คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
“ฝ่าบาท...ฝ่าบาทเพคะ ! หม่อมฉันมิสามารถทนดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ต้องตกตายอย่างอเน็จอนาถได้...ขอได้โปรดทรงตรึกตรองดูอีกทีเถิดเพคะ ...เด็กคนนี้เป็นบุตรของท่านนะเพคะ !” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดของสตรีชาววังเอ่ยขึ้นต่อชายผู้อยู่ตรงหน้า แม้น้ำเสียงของนางฟังดูร้อนรนเพียงใด แต่เขาก็คล้ายหาได้มีความทุกข์ร้อนไม่
“มเหสีที่รักของข้า...เรื่องนี้มิใช่ว่าข้าตัดสินใจโดยชั่ววูบ แต่หากว่าเรามิส่งเด็กคนนี้ไปให้เป็นของบรรณาการแด่องค์พระจักรพรรดิตามที่พระองค์ประสงค์แล้วนั้น เห็นทีเมืองของเราคงต้องล่มสลายลงเป็นแม่นมั่น หรือเจ้าจะยอมให้ประชาชนต้องรับเคราะห์อันใหญ่หลวงนี้” องค์ราชาแห่งเมืองต้าหลังกล่าวอย่างสงบ คล้ายว่าเรื่องที่กำลังพูดอยู่ มิได้มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับพระองค์
“ทว่า...หากพระองค์ส่งบุตรของเราไปแล้ว ข้าเชื่อว่าองค์พระจักรพรรดิ คงต้องสังหารเขา เพื่อมิให้ ผู้อื่นคิดกระด้างกระเดื่องเช่นท่านอีกเป็นแม่นมั่น” นางยังคงคิดกล่าวเว้าวอนต่อผู้เป็นสามีต่อไป แต่กลับต้องสงบลงเมื่อองค์ราชากลับตวาดอย่างกริ้วโกรธ
“หนึ่งชีวิตของบุตรแลกกับหลายชีวิตของประชาชน นี่ย่อมคุ้มค่ามากนัก ! เจ้ามิต้องกล่าวอันใดอีกแล้ว ออกไปเสีย !!!”
พระมเหสีจึงจำใจต้องจากมา แม้ว่านางยังมีคำพูดคิดกล่าว แต่ก็ไม่สามารถกล่าวออกมาได้ เนื่องจากที่องค์ราชาพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ...นางเองก็มิอาจละทิ้งประชาชนของนางเพื่อครอบครัวของตนฝ่ายเดียวได้ นางจึงได้แต่ร่ำไห้ ร่ำไห้ต่อชะตาชีวิตของตน ชะตาชีวิตของสามี และชะตาชีวิตของบุตรที่เพิ่งถือกำเนิดได้ไม่ถึงเดือน
‘หากว่าตอนนั้นท่านมิได้กระด้างกระเดื่อง คิดแข็งเมืองต่อองค์พระจักรพรรดิ ไหนเลยจะเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้’
‘แต่หากว่าท่านมิทำเช่นนั้น อาณาประชาราษฎร์ก็คงอยู่อย่างมิเป็นสุข ท่ามกลางการกดขี่ข่มเหงของเหล่าทหารพระจักรพรรดิ’
‘ถ้าเช่นนั้นหากว่าท่านทำสงครามชนะได้ เมืองของเราก็คงไม่ต้องตกระกำลำบากอีก และก็ไม่ต้องส่งบรรณาการพร้อมทั้งชีวิตองค์ชายน้อยไปสังเวยให้แก่องค์พระจักรพรรดิผู้โหดร้ายนั่น’
‘แต่ข้าก็รู้ดีว่า กำลังไพล่พลของเรามีเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับเหล่าทหารชาญสงครามขององค์พระจักรพรรดิแล้วนั้น ช่างจิ๊บจ้อย ...เสบียงของเมืองก็มีไม่พอกิน อดอยากแร้นแค้นไปทั่วทุกหย่อมหญ้าอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีเพียงพอ ต่อสงครามที่ยืดเยื้อได้ ไหนเลยจะสามารถมีชัยในสงครามนี้ได้ !’
พระมเหสีทรงกันแสงอย่างหนัก พร้อมทั้งคิดขัดแย้งไปมา จนกระทั่งในที่สุด นางก็ทนต่อสภาพร่างกายที่อ่อนล้าไม่ไหว และสลบไสลไป โดยหารู้ไม่ว่านั่นทำให้นางมิได้แม้แต่จะมีโอกาสร่ำลาต่อลูกน้อยที่นางรักนักหนา
ระหว่างที่พระมเหสีสลบไปโดยมีเหล่านางกำนัลคอยดูแลอยู่นั้น องค์ราชาจึงได้มีรับสั่งให้นำตัวทหารจำนวนหนึ่งเข้าเฝ้าเป็นการด่วน
“พวกเจ้าจงจัดม้าเร็ว นำตัวองค์ชายห่อด้วยผ้าไหมหายากผืนหนึ่ง พร้อมด้วยทองคำห้าสิบชั่ง และดาบสวรรค์พิฆาตศัตรูไปส่งมอบเป็นเครื่องบรรณาการแด่องค์พระจักรพรรดิ โดยเดินทางให้ถึงเมืองหลวงก่อนฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น ....ไป !”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” พวกเขาเหล่านั้นต่างรับคำอย่างพร้อมเพรียง แล้วรีบปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวในทันทีทันใด แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่พวกเขาก็ยังเดินทางอย่างรีบเร่ง และมิได้หยุดพักในระหว่างทางเลย ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเดินทางกันไปจนถึงเมืองหลวงก่อนฟ้าสาง และนำของบรรณาการไปถวายแด่องค์พระจักรพรรดิในตอนเช้าของวันนั้นได้ในที่สุด
............................................................
“...อืม ข้าคิดว่าองค์ราชาของต้าหลังจะมิส่งตัวบุตรชายรัชทายาทมาเสียอีก มิคิดเลยว่าองค์ราชาจะขลาดเขลาถึงเพียงนี้ ...หวาดกลัวข้าจนต้องยอมส่งลูกออกมาตายแทน ...ฮ่าๆๆๆ ! นี่ช่างน่าขันยิ่งนัก !” ผู้พูดซึ่งแม้ว่าไม่ต้องบอกก็ทราบได้ว่าคือ องค์พระจักรพรรดิ ผู้มีชื่อเสียงในทางไม่ดี ยิ่งใหญ่ ก้องโลกนั่นเอง พระองค์ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยความโหดร้าย ขุนนางผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าจะขัดประสงค์ของพระองค์ ด้วยเกรงอาญาประหารชีวิตทั้งตระกูล เหล่าประชาชนและเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงล้วนแล้วแต่หวาดกลัว ยอมศิโรราบอยู่แทบบาทของพระองค์ มีเพียงองค์ราชาของเมืองต้าหลังเท่านั้น ที่กล้าหาญจะออกมาต่อกรกับพระองค์ และในที่สุดก็พบกับความพ่ายแพ้เช่นนี้นี่เอง
“บังอาจ ! เจ้ากล้าลบหลู่องค์ราชาของเรา เจ้าต้อง...” เสียงของทหารผู้หนึ่งซึ่งจงรักภักดีต่อองค์ราชาขาดห้วงไปกะทันหัน จากการที่ทหารขององค์พระจักรพรรดิฟันด้วยดาบจนถึงแก่ความตาย
เหล่าพี่น้องเพื่อนพ้องทหารต้าหลังต่างเป็นชายชาตินักสู้ ครั้นเห็นเพื่อนพ้องต้องตายไปต่อหน้าต่อตา แม้แต่นายเหนือหัวก็โดนหยามเหยียด จึงมิอาจทนทานไหว ต่างก็พร้อมใจกัน กล่าววาจาหมายตระเตรียมตกตายตามทหารที่ตายไปคนก่อน
“องค์ราชายอมเสียสละดวงใจของท่าน เพื่อเหล่าพสกนิกรต่างหากเล่า ตัวเจ้านั่นแหละที่ขลาดเขลา มิหนำซ้ำยังเบาปัญญาอีกด้วย!”
“ความเมตตา กล้าหาญ และเสียสละขององค์ราชายิ่งใหญ่เหนือกว่าราชาใดๆ แม้กระทั่งองค์พระจักรพรรดิเยี่ยงเจ้าก็มิอาจทาบติด!”
“แม้ในวันนี้ต้าหลังของเราจะต้องยินยอมเป็นเมืองขึ้นแก่เจ้า แต่ว่าสักวันต้าหลังจะต้องมีชัยเหนือเมืองหลวงของเจ้าเป็นแม่นมั่น !”
๚ล๚
แน่นอนว่าหลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องตายอย่างอนาถไร้ที่กลบฝัง อยู่ตรงนั้นเอง และก็เช่นเดียวกันกับที่ไม่มีผู้ใดสามารถกลับไปรายงานต่อองค์ราชาแห่งต้าหลังได้อีก ว่าองค์พระจักรพรรดิจะทำอย่างไรต่อไปกับองค์ชายน้อยผู้เป็นเครื่องบรรณาการ
“ฆ่าเด็กทารกนี่เสีย” องค์พระจักรพรรดิรับสั่งต่อทหารผู้หนึ่ง ที่ยืนอยู่ แม้ว่าตัวของพระองค์เองจดจำทหารเลวผู้นี้ไม่ได้ แต่ก็ทรงมั่นพระทัยว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืนคำสั่งของตน
“พะย่ะค่ะ” ทหารผู้นั้นรับคำ แล้วรีบอุ้มเด็กทารกหรือองค์ชายน้อยแห่งต้าหลังเดินจากมา
เขาเดินได้ระยะหนึ่ง แล้วจึงเริ่มออกวิ่ง วิ่งเร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนออกนอกประตูพระราชวัง แต่เขาก็ยังคงไม่หยุดวิ่ง แม้ว่าจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดอย่างไร แต่หากว่าองค์พระจักรพรรดิทราบว่าเขานำทารกน้อยหนีไป ไม่เพียงแต่ทารกเท่านั้น ตัวเขาเองก็ต้องมอดม้วยตามไปด้วย
อาจบางทีเป็นเนื่องจาก เขาเองก็เคยมีบุตร และได้สูญเสียบุตรไป เมื่อครั้งองค์พระจักรพรรดิขึ้นครองราชย์แล้ว ทหารของพระองค์เข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผลและบ้าคลั่ง เขาสาบานว่าจะอย่างไรต้องแก้แค้นให้ภรรยาที่ถูกย่ำยีจนถึงแก่ความตาย และบุตรที่เข้ามาปกป้องมารดา จนต้องจบชีวิตไปอีกคน เขาโทษตัวเองตลอดมาที่ไม่สามารถช่วยทั้งสองไว้ได้ทันท่วงที จนกระทั่งเขามาสมัครเป็นทหาร เพื่อรอวันที่จะได้แก้แค้น แต่ก็ได้มาพบกับทารกน้อยเสียก่อน ทำให้เขาคิดถึงบุตรของตน และตัดสินใจช่วยชีวิตของทารกน้อยเอาไว้
“จับมันให้ได้ ! หากมันผู้ใดสามารถนำหัวของมันและทารกมาได้ ข้าจะตบรางวัลอย่างงามพร้อมทั้งเพิ่มยศให้อีกสองขั้น !” องค์พระจักรพรรดิ ประกาศก้อง อย่างโกรธกริ้ว และรู้สึกราวกับว่าตนเองโดนเหยียดหยามอย่างรุนแรง ...
.................................................................
สิบปีต่อมา............
“ท่านพ่อ...ท่านพ่อ...ท่าน”
“เรียกทำไมอยู่ได้ มีอะไร หือ ?” ชายวัยกลางคนถามต่อเด็กชายที่ร้องเรียกอยู่ด้านข้าง
“ทำไมท่านพ่อถึงไม่ยอมให้ข้า เข้าไปในเมืองหลวงล่ะ” เด็กชายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู แต่ช่างเป็นคำถามที่สร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ตอบเสียเหลือเกิน
“นั่นก็เพราะว่าในเมืองหลวงมีแต่อันตรายทั่วไปหมดยังไงล่ะ”
“ไม่จริงหรอก ข้าได้ยินจากเด็กในหมู่บ้านมาว่าที่นั่นมีของเล่น ของกินอร่อยๆแล้วก็คนอยู่กันเยอะแยะไปหมดเลย” เด็กชายเบ้ปาก พร้อมทั้งโต้แย้งต่อชายวัยกลางคนไม่หยุดปาก
“พูดมากจริงๆเลย ข้าบอกว่าไม่ก็ไม่สิ” ผู้เป็นพ่อสรุป
“ให้ข้าไปสักครั้งไม่ได้เหรอ ข้าจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเชื่อฟังท่านทุกอย่างเลย ข้าแค่อยากไปเห็นบ้างเท่านั้นเอง สิบปีมานี้ข้าได้แต่อยู่ที่นี่ กับเข้าไปในหมู่บ้านแค่สองที่ ชีวิตนี้ท่านก็จะให้ข้ารู้จักอยู่แค่สองที่เองหรือ”
“....” ชายผู้นั้นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าคงไม่มีใครจำพวกเขาได้แล้วหลังจากผ่านมาสิบปี นับจากที่หลบหนีออกมาจากพระราชวัง แน่นอนว่าตัวเขาคือทหารคนนั้น และเด็กชายผู้นี้ก็คือ ทารกน้อยที่มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายของต้าหลังนั่นเอง
“ก็ได้...เราจะไปเมืองหลวงกัน !”
ความคิดเห็น