คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จดหมายจาก 'พ่อ'
และแล้ว สิ่งที่ฉันหวาดกลัวก็คืบคลานมาถึงในเช้าวันหนึ่งกลางฤดูอันร้อนระอุ
“ริณลูก ริณ!” เสียงคุณน้าลดาและเสียงเคาะประตูห้องดังก๊อก ก๊อก ก๊อก ปลุกฉันให้ลืมตาผวาตื่นและกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน
“สายแล้วเหรอเนี่ย...แย่จัง!” ฉันอุทาน ก่อนจะขานรับคุณน้า
“ค่า...คุณน้า” ฉันลุกไปส่องกระจกติดผนังบานสี่เหลี่ยมกรอบพลาสติก
ตรงอ่างล้างหน้า จัดผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงเดินไปแง้มประตูห้องเปิดออกนิดหนึ่ง
แลเห็นดวงหน้ากลมมนผิวขาวเหลืองรับกับคิ้วโก่งบางเหนือดวงตาโตเรียว จมูกเล็กๆ
และทรงผมบ็อบสีดำบนลำคอสั้นๆ อันคุ้นเคยนั้น
วันนี้คุณน้าแต่งตัวสวยเช้งด้วยเสื้อสีครีมอ่อนและสวมชุดสูทแขนยาวสีดำทับอีกชั้นหนึ่ง เพื่อเตรียมตัวไปทำงาน เธอกำลังยืนคอยอยู่ที่หน้าประตู ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่เผยรอยยิ้มให้ฉันเห็นเหมือนวันทีผ่านๆ มา
คุณน้าลดายื่นจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งให้ฉัน
ฉันแปลกใจจึงเอื้อมมือไปหยิบมาอ่านดูหน้าซอง
“จากคุณพ่อของหนูจ้ะ น้าเห็นมันตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ลืมหยิบมาให้” คุณน้าพูดขึ้น
‘จากคุณพ่อ’
นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่
คุณน้ามีท่าทีอึกอักเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ฉันก็ชิงตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ขอบคุณค่ะ” ฉันน้อมหัวให้น้าลดาเป็นเชิงขอบคุณ แล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง
“รีบแต่งตัวนะจ้ะริณ เดี๋ยวจะสาย” เธอกล่าวก่อนจะเดินกลับลงไปตระเตรียมอาหารเช้าต่อ
ส่วนฉันก็เดินไปรูดม่านสีขาวมุก เปิดให้พอมีแสงยามเช้าลอดเข้ามาแล้วจึงนั่งลงตรงขอบเตียงแกะซองจดหมายสีขาวขนาดห้าคูณเจ็ดนิ้วซึ่งเขียนชื่อพ่อและที่อยู่ไว้อย่างชัดเจนอย่างระมัดระวังด้วยความรู้สึกแปลกใจระคนดีใจ
เพราะปกติเราสองพ่อลูกจะสื่อสารกันโดยการใช้โทรศัพท์หากันเสียมากกว่า ทว่าทำไมคราวนี้พ่อถึงเขียนจดหมายมาถึงฉันกันนะ หรืออาจจะเป็นเพราะอาการป่วยไข้ของท่านในพักหลังๆ นี้ก็เป็นได้ละมั้ง
ภายในซองมีกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งถูกพับครึ่งสอดไว้อยู่ข้างใน ฉันไม่รีรอที่จะหยิบและเปิดอ่านข้อความในหน้าจดหมายอย่างรวดเร็ว
เพลงพิรุณลูกรัก
ตอนนี้ลูกเป็นอย่างไรบ้าง พ่อคิดถึงลูกเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มีชิวิตอยู่ทันเห็นหน้าลูกอีกสักครั้งมั๊ย พ่อกำลังป่วยหนัก และมีบางอย่างอยากจะบอกลูกก่อนที่จะลาจากโลกนี้ไป เพลงพิรุณถ้าลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ พ่ออยากให้ลูกกลับบ้าน มาหาพ่อ ได้โปรดกลับมาหมู่บ้านของเรา สักครั้ง พ่อคิดถึงลูก กลับมาหาพ่อนะ พ่อจะคอย
รักลูกเสมอ
ธินกร
“พ่อคะ” พอฉันเงยหน้าขึ้นมาอีกที น้ำใสๆ ก็เอ่อท้นออกจากขอบตาด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงท่านจับใจ ฉันรีบโทรกลับไปที่บ้านทันที แต่คนที่รับสายกลับเป็นน้าสายทิพย์แม่เลี้ยงของฉัน
“ฮัลโหล คุณพ่ออยู่มั๊ยคะ? คือหนูเพิ่งได้รับจดหมาย…”
“ตอนนี้พ่อแกกินยาหลับไปแล้ว” เนื้อเสียงที่ตอบกลับมานั้นแหบห้าวและฟังดูเย็นชาราวกับผู้ใหญ่ที่ไว้เนื้อถือตัว
“เอ่อ...แล้วคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ ท่านเป็นอะไร?” ฉันถามรู้สึกใจคอไม่ดี
“ถ้าอยากรู้แกก็มาดูเอาเองสิ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงแบบมะนาวไม่มีน้ำ
ฉันพยายามข่มความโกรธเคืองไว้ในใจ น้าสายทิพย์มักจะพูดจาไม่เข้ารูหูฉันอยู่บ่อยๆ และนี่คือหนึ่งในการแสดงออกของเธอ ที่ทำให้ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบฉัน
“งั้นพรุ่งนี้หนูจะกลับหมู่บ้านนะคะ กว่าจะถึงก็คงเย็น พอจะมีใครมารับหนูได้ที่ปากทางเข้ามั๊ยคะ?”
ถึงแม้ว่าจะปรับน้ำเสียงให้นอบน้อมเพียงไร แต่ก็ไม่เคยช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้จักน้าสายทิพย์มาตั้งแต่ยังเด็ก เธอเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านคนก่อน หน้าตาสะสวย รูปร่างสูงระหง ดูฉลาดเฉลียว แต่ก็เป็นบุคคลที่ไม่น่าเข้าใกล้อย่างที่สุด
เพราะเธอทั้งเย่อหยิ่ง และอารมณ์ร้าย
โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เข้ามาเป็นแม่เลี้ยงของฉันด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งจองหองพองขน
และทำเสมือนว่าพ่อเป็นสมบัติของตนแต่เพียงผู้เดียวโดยชอบธรรม
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อาจยอมรับได้ ทว่าฉันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงที่ว่า
ผู้ที่เปิดประตูเชื้อเชิญให้เธอเข้ามาอยู่ในครอบครัวของเรานั้นก็คือ
พ่อของฉันนั่นเอง
และ ณ ตอนนั้นฉันก็มาอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล เกินกว่าจะทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
“ฉันจะลองถามอาสุบรรณให้ดู...แค่นี้นะฉันต้องไปทำงานต่อพ่อแกน่ะทำความลำบากให้ฉันมากเลยรู้มั๊ย” เธอพูดค่อนแคะจนฉันรู้สึกสะอึก
“เอ่อเดี๋ยวก่อนค่ะ...คุณน้าพอจะมีเบอร์โทรศัพท์ของคุณอาสุบรรณมั๊ยคะ?” ฉันยิงคำถามเพราะเกรงว่าเธอจะตัดบทวางสายไปเสียดื้อๆ
น้าสายทิพย์บอกเบอร์โทรศัพท์ของอาสุบรรณมาตามสายอย่างรวดเร็ว ฉันรีบจดเลขเหล่านั้นลงกระดาษบันทึก
“ไม่ทราบว่าพอจะมีเบอร์มือถือมั๊ยคะ?” ฉันถามต่อ
“หึหึ…เธอคงจะไปอยู่ในเมืองเสียนานจนจำไม่ได้ว่าคนที่นี่เขาไม่ใช้ของพวกนี้กันหรอกนะ” น้าสายทิพย์เหน็บแนมก่อนจะกระแทกหูโทรศัพท์ใส่ฉัน
“ตู๊ดด ตู๊ดด ตู๊ดด ตู๊ดด!”
ในตอนนั้นฉันอยากจะเขวี้ยงหูโทรศัพท์ทิ้งเพื่อระบายความโกรธ แต่ก็ได้แค่คิดแล้วจึงต่อสายถึงเบอร์ที่เพิ่งได้รับมาเป็นรายต่อไป หลังจากโทรนัดแนะกับคุณอาสุบรรณเรียบร้อยแล้วฉันจึงโทรไปหาแสงพลอยเป็นคนสุดท้าย
“แก้วกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”
“กำลังนอนเล่นอยู่บนเตียง แล้วก็แชทกะหนุ่มๆ อิอิ” เธอบอกอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนเมฆขมุกขมัวก่อตัวขึ้นในใจ
“อืม...แก้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องลับบ้าน พ่อกำลังป่วยหนักน่ะ” ฉันซึ่งกำลังยืนน้ำตารื้นอยู่ จำต้องบอกเธอไปตามตรง
“อ๊ะ…ตายจริงพ่อเธอเป็นอะไรเหรอริณ?” แก้วมีท่าทีตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น
“ขอโทษทีนะที่ฉันคงไปเที่ยวกับเธอไม่ได้” ฉันพูดเสียงอ่อน รู้สึกผิดที่ต้องผิดนัดกับเพื่อนทั้งๆ ที่ได้รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไปเดินเที่ยวห้างซื้ออุปกรณ์การเรียนด้วยกัน
“บ้า..ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เธอจะกลับมาวันไหนเหรอ?” แสงพลอยถาม
“ก็คงอยู่ที่นั่นสักสองสามวันแล้วค่อยกลับ คงต้องอยู่ดูอาการพ่อด้วย ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยแก้ว” แก้วคงได้ยินเสียงอันสั่นเครือของฉัน เธอจึงปลอบประโลม
“พ่อเธอคงไม่เป็นไรหรอกริณ อย่าเพิ่งคิดมากเลย”
“แต่ในจดหมายที่พ่อเขียนมา...มันทำให้ฉันกลัว” และแล้วหยดน้ำใสๆ ก็ไหลอาบแก้ม จิตใจของฉันในตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะทำเป็นเข้มแข็งอยู่ได้ ถึงแม้ว่าฉันจะออกจากหมู่บ้านเพื่อเข้ามาเรียนต่อในเมืองตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่เราสองพ่อลูกก็ไม่เคยห่างกัน
พ่อมักจะส่งผ่านความห่วงใยมาทางปลายสายโทรศัพท์อยู่เสมอ จวบจนกระทั่งสองเดือนก่อนหน้านี้ ที่น้ำเสียงของพ่อแปรเปลี่ยนไป จนในวันนี้ พ่อเขียนจดหมายมาบอกฉันว่าท่านกำลังจะจากฉันไป นี่ฉันจะทำอย่างไรดี
“งั้น....ฉันมีแผนใหม่”
“เอ๋......แผนใหม่?” ฉันนึกสงสัยแต่ไม่ทันจะเอ่ยถาม แก้วก็ชิงพูดขึ้นมา
“งั้นให้ฉันไปเยี่ยมพ่อเธอด้วยสิ”
“แต่ว่า”
“ฉันเบื่อนั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านแล้วล่ะ ถ้าไม่ได้เจอเธอหลายวันฉันคงเหงาแย่ อีกอย่างฉันก็อยากอยู่เป็นกำลังใจให้เธอนะยัยริณ”
“แล้วที่บ้านเธอเค้าไม่....” ฉันรู้สึกอึดอัดใจที่จะเปิดประตูต้อนรับแสงพลอยให้เข้ามาในหมู่บ้านที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังรู้สึกอยากจะหลีกเร้นไปให้ไกล
“หายห่วงจ้ะที่นี่เค้าไม่มีใครสนใจชั้นหรอกน่า...แล้วตอนนี้ป๊ากับม๊าของฉันก็บินไปเที่ยวฮ่องกงอยู่ กว่าจะกลับก็โน่นอีกสองสามวัน ปล่อยให้เจ้หยก กับอาเฮงมันอยู่เฝ้าบ้านสองคนก็พอแล้วย่ะ”
“แต่ว่าหมู่บ้านของฉันมันกันดารนะ เธอคงอยู่ไม่ได้หรอก” คำพูดกันท่าของฉันดูเหมือนจะไม่มีผลต่อความตั้งใจของแก้ว เธอยังคงยืนยันที่จะไป
“ให้ฉันไปเถอะนะ นะ นะ” เสียงรบเร้าของเพื่อนสาวทำให้ฉันเกิดความรู้สึกลังเล และต้องเป็นฝ่ายจำยอมในที่สุด
“เรื่องตั๋วกับค่าเดินทางอ่ะเดี๋ยวฉันจัดการให้เองนะ ส่วนเธอก็เตรียมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าได้แล้วนะคะคุณริณ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปรับแล้วเราก็ไปท่ารถด้วยกันนะ โอเคตกลงตามนี้ ไหนบอกมาสิเพื่อนว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน.........” เธอกล่าวเสียงเจื้อยแจ้วมาตามสาย
เราคุยกันต่ออีกสักพัก แก้วถามเอาข้อมูลกับฉันเพื่อจะจองตั๋วรถทัวร์ให้ แม้จะพูดปฏิเสธไปหลายครั้งเรื่องค่ารถ แต่อีกฝ่ายก็ยังดึงดันจะจัดการเอง และก่อนวางสายเธอก็พูดทิ้งท้ายไว้เป็นปริศนาให้ฉันฉงนใจเล่นว่า
“ฉันขอชวนเพื่อนไปอีกคนนะ...อืมแค่นี้แหละบายแล้วคุยกันย่ะ”
ความคิดเห็น