คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ขีด-อันตราย!
“โอ๊ยย ทำไมเธอไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ยะ
ยัยริณ!” แสงพลอยบ่นกระปอดกระแปดหน้าง้ำงอเป็นม้าหมากรุกอยู่ด้านหลังพวกเราขณะลากกระเป๋าเดินทางสีชมพูแปร๋น
ไปตามทางเดินดินโคลนเหนียวหนืด
โดยที่มืออีกข้างหนึ่งก็ใช้แสงสว่างจากจอมือถือที่มีอยู่น้อยนิดส่องทางไปด้วยอย่างทุลักทุเล
สายกระเป๋าสะพายแสนหรูที่มักจะเลื่อนหลุดลงมาจากไหล่บางอยู่เรื่อยก็ดูจะเป็นปัญหาสำหรับเธออยู่ไม่น้อยที่ทำให้แก้วต้องคอยดึงมันขึ้นไปเกี่ยวหัวไหล่หนแล้วหนเล่า ขนาดฉันเองยังอดรู้สึกรำคาญแทนเธอไม่ได้
‘ที่จริงเธอน่าจะผูกสายนั่นกับคอไว้เลยจะดีกว่านะ’ ฉันแอบคิดแผลงๆ
แต่ทว่า ณ ตอนนี้ ยัยแก้วคงต้องพึ่งพาตนเองไปก่อนล่ะ เนื่องจากฉันกับเอกก็ยุ่งขิงเสียจนไม่มีมือไม้จะไปช่วยใครได้ เพราะนอกจากกระเป๋าสัมภาระของแต่ละคนแล้ว แขนข้างหนึ่งของพวกเรายังต้องคอยประคองพ่อให้เดินก้าวไปพร้อมกันด้วยอีกแรงหนึ่ง
“อ้าย
อีโคลนบ้าปล่อยกระเป๋าหลุยส์ของฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เธอกรีดเสียงอย่างโมโหโทโสก่อนจะออกแรงฉุดกระชากให้ล้อที่ติดหล่มอยู่หมุนตามเธอมาดัง
ครึก…ครึก อย่างไม่ปรานีปราศรัย บรรยากาศรอบตัวยามนี้ช่างวิเวกวังเวงอย่างไรชอบกล
ทั้งมืดแล้วก็เงียบสงัดไร้สรรพเสียงของสัตว์ใดๆ
แม้แต่พวกแมลงป่า เช่น จิ้งหรีด เรไร ที่มักร้องระงมหาคู่ผสมพันธ์กันในช่วงฤดูร้อนมาเยือนก็ต่างหลบเร้นทอดทิ้งพวกเราให้ผจญเวรผจญกรรมกันอยู่ตามลำพัง…ช่างใจร้ายสิ้นดี
“ริณปล่อยพ่อไว้เถอะ อย่าทำอย่างนี้เลยมันไม่มีประโยชน์หรอกลูก” พ่อซึ่งสวมชุดนอนสีน้ำเงินกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและแผ่วเบา อาการหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่เจือมาในถ้อยคำทำให้ฉันเห็นใจสงสารท่านยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นก็ถอยกลับไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“พ่อคะอย่าพูดแบบนี้สิ…เราจะไปหาหมอด้วยกันนะคะ พ่อจะต้องหาย” ฉันให้กำลังใจพร้อมกับมองทางและก้าวต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
“โอ๊ย!” ทันใดนั้นท่านก็ร้องออกมา เมื่อขาที่อ่อนกะปลกกะเปลี้ยเกี่ยวกันเองจนเกือบถลาล้มลง
“อุ๊ย ระวังนะคะพ่อ ระวังค่ะ” ฉันเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยพลางหิ้วปีกเขาขึ้นมา “เดินดีๆ นะคะ”
“เอกนี่กี่โมงแล้วเหรอ?” ฉันผินหน้าไปถามชานนท์ด้วยความวิตกกังวล เนื่องด้วยต้องการทำเวลาให้ถึงจุดนัดหมายโดยไวที่สุด
เขาที่พยุงพ่ออยู่อีกด้าน ยกแขนขวาที่กำกระบอกไฟฉายแบบพกพาสีดำอยู่ขึ้นส่องดูหน้าจอนาฬิกาข้อมือดิจิตอลรูปทรงเครื่องบินเสตลท์สีนิลแวบหนึ่งแล้วจึงบอกว่า
“เกือบจะตีสามแล้ว”
“อืม…ขอบใจนะ” ฉันตอบกลับไปสั้นๆ
‘โอเคน่าจะทัน’ ฉันคิดอย่างพอใจ เพราะก็ได้นัดแนะกับคุณอาไว้ในเวลานี้เช่นเดียวกัน
พอชำเลืองมองไปยังบ้านเรือนที่เรียงรายกันอยู่สองฝากถนนซึ่งดับเทียน ดับตะเกียงเข้านอนกันเงียบสงัดแล้วก็นึกขอบคุณที่คนในหมู่บ้านนี้ไม่นิยมเลี้ยงพวกสุนัขปากไว มิเช่นนั้นป่านนี้พวกมันคงได้เห่าหอนกันเสียงขรม
เหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้มันวุ่นวายและรีบเร่งมาก
ฉันโทรหาอาสุบรรณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกว่าที่แกจะตื่นขึ้นมารับสายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
จากนั้นฉันจึงละล่ำละลักขอความช่วยเหลือให้เขาพาพ่อไปส่งโรงพยาบาลกลางดึกกลางดื่น
โดยโป้ปดว่าท่านมีไข้ขึ้นสูงและอาเจียนอย่างหนัก แล้วพวกเราก็พากันเก็บข้าวของกันอย่างกระวีกระวาดไม่มีแม้กระทั่งเวลาตรวจตราสิ่งของที่ยัดใส่กระเป๋ามาว่าครบถ้วนอยู่ดีหรือไม่ ก่อนจะย่องเข้าไปปลุกพ่อขึ้นจากเตียงพาเขาหนีตายมาด้วยอย่างฉุกละหุก
ซึ่งตอนแรกพ่อก็ยินยอมพร้อมใจโดยดี แม้ว่าจะงุนงงอยู่ไม่น้อยก็ตาม แต่พอหอบหิ้วกันมาได้ครึ่งค่อนทางท่านก็มีท่าทีอิดออดถอดใจขึ้นมาคงด้วยมิอาจฝืนสภาพร่างกายที่อ่อนระโหยโรยแรงได้อีกต่อไป
“ริณปล่อยพ่อไว้ที่นี่เถอะ พ่อไม่ไหวแล้ว” เขาโอดครวญพร้อมกับขืนตัวและยั้งฝีเท้าหยุดก้าวเดิน แล้วจึงยืนค้อมหลังหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย
แสงจันทร์วันเพ็ญฉายส่องลงกระทบร่างของพวกเราทั้งสี่ที่กำลังเกาะกลุ่มกันอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านทอดยาวออกไปเป็นเงารูปร่างประหลาด แม้บ้านหลายหลังจะปิดตัวกันเงียบเชียบราวกับหลับใหลแต่ปลายกิ่งไม้ ต้นไม้ในละแวกนี้กลับไหวโอนเอนกระทบกันดังแซกซากๆ ประหนึ่งพวกมันกำลังกระซิบกระซาบอะไรกันกระนั้นแหละ
การอยู่ท่ามกลางความมืดในที่แบบนี้ ช่างทำให้ความกลัวก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นมโนภาพชวนขวัญผวาได้มากมายเสียจริง คิดแล้วก็ขนแขนลุกเกรียวประหวั่นพรั่นพรึงทั้งผี และคน
“พ่อคะอีกนิดเดียวก็จะถึงที่รถแล้วค่ะ อดทนหน่อยนะคะพ่อ” ฉันกล่าวสีหน้าเครียด เพราะไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ และถ้าเธอจับได้ไล่ทันมีหวังทุกๆ คนคงโดนเธอฆ่าหมกพงหญ้าแถวนี้แน่ๆ
“ริณพ่อคงหนีไปไม่รอดแล้ว ให้พ่อชดใช้กรรมอยู่ที่นี่เถอะ” เขากล่าวอย่างปลงตก
‘โธ่พ่อคะทำไมคิดแบบนั้นล่ะ’
“พ่อคือคนบาป พ่อไม่อาจไปไหนได้อีกแล้วลูกพ่อหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว” ท่านรำพึงรำพันด้วยเสียงอันสั่นเครือ ถึงแม้ฉันจะฟังไม่ค่อยเข้าใจแต่สังเกตจากสีหน้าอาการของท่านแล้ว ฉันก็อดที่จะเศร้าสะเทือนใจตามไปด้วยไม่ได้
แต่ทว่า
“คุณพ่อคะหนูว่าเราอย่าพึ่งมาพิรี้พิไรอะไรกันตอนนี้เลยนะคะ รีบไปที่รถกันเถอะค่ะ เอาไว้ถ้าเราออกไปจากหมู่บ้านบ้าๆ นี่ได้แล้วค่อยมาซาบซึ้งกันใหม่นะคะ หนูไหว้ล่ะค่ะ” จู่ๆ แสงพลอยก็พูดแทรกแดกดันเข้ามาพลางยกมือไหว้ขอร้อง ก่อนจะลากกระเป๋าปุเลงปุเลงนำหน้าไปทำเอาบรรยากาศที่กำลังหม่นเศร้า ต้องสะดุดลงกลางคัน
“พ่อคะถือซะว่าทำเพื่อแม่ได้มั๊ยคะ” ฉันซึ่งประคองแขนเขาอยู่เอ่ยวิงวอน “ถ้าตอนนี้แม่ยังอยู่หนูเชื่อนะคะว่าแม่เองก็คงอยากให้พ่อไปรักษาตัว…พ่อจะยอมแพ้ไม่ได้นะคะ”
“ริณ…” ท่านเลื่อนสายตามามองฉันก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจและสุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี
ไม่นานนักพวกเราทั้งหมดก็มาถึงลานกว้างด้านหน้าของหมู่บ้าน ซึ่งมีรถยนต์จำนวนหนึ่งจอดไว้อยู่ ทั้งกระบะ และรถรุ่นเก๋าลายคราม รวมไปถึงพวกรถกระป๋องบุโรทั่งทั้งหลายแหล่ ก็เรียงรายกันอยู่ห่างๆ ตรงจุดนั้นจุดนี้ ตามใจชอบ โดยไม่มียามหรือ มีใครเฝ้าแม้แต่คนเดียว
“เค้าไม่กลัวรถหายกันมั่งรึไงวะเนี่ย” เอกเปรยออกมาด้วยรู้สึกแปลกตา
“รถเก่าแบบนี้คงไม่มีใครอยากขโมยไปหรอกมั้ง” ฉันกระซิบตอบ “หรือก็อย่างที่คุณอาว่า…บางทีพวกเค้าอาจกลัวบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาสมควรจะกลัวก็ได้นะ”
“นี่ นี่ นี่ เจอแล้ว เจอแล้ว!” แสงพลอยร้องเอะอะออกมาเสียงดังพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ไปที่รถฟอรด์เมอร์คิวรี่คูการ์ของคุณอาสุบรรณที่จอดนิ่งสงบอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ชานน์วาดไฟฉายส่องดูแล้วก็พบว่าใช่จริงๆ ด้วย
ฉันอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมาราวกับได้มองเห็นขุมสมบัติอันล้ำค่า หัวใจสูบฉีดเต้นแรงด้วยความลิงโลดดีใจ แต่ไม่ทันไรก็ต้องหุบยิ้มลงโดยพลันเมื่อเพื่อนสาวของฉันร้องถามออกมาว่า
“ริณไหนล่ะคุณอาเธอ?!”
ความคิดเห็น