คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : ปฐมบท ทัณฑ์...ทรยศ (บทนำของภาคที่สอง)
ณ ดินแดนเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ไกล แสนไกลออกไปในห้วงมิติปริศนาที่ซ้อนทับเราอยู่
นามว่า ‘เซรัณญาวี’
เกาะโบราณรูปทรงสามเหลี่ยม หนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงทึบทึม
เซรัณญาวีแม้เป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ทว่ากลับมีสิ่งมีค่าฝังลึกลงไปใต้ชั้นผิวดินอยู่มากมาย
อาทิแร่หินงดงาม ทองคำ โอปอล และดีบุกที่จำเป็นต่อการทำอาวุธยุทโธปรกณ์
นั่นคือสิ่งที่หาได้ง่ายดายเหลือเกินบนเกาะสันโดษท่ามกลางมหาสมุทรแห่งนี้ ชาวเซรัณญาวีปกครองตนเองมาเนิ่นนานกาเลด้วยบรรพกษัตริย์สืบเชื้อสายต่อกันเรื่อยมา ใช้ภาษาอูราล โบราณในการสื่อสาร
โดยมีเหล่า
‘ดิโยซ่า’ หรือผู้มีอิทธิฤทธิ์ อำนาจเหนือธรรมชาติคอยเป็นบริวารประกอบพิธีกรรมต่างๆ
และปรุงโอสถวิเศษให้แก่บรรดาราชวงศ์และข้าราชบริพานมานับร้อยนับพันปี
หากแต่ในวันนี้ผู้เป็นราชากำลังหวั่นเกรงฤทัยถึงความจงรักภักดีที่แปรเปลี่ยน
บัลลังก์ทองอันมั่นคงนั้นเริ่มสั่นคลอนจากความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเหมือนเช่นดังเคย พระองค์ตระหนักแล้วว่าภยันอัตรายกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ตนและราชินีวาตูเรียผู้อ่อนแอ
สายตาของพวกนั้นในยามนี้แม้ยังดูเคารพยำเกรง แต่พฤติกรรมเบื้องหลังกลับกระด้างกระเดื่อง ฉ้อฉล และเหลิงในฤทธา อำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม
องค์ราชา จึงเชื้อเชิญเหล่าดิโยซ่ามาร่วมพิธีกรรม ‘ร่ายรำอาบฝน’ ในวันนี้ เฉลิมฉลองหยาดพิรุณแรกแห่งวัสสานะฤดู (ฤดูฝน) ซึ่งมักปฏิบัติเป็นประเพณีในทุกๆ ปีอยู่แล้ว
เพียงแต่ในครานี้ ราชาโอกุลด์กลับประทับอยู่ในห้องโถงกลางอันโอ่อ่าเหนือแท่นบัลลังก์ในปราสาท ‘เซวีซาญา’ หรือแปลความได้ว่าดินแดนแห่งรัก ซึ่งมีลักษณะสูงตระหง่านคล้าย ‘ร็อก ออฟ แคเชล’ ใน เคาน์ตี้ ทิปเปอรารี ประเทศไอร์แลนด์ หากแต่ราชวังของที่นี่สร้างขึ้นจากหิน ไม้ ดีบุก และทองคำอันเรืองรอง โดยมิมีราชินีคู่หทัยนั่งอยู่เคียงข้างเหมือนเช่นเคย
ราชาผู้สง่างามทรงเครื่องราชเต็มยศพร้อมรัดเกล้าทองคำประดับด้วยหัวโอปอลเม็ดใหญ่สีครามเหลือบเขียวน้ำงามและวางดาบศักดิ์สิทธิ์ประจำราชวงศ์ไว้อยู่บนตัก ทอดพระเนตร เหล่าดิโยซ่าหญิง-ชายสิบสามคนในชุดคลุมยาวตั้งแต่ศีรษะจรดข้อเท้า ด้วยสีพระพักตร์เรียบนิ่ง พวกเขาเหล่านั้นกำลังประสานมือเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันตรงลานพิธีหน้าราชบัลลังก์
วงนอกเป็นกลุ่มของผู้สูงวัยสวมชุดสีแดงเลือดนก
ส่วนวงด้านในเป็นกลุ่มนักเวทย์วัยกำดัดจนถึงวัยกลางคนที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดคลุมยาวลักษณะเดียวกันแต่เป็นสีกรมท่า
ก่อนที่ผู้ทรงศีลทั้งหลายจะร่ายรำรอบสายฝนที่ตกลงมาจากช่องเปิดขนาดใหญ่ตรงหลังคาปราสาท
ร่างผอมทั้งหลาย ค่อยๆ ยักย้าย บิดเอว บิดตัว ทำไม้ทำมือ ไปมา ต่างคน ต่างท่าทาง ไม่มีใครเหมือนใคร พร้อมการเขยิบเท้าไปด้านข้างทีละก้าวทีละนิดๆ หมุนวนเป็นวงกลม
ตลอดพิธีกรรมอันเนิ่นนานไม่มีเสียงเครื่องดนตรีใดขับกล่อมหรือประกอบจังหวะเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงเสียง ขยับเท้า เสียงปรบมือเป็นจังหวะ ระคนเสียงฟ้าฝนคำรามภายนอกปราสาทเท่านั้นที่เล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยิน
ถึงจะดูน่าเบื่อแต่พระองค์ก็ทรงอดทนรอคอยอย่างสุขุมเยือกเย็น
ดวงเนตรสีน้ำตาลแดงใต้พระขนง (คิ้ว) เข้มหนาจ้องเขม็งไปยังช่วงสุดท้ายของการร่ายรำ ราชาโอกุลด์เม้มพระโอษฐ์ล่างด้วยความระทึก เมื่อเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นกำลังจะมาถึง พระองค์นั่งเกร็งพระวรกายจนแข็งทื่อราวรูปศิลา
ดิโยซ่าชาย-หญิงทั้งหลายหยุดยืน กางขาเล็กน้อยพลางชูสองมือขึ้นเหนือศีรษะตนแล้ววางไขว้กันเป็นรูปกากบาทเสมือนถูกมัดตรึง ทว่ามือข้างหนึ่งของพวกเขาได้กำกริชเล่มเล็กเอาไว้ส่วนอีกข้างนั้นแบออก
แม้องค์ราชาจะเห็นพิธีกรรมนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ในชั่ววูบหนึ่งบุรุษผู้เฝ้ารอเวลาอยู่บนบัลลังก์ทองคำก็ยังคงรู้สึกหวาดเสียวกับภาพที่เห็นอยู่ดี
“ปรึ้ดด” ปลายแหลมของกริชอันวาววับกรีดลงไปบนฝ่ามือข้างหนึ่งของเหล่านักบวชทั้งสิบสามคนเป็นทางยาว โลหิตสีเงินยวงราวกับโลหะเหลวไหลทะลักออกจากบาดแผลขนาดใหญ่โซมลงมาถึงต้นแขนก่อนที่ทุกคนจะหันตัวยื่นมือไปชะล้างเลือดสีเงินกับสายฝนที่ตกลงมาจากเบื้องบนจนเจิ่งนองพื้นหินเบื้องล่างซึ่งเจาะเป็นร่องลวดลายตราสัญลักษณ์ของพระเจ้า ‘อลานซาโรเน่’ เทพแห่งสายฝน
ซึ่งเป็นรูปขีดสามขีด โดยมีเส้นตรงสองขีดลากตัดกันเป็นกากบาท และเส้นอีกเส้นลากลงมาตรงกลางในสามเหลี่ยมกลับหัว ดิโยซ่าจำนวนหนึ่งหยิบดอกสายฝนสีขาวในตะกร้าหวายที่เตรียมไว้มาโปรยพรมไปถ้วนทั่วเพื่อร่วมแสดงความชื่นชมยินดี ใบหน้าของทุกคนต่างแย้มยิ้มดีใจที่ฤดูกาลใหม่ได้มาถึงแล้ว
พวกเขาต่างรวมตัวกอดกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนโยกเอนกายไปมาหลับตาพริ้มท่ามกลางสายฝนเบื้องบนและเปียกปอนไปด้วยความอิ่มสุข
เพียงใช้ผงยาสมุนไพรโรยบาดแผลขนาดใหญ่ไม่นาน ความเจ็บปวดก็พลันหายไป เนื้อหนังที่ถูกมีดกรีดสมานกันจนเป็นปกติ นี่คือความพิเศษของพวกดิโยซ่าที่นอกจากจะมีเลือดสีเงินยวงแล้วยังเก่งกาจ คาถาอาคม เรื่องเวทมนต์ และการปรุงยาอีกด้วย หากจะกล่าวว่าพวกเขาคือพ่อมด แม่มด ผู้เรืองฤทธิ์ก็คงไม่ผิด
….ทว่าเหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า
เมื่อเวลาเฉลิมฉลองได้มาถึง
ราชามีพระราชดำรัสจัดเลี้ยงเหล่านักเวทย์และข้าราชบริพานทั้งหลายกันอย่างเปรมปรีดิ์
เสียงเครื่องดนตรี ทั้งเครื่องเคาะ เครื่องสาย เครื่องเป่า ดังประโคม
สร้างบรรยากาศให้คึกคักสนุกสนานกลบเสียงฟ้า ฝน ไปเสียหมดสิ้น
ห้องโถงใหญ่กลับมีโต๊ะไม้ตัวยาว มาวางเรียงรายพร้อมด้วยอาหารคาว หวาน ผลไม้มากมี
เหล่าดิโยซ่าเสพย์กลิ่นหอมหวลของดอก ‘เฮรัญญลา’ แห้งบดเป็นเส้นเล็กๆ ในไปบ์ไม้ทรงยาวกันอย่างรื่นรมย์ อีกทั้งเมรัยเลิศรส ดีที่สุดในอาณาจักร ก็ถูกสรรหามาให้ทุกคนได้อิ่มหมีพีมัน รวมไปถึงสองศรีพี่น้อง ‘กิดายัน’ และ ‘วลันดา’ ที่กำลังยืนสนทนากันอยู่มุมหนึ่งในที่แห่งนี้ด้วย
“ดู ดู ดูเจ้าสิ น้องข้า ได้แต่เฝ้ามองพระองค์ท่านอยู่แต่ไกลๆ แบบนี้ น่าเวทนานัก” กิดายัน แม่มดชราอายุร่วมหกสิบปีกล่าวขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจในตัวน้องสาวที่อายุห่างกันยี่สิบปี ก่อนจะจิบ ‘เหล้าทัมนุส’ เมรัยเลื่องชื่อจากภาชนะเล็กๆ ทรงปากแหลมซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กตีเป็นรูปใบไม้ก้นลึกเอาไว้ใส่เครื่องดื่มโดยเฉพาะ
“หากเมื่อสองพันปีก่อนราชาโพเธอินไม่ทำสัญญาใจไว้กับเผ่าเรา ป่านนี้เจ้าก็อาจครอบครองหัวใจองค์ราชาและเป็นราชินีแห่งเซรัณญาวีไปแล้วก็ได้ ” น้ำเสียงอันไพเราะแต่สั่นเครือไปตามวัยกล่าวต่อ
“โธ่พี่ท่าน ก็พูดเป็นเล่นไป พวกเราต้องถือพรมจรรย์นะ ข้าแค่ชื่นชมเขาเพียงเท่านั้นไม่คิดหวังครอบครอง” วลันดา ผู้เป็นน้องสาวตอบขณะทอดสายตามองกรอบหน้าเรียว แลส่วนจอนผมและเคราหนาที่ส่งเสริมให้พระราชาโอกุลด์ดูน่าเกรงขามสมชายชาตรีด้วยความพิสมัย
เมื่อพี่สาวกระเซ้าถึงเรื่องนี้ที่ไร หญิงงามจำต้องปกปิดความในใจแบบนี้เรื่อยมา
“ความจริงแล้วเผ่าเลือดสีเงินของเรานั้น มีมนต์ตรา พลังอำนาจสูงส่ง เหตุใดถึงต้องมายอมสวามิภักดิ์ให้แก่พวกมนุษย์โง่เง่าด้วยเล่า พวกนี้ต่างหากที่ต้องเชื่อฟังพวกเรา จริงมั๊ยวลันดา”
พูดเสร็จกิดายันซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีแดงเลือดนกก็ยกปากภาชนะที่เรียกกันว่าชามใบไม้ขึ้นซดดื่ม แล้วหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีโดยหารู้ไม่ว่าคราวเคราะห์ที่จะแปรเปลี่ยนชีวิตนางไปตลอดกาลกำลังมาเยือน
ทันใดนั้นเองวลันดาในชุดสีกรมท่าก็สังเกตุเห็นถึงความผิดปกติ เมื่อเหล่าทหารหาญพากันเดินเรียงแถวเข้ามาจากทางเข้าทั้งสี่มุมของปราสาท แต่ละคนก็สวมชุดเกราะเหล็กแน่นหนาตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าพร้อมอาวุธหอกแหลม บ้างก็ถือดาบยาวมาคู่กันกับโล่ห์เงินวาววับ
“นี่มันอะไรกัน!” วลันดาอุทานออกมาด้วยความตกใจ เงยหน้ามองไปยังราชาโอกุลด์ซึ่งกำลังเท้าพระกโบร (ข้อศอก) ซ้ายลงบนที่พักแขนพลางใช้พระหัตถ์ลูบทาฐิกะ(เครา)อันดกดำของตน ดวงเนตรเย็นชาที่มองมายังเหล่าดิโยซ่าด้านล่างทำให้นักเวทย์หญิงขนลุกชูชัน
กลุ่มนักดนตรีทั้งหลายพากันหยุดบรรเลงเพลงด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน พวกนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่จะถูกพวกทหารเข้ามากันฝูงชนออกไปจนเหลือแต่พวกพ่อมด-แม่มด เหล่าดิโยซ่าหลายคนพยายามเดินตามคนอื่นๆ ออกไปแต่ก็ถูกเหวี่ยงหวือกลับเข้ามาในวงอย่างงุนงง
หลังจากนั้น…
“แอ๊ดดด!!” ประตูเหล็กสูงใหญ่เคลื่อนปิดเข้าหากันขังบรรดาผู้เคราะห์ร้ายไว้ในวงล้อมทหาร พร้อมกับที่องค์ราชายืนขึ้นแล้วยกดรรชนี (นิ้วชี้) ชี้ลงมา ก่อนจะมีพระบัญชาเสียงดังกึกก้องว่า
“ใครคนหนึ่งในกลุ่มพวกเจ้าวางยาเมียข้า ราชินีแห่งเซรัณญาวี…ทหาร…จงจัดการพวกมันให้หมด!!!”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเหล่าดิโยซ่าก็พากันหัวใจหล่นร่วงไปที่ตาตุ่ม ต่างพากันร่ำร้องวิงวอนอย่างน่าเวทนา ทั้งหมดไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนว่าจะต้องพบพานกับจุดจบ ณ ที่แห่งนี้ นี่พวกเขาทำผิดอะไรกันโทษทัณฑ์ถึงได้รุนแรงถึงเพียงนี้?
“พระองค์จะทำแบบนี้กับพวกเราไม่ได้นะ ข้าไม่ได้…” นักบวชชราที่มีศีรษะล้านเลี่ยนแต่ไว้หนวดไว้เคราโวยวายเสียงลั่น
ฉับพลันนั้นเอง
“ฉึก!”
หัวลูกธนูปักเข้าไปกลางหน้าผากของชายชราคนนั้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีนิลของผู้เฒ่าเบิกโพลงพร้อมกับก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะล้มฟุบลงกับพื้น
“ตุบ”
“อ๊าาค / กรี๊ดดด!!!” เสียงร้องสั่นสะอื้นด้วยความกลัวของกลุ่มคนดังขึ้นระงม เปิดฉากความตายอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฉึก….” ดิโยซ่าชายอีกคนถูกคมหอกแทงกลางท้องจนตัวงอ ลิ้นจุกปาก เมื่อเจ้าของอาวุธชักมือกลับโลหิตสีนิลก็พุ่งออกมาสาดกระเซ็น
ขณะที่หญิงสาวอีกคนซึ่งกำลังเผ่นหนีก็ถูกฟันเข้ากลางหลัง
“ฉั่วะ!”
“อย่า อย่าทำข้า!” เหยื่อผู้โชคร้ายอ้อนวอนด้วยความตื่นกลัวสุดขีด แต่ก็ไม่อาจไขว้คว้าได้ถึงความปราณี “กรี๊ดดด!!!”
คมดาบหลายเล่มเสือกแทงเข้าไปที่ลำตัวผอมบางนั้น และจบชีวิตยังเยาว์ลง แน่นิ่งจมกองเลือด
อย่างง่ายดาย…
“ท่านพี่เราจะทำยังไงดี?” วลันดาร้องถามพี่สาวเสียงสั่น ความเจ็บปวด ผิดหวัง ตกใจ ผสมปนเปกันไปหมด ทำไมกษัตริย์รูปงามถึงได้โหดร้ายเลือดเย็นปานนี้
“ทุกคนอย่าไปกลัว!” กิดายันหันไปบอกพวกพ้องที่กำลังตกขวัญหนีดีฝ่อ ก่อนจะยกสองมือขึ้นกุมท้องโค้งตัวสำรอกเลือดตนเองออกมา “อ็อก อ็อก อ็อก”
“นะนี่มันยาพิษนี่” หญิงชรายกมือขวาขึ้นรองลิ่มเลือดสีดำมากมายที่ขับดันออกมาจากกระเพาะ “พวกมันวางยาเรา”
ความโกรธแค้นที่ผุดพลุ่งขึ้นมาราวภูเขาไฟระเบิด ทำให้แววตาของกิดายันเปลี่ยนไป นางจ้องไปยังพระพักตร์ราชันย์ที่อยู่เหนือขึ้นไปบนแท่นบัลลังก์ด้วยความโกรธแค้น พลางขยับปากร่ายมนตราแล้วชักกริชขึ้นมา ปักลงบนพื้น
ทว่า…ไม่เป็นผล มนตราของนางเสื่อมสลายไม่อาจใช้เวทย์ได้
ความแค้นของหญิงชรายิ่งโหมกระพือ ใบหน้าเรียวตอบบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวดที่สูญสิ้นพลังอำนาจที่ตนเคยมี
ราชาโอกุลด์หัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง หยามหยันพวกจอมเวทย์ที่มิอาจใช้มนต์วิเศษได้อย่างหวัง ยาพิษซึ่งตนอุตส่าห์ควานหามาทั่วแว่นแคว้นแดนดิน จ่ายด้วยราคาทองคำอันสูงลิบลิ่วบัดนี้บังเกิดผลแล้ว
หากแต่พระองค์ทรงคาดคิดผิดไป เมื่อหนึ่งในสิบสามคนนี้มิได้แตะต้องเหล้าทัมนุสอันเลิศรสแม้เพียงหยดเดียว
“ท่านพี่หลบอยู่หลังข้าเร็วเข้า” วลันดาในชุดคลุมสีกรมท่าเอ่ยเตือนก่อนจะใช้ปลายแหลมของกริชแทงลงไปบริเวณมือขวาแล้วล้วงหยิบลูกแก้ววิเศษประจำตัวขึ้นมา ชูขึ้นระดับอก เลือดสีเงินยวงราวโลหะเหลวถูกดูดซึมไหลเวียนอยู่ภายในแก้วใสนั้น ริมฝีปากบางขยับขมุบขมิบร่ายมนต์ตอบโต้อีกฝ่ายทันใด
“อัศนีบาต จงเปิดทางให้ข้า…”
วื้บบ…เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ตูมม โครมม!!!
กระแสไฟฟ้ามากมายแผ่ขยายออกไปจากวัตถุแก้วทรงกลม เห็นเป็นเส้นสายฟ้าวิ่งแลบแปลบปลาบไปทั่วอาณาบริเวณกระแทกเข้าใส่พวกทหารในชุดเกราะเหล็กพากันล้มระเนระนาด ชักดิ้นชักงอ บ้างก็เจ็บหนักจากสายฟ้าฟาดจนแผลเหวอะ ส่วนคนที่โชคร้ายก็โดนกระแสไฟฟ้าช็อตเอาเสียไหม้เกรียม พลังของเวทย์รุนแรงถึงขนาดฟาดไปถูกเพดานหินข้างบนทะลุพังลงมาเป็นรูโหว่
แม้แต่องค์ราชาก็ต้องกระแสไฟฟ้าซัดเปรี้ยงจนกระเด็นไปกระแทกผนังดังอั่ก ร่วงฟุบลงกับพื้น แสงสว่างจ้าเกิดขึ้นไปทุกสารทิศ ฝนห่าใหญ่ตกลงมายังพื้นปราสาทชะเลือดที่หลั่งออกมาจากร่างไร้วิญญาณของชายหญิงทั้งหลายไหลเป็นทาง
วลันดาเปลี่ยนคาถาร่ายมนต์ ร่างบางย่อตัวคุกเข่าขวาลงกับพื้นแล้วจุ่มปลายนิ้วมือข้างซ้ายทั้งห้ากับแอ่งน้ำ
“หยาดพิรุณบนพื้นนี้ จงเป็นพลังให้แก่ข้า”
ทันใดนั้นเอง กลุ่มน้ำที่ไหลเจิ่งนองพื้นก็กลับกลายเป็นผลึกเล็กใสด้านนึงป้าน ด้านหนึ่งแหลม พุ่งทะยานกลับขึ้นไปบนฟ้าอย่างพร้อมเพรียง กระสุนน้ำนับพัน นับหมื่น อัดกระแทกทะลุร่างทุกคนในบริเวณนั้นจนร่างพรุนเลือดกระฉูด ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกัน
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!”
“อั่ก เอื้อ อ้าค กรี๊ดด!”
“เสด็จพี่!” ราชินีนาตูเรียซึ่งลากสังขารออกมาจากห้องบรรทมกรีดร้องเสียงหลง กับภาพความพินาศย่อยยับที่อยู่ตรงหน้าแล้วจึงสลบสไลลงไปอีกครา
ความคิดเห็น