คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เพื่อนร่วมทาง
แสงพลอยมารับฉันตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น เธอให้คนขับรถพาไปยังสถานีขนส่งภายในตัวจังหวัด และเมื่อไปถึงฉันก็ต้องแปลกใจที่ได้พบว่า ชานนท์กำลังรอเราอยู่แล้วที่นั่น
“เธอนี่ร้ายจริงๆ นะลากเอกเค้าไปด้วยทำไมกัน” ฉันพูดพลางเอื้อมมือจะไปหยิกเอวเพื่อนด้วยความเก้อเขิน แต่แก้วก็เอี้ยวตัวหลบก่อนจะวิ่งหัวเราะคิกคักไปหาชานนท์
“เอกช่วยฉันด้วย ยัยริณจะแกล้งฉัน ว้ายๆ อย่านะ อย่านะ” เมื่อฉันวิ่งตามไปทัน ยัยเพื่อนตัวดีก็รีบผลุบไปอยู่ข้างหลังร่างสูงของเอกที่กำลังยืนทำหน้าเหลอหลาพลางร้องวี๊ดว้ายหลบซ้ายเบี่ยงขวามือของฉันเป็นพัลวัน
“ไม่เอาน่าพอแล้ว พอแล้ว” ชานนท์หรือเอกซึ่งสวมชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สสีแดงขาวดูสบายๆ ยกสองมือขึ้นมาปรามเมื่อเห็นเราหยอกล้อกันเป็นเด็กๆ
“เอกนายมาได้ยังไง?” ฉันเอ่ยถามพร้อมกับปาดเหงื่อที่ผุดพราวขึ้นมาตามใบหน้า ขณะที่แก้วแลบลิ้นปลิ้นตาล้อฉันอยู่ข้างหลังเขา สองมือเรียวเกาะอยู่บนบ่าอันแข็งแรงนั่นอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ประกายวิบวับจากแหวนทองหัวทับทิมล้อมเพชรที่เธอมักจะใส่ติดนิ้วนางข้างขวาอยู่ตลอดแยงเข้านัยน์ตาฉัน จะว่าไปก็ดูสวยงามและเข้ากันดีกับทั้งชื่อเจ้าของและเสื้อยืดสีชมพูอ่อนคอกว้างแขนตุ๊กตากับกระโปรงยีนส์สั้นและรองเท้าบูทหนังยาวครึ่งน่องที่เธอสวมอยู่
‘ยัยแก้วนี่แสบจริงๆ’ ฉันนึกขัน พลางส่ายหัวระอิดระอา
“อย่าไปต่อว่าแก้วเค้าเลย...เราขอตามมาเองแหละ” ชานนท์ตอบ พอดีกับที่หางตาเหลือบไปเห็นอีกฝ่ายรีบพยักหน้าหงึกหงัก ทำหน้าซื่อตาใส บ้องแบ๊วสุดฤทธิ์
ฉันเงยหน้ามองใบหน้าขาวของเขาตรงๆ คิ้วสีดำเข้มโค้งได้รูปเหนือดวงตาเล็กรีสะดุดให้ฉันพิศมอง แววตานิ่งภายใต้แว่นกรอบบางทรงสี่เหลี่ยมที่ยังคงมีเสน่ห์มิเคยเปลี่ยนแปรพลอยให้ฉันสะเทิ้นอายขึ้นมาก่อนที่เขาจะเอ่ยคำที่ทำให้ฉันใจเต้นตึกตัก
“เราเป็นห่วงริณนะ”
ฉันรีบหลุบสายตาเมื่อได้ฟังคำนั้น แอบเขินไปเหมือนกันกับวาจาซื่อๆ ของคนพูดซึ่งทำให้ฉันสัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจดวงนี้อย่างประหลาด ‘เป็นห่วง’ อย่างนั้นหรือ คำๆ นี้ไม่ว่าจะได้ฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้รู้สึกดีทุกครั้งสินะ
ฉันเก็บความซาบซึ้งนั้นไว้ภายในก่อนจะก้าวถอย ซึ่งทำให้แลเห็นบางอย่างที่ทำให้กระอักกระอ่วนใจเข้ามาแทน
“เอ่อ…คือ”
“เอกลืมรูดซิบน่ะ” ฉันบอกพลางชี้มือไปตรงจุดนั้น ผ้าเนื้อบางสีขาวโผล่แผลมออกมาแล้ว
“พวกเราไปขึ้นรถกันเถอะ” แสงพลอยโพล่งขึ้นเมื่อเห็นรถโดยสารปรับอากาศที่เราจองที่นั่งไว้ เปิดประตูให้ผู้โดยสารทยอยกันขึ้นไป
พวกเราวิ่งผ่านแนวรถทัวร์ที่จอดเรียงรายอยู่หลายคันซึ่งส่งกลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์โชยคลุ้ง จากนั้นจึงกรูกันไปต่อแถว ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างหอบหิ้วกระเป๋าใบโต บ้างก็ถือถุงใบใหญ่ ไม่ก็ชะลอมสานที่ใส่ผลไม้เสียจนแน่นปริกันอย่างพะรุงพะรัง แต่สำหรับฉันและชานนท์แค่กระเป๋าและเป้ใบเล็กๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการค้างคืนสองสามวัน ส่วนยัยแก้วนั้นนอกจากกระเป๋าสะพายข้างของDior แล้ว ก็ยังมีกระเป๋าถือหิ้วขนาดใหญ่ลายโมโนแกรมสกรีนทับด้วยตัวอักษรสีชมพูหวานของหลุยส์วิตตอง รวมถึงกระเป๋าเดินทางสีชมพูแบบล้อลากใบย่อมๆ ติดตัวมาด้วย
พนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินอ่อนกลัดโบว์สีชมพูที่หน้าอกขวายิ้มหวานและฉีกหางตั๋วรถทัวร์ชั้นพิเศษก่อนจะเชื้อเชิญเราขึ้นรถหลังจากลำเลียงสัมภาระต่างๆ ไว้ใต้ท้องรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แสงพลอยจัดการให้ฉันนั่งข้างชานนท์เสร็จสรรพ เราสองได้หมายเลข 13 และ 14
“ริณอยากนั่งข้างในรึเปล่า?” เขาถามระหว่างที่เราเดินมาถึง
“ไม่เป็นไรอ่ะเอกนั่งเถอะ” ฉันตัดสินใจตอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวจะเกะกะขวางทางคนอื่น
“อืมก็ดีเราจะได้ถ่ายวิวข้างทางไปด้วย”
“ไม่ได้มาเที่ยวนะยะคุณผู้ชาย” แสงพลอยพูดแซว ก่อนจะเบียดตัวเข้าไปนั่งที่นั่งเบอร์ 17 ที่อยู่ติดหน้าต่างข้างหลังชานนท์
“นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะไปเยี่ยมที่บ้านริณนะ ก็ขอเก็บภาพไว้สักนิดนึงดิ” เอกแย้ง “ว่าแต่ริณก็ไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับที่บ้านให้เราฟังเลยนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันเองก็ได้แต่นั่งเงียบแทนคำตอบ บ้านเกิดของฉันเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูลึกลับมืดมน ซ่อนเร้นกายอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร และชื้นแฉะไปด้วยสายฝนที่ตกลงมาอยู่ตลอดทั้งปี หมู่บ้านของฉันไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีระบบสาธารณสุขที่ดี ไม่มีความเจริญ คงจะมีเพียงความน่าเวทนาและความหวาดกลัวต่อความเชื่อเก่าๆ คร่ำครึของผู้คนในหมู่บ้านหลงเหลืออยู่เพียงเท่านั้น
“อืม..เดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า” แก้วพูดพร้อมกับยื่นมือไปคว้ากล้องแคนนอนสีดำจากมือของชานนท์ไปดู “ไหนดูสิเก็บรูปกิ๊กไว้มั่งป่าวเนี่ย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ถือวิสาสะกดปุ่มคำสั่งต่างๆ บนกล้องอย่างคล่องแคล่ว
ชานนท์พลิกตัวและชันเข่าขึ้นบนเบาะ โน้มกายไปหาแก้วอ้าปากทักท้วง
“โหยแก้ว...อย่าเลยเดี๋ยวพัง” เอกว่า
“ ต๊ายยย...พูดเยี่ยงนี้เดี๋ยวแม่ก็กดให้พังจริงๆ ซะหรอกเชอะ ฉันไม่ใช่คุณป้าที่นั่งข้างๆ เธอนะยะ”
‘นั่นไงฉันโดนเพื่อนรักแขวะเข้าให้’
ตอนนี้คนทยอยขึ้นมาจนเกือบเต็มคันรถแล้ว เสียงผู้คนจอแจวุ่นวายราวกับผึ้งแตกรัง ฉันจึงล้วงหยิบมือถือเปิดแอพลิเคชั่นขึ้นมาเสียบหูฟัง เพลงบรรเลงเปียโนดังรื่นหูแต่ก็มิอาจทำให้ฉันผ่อนคลายหรือสบายใจได้เท่าไรนัก จิตใจยังคงกลัดกลุ้มและห่วงหาอาทรถึง ‘พ่อ’ ผู้อยู่แสนไกล
‘พ่อคะริณกำลังจะกลับบ้าน...หนูคิดถึงพ่อค่ะ’
ความคิดเห็น