คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ผู้ใหญ่บ้าน
คำว่า ‘ไม่แน่ใจ’ คงจะเป็นคำตอบที่ดูจะไม่เหมาะสมนัก ที่จะเลือกใช้ในเวลาเช่นนี้ แต่ฉันก็พูดมันออกมาหลังจากที่ยัยแก้วเอ่ยปากถามฉัน
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”
แสงพลอยและชานนท์ หันมามองฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ เป็นอีกครั้งที่ฉันกลืนน้ำลายลงลำคอ รู้สึกใจหวิวๆ โหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะมีสายลมเย็นพัดพรูมากระทบทิวป่าให้กิ่งไม้ไหวเอนเสียดสีกันดังเอี๊ยดอ๊าด และต้องผิวกายของฉันให้หนาวสะท้าน
‘นี่เราจะทำอย่างไรดี’ ฉันพยายามตั้งสติและขบคิด
“ริณ…หมู่บ้านเธออยู่อีกไกลรึเปล่า...พวกเราเดินไปกันดีมั๊ย?” เอกเอ่ยถาม
แทบไม่ต้องคิดฉันตอบไปในทันทีว่า “ไกล”
ระยะทางระหว่างปากทางเข้า จนถึงตัวหมู่บ้านหากนั่งรถยนต์แล่นไปตามทางที่คดเคี้ยวก็ยังต้องใช้เวลายี่สิบนาทีกว่าจะถึง นับประสาอะไรกับการเดินเท้า โดยเฉพาะในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้
“แต่เดี๋ยวฉันจะลองโทรหาคุณอาเค้าดูอีกที” ฉันพูดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กๆ ตัวเครื่องสีน้ำเงินหม่นจนเกือบเป็นสีดำขึ้นมากดเบอร์โทรหาอาสุบรรณในทันที
เสียงสัญญาณติดแต่ไม่มีใครรับสาย ฉันพยายามกดโทรซ้ำอยู่หลายครั้งด้วยความวิตก รู้สึกถึงความเครียดและกดดันที่ขมวดเหม็งอยู่ในช่องท้อง แต่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราว
“เราว่าเสี่ยงวิ่งไปตามทางดีกว่า พวกเราอาจไปถึงหมู่บ้านตอนหัวค่ำ” ชานนท์เสนอหลังจากที่เห็นฉันพยายามอยู่พักหนึ่ง
“แต่นั่นมันป่านะเอก แล้วนายไม่ได้ยินที่ริณบอกเหรอว่ามันไกลด้วยน่ะ เข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าถ้าเกิดหลงทางจะทำไง” แสงพลอยแย้งเสียงเครียด
“ริณฉันว่าเราควรรออาเธออยู่ที่นี่ เผื่อว่าอาเธอกำลังออกมา”
“แต่ถ้าอาของริณไม่มาล่ะ เราไม่ต้องนอนค้างอ้างแรมกันที่นี่เหรอ” เอกค้าน ส่วนแก้วเองก็ดึงดันไม่แพ้กัน
“ฉันว่าไม่หรอก ยังไงอาของริณก็ต้องมารับเรา ก็ริณนัดไว้แล้วนี่ และฉันก็ไม่มีวันที่จะเข้าไปเดินเล่นในป่าหรอกนะยะ งูเงี้ยวเขี้ยวขอเยอะแยะ”
ณ วินาทีนั้นฉันรู้สึกว่าความคิดในหัวมันตีรวนไปหมด และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล และมันก็ยากเหลือเกินที่จะตัดสินใจ
“อ๊ะนั่น!” จู่ๆ ชานนท์ก็ร้องขึ้น พลางชี้นิ้วไปที่ปลายสุดของสายตา
เราทั้งสองมองตามและเห็นแสงไฟส่องสว่าง ฉายทาบไปบนแนวต้นไม้ใหญ่ ขณะที่ส่วนหน้าของรถยนต์รุ่นเก่าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนอืดๆ มาบนพื้นผิวถนนอันขรุขระผ่านทางโค้งมุ่งตรงมาทางเรา
“อาของเธอมาแล้วริณ!” แสงพลอยร้องบอก ปรากฏรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้าของพวกเราทุกคนในทันที
ชั่วอึดใจรถคันนั้นก็มาจอดอยู่ข้างหน้าเรา แสงเหลืองนวลจากไฟหน้ารถที่พุ่งตรงมาทำให้พวกเราต้องยกมือบังแสง และหรี่ตา
“ว้าว ฟอรด์เมอร์คิวรี่คูการ์ เจ๋งไปเลย” เอกถึงกับตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อได้เห็นรูปทรงและสีสันของยานพาหนะที่จอดอยู่ตรงหน้าอย่างถนัดชัดเจน ซึ่งเขาคงเป็นคนเดียวที่นึกชื่นชมความงามระดับคลาสสิกของรถคันนี้
มือใหญ่หนาและอวบอ้วนของอาสุบรรณกวักเรียกให้พวกเราขึ้นรถฟอรด์โบราณคันสีฟ้าหลังคาสีขาว
ไม่รอช้า ฉัน แสงพลอย และชานนท์ต่างวิ่งกรูกันไปคนละด้านของประตูรถ แล้วเข้าไปนั่งบนเบาะหนังสีดำ คนที่ดูจะมีปัญหามากที่สุดคงจะเป็นแก้วที่ต้องพับเก็บล้อลากอย่างทุกลักทุเล ก่อนจะสอดตัวเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางสีชมพูหนักอึ่ง วางคั่นระหว่างเอกและเธอ
"ปัง!" ประตูรถปิดลง
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่วหน่อย” ชานนท์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เช่นเดียวกับฉันที่ก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากทีเดียว
พวกเรากระพุ่มมือไหว้คุณอาสุบรรณ ชายชราผิวขาววัยประมาณห้าสิบปีหน้าตาใจดีอิ่มเอิบ และมีพุงกลมโตราวซานตาคลอส ซึ่งนั่งอยู่หน้าพวงมาลัย
ที่จริงแล้วคุณอาผู้มีบุคลิกที่แสนใจดีและมีรอยยิ้มละไมไม่ได้เป็นญาติอะไรกับฉันหรอก เพียงแต่เมื่อตอนยังเด็ก ครอบครัวของฉันกับครอบครัวของคุณอาก็ไปมาหาสู่กันบ้างบางครั้งบางคราว จึงนับถือสนิทสนมกันพอประมาณ
“นี่ยัยแก้ว...และเอกค่ะเพื่อนของริณ” ฉันเอ่ยแนะนำทั้งสองอย่างเรียบง่าย
“พาเพื่อนมาด้วยเหรอริณ” อาสุบรรณมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้และพูดเชิงติดตลกว่า
“เกาะแน่นๆ นะเด็กๆ”
‘นี่คุณอานึกว่ารถของเขาเป็นพวกรถแข่ง หรือจรวดความเร็วสูงหรือยังไงนะ’ ฉันนึกขัน ระหว่างที่ความดีใจไหลท่วมท้น
หลังจากนั้นอาสุบรรณจึงขยับเกียร์ดังกุกกัก แล้วจึงกลับรถย้อนเข้าไปสู่เส้นทางที่เขาเพิ่งจะขับออกมา
แม้เวลาจะเลยล่วงมาไม่นานนัก แต่ก็ดูเหมือนว่าความมืดและราตรีกาลจะโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ฉันมองวิวทิวทัศน์ภายนอกกระจกรถซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดที่เรียงรายหนาแน่นอยู่เต็มสองฟากฝั่ง พื้นดินลูกรังมีหลุมมีบ่อ ทำให้รถยนต์โยกตัวขึ้นลงบ้างเล็กน้อยในบางครั้ง ชานนท์และแสงพลอยนั่งกันเงียบกริบ ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่ชวนอึดอัดวิเวกวังเวงอย่างไรชอบกลจึงเอ่ยปากถามคุณอาเพื่อเป็นการเปิดบทสนทนา
“ทำไมคุณอาถึงเพิ่งออกมาเหรอคะ?” ฉันถามขณะยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง แลเห็นต้นไม้แต่ละต้นผ่านสายตาไป เหมือนภาพที่เวียนวน ซ้ำๆ
“อีกหกวัน ซ่า ซ่า คนไทยจะได้ วี้ดดด~ชื่นชมกับปรากฏการณ์ จันทร์ วี้ดดด~ วี้ดดด~ ราคา น่าตื่นเต้นจังเลยนะคะ ซ่าาา”
ผู้ใหญ่บ้านที่กำลังหมุนปุ่มปรับคลื่นวิทยุอยู่ออกอาการหัวเสียจากสัญญาณที่ขาดๆ หายๆ แล้วจึง เคาะนิ้วปิดวิทยุไปในท้ายที่สุด
“ไม่เคยจะได้เล้ยยย จริงๆ นะ” เขาบ่นพึมพำ จากนั้นจึงนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
“พอดีเมื่อตะกี้ฝนตกน่ะ อาเลยออกมาไม่ได้”
ในตอนนั้น ฉันคิดว่าคุณอาคงหมายถึงฝนตกหนัก เลยไม่ได้คิดเอะใจอะไร
“แล้วคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ?” คราวนี้ฉันหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของแกเพื่อรอฟังคำตอบที่ตนเองอยากรู้มากที่สุด
คุณอาส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่เรียวหนวดเข้มจะขยับ
“อาการของธินกรดูไม่ค่อยจะดีนัก แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ สายทิพย์เค้าดูแลพ่อหนูอยู่” เขากล่าวแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องราวกับไม่อยากจะพูดถึงมัน
“ว่าแต่เรานี่ไม่เจอหลายปีโตเป็นสาวแล้วนะ ฮะ ฮะ ฮะ” ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี พลางเอื้อมมือขวามาจับหัวฉันอย่างเอ็นดูก่อนจะละมือไปบังคับพวงมาลัยต่อ แม้ว่าปลายจมูกได้กลิ่นอับชื้นจากแขนเสื้อโค้ทหนังสีน้ำตาลที่อีกฝ่ายใส่อยู่ แต่ก็เก็บอาการไว้
มันคงเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้ฉันกลับไปพูดคุยหยอกล้อกับคุณอาอย่างที่เคยเป็นมา ก็ฉันไม่ได้เหยียบย่างมาที่หมู่บ้านนี้อีกเลยหลังจากที่ต้องจากไปเรียนที่อื่น...นี่ก็เกือบเจ็ดปีแล้วสินะ
ความคิดเห็น