ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #12 : ชีวิตในบ้าน สำนักสกุลฟง (ภาคอดีต) อาหมิ่นลี่ - เจ้าสัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 482
      0
      17 ต.ค. 63




    "โธ่...คุณมิ้นท์....ทำไมต้องหลบลี้ หนีหน้าดรีมไปเสียอย่างนั้น..." เจ้าได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง พลางจับกลีบดอกไม้ที่เด็ดมาไว้ในมือ โยนทิ้งลงไปในคลอง ดังกริยาของคนช้ำรัก โยนหินเพื่อถามทางเสียหลายก้อน หัวก็ยังคิดไม่ออกว่าจะตัดใจเลือกทางใด

    "หรือเพราะเราไม่ได้รักกิ่งทิพย์ ใจเราเลยเป็นทุกข์เช่นนี้ สิ่งที่เริ่มต้นมาทั้งหมด เราต้องยุติมันลงด้วยตัวเอง หลอกใครคงได้ แต่หลอกหัวใจตัวเองนี่มันยากแท้นัก"
     

    แล้วเจ้าหนุ่มใจซื่อ ฉายา อ้ายสิงโตฯ มันก็ซบหน้าลงฝ่ามือตัวเองร้องไห้เสียพรั่งพรู เหงาเท่านั้นที่สลักหัวใจแทนรักเมื่อก่อน กูหาใช่คนตอแหลไม่ตรงใจ ตรองแล้วด้วยดี หากชีวิตนี้ไม่มีคุณมิ้นท์ ชีวิตอ้ายดรีม คงหาสุขมิได้เลย เราจะครองคู่อยู่ด้วยรสรักปลื้มใจ แต่การคงไม่ง่ายดังนั้น

    เจ้าอาร์ท ก็ล้วนแต่มิตรดีสนิทใจ กูจะหักมันลงได้อย่างไร ไหนจะยัยกวาง...น้องมันอีกคน คิดไปไม่วายจะหวาดหวั่น ที่จะเป็นผู้มาชิงรักมัน ได้แต่ทอดอาลัยตัว แล้วแต่กรรมจะพาไป เมื่อนึกถึงรักที่มีแต่อุปสรรค แล้วใจที่เคยใหญ่เป็นภูเขา ก็พลันลดลงเหลือเพียงเสี้ยวธุลี


    ดรีม อลงกต ยังคงนั่งเป่าหีบเพลงปากคู่ใจด้วยทำนองเศร้าลึกคร่ำครวญอยู่ที่ใต้ต้นไทรริมน้ำ จนเลยล่วงไปถึงยามตะวันรอน สายัญจะตก ก็ไม่คะเนใจ นี่คือเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียว ที่คนฐานะอย่างเขา พอจะหยิบซื้อหาเป็นเจ้าของได้บ้าง จะว่าไปแล้ว เจ้าหีบเพลงนี้ก็เหมือนเพื่อนรักเพื่อนข้างกาย เขาถูกป้าสอนมาแต่เล็ก ว่าให้หัดใช้มันให้เป็น ดนตรีคือยาทิพย์สมานแผลใจ ยามสุขก็เป่ามันด้วยอารมณ์เบิกบาน ยามเศร้าก็ยังเป็นที่ระบายความช้ำใจกลัดกลุ้ม


    "คุณมิ้นท์ช่างน่าสงสารนัก เธออาภัพแม่ แววตาแห่งความเดียวดายของคุณ ทำให้ดรีมเจ็บปวดแทน แสงตะวันจงสาดส่องลงไปที่หัวใจของเธอ เพื่อให้เธอได้รับไออุ่นด้วยเถิด สายลมแห่งความเหงาที่เย็นจับไปถึงขั้วหัวใจ ความอ้างว้างทั้งหลาย จงพลันมลายไป" เจ้าดรีมรำพัน


    "สายลมเอย จงนำพาเสียงดนตรีจากดวงใจของฉัน ส่งไปถึงคุณมิ้นท์ด้วยเถิด ขอให้เพลงรักนี้ ช่วยทำให้ความรู้สึกที่แท้จริงจากใจฉัน ส่งผ่านไปถึงหัวใจของเธอ ให้เธอได้รับรู้ ตราบใดที่ฟ้ายังมีแสงจันทร์ และฉันก็ยังอยู่ตรงนี้ ฉันจะร้องเพลงกล่อมเธอตลอดไป ด้วยเพลงรักในท่วงทำนอง fall in love ดรีมได้มอบให้คุณมิ้นท์แล้ว....คนเดียว"

    เสียงดนตรีจากหีบเพลงปาก คงบรรเลงไป สลับกับเสียงลมหวนในฤดูหนาว ยิ่งเป่าเท่าไหร่ ก็ยิ่งเค้นความรู้สึกในใจ ให้พรั่งพรูออกมาเท่านั้น จนกลั่นกลายเป็นหยดน้ำตาไหลริน


    หอมเอย เชยชื่นชวน
    กลิ่นเจ้าเย้ายวน เหมือนชวนให้ชมร่ำไป
    สวยเอยเชยชื่นใจ ยั่วยวนฤทัย
    ใครใครเขาใคร่ชิดชวน

    เศร้าเอยเศร้าใจ ให้ตรม
    สุดฝืนขื่นขมอุรา ผู้เดียวเปลี่ยวใจใฝ่หา
    หาความรักตามสัญญา
    หลั่งน้ำตานองหน้าทุกวัน

    หม่นหมองร้องไห้ เศร้าหัวใจอาลัยรักไม่เว้นวัน
    เศร้าหัวใจ อาลัยรักไม่เว้นวัน รักไม่เว้นวัน

     

    -----------------------------------
     



    ณ ที่พำนักสี่ยอดภูผา บ้านสี่ฤดูแห่งสำนักสกุลฟ่ง กลายเป็นคฤหาสน์หลังงามตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมจีนโบราณ อายุเก่าแก่ เกินร้อยปีฝน ถูกสร้างโดยชาวจีนที่อพยพจากมณฑลฮกเกี้ยน

    อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกหลานตระกูล  ที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้เป็นสมบัติ ที่ไม่มิอาจประเมินค่าได้ บ้านทรงจีนโบราณหลังใหญ่โตดังคฤหาสน์ ใน จำนวนตระกูล “เจ้าสัวจีน” ของเมืองไทย

    “ฟงหวั่งหลี” เป็นหนึ่งไม่กี่ตระกูลดังที่ยังคงรักษา ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของบรรพบุรุษ และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึง ณ กาลเวลาปัจจุบัน


    ประตูทางเข้าบ้านใหญ่มีทั้งหมด 3 ทวาร โดยประตูหลักตรงกลางเป็นทางเข้าสำหรับเจ้านาย ส่วนประตูเล็กซ้ายขวาเป็นทางเข้าของเหล่าบริวาร  อิฐสีแดง และกระเบื้องมุงหลังทุกชิ้นทีสั่งมาจากเมืองเซียะเหมิน ล้วนมีราคาสมฐานะ

    ประตูเมน มีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังลายกนกยกดอกเต็มชั้น ความงดงามของตัวอาคารที่เก่าแก่ ช่างมีเสน่ห์มากพอที่จูงใจแขกเหรื่อหรือผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเจ้าของบ้าน ให้เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านได้อย่างง่ายดาย ยังได้มีการขุดสระน้ำรูปพระจันท์ครึ่งเสี้ยวไว้หน้าบ้าน


    "อาหมิ่นลี่ อยู่ไหน... " น้ำเสียงทุ้มนุ่มใหญ่ เอ่ยแบบสงบนิ่งวางเฉย มิได้สำแดงความมีอำนาจแต่อย่างใดเลย แต่ก็ทำให้คนฟังกลับรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมาอย่างประหลาด กิริยาที่อยู่ในท่าทีที่สุขุมและน่าเกรงขามนั้น เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าบริวารในบ้าน

    "รู้สึกว่าจะเห็นเธอนั่งเขียนงานอยู่ในห้องโม่จือนะครับท่าน" อาเสิ่น ผู้รับใช้คนสนิทเจ้าสำนักตอบรับ

    ผู้เป็นพ่อนามว่า "หย่งไท่" ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงคหบดีประจำอำเภอ ผู้พิพากษา บาทหลวง และเจ้าสำนักสี่ยอดภูผา และอีกตำแหน่งมากมาย ที่การันตีฐานะและตระกูลอันเป็นที่นับหน้าถือตาของแวดวงเจ้าสัวเชื้อสายจีนในเมืองไทย


    "เรียกอาหมิ่น ให้มาพบฉันหน่อยนะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับลูก"

    "ครับ ท่านหย่งไท่" อาเสิ่นน้อมหัวรับอย่างเคารพ


    "เดี๋ยวก่อน...เรื่องที่ฉันฝากดูแลอาหมิ่นเรื่องการอาบยาทิพย์ คงจะเรียบร้อยดีนะ"

    "ครับท่าน กระผมสั่งคนสนิทดูแลคุณหนูอย่างดี ตัวยาในบ่อน้ำพุวิเศษนี้ ท่านวางใจได้ ไม่มีสิ่งใดเจือปนที่จะระคายต่อผิวคุณหนูลี่ ก่อนจะปรุงยาใส่ลงไปในบ่อวารี กระผมและคุณหมอเหวินถังได้ทำการตรวจสอบตัวยาด้วยตัวเองในขั้นตอนสุดท้ายก่อนทุกครั้ง ก่อนที่นางเสี่ยวเอ้อ จะนำไปให้คุณหนูได้อาบขอรับ"


    "ตัวยานี้วิเศษนักขอรับ เราได้มันจากยอดเขาเหลียงซานในฤดูหนาว สกัดจากยอดหิมะพันปี ลูกท้อสุกในฤดูใบไม้ผลิในเมืองซัวเถา และ ยังมีสมุนไพรรักษาโรคขึ้นชื่อจากกวางโจว อีกนับร้อยชนิดอยู่ในบ่อน้ำพุนั้น ท่านวางใจได้ คุณหนูจะมีพลังลมปราณดีขึ้น ในเร็ววันแน่นอน"


    "ขอบใจมากอาเสิ่น...จดรายงานความคืบหน้าอาการของคุณหนูให้ฉันทราบเป็นระยะในสมุดบันทึกของสกุลฟง ที่ห้องทำงานของฉัน ฉันจะมาเปิดอ่านทุกคืน"

    "นับจากเดือนยี่ลงมา กระผมสังเกตุเห็นว่า คุณหนูหายใจสะดวกขึ้นมากขอรับ ชีพจรเลือดลมก็ไหลเวียนดี แก้มของเธอมีสีแดงขึ้นกว่าเก่า คุณหนูช่างน่ารักและงดงามเหลือเกิน เธอต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนับร้อยปีแน่ๆ"


    "ลื๊อคงรู้ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของคนอย่างพ่ออย่างอั๊ว คือ คุณหนูหมิ่นลี่  ตั้งแต่"ฮูหยินน้อย" อีได้ตายจากไป อั๊วก็เสียใจจนเกือบจะสิ้นลมตาม เพียงทุกวัน อั๊วได้กลิ่นกายหอมๆ ของลูกสาวอั๊ว ได้เห็นเงาของเขาเดินวนเวียนอยู่ในกระจกสลักทองของสกุลฟ่ง อั๊วก็มีความสุขแล้วนะ อาเสิ่น"

    ท่านคหบดี ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอย่างอิ่มใจเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวคนเล็กของตระกูล ผู้เป็นนายเริ่มใช้สรรพนามให้ดูใกล้ชิดมากขึ้น จะว่ากันตามจริง อาเสิ่นมีศักดิ์สกุลเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ จิ่ว-ว่อ ภรรยาผู้ล่วงลับของท่านหย่งไท่หรือแม่ของอาหมิ่นลี่นั่นเอง อาเสิ่นเองจึงรักและเอ็นดูอาหมิ่น ไม่ต่างอะไรกับลูกหลานของเขานั้นเอง แม้สายเลือดแห่งความญาติจะไม่เข้มข้นเหมือนสายเลือดพี่น้องท้องเดียวกันมา เหมือนคนในสำนักตระกูล ฟงหวั่งหลี แต่อย่างน้อยๆ ก็ถือว่ายังเป็นเครือญาติกันอยู่ดี


    "อาจิ่วว่อ คงได้มองท่านและคุณหนูอยู่บนสวรรค์แล้วขอรับ" อาเสิ่นพยายามปลอบใจ เมื่อเห็นผู้เป็นนายสีหน้าสลดลงเมื่อเอ่ยถึงอดีตภรรยา

    ท่านคหบดียิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    "อาเสิ่น สหายที่จงรักภักดิ์ดีของฉัน ตอนนี้เธอปรารถนาในสิ่งใด จงบอกฉันมา"

    "กระผมจะต้องดูแลคุณหนูคนเล็กของสกุลฟ่ง ให้ยิ่งกว่าชีวิตน้อยๆ ของกระผม นี่คือการตอบแทนความกตัญญูและภักดิ์ดีของกระผม ที่มีให้เจ้านายแห่งเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลฟ่ง กระผมมิได้ต้องการสกุลเงินหรือค่าน้ำใจเป็นสินจ้างแต่อย่างใดเลยขอรับ ขอเพียงกระผมได้รับใช้ ปรนนิบัติท่านและคุณหนูไปจนวันตาย กระผมก็พอใจแล้วขอรับท่าน" อาเสิ่นตอบตามความรู้สึกของตน

    เจ้าสัวหย่งไท่เดินไปหยุดอยู่ที่กระจกเงาตู้ใหญ่ลายดอกโบตั๋น อันเป็นที่ตั้งรูปไว้อาลัยของภรรยาสุดที่รัก รูปถ่ายครั้งสุดท้ายของท่านและอาซ้อจิ่วว่อ ที่ถ่ายร่วมกันเมื่อครั้งไปเที่ยวพักผ่อนที่กรุงปักกิ่งในฤดูหิมะตก ตามประสาครอบครัวพ่อแม่ลูก โดยมีอาหมิ่นลี่ยืนยิ้มสดใสอยู่ตรงกลางอ้อมกอดของพ่อและแม่อย่างอบอุ่น ซึ่งขณะนั้นดรุณีน้อยยังเยาว์วัย เพียงแค่ 13 ปี

    "ฉันจำฤดูหนาวของปีนั้นได้ดี เหมือนเหตุกาณ์เพิ่งผ่านไปหยกๆ ฉันไม่เคยลืมว่า ตัวฉัน อาจิ่วว่อ และอาหมิ่นลี่ เรามีความสุขกันแค่ไหน แต่อนิจจา เวล่าแห่งความปิติช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน...กลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน อาจิ่วว่อก็ล้มป่วยหนักอย่างไม่ทราบสาเหตุ อันที่จริง ฉันเองก็ได้เตรียมใจมาก่อนหน้านั้นแล้วว่าอาซ้อสุขภาพไม่สู่ดี เจ็บออดๆ แอดๆ แต่ด้วยเงินทองของอาเตี่ยของฉันที่มีอยู่มากมาย ทำให้ฉันชะล่าใจว่า มันอาจจะช่วยยื้อชีวิตของอาซ้อใหญ่ได้"


    "ฉันเพิ่งเข้าใจในวันที่อาซ้อจากไป เงินในมือมากมายมันไม่มีค่าอะไรเลย ฉันพยายามที่จะเยียวยาชีวิตของอาจิ่วว่อ ไม่ว่าจะเป็นยาจีนสมุนไพรที่คนร่ำลือกันว่าเป็นยาเทวดา หรือยาหมอหลวงที่แพงขนาดไหนในเย่าฝาง ทั้งหมอไทยหมอจีนที่ฉันรู้จักดีในเซี่ยงไ้ฮ้ แต่มันก็ซื้อชีวิตของเธอคืนมาไม่ได้ นี่สินะ ที่เขาเรียกว่า "สัจธรรมของชีวิต" ใช่ไหมอาเสิ่น?"


    ท่านคหบดีเล่าความหลังได้เป็นฉากๆ อาเสิ่นฟังไป ก็ถึงกับน้ำตาซึมตาม รู้สึกปวดร้าวขึ้นมาในใจ เมื่อนึกถึงความดีของญาติสาวผู้พี่ ที่ได้กระทำต่อเขาเมื่อตอนยังมีลมหายใจ เขาจะไม่มีวันลืมเจี่ยเม่ยแสนดีคนนี้ของเขาได้เลย.....

    "อย่าเพ่งโทษตัวเองเลยครับท่าน ทุกอย่างเป็นลิขิตฟ้า วาสนาและชะตานั้น สวรรค์เบื้องบนได้กำหนดให้แล้ว เราทุกคนไม่อาจหลีกหนีพ้น"

    "เทพผู้ถือลิขิตฟ้า เป็นเช่นนี้เอง เยือกเย็นและยุติธรรม. ฉันคงต้องทำความเข้าใจในสวรรค์อีกนาน เหตุฉไหนคนดีๆ อย่างอาจิ่วว่อ ถึงจากพวกเราไปเร็วเช่นนี้" หย่งไท่เอ่ยอย่างตัดพ้อทดท้อใจ

    "อาหมิ่นลี่ยิ่งโตยิ่งเหมือนแม่ของเขายังกะคนเดียวกัน ฉันเห็นเขาทีไร เหมือนเห็นเงาของอาม๊าเขา ไม่มีผิดกัน"

    "ปีนี้ก็คงจะครบ 16 ปีเต็มแล้ว ในวัยพระจันทร์เสี้ยวคุณหนูยิ่งโตเป็นสาว ก็ยิ่งสวยดั่งนางไซซีในตำนานของฮ่องเต้นะขอรับ" อาเสิ่นมองไปที่ภาพวาดสีน้ำมันของอาหมิ่นลี่ที่ติดอยู่บนผนังห้องรับแขก แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ

    "ภาพนี้สวยมากนะขอรับ ใครเป็นคนวาดให้คุณหนูหรือครับท่าน"

    "ใช่ สวยมาก และคนวาดก็ตั้งใจมาก เห็นอาหมิ่นลี่บอกว่าเพื่อนที่โรงเรียนของเขาเป็นวาดให้ เป็นของขวัญวันเกิด ชื่อว่าเจ้าอาร์ท พิสุทธิ์ น่ะสิ เด็กคนนี้นิสัยดีนะ นอบถ้อม พูดเพราะ และมีมรรยาท ฉันชอบบุคลิกเขามาก" เจ้าสัวหย่งไท่กล่าวอย่างชื่นชม

    "โอ้! พ่อหนุ่มน้อยคนนี้ ชั้นเชิงลายเส้นไม่เบา โตขึ้นต้องเป็นจิตรกรฝีมือเอกแห่งเมืองสยามเป็นแน่แท้"

    อาเสิ่นเดินเข้าไปใกล้ที่ภาพนั้นอีก แล้วพินิจพิจารณาลายเส้นสีของภาพวาดจนรู้สึกทึ่งในสายตา

    "เหนียนซ่าว...อาตี๋อายุน้อยก็จริง แต่ฝีมืออีเทียบเท่านายช่างฮว่าเจียแห่งเมืองหังโจวเทียวนะขอรับท่านเจ้าสัว เขาวาดละเอียดแม้กระทั่งการสะท้อนความรู้สึกที่เศร้าสร้อยข้างนัยน์แววตาของคุณหนูอาหมิ่นลี่"

    "ถ้าเขาเรียนจบและมีใจรักทางด้านนี้จริงๆ เจ้าสัวก็น่าสนับสนุนเด็กชายคนนี้นะขอรับ มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างยิ่ง อย่างน้อยเขาก็เป็นสหายสนิทของคุณหนูใหญ่ คนที่มีหัวใจรักในศิลปะเช่นนี้ ย่อมมีหัวใจอ่อนโยน เข้าใจโลกที่สับสนวกวน เขาก็จะชักจูงคุณหนูให้มีจิตใจใฝ่ฝันในศิลปะไปด้วยกัน ถ้่าฟ้าลิขิตไว้ เจ้านี่กลายเป็นเหล่าซือที่โด่งดังมีชื่อเสียงก็ถือเป็นวาสนา สกุลฟงของเราก็จะได้หน้าตาแห่งความภาคภูมิไปประดับไว้ด้วยกันนะ ขอรับท่าน" อาเสิ่นออกความเห็น ซึ่งเจ้าสัวก็เห็นดีเห็นงามตามนั้นด้วย

    "เพื่อนแท้ มักหาได้ในโลกศิลปะ ฉันเชื่ออย่างนั้นนะอาเสิ่น หากเขาศรัทธาในปลายพู่้กัน ฉันก็พร้อมจะสนับสนุนกุ้ยหลินน้อยๆ คนนี้อยู่แล้ว"

    "ส่วนอาหมิ่นลี่ อนาคตก็อยากให้คุณหนูของเราได้เป็น "เย่าจี้ซือ" มือเอกแห่งเซี่ยงไฮ้กะเค้่าเหมือนกันนะ..." แววตาท่านคหบดีฉายแววที่วาดหวัง ส่วนอาเิสิ่นได้แต่พนักหน้าอย่างเต็มใจ

    "คงมินานหรอกครับท่าน คุณหนูทั้งงดงามและมีสติปัญญาดี โอ้...ซั่วซื่อน้อยๆ ของกระผม คงไม่เสียแรงที่ท่านพ่อฟูมฟูก รอวันที่จะเติบโตดั่งผลเถาจื่อ ที่สุกปลั่งสดใสแล้วนะขอรับ...."

    ชายวัยกลางคนทั้งคู่ หันมามองตากันแล้วพากันหัวเราะสำราญ ทำให้บรรยากาศ ภายในบ้านหลังใหญ่นี้ ที่แม้จะดูเงียบเชียบและเหงาหงอยเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็กลับกลาย ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในพริบตา !...



    ในมุมหนึ่งของบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ เรียกว่า "หอดรุณีน้อย"
    ใช้เป็นเคหะสถานส่วนตัว หรือ ที่สราญรมย์ของอาหมวยเล็กแห่งสกุลฟง หรือ ฟงหมิ่นลี่



    เรือนรูปทรงจีนผสมไทยแบบแปลกตา มีลวดลายมังกรประดับอยู่รายล้อม สวยงามวิจิตรบรรจง ทางเข้าหอมีประตูทรงโค้งประดับลาย ด้านบนแต่งเป็นปูนปั้นบนเพดานลงสีส้ม แกะลายรูปหงษ์คู่และมังกรคู่ หน้าเหล็กดัดก็เป็นทรงจีนมีอักษรมงคลประดับอยู่ ที่รั้วก็มีซุ้มประตูทรงจีน และสนามหน้าบ้านก็มีเก๋งจีนเอาไว้นั่งพักผ่อน

    ในห้องหมึกจีน
    อาหมิ่นลี่ อยู่ในชุดผ้าแพรปักเลื่อมลายนกหงส์หยกสีขาวบริสุทธิ์ สะอาดตา ดูกลมกลืนไปกับผิวพรรณขาวเนียนผ่องลออหมดจรด เพราะสายเลือดซัวเถาและนานกิงของผู้เป็นพ่อและแม่ จึงถอดแบบพันธุกรรมที่ดีมาให้แก่บุตรสาว

    สาวน้อยกำลังนั่งบรรจงว่ายพู่กันในมืออย่างมีสมาธิ บรรยากาศแสนดีเป็นใจ มีลมเย็นๆ เอื่อยๆ พัดผ่านมู่ลี่มาเป็นระยะ ทำให้สาวน้อยหัวใจนักศิลปะรู้สึกเพลิดเพลินและอิ่มเอมใจในการวาดภาพเป็นอย่างมาก ริมฝีปากสีแดงสดอมชมพูระเรื่อ สวยได้รูปดังคันศรนั้น แย้มยิ้มนิดๆ อย่างพึงใจ สะดุ้งขึ้นนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากคนนอก ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาติให้เข้ามา


    "หว่านซ่างห่าวค่ะ คุณหนูใหญ่" สาวใช้พูดสำเนียงกวางตุ้งชัดแจ๋วมาแต่ไกล พลางค่อยๆ เลื่อนประตูห้องปิดลงไปอย่างแผ่วเบา ระมัดระวัง

    "ปู๋เย่าจิ่น หนินห่าว เรียกหนู มีธุระอะไรหรือคะ อาซิ้มฮั่ว"

    "ฉิ่ง เหยียนเลี่ยง ขออภัยที่มารบกวนนะคะ เอ่อ...คือ คุณหนูต้องการรับอาหารตู้เย็น อะไรบ้างคะ" สาวใช้ดูเก้ๆ กังๆ ด้วยความตื่นเต้นที่ได้พบหน้าเจ้านายคนใหม่เป็นครั้งแรก ส่วนอาหมิ่นลี่นั้นพอจะทราบชื่อคนใช้ใหม่มาก่อนล่วงหน้าแล้ว เพราะอาเตี่ยของเธอได้บอกว่า เธอจะได้ทำความรู้จักกับอาฮั่วในวันนี้นี่เอง

    "เขาเรียกว่า อาหารเย็นน่ะ ไม่ใช่ อาหารตู้เย็นนะ อาฮั่ว ฮิฮิฮิ" ผู้เป็นนายสาวเอามือปิดปาก พลางหัวเราะนิดๆ อย่างนึกขันปนร่าเริงไปตามวัยดรุณี

    "ไอ๊หยา!...อาฮั่วยังม่ายรู้ภาษาไทยดี แย่เลี้ยว...ซี้ซั้วต่าจริง อาฮั่วเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่เดือนเองค่า...."

    อาฮั่ว หัวหน้าแม่ครัวคนใหม่ของบ้านสกุลฟ่งที่ย้ายภูมิลำเนามาจากไทเป อายุสักราว 40 เศษ ลักษณะบุคลิกเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้าใจดี ท่าทางแข็งแรง คล่องงาน ซื่อสัตว์ และขยันอดทน เลยเป็นที่ถูกอกถูกใจของเจ้าสัวหย่งไท่ เตี่ยของอาหมิ่นลี่เป็นอย่างมาก

    อาฮั่วมาทำงานไม่นาน จึงถูกเรียกตัวมาให้อยู่ใกล้ชิด ดูแลและ คอยปรนนิบัติรับใช้สาวน้อยอยู่เป็นอาจินต์ ส่วนอาฮั่วเอง ก็รู้สึกถูกชะตากับนายสาวผู้อ่อนวัยคนนี้เป็นอย่างมาก เพราะเธอมีสัมมาคารวะ รู้จักเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ถือตัวว่าเป็นนายเหนือบ่าว และยังมีน้ำใจงดงาม จนเป็นที่สรรเสริญยกย่องของเหล่าลูกจ้างและบริวารทั้งหลายทุกคนในบ้านสกุลฟงแห่งนี้


    "ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดไหน ก็ไม่ต้องคิดให้มากนะคะ คนไทยที่นี่เขาเรียกกันง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ว่าอาหารมื้อเย็น หรือ ของว่างตอนเย็นค่ะ ส่วนที่อาฮั่วถืออยู่ในจานนั่น คือ ผลไม้ หรือ สุยกั๋ว ในภาษาจีนของเราค่ะ"

    อาหมิ่นลี่อธิบายเสียงใสชัดถ้อยชัดคำ สาวใช้วัยสูงอายุพยายามเลียนเสียงตามแล้วตามอีก แต่ก็
    ยังติดๆ ขัดๆ ในลำคออยู่นั่นเอง

    "หว่อปู้ต่ง "มื้อ" มันแปลว่าอะไรอ่ะค่ะ อาฮั่วม่ายเข้าใจอีกเลี้ยว..."

    "มื้อ เป็นสำนวนไทยค่ะ มันก็คล้ายๆ คำว่า "เตี่ยน" ในภาษาจีนเราจ๊ะ หมายถึง เวลาในการกินอาหารค่ะ"

    "หนินต่งมะ...ทีนี้เข้าใจหรือยังอาฮั่ว" สาวน้อยวัยดรุณีัอมยิ้มนิดๆ ดวงตาฉายแววแห่งมิตรไมตรี

    "คุณหนูของอาฮั่วเก่งจังเลยนะคะ จำได้หมดเลย" อาฮั่วกล่าวชม เอื้อมมือตัวเองไปสัมผัสที่แขนขาวๆ ของเจ้านายวัยเยาว์อย่างนึกรักใคร่เอ็นดู และอาหมิ่นลี่เองก็ให้สัมผัสอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว

    "ต่อไปนี้ตอนว่างๆ อาฮั่วมาเรียนภาษาไทยกับหนูนะ หนูจะสอนให้ทุกวันเลย อาฮั่วจะได้พูดไทยคล่องๆ"

    "คุณหนูทั้งสวย ฉลาด ใจดี เป็นบุญของอาฮั่วจริงๆ ที่ได้มาอยู่รับใช้คุณหนูในบ้านหลังนี้ สวรรค์เมตตาอาฮั่ว ต้องขอบคุณสวรรค์ ส่วนคุณท่านเอง ก็มีเมตตาไม่แพ้ลูกสาวนะคะ" อาฮั่วเอ่ยขึ้นด้วยความตื้นตันใจ

    "หนูก็ยังไม่เก่งภาษาไทยเหมือนกันค่ะ แต่โชคดี ได้เพื่อนคนไทยที่นี่น่ารัก ช่วยสอนกันทุกวัน" อาหมิ่นลี่เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

    "ฮ่อๆๆๆๆๆ เซี่ยๆเซี่ยๆ คุณหนูใหญ่ ขอบพระคุณที่อธิบายให้อาฮั่วฟังนะคะ" สาวใช้ผงกหัวงึกงัก ความตื่นเต้นประหม่า ละล้าละลังก็เริ่มหายไป ทำการคำนับผู้เป็นเจ้านายตามแบบคนจีน

    "ต่อไปนี้ อาฮั่วไม่ต้องคำนับหนูนะคะ หนูอายุน้อยกว่าอาฮั่วมาก หากป๊าได้ยินเข้า หนูจะโดนดุ"
    สาวน้อยทำจมูกย่นอย่างน่ารัก แล้วพยายามชวนอาฮั่วให้ทานผลไม้ในจานแก้วหยกด้วยกัน....

    "อ่า...อาฮั่วไม่ไหวหรอกค่ะ วันนี้เจี๊ยะในครัวมาจนอิ่มเลี้ยว คุณท่านยังจะให้เจี๊ยะกั่วเถียวจากภัตราคารเจี้ยนจงฉิง อาฮั่วเลยบอกท่านไปว่า "หวอเป่าเลอ" จริงๆ นา..."

    "อ่อๆ พูดถึงคุณท่านแล้ว อาฮั่วลืมบอกธุระไป มัวแต่คุยเพลิน คุณท่านฝากอาเสิ่นให้มาบอกคุณหนูค่ะว่า...." สาวใช้ใจดี หยุดไปครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ

    "ให้คุณหนูไปพบท่านพ่อ ที่ห้องเค่อทิงได้แล้วค่ะ"
    "เตี่ยเรียกตัวหนู มีธุระด่วน อะไรกันน้าาาา......" เธอเอ่ยลอยๆ ก่อนจะรีบเก็บอุปกรณ์การวาดไว้ในลิ้นชัก แล้วรีบเดินตามอาฮั่วไป


    ----------------------------------------------




      ที่ห้องรับแขกอันโอ่อ่าในบ้านสกุลฟง ตรงประตูไม้สักทางเข้า ถูกสลักด้วยตราอักษรจีนมงคลแปะอยู่โดยช่างจีนฝีมือดี ด้วยคำว่า 一生平安 "อี้เซิงผิงอัน" ซึ่งแปลว่า "ชีวิตนี้สงบสุขสันติ" อาหมิ่นลี่หยุดมองก่อนนิดนึง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ทำให้ผู้เป็นพ่อ รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

    "มองอะไรเหรอ อาหมิ่น ลูกเห็นมันมาตั้งแต่จำความได้ไม่ใช่เหรอ ป้ายนั้น...."  ท่านคหบดีพูดจบก็หัวเราะเบาๆ

    "เปล่าค่ะป๊า ลูกเพียงแต่คิดว่า มันถูกสลักมา้้้้้้เนิ่นนานเกินไป ควรจะเปลี่ยนเป็นคำอื่นบ้าง"

    "อื่ม....นั่นสินะ คำนี้ทุกคนในบ้าน คงท่องจำขึ้นใจหมดแล้ว เราสลักป้ายมงคลนี้มา 18 ปีเต็มแล้ว มากกว่าอายุของลูกซะอีกน่ะ ยังไม่เคยเปลี่ยนคำอื่นเลย ว่าแต่....ลูกคิดว่าควรเปลี่ยนเป็นคำไหนดีล่ะ บอกพ่อมาสิ"

    "อี้ ปู้ หยง ฉือ"  อาหมิ่นลี่รีบตอบ สบนัยน์ตาของผู้เป็นพ่อ เหมือนต้องการสื่อความนัยบางอย่าง

    "อืม....แปลว่า
    ภาระหน้าที่ซึ่งเราจะปฏิเสธไม่ได้ เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ทุกคนในบ้านจะได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง เป็นสิ่งที่ดีืทีเดียว เอาเป็นว่า พอถึงวันหยวนเซียวแล้ว พ่อจะให้อาหรงมาสลักให้ใหม่ละกันนะ"

    "ขอบคุณค่ะ"  อาหมิ่นลี่กล่าวขอบใจสั้นๆ แต่เป็นภาษาไทย

    "เริ่มจะคล่องภาษาไทยแล้วนี่เรา มาอยู่ไทยได้ไม่กี่ปี" 

    "ลูกไม่รู้อนาคตว่าเรา ต้องอยู่ที่นี่กันอีกนานเท่าไหร่ เลยอยากจะฝึกพูดภาษาไทยให้ชินไว้น่ะคะป๊า"


    "อาหมิ่น ปีนี้ลูกโตขึ้นมากนะ มีความคิดที่ดี ล้ำขึ้นด้วย พ่อดีใจ สุษาษิตจีนว่าไว้
    ผู้นำที่เป็นเลิศต้องรู้จักปัญญา ผู้มีปัญญา ย่อมมีสุขกว่าผู้มีเงิน เป็นไหนๆ อาหมิ่นลี่ ความคิดของลูก ล้วนเกิดจากปัญญาและจิตใจที่ดีงามเข้มแข็ง"

    "ป๊าจะชมหนูเกินไปแล้ว หนูก็แค่ซึมซับคำสอนดีดีจากหนังสือกวีแห่งราชวงศ์ถัง ที่ป๊าชอบให้อ่านทุกวันไงคะ"

    "อ่านทุกวัน ปัญญาจะก่อเกิด เหมือนที่เราปลูกต้นไม้ วันต่อไปเราก็จะมีร่มเงา ผู้ที่มีความรู้ ย่อมมีสายตาอันกว้างไกลกว่าใครในหล้า"


    ผู้เป็นพ่อ เดินเข้าไปโอบกอดไหล่ทั้งสองของบุตรสาวไว้อย่างรักใคร่ เลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าให้นั่ง

    "นั่งก่อนสิอาหมิ่น..จิบชาร้อนๆ สักถ้วย ชาอย่างดีเลยนะ พ่อสั่งมาจากเมืองฝูเจี้ยน" อาหมิ่นลี่รับคำและนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้หวาย ข้างๆอาเตี่ยของเธอ ด้วยท่าทีสงบเรียบร้อยตามวิสัย

    "หอมมากเลยค่ะป๊า ชาถ้วยนี้คงจะราคาแพงมากทีเดียว" พูดพลางยกชาขึ้นจิบเบาๆ เพราะร้อนมาก จมูกสวยได้รูป สูดกลิ่นหอมจากไอกรุ่นในแก้วชานั้น ทำนองว่าชื่นใจเหลือประมาณ

    "ชาขาวเถียะกวนยิน" ผู้เป็นพ่อตอบยิ้มๆ ให้
    "ชอบใช่ไหมล่ะ เอาไว้พ่อจะสั่งมาให้อีกนะ"

    "ลูกขอนำไปแบ่งให้เพื่อนๆ ในโรงเรียนให้ชิมบ้างได้ไหมคะ"
    "ตามสบายจ๊ะ แม่สาวน้อยจิตใจงาม" พ่อตอบตามประสาคนช่างเอาใจลูก


    "เร่อลี่ จังเลยค่ะป๊า" อาหมิ่นลี่ำพยายามเป่าลมเบาๆ ในถ้วยเพื่อลดความร้อน

    "เป็นไง ร้อนเหรอ ค่อยๆ จิบสิ ดื่มชาจีนมันต้องดื่มร้อนๆ แบบนี้ล่ะลูก มันเป็นวัฒนธรรมและรสชาติของชาจะเลิศที่สุดในตอนที่มันร้อนได้ที่"

    "คือว่า....ลูกยังไม่ชิน...แต่ก็ชอบดื่มอยู่นะคะ" สาวน้อยตอบอ้อมแอ้ม


    "โตแล้ว จะต้องหัดดื่มชาให้เป็นนะ จะได้เข้าสังคมลูกเจ้าสัวได้อย่างมีหน้ามีตา" น้ำเสียงนั้นมีแววคาดหวังและเคร่งขรึม

    "ชาแดง ชาดำ ชาเขียว ชาขาว มันต่างกันตรงไหนคะป๊า" สาวน้อยเอ่ยถามอย่างเดียงสา

    "อันที่จริงก็ไม่ต่างกันหรอกนะ เรื่องรสชาติก็น่าดื่มคนละแบบ ลูกต้องศึกษาเองจากการดื่มมัน"

    "ค่ะ ลูกยังเด็กนัก อาจไม่ชินกับการดื่มชาแบบผู้ใหญ่ ขอท่านพ่อโปรดเสี้ยมสอนและชักจูง"
    ผู้เป็นลูกสาวตอบรับอย่างสงบเสงี่ยม


    "อาหมิ่น ชาจีนมีหลายชนิด เปรียบเสมือนผู้คนที่เราออกไปพบเจอข้างนอก จิตใจก็หลากหลายแตกต่่างกันไป หากเราไม่ศึกษานิสัยตัวตนเขาให้ถ่องแท้ ย่อมยากที่จะตามเขาทัน"

    "เหมือนเพื่อนเราใช่ไหมคะป๊า เราต้องเลือกคบ บางคนก็รู้หน้า แต่ ไม่รู้ใจ" อาหมิ่นลี่นึกไปถึงเจ้าดรีม ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ได้รู้มาจากอาหยางจื้อ คนขับรถประจำตระกูล ว่า เขามาดักรอพบเธอในโรงเรียนในตอนเย็น แต่คลาดกันไม่พบ จะด้วยเหตุใดก็ตาม เธอเองก็ไม่อยากคุยกับเขาตอนนี้ เพื่อนชายคนนี้ จิตใจยากคะเนนัก แม้ต้นไม้ที่ว่าหยั่งรากลึกแล้ว ยังไม่น่าฉงนเท่าจิตใจเขาคนนี้เลย "ดรีม อลงกต"

    อาหมิ่นลี่ นิ่งไปครู่ เหมือนใจเหม่อลอยคิดไปจนไกลตามนั้น จนคนพ่อต้องเอ่ยถามเหมือนรู้

    "อาหมิ่น ลูกได้ไปรู้จักเพื่อนบางคนที่รู้หน้าไม่รู้ใจเขาหรือ ศึกษาดูเขาให้ดีนะ จะได้ไม่หลงกลตกเป็นลิ่วล้อของคนพรรค์นั้น คนสมัยนี้น่ะ มันไว้ใจกันยากนัก" น้ำเสียงท่านพ่อแสดงถึงความห่วงใยยิ่ง

    "อ่อ! ปะๆ เปล่าค่ะ ป๊า ลูกเพียงแต่คิดว่า เพื่อนคนไทยบางคน เขาก็ยากที่จะสื่อสารกับเราได้แบบเข้าใจตรงกัน" อาหมิ่นลี่ตอบไม่เต็มเสียง สีหน้าครุ่นคิด

    "เราเป็นคนจีน ในแผ่นดินสยาม ถือว่าเป็นคนต่างชาติ มาอาัศัยบ้านเขาอยู่ ฉะนั้นเราเองก็เถอะนะ เป็นฝ่ายที่จะต้องปรับตัวเข้าหาพวกเขา และเข้าใจในความเป็นคนไทยของพวกเขาให้มากนะลูกนะ"

    "ที่เรียกมาวันนี้ เพราะพ่อจะสอนวิธีการชงชาจีนให้เราน่ะ เจ้าเต็มใจจะศึกษาจากพ่อหรือไม่อาหมิ่นลี่" เสียงนั้นดูมีพลังน่าเกรงขาม แต่ืืทว่าฟังแล้วอบอุ่นอยู่ในที

    "ได้ค่ะ เริ่มเลยค่ะ" สาวน้อยคนงามแห่งสกุลฟง รับคำอย่างมั่นใจ

    "ไหนลองไปชงชาให้พ่อดื่มสักแก้วสิ ฝึกไว้" อาหมิ่นลี่เดินไปที่โต๊ะรับแขก แล้วเทใบชาจากช้อนลงป้านชา พยายามทำอย่างคล่องแคล่ว โดยพ่อได้สอนการใช้คีบจอกชา ตอนลวกจอกก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกน้ำร้อนลวกมือตัวเอง

    "อันนี้คือที่เขี่ยใบชา ใช้สำหรับ เขี่ยใบชาในป้านชาออก เมื่อจะเปลี่ยนชาใหม่นะลูก" สาวน้อยเดินตามหลังพ่อไป แล้วหยิบจับอุปกรณ์ตรงหน้ามาืืืทำตาม อย่างสนอกสนใจ ใคร่รู้

    "ตอนเทน้ำร้อนลงไป ต้องยกให้สูง ให้น้ำร้อนกระแทกใบชา เพื่อให้ใบชาคลี่ตัวออก น้ำแรกเราจะไม่กินนะอาหมิ่น ต้องเททิ้งก่อนนะ" ผู้เป็นพ่อพร่ำสอนอย่างใจเย็น พร้อมกับเดินไปทำตัวอย่างการรินให้ดู ส่วนลูกสาวก็ฟังตามอย่างว่าง่าย

    "เรียบร้อยแล้วค่ะ 1 จอก" อาหมิ่นลี่ ยกถ้วยชาขึ้นสูงให้อยู่ประมาณตรงหน้า ทั้งนี้เป็นการคำนับผู้เป็นพ่อตามประเพณีจีน

    "เดี๋ยวก่อน! ไม่ได้ ลูกจะต้องปิดฝาทิ้งไว้ก่อนหนึ่งนาทีนะอาหมิ่น เทคนิคที่จะคงกลิ่นใบชาไม่ให้เจือจางไปกับอากาศ"

    "หลายขั้นตอนจังเลยค่ะป๊า" สาวน้อยย่นจมูก บ่นนิด แต่ก็มิได้รำคาญใจแต่อย่างใด

    "เด็กสาวที่ชงชาได้เก่ง มักจะเป็นที่รักและชื่นชม เชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูล"
    คนพ่อสอนชี้แนะพร้อมกับยกฝ่ามือนุ่มใหญ่ข้างนึงลูบเบาๆ ที่ศีรษะของลูกสาวอย่างเอ็นดู รักใคร่
    "และหากต่อไปภายภาคหน้า ถ้าได้เข้าพิธีซังฮี้และออกเจี๋ยฮุนไป ก็จะเป็นที่ภูมิใจของสามี"

    "เชิญท่านพ่อ ลงนั่งดื่มชาได้ตามอัธยาศัย เฮอฉาสุ่ย" อาหมิ่นกล่าวพร้อมคำนับ

    "น่ารักมาก ทุกวันจะต้องทำให้ได้ตามนี้ ต้องฝึกให้ชิน ทั้งวิธีการชงและคำพูดในการเชื้อเชิญบรรพบุรุษ"

    "หว่อหมิงป๋ายเลอ...ลูกจะเชื่อตามนั้น รักป๊าที่สุดเลย" อาหมิ่นลี่จูบลงเบาๆ ที่แก้มของอาเตี่ยเธอ

    "ก้ายหว่าน แปลว่าอะไรลูก จำได้ไหมที่พ่อเคยสอน ลืมไปหรือยัง"

    " ส่วนประกอบของชาค่ะ นภา คือ ครอบคลุม (ฝา) ปฐพี โอบอุ้ม (จานรอง) นรชาติ ฟูมฟักบ่มเพาะ (ถ้วย)" อาหมิ่นลี่ตอบคล่องแคล่ว โดยพื้นฐานนั้น เธอเป็นเด็กที่ฉลาด ความจำดีเป็นเลิศ ซึ่งมักได้รับคำชมจากอาจารย์ที่โรงเรียนอยู่เสมอ

    "แล้วจำได้ไหม กว่าจะได้น้ำชาดีๆ ต้องอาศัยอะไรบ้าง" ผู้เป็นพ่อเลยถือโอกาสลองภูมิของลูกสาวสุดที่รัก ด้วยการถามต่อเสียเลย

    "น้ำจากฟ้า แร่ธาตุจากดิน และการดูแลเอาใจใส่ จากมนุษย์ ค่ะ"

    "เก่งมากอาหมิ่น เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ วันหลังพ่อจะสอนวิธีกงฟูฉาหรือการชงชาปี้ลั๋วชุนให้กับเจ้านายชั้นสูง คงยากไปกว่านี้อีกขั้น เดิมก็คือชาสำหรับกษัตริย์และขุนนาง ซึ่งวันข้างหน้า ถ้าลูกมีโอกาสได้เข้าไปทำงานรับใช้ในวังหลวง ลูกอาจจะต้องเรียนรู้มัน!"

    "เข้าไปรับใช้ในวัง ลูกไม่เข้าใจที่ท่านพ่อพูดสักนิดค่ะ" อุทานอย่างแปลกใจ สีหน้าอาหมิ่นลี่เริ่มเศร้าลง ใจก็นึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่ืทราบเหตุผล

    "หมายถึง เราสองคนพ่อลูกจะต้องห่างกัน ลูกจะต้องไปไหนคะป๊า" สาวน้อยพูดจบ ก็รีบหันตัวกลับมากอดผู้เป็นพ่อไว้จนแน่นหนา ราวกับกลัวการพลัดพราก

    "ฮืมมมม....ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก อาหมิ่น มันยังไม่ถึงเวลานั้น พ่อพูดไปลูกคงไม่เข้าใจ มันเป็นสัญญาระหว่างสองตระกูล คือเราและเขาที่มีต่อกัน เอา็เป็นว่าตอนนี้ ลูกยังไม่ต้องคิดอะไรมาก ตั้งใจเรียนให้จบไปก่อนละกัน" ผู้เป็นบิดาเอ่ยตัดบท แล้วตบที่ไหล่ลูกสาวเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยน

    "ค่ะ ป๊า....ลูกจะเชื่อฟังอาป๊าทุกอย่างค่ะ...หว่อ ย่วน อี้ เว่ย หนี่"







     紅毛  ด้วยเป็นนิยายกึ่งไทยจีน อาจมีคำจีนหรือสำนวนจีนบางคำที่จำเป็นต้องใช้ ที่ผู้่อ่่านอาจยังไม่เข้าใจความหมาย หากไม่เข้าใจคำไหน กรุณาฝากคำุถามไว้ที่ผู้เขียนได้ครับ จะเข้ามาแปลภาษาและอธิบายให้ครับ  
      ( ขอบคุณครับ ) 唐人  










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×