ เรียกไปตักเตือน และ ควบคุมความประพฤติเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ "ไอ้ตี๋เชง" ไอ้หมอนี่เป็นเด็กลูกครึ่งไทยจีน พ่อมันเป็นจีนแท้ ส่วนแม่เป็นคนไทย และไอ้ตี๋หน้าจืดนี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องแบะปากทุกครั้งที่เจอหน้ามัน ไม่ได้ถือตัว รังเกียจเพื่อนร่วมห้องหรอก แต่เกลียดความทะลึ่ง ตึงตัง คำพูดดิบๆ การแสดงออกที่ดูก้าวร้าว ก๋ากั่น และห้าวจนเกินพอดีของมัน

    ขณะที่ผมกำลังค้นหนังสือให้กวางอยู่ มันก็เข้ามา ไอ้หมอนี่พยายามเข้ามากระแซะ ทำตีซี้ผมหลายครั้งแล้ว ชอบหิ้วขนมมาฝากทั้งบ๊ะจ่าง อังกู๊ ขนมเข่ง สุดแต่มันจะหามาได้ เพื่อให้ผมยอมคุยเล่นด้วย คงอยากจะได้ผมเป็นเพื่อนไว้เล่นหัวสนุกด้วย แต่ผมไม่ชอบเสวนาด้วย ออกแนวรำคาญซะมากกว่า เชอะ !!

    "อ๊ะ! เอาไป โต้วฝู่อบแห้งคลุกเกลือ อร่อยมากว่ะ ไอ้ดรีม" ตี๋เชงมันโยนขนมใส่มือผม ผมรีบรับมา ไม่ใช่เพราะอยากกิน แต่กลัวถุงขนมจะหล่นลงพื้นแตกกระจัดกระจายตามพื้น ถ้าครูบรรณารักษ์มาเห็นเข้า พวกเราจะต้องโดนทำโทษกันทั้งหมด

    โต้วฝู่ที่ไอ้ตี๋เชง มันว่านี้ ก็คือ เต้าหู้ขาวในชื่อไทยของเรานี่แหละครับ แต่คนจีนเอามาปรุงใหม่ ทำเป็นอบแห้งใส่เครื่องเทศจีน ที่มีกลิ่มหอมฉุยกว่าเครื่องเทศไทย โรยเกลือและน้ำตาลลงไป กลายเป็นขนมสูตรใหม่ที่เด็กๆ ในโรงเรียนตั้งฮั้วหมิน ชอบทานกันเหลือเกิน

    "คนจีนนี่เก่งนะ ทำขนมอะไรก็น่าทานไปหมด เอ็งว่าไหมวะไอ้ดรีม" มันเขยิบเข้ามานั่งใกล้เบียดชิดผม แทบจะดันหลังผมให้ไปติดตู้่ชั้่นวางหนังสือห้องสมุดในสุด เอาไหล่เข้ามากระแซะ ทำเสียอย่างว่าเราสองคนนั้นสนิทสนมและเป็นเกลอกันมานาน! 

    "คงใช่มั้งนะ"
    ผมตอบไอ้ตี๋มันไปแค่นั้น

    "อ้าปากหน่อย เดี๋ยวข้าป้อนๆๆๆๆๆ" มันพยายามชักชวนเต็มที่

    "ไม่กินโว้ย....ไอ้ติ๊งต๊อง!" ตอบไปอย่างกวนๆ ด้วยความหมั่นไส้มัน

    "ทำไม! หยิ่งเหรอ ไอ้หน้าทองหยอด เพื่อนให้แต่ไม่กิน สันดาน!" ดูมันด่าผมสิครับ น่าจับอัดให้ติดกำแพงห้องสมุดนักเชียวไอ้หมอนี่ ไม่อยากต่อกรด้วย แต่รู้สึกนึกขันที่นิสัยมันออกแนวต๊องๆ บ๊องๆ เสียมากกว่า เจ้าตี๋เชงชอบเรียกผมว่า "ไอ้หน้าทองหยอด" มันเคยบอกว่า ผมเป็นคนที่มีใบหน้าหวานละม้ายคล้ายสตรีเกินชาย ต่างกับบรรดาเพื่อนผู้ชายของมัน ที่มักจะหน้าตาคมเข้มและมีเหลี่ยมมีมุมแบบเพศชายนิยม มันบอกว่า ผมเป็นคนตาหวาน คิ้วสวย ปากเล็กและบางแบบผู้หญิง อีกทั้งจมูกก็ดูลิ้มๆ คือไม่ใหญ่โตเกินไป

    "ข้าไม่กิน เพราะอิ่ม มีอะไรไหม" การเมินเฉยของผม ทำให้เจ้าตี๋จอมกวน ต้องหามุขเรื่องอื่นมาโยนใส่ผม มาหยอด มาคุยมายั่วผม อีกจนได้

    "ถามจริงๆ เอ็งกับกวาง เป็นผัวเมียกันหรือเปล่าวะ ตัวติดกันขนาดนี้!" คำถามของมัน ทำให้ยัยกวางที่นั่งข้างๆ ผม ต้องสะดุ้งเฮือก หันมาทุบมาหยิกไอ้ตี๋เชงเป็นการใหญ่

    "ถ้าดรีมเขาไล่เตะเธอออกจากห้องสมุด ฉันจะไม่ช่วยเธอเลยนะยะ ไอ้คนปากเสีย" กวางว่าพลางทุบเข้าที่ต้นแขนของเ้จ้าตี๋ดังอั้ก จนมันร้องโอดโอย

    "โอยๆๆๆๆๆ ยอมแล้วจ๊ะ น้องกวางจ๋า ผู้หญิงอะไรไม่รู้ มือหนักเป็นบ้า ดรีมช่วยข้าหน่อยสิวะ"

    "เอาเลยกวาง เอาแรงๆ เลย บิดปากมันด้วย จะได้เลิกพูด" ผมหัวเราะสะใจ เมื่อเห็นกวางเอาจริง
    ทำให้ไอ้ตี๋เชงจอมป่วนถึงกับหงอไปเลย สมน้ำหน้า

    "ทีหลังน่ะตี๋เชง ปากน่ะเก็บๆ ไว้บ้างก็ดีนะ ถ้าไม่อยากได้สีน่ะ สุภาพบุรุษเขาไม่พูดกับผู้หญิงอย่างนี้นะ ไอ้บ๊องเอ๋ย...." ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับกวาง

    แรง.... ฟังแล้วฉุนขึ้นมาทันที หยาบคาย ต่ำ ลามกที่สุด ใช้สมองส่วนไหนคิด เราคบกันด้วยใจบริสุทธิ์ ผมไม่เคยถือโอกาสลวนลามกวาง จะมีก็แค่จับมือกันแบบเพื่อนเวลาไปไหนมาไหนแค่นั้นเอง แม้ผมจะไม่มีอะไรดีเลย ทำสิ่งดีดีให้กวาง ได้ไม่เท่าครึ่งที่เธอทำให้ผม แต่สิ่งที่ผมพอจะตอบแทนได้ คือ รักษาชื่อเสียงให้เพื่อนคนนี้ และ ปกป้องเธอให้พ้นจากคนปากทะลึ่งอย่างมัน

    "อยากชกคนว่ะ ไอ้ปากเสีย" ผมกำมือแน่น

    "โอ๋ๆๆๆๆ...จริงจังเกินเหตุ อย่าโกรธสิวะ ข้าแค่ล้อเล่น" ตี๋เชงทำหน้าแหย มันนึกว่าผมโกรธมันจริงๆ แต่ผมก็แค่หมั้นเขี้ยวเท่านั้น

    "ไปไกลๆ ตีนกูเลย ไอ้ตี๋ ไอ้ลิงทะโมน ก่อนที่กูจะทนไม่ไหว"

    ฉายาลิงทะโมนเหมาะกับคนอย่างมันแล้ว ทะลึ่ง ซุกซน อยู่ไม่เป็นสุข  ผมอยากรู้จริงๆ ว่าในหัวสมองมัน มีแต่เรื่องพรรค์นี้หรือไงวะ เป็นความโชคร้ายจริงๆ ที่ได้เจอเพื่อนร่วมห้องสุดแสบอย่างมัน

    "ไอ้ตี๋..มึงตั้งใจเรียนเหอะว่ะ อย่ายุ่งเรื่องผู้หญิงนักเลย กูหวังดี อาจารย์เขาเป็นห่วงมึงทุกคน..."

    "รู้แล้ว แต่ไม่ไป อยากนั่งแกล้งคน สนุกดี มีความสุข" มันหัวเราะตามท้ายเสียงดัง จนเพื่อนๆที่นั่งในห้องสมุดด้วยกัน หันมามองเราสามคนเป็นตาเดียว

    "ไปไหนก็ไปเลยนะมึง กูอาย และ รำคาญ หนวกหูด้วย จะอยู่กับกวางสองคน" ผมบอก

    " ต๊าย..ตาย เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าไอ้ดรีมเป็นไอ้ตุ๊ด คบแต่เพื่อนผู้หญิง ไม่เล่นกับผู้ชายด้วยกัน แฮ่ๆ"

    ไล่แล้วก็ไม่ไป แต่หันหน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตา ล้อเลียนผมกับกวางอีก ผมคว้าหนังสือจะเขวี้ยงใส่หัวมัน แต่ดันหลบทันอีก

    "กูไม่ใช่ตุ๊ด เป็นไงล่ะ จะสั่งสอนให้ดู เจ็บไหม เจ็บไหม" ผมเดินตรงเข้าไปบิดหูมันด้วยความหมั้นเขี้ยว

    "โอย..ยอมแพ้แล้ว...ไอ้ดรีม ไอ้สิงโตหลังวัด" เจ้าตี๋ร้องตัวงอ ร้องโอ๊ยๆ เอ่ยฉายาผมอีก

    "สองคนนี้อะไรกันเนี่ย เจอหน้ากันทีไรเป็นงี้ทุกทีเลยนะ" กวางส่ายหน้า หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเราทั้งคู่ทะเลาะกันไม่หยุดเขวี้ยงหนังสือใส่กันจนห้องสมุดเริ่มเละเทะ

    "ดรีม อย่าไปถือสาตี๋เชงเลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ..กวนประสาทคนไปวันๆ"

    "ก็ดูสิ มันกวนตีนเนี่ย"

    อาจารย์บรรณารักษ์ผ่านมาเห็นเข้าพอดี กวางรอดตัว ส่วนผมและไอ้ตี๋เชงสุดแสบ ก็โดนทำโทษตามระเบียบ ให้ยืนขาเดียวและคาบไม้บรรทัดหน้าห้องสมุดทั้งคู่ !

    "มันส์มากใช่ไหม มานี่เลยไอ้ลิงทั้งสองตัว มาให้ครูจดชื่อซะดีดี เอาไม้บรรทัดมาด้วย!!..."

    เพื่อนๆ ที่เดินผ่านมาเห็น ต่างพากันหัวเราะเฮฮาในกริยาของผมและไอ้ตี๋ มันช่างตลกสิ้นดี ยืนคาบไม้บรรทัดเขย่งเก็งกอยจนเมื่อยตุ้ม ไอ้ครั้นจะแอบยกขาลงเพราะเมื่อย ก็ถูกครูบรรณารักษ์เอาไม้เรียวนาบบังคับไว้ คุณมิ้นท์ เธอเป็นประธานสภานักเรียน ต้องมาเข้าตรวจเวร เชคชื่อ และดูความเีรียบร้อยในห้องสมุด เธอผ่านมาเห็นผมเข้าพอดี เธอมองหน้าผมแล้วยิ้มเจื่อนๆ

    "ทนเอาหน่อยนะ โดนทำโทษแค่ชั่วโมงเดียวเองค่ะ อยากซนทำไมล่ะ" คุณมิ้นท์ทำจมูกย่นใส่ ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ อายๆ

    "หา.....อะไรนะ ทำโทษหนึ่งชั่วโมง!!" ผมกับไอ้ตี๋เชง แทบจะหลุดปล่อยโฮ อุทานออกมาพร้อมๆ กัน ตายละหวา ทำไงดี ปวดฉี่ เข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ ฉี่ราดคากางเกงแน่ๆ อยากจะ้ร้องไห้ฮือๆ



    ...................................................................................................................................................

    ผ่านมา 15 ปีแล้ว ณ เวลานี้ ยัยกวางน้อยของผม เธอเติบโตเป็นสาวเต็มตัวขึ้นมาก ความคิดความอ่าน บุคลิกก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลย คือ ความเป็นตัวเองของกวาง แสนดี อ่อนโยน มองโลกในแง่ดีอย่างไร ก็เป็นเช่นนั้น

    "กวางจำได้เสมอนะ สิ่งที่ดรีมทำให้กวาง เรื่องต่างๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้อง กวางประทับใจและขอบคุณนะคะ"

    "แล้วตอนนี้ จินเหอเขาเป็นไงละ ดรีมได้ข่าวบ้างรึเปล่า ?"
    "วันก่อน ไปเยี่ยมมันในคุกนะ เอาขนมไปฝาก มันก็ยังกวนโอ๊ยเหมือนเดิม.."
    "น่าเสียดายนะคะ ถ้าเขาไม่ใจร้อน คงไม่เกิดเรื่อง"
    "ออกจากคุกครั้งนี้ มันคงได้บทเรียนบ้างล่ะ เป็นห่วงจริงๆ"

    ข่าวชกต่อยกับลูกชายผู้มีอิทธิพลในผับดังที่กรุงเทพ ทำชื่อเสียงไอ้ตี๋ กึกก้องไปทั่วโรงพักตำรวจนครบาล และขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับด้วย เพราะความเป็นนักเลงบ้าอาคม ไสยศาสตร์ มันบอกว่ามันกลับชาติมาเกิดเป็นตี๋ใหญ่ หรือ เป็นตัวตลกให้คนในสังคมหัวเราะเยาะ หรือ มองดูด้วยความเวทนา กันแน่ ผมเป็นห่วงสถานภาพในคุกของมันจริงๆ ทำตัวกร่างแบบนั้น อาจโดนตำรวจบ้าอำนาจบางคน หรือ นักโทษชายที่ห้าวและดุดันกว่ามัน หมั้นไส้ เล่นงานเอาปางตาย อยู่ในคุกไม่เป็นสุขแน่ๆ

    ผมกับกวาง เรานั่งคุยกันเพลิน ถึงเรื่องอดีต คุยเรื่องเพื่อนเก่าในห้อง สั่งอาหารว่าง มาทานด้วยก็กินเวลาไป 3 ทุ่มกว่าแล้ว


    "ให้ดรีมไปส่งเอาไหมล่ะ... ดึกแล้ว คนที่บ้านจะเป็นห่วง...."
    "ไม่ต้องก็ได้ เกรงใจ กวางว่าจะนั่งรอที่ร้านก่อน แล้วจะโทรให้พี่อาร์ทมารับน่ะคะ"
    "กวาง..กวางบอกพี่อาร์ทเหรอ ว่าออกมาข้างนอกกับดรีม"
    "เปล่าค่ะ แต่บอกว่า ออกมาซื้อใช้ของในห้างนิดหน่อย แล้วก็แวะมานั่งดื่มกับเพื่อนเก่า"
    "ไม่ได้บอกใช่ไหม ว่ามากับดรีม.."
    "ค่ะ...ไม่บอก รำคาญพี่อาร์ทเหมือนกัน ชอบถามนั่นนี่..."
    "ว่าแต่ดรีมนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ กลัวพี่กวางทำไม ไม่หายกลัวซะที..."

    "อืม...แต่พี่อาร์ท เขาก็อยากเจอดรีมนะคะ หลังงานเลี้ยงรุ่นแล้ว พี่อาร์ทฟ้องกวางว่า ดรีมพยายามหลบหน้าพี่เขาน่ะคะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าคะ " กวางถามซื่อๆ ตรงๆ

    จริงอยู่ผมกับพี่อาร์ท พี่ของกวาง เคยมีเรื่องบาดหมางกันสมัยเรียน แต่มันก็นานมาแล้ว การกลับมาของน้องกวางครั้งนี้ ทำให้ผมนึกกลัวใจตัวเองและใจอีกฝ่าย กลัวประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเดิม !!

    เมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนที่กวางตอนยังอยู่กรุงเทพ ก่อนลงมาที่ต่างจังหวัด....พี่อาร์ท พยายามต่อสาย คุยโทรศัพท์กับผมหลายครั้ง แต่ผมไม่กล้าบอกความจริงกับกวางเรื่องนี้ กลัวเธอเองไม่สบายใจ


    เมื่ออาทิตย์ก่อน...

    " ไอ้ดรีม ยอมรับสายกูซะทีสิวะ" เสียงตะโกนอย่างหงุดหงิด หัวเสียจากปลายสายดังแว่วมา ผมทำใจดีสู้เสือ เดินไปรับสาย ทั้งที่ใจจริง ผมกลัวเพื่อนรุ่นพี่คนนี้มากที่สุดเลย

    ใจความในโทรศัพท์ คือ พี่อาร์ทแกไม่อยากให้เขามาวุ่นวายกับกวาง โดยอ้างว่า ที่กวางกลับมาครั้งนี้เพราะคิดถึงผมเป็นหลัก แล้วถ้ามีผมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเธอเมื่อไหร่ มันอาจเหมือนเป็นถ่านไฟเก่า ที่รอวันคุโชนขึ้นใหม่อีกครั้ง ...อาจทำให้กวางเกิดความลังเลในการแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นได้ คนอะไรทั้งรัก ทั้งห่วงน้องซะจริงเชียว...แน่ะ !!

    "เจ้าบ่าวของกวางเป็นคนดีมาก พี่ไม่อยากให้เขาผิดหวัง..."
    "งานแต่งงานก็มีการเตรียมการหมดแล้ว..อย่าให้ต้องพังเพราะคนอย่างแก"
    "ถ้าแกไม่โง่เกินไปนัก คงมองออกนะ กวางยังรักหลงแกอยู่มาก...คงเข้าใจ"

    ผมได้แต่ฟังพี่อาร์ทพูด ไม่ตอบโต้หรือเถียง ค่อนข้างรู้นิสัยพี่แกมาแต่เรียนมัธยม แต่ไหนแต่ไร ว่าเป็นคนตรง พูดจาโผงผาง ใจนักเลง ขวานผ่าซากแบบนี้ และรักน้องสาวเป็นที่สุด ใครแตะก็ไม่ได้ ใครมาแกล้งหรือรังแกกวางเพียงน้อยนิด ก็มีอันเป็นศัตรูกับพี่อาร์ทไปหมด เป็นที่รู้กันเรื่องนี้

    "แกมันไอ้ตัวมารชัดๆ..."

    "ดรีมไม่ยุ่งกับน้องกวางแน่ๆ พี่วางใจได้"
    "ใช่... ที่สำคัญคือฉันรู้ข่าวมาว่าแกมีเมียแล้ว อย่าทำตัวลอยไปลอยมา..."
    "ฉันไม่อยากเป็นพี่เขย คนโลเลอย่างแก เข้าใจมั้ย" พูดจบ พี่อาร์ทก็กระแทกหูโทรศัพท์ใส่ผมทันที

    หลังจากวันนั้น วันที่พี่อาร์ทยื่นคำขาดให้ผมเลิกติดต่อ หรือ แม้กระทั่งนัดพบกับกวางน้องสาว ผมเองก็รับปาก แต่วันนี้ด้วยความคิดถึงเพื่อนเก่า ผมก็ได้ทำผิดสัจจะไปแล้ว ผมนัดกวางไปเจอกันที่ร้านกาแฟ ถ้าเรื่องนี้รู้เข้าหูพี่อาร์ท ผมต้องแย่แน่ๆ คิดแล้วหวาดๆ

    "ดรีมเป็นอะไรอ่ะ ใจลอยจัง เอาไงละคะ จะไปส่งหรือให้กวางกลับเองล่ะ"
    กวางเดินเข้ามาคล้องแขนผมไว้ แล้วเปิดประตูร้านอาหารออกไป
    "ไปส่งก็ได้ แต่ดรีมไม่เข้าไปในบ้านกวางนะ อย่าโกรธนะ"
    "ไม่เป็นไร เข้าใจค่ะ" หญิงสาวพนักหน้ารับ

    ผมกะว่าผมจะพยายามหลบหน้าพี่ของเธอให้มากที่สุด เพราะไม่อยากเจอสายตาเย็นชา ที่มองอย่างไม่ไว้ใจของพี่อาร์ท ไปส่งเพื่อแค่จะมองดูกวางว่าถึงประตูบ้าน โดยปลอดภัย แล้วจะรีบสตาร์ทรถเครื่องกลับบ้านตัวเองทันที ...

    คืนนี้อากาศหนาวเย็นมาก กวางนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คันสีน้ำเงิน คู่ใจของผม ระหว่างทางเธอกอดเอวผมไว้แน่น ลมพัดกรรโชกแรง เธอแนบหน้าซบลงที่แผ่นหลังผม เหมือนหาที่พึ่งพิงอันอบอุ่น

    "ดรึม...กวางหนาวมากเลยนะค่ะ"

    เสื้อแจ็คเกตหนาตัวนั้นของผมที่สวมให้กวาง อาจไม่ทำให้เธออุ่น ผมแวะจอดลงข้างทาง เพื่อแวะซื้อรังนกร้อนๆ ฝากให้กวางไปดื่มก่อนนอน

    "ซื้อ 3 ถุงนะ ให้กวางถุงนึง ส่วนอีก 2 ถุงฝากให้คุณแม่กับพี่อาร์ทนะครับ"
    "แล้วอย่าลืมที่บอก ห้ามบอกพี่อาร์ท ว่าออกมาข้างนอกกับดรีม..."
    "ดรีม... รู้มั้ยวันนี้...กวางมีความสุขมากเลย...."
    กวางรำพึงรำพันแผ่วเบาเหมือนเพ้อ ความหนาวทำให้เธอกอดผมแน่นขึ้นอีก .........

    หลังมอเตอร์ไซด์ที่ว่างมานาน มีสาวน้อยมานั่งเคียงข้าง มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีนะครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฮีโร่ ที่ปกป้องเธอได้ ทั้งที่โลกความจริงไม่ใช่ งั้นก็ขอเป็นพี่ชายหรือเป็นเพื่อนชายที่เป็นองครักษ์ให้เจ้าหญิงน้อยแสนใส บอบบาง น่าทะนุถนอม คนนี้ละกัน


    และแล้วกวางก็เอ่ยทักผมขึ้นท่ามกลางความเงียบ...



    "ดรีม...ทำไมกวางรู้สึกว่าตัวคุณร้อนจังเลย...ไม่สบายหรือเปล่า" เธอถามด้วยเป็นห่วง
    "เปล่านี่...ดรีมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย"
    ผมพูดพลางหันไปมองกระจกหลัง เห็นเธอที่เกาะเอวผมอยู่ รถเมอร์ไซด์ก็แล่นไปเรื่อยๆ พร้อมกับลมหนาวเย็นที่ปะทะร่างของเราทั้งคู่ แปลกที่ผมไม่รู้สึกหนาวเลย อากาศแบบนี้ ร่างกายผมกลับรู้สึกแค่อุ่นสบายเท่านั้น แต่กวางนั้นหนาวจนสะท้าน รถผ่านสถานที่เก่าตรงนั้นตรงนี้ ที่เราเคยมาเที่ยวด้วยกันในวัยเด็ก ผมก็ชี้ชวนกวางคุยเป็นเพื่อนและพูดเรื่องความหลังไปอย่างเพลิดเพลิน มีความสุข

    "แค่ดรีมให้ความอบอุ่นกับกวางได้ก็ดีใจแล้ว...." ผมยิ้มในใจไม่คิดอะไรอื่นเคลือบแฝงอีก แปลกดีที่ความน่ารักไร้เดียงสาของกวาง ทำให้ผมเลิกคิดเรื่องทางเพศกับเธอได้

    "เอ่อ..คือว่า มันไม่ใช่แค่อุ่นนะดรีม แต่ตัวเธอมันร้อนเหมือนเตาผิงเลยค่ะ และแถมยังมีกลิ่นสาปแปลกๆด้วย" กวางพูดพร้อมจามแรงๆ เธอบอกว่าตัวผมมีกลิ่นฉุนตลอดเวลาที่นั่งรถมาด้วยกัน

    "เหรอ...แซวกันอีกละ เอาเป็นว่า ร่างกายฉันตอนนี้อุ่นเกิน 100 องศา จนเธอสามารถห่มฉันแทนผ้านวมได้เลยล่ะ" กวางเขินหน้าแดง หัวเราะร่วน ตีที่หลังผมเบาๆ

    "ส่วนไอ้เรื่องกลิ่นที่กวางว่าน่ะ ดรีมก็อาบน้ำทุกวันน่ะ แปลกจัง มีคนทักตั้งหลายคนละ แต่ดรีมบริสุทธิ์ใจ ใครจะว่าเราสกปรกก็ช่าง" ให้ตายเหอะ กลิ่นสาปอะไรที่กวางบอกนั่น มันตามผมมาอีกแล้ว กวางเป็นรายที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย ที่เ่อ่ยทักว่าร่างกายผมมีกลิ่นประหลาดบางอย่างโชยมา!

    "ดรีมไม่ต้องกังวลไปหรอก มันไม่ใช่กลิ่นสกปรกหรือน่ารังเกียจอะไร เ้พียงแต่..."
    กวางหยุดไปครู่ ก่อนเอ่ยขึ้น

    "มัน...มันเหมือนกับว่าเป็นกลิ่นของสัตว์ป่าอะไรสักอย่าง?"ผมได้ฟังเธอพูดแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย กล่าวไปอย่างลอยๆ ไม่ได้คิดมากสลับซับซ้อนอะไร

    "กลิ่นสิงโตเหรอ..ใช่สิ ก็ฉันมันสิงโตอยู่แล้วนี่" ผมหัวเราะอย่างสนุกสนาน
    "ดรีมน่าจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอาจารย์โจ ที่คณะกายวิภาคนะคะ ท่านคงจะมีข้อแนะนำดีดีให้ดรีมได้"

    "ใช่สิ ช่วงหลังๆ นี่ ดรีมไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมอาจารย์โจเลย ก็เห็นท่านมัวแต่วุ่นกับการทดลองครั้งใหญ่ของท่านอยู่ เราก็ไม่อยากไปกวน"

    ผมจะต้องหาโอกาศไปเยี่ยม ดร.โจเซฟ ให้ได้ ผมเป็นศิษย์รักศิษย์โปรดของท่านสมัยเรียน วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ผมชอบ อาจารย์ใจดี แต่ช่วงนี้ผมมีงานรัดตัว เลยไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่อาจารย์ ถ้าว่างจะเอาของกินที่ท่านชอบไปฝากด้วย

    ว่าแล้วก็กลับมาคุยเรื่องของเราต่อ

    "กวางอยู่ห่างคนอย่างดรีมไว้ดีกว่านะ" ผมเริ่มกังวล เมื่อรถแล่นมาจอดที่ประตูรั้วบ้านของกวาง มโนภาพไปถึงพี่ชายสุดโหด อย่างพี่อาร์ท จอมดุ มายืนตาขวาง หวงน้องสาวอยู่ที่นอกชานแล้วเสียวหลังวูบ...

    "พี่อาร์ทคงนอนหลับไปแล้วน่ะคะ ดรีมไม่ต้องระแวงหรอก" กวางยืนยันให้ผมสบายใจ
    "พี่อาร์ท ไม่ชอบดรีม กวางรู้ค่ะ แต่ด้วยความดีของดรีม คงเอาชนะใจพี่ได้สักวัน..."

    ผมไปส่งกวางถึงบ้านอย่างปลอดภัย มองเธออย่างทอดอาลัย จนลับสายตา ก่อนที่จะรีบขี่รถกลับไปยังบ้านตัวเอง เพื่อหลับนอนพักผ่อนให้เต็มที่ เอาแรงไว้ตื่นเช้า ไปทำงาน....


    โปรดติดตามตอนต่อไป





    เพลงประกอบนิยายตอนนี้





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×