คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ความเชื่อ
ฉันเหม่อมองไปที่แก้วน้ำใบใสทรงกระบอกเล็กๆ ที่วางอยู่บนจานรองแก้วซึ่งตั้งเยื้องอยู่ทางด้านขวามือไปเล็กน้อย ระหว่างที่พวกเรากำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารเย็นซึ่งประกอบไปด้วยข้าวกะเพราไข่ดาว และแกงจืดตำลึงบนโต๊ะอาหารทรงกลมภายใต้บรรยากาศอันอึมครึม พลางใช้ความคิดสรรหาคำพูดที่ละมุนละม่อมเพื่อหวังว่าจะกล่อมคุณน้าให้เห็นด้วยและยินยอมให้ฉันพาพ่อไปโรงพยาบาลได้สำเร็จ
แต่ปัญหาก็คือ หลังจากที่กลับมาบ้าน แม่เลี้ยงก็ทำเป็นมึนตึงเฉยชากับฉันเสียยิ่งกว่าเก่า เธอไม่ปริปากพูดกับฉันเลยและคงเห็นฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ แม้แต่ตอนเรียกให้ทุกคนทานข้าวเธอยังมองผ่านเลยฉันไปทางแก้วแล้วบอกกับเพื่อนสาวฉันแทนว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้วจ้ะเด็กๆ” ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับแม่พระ
‘นี่เธอกำลังเล่นสงครามเย็นกับฉันอยู่รึไงเนี่ย!’
“แกรก” เสียงรวบช้อนส้อมของเอกและแก้วสะกิดให้ฉันตื่นจากภวังค์
“ริณเดี๋ยวเราไปอาบน้ำก่อนนะ” ชานนท์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ บอกแล้วจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“คุณน้านี่ทำอาหารอร่อยจังเลยนะคะ” แสงพลอยเอ่ยชม แต่เมื่อฉันลองมองไปบนจานของเธอก็พบว่ามีเศษข้าวและอาหารกองเหลืออยู่มุมจานดูขัดกับคำเยินยอที่เธอพึ่งจะพูดออกมายิ่งนัก
“ขอบใจจ้ะ แหมหนูนี่ปากหวานจริงเชียว” แม่เลี้ยงกล่าวก่อนจะยิ้มหวานด้วยความปลาบปลื้ม “แล้วทำไมไม่ทานให้หมดล่ะจ้ะเนี่ย อิ่มแล้วเหรอ?”
“อ๋อ…พอดีหนูกำลังไดเอ็ทอ่ะค่ะ ขอบคุณนะคะคุณน้า” ยัยแก้วตอบเสียงหวานไม่แพ้กัน ท่าทางเพื่อนรักของฉันคนนี้จะทันเกมมากกว่าฉันเสียอีกนะเนี่ย
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“เชิญจะคุณน้าบอกแล้วจึงส่งยิ้มให้
ว่าเสร็จแก้วกับเอกก็พร้อมใจกันลุกขึ้นจากโต๊ะ เสียงเก้าอี้ไม้ถอยครูดพื้นดังครืดก่อนที่พวกเขาจะถือจานข้าวของตนไปทางโซนห้องครัว
ตอนที่แก้วกำลังเดินอ้อมผ่านด้านหลังฉัน เธอก็หันมาขยิบตาให้ทีหนึ่งแล้วขยับปากอวยพรโดยไม่เปล่งเสียงออกมาว่า
“ถึงตาเธอแล้วโชคดีนะ”
ฉันยิ้มตอบเจื่อนๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มย้อมใจเสียอึกหนึ่ง ใจจริงฉันอยากจะรอให้พร้อมกว่านี้ก่อน แต่กลัวว่าถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปกว่านี้อาจจะไม่ทันกาลก็เลยนัดแนะกับแสงพลอยและชานนท์เพื่อให้ทั้งสองเปิดทางให้ฉันได้มีจังหวะปรึกษาหารือกับแม่เลี้ยงเพียงลำพังสองคน
“เดี๋ยวฉันจะคุยเรื่องนี้กับคุณน้าเองยังไงก็ต้องพาพ่อออกไปจากที่นี่ให้ได้” ฉันบอกพวกเขาไปแบบนั้นด้วยปณิธานอันแรงกล้าก่อนที่จะผละจากวงประชุมแล้วเดินนำเข้ามาสู่สนามรบ เอ้ย ร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับแม่เลี้ยงที่กำลังนั่งกอดอกคอยท่าอยู่บนบัลลังก์ของเธอ
นี่คงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาสทานข้าวภายใต้แสงเทียน ซึ่งคงจะโรแมนติกมากกว่านี้หลายเท่าหากคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามฉันจะเป็นผู้ชายที่ฉันรัก ไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายที่ทำสีหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือน ณ ตอนนี้
เหตุผลบ้าบอที่ทำให้เราต้องย้อนสมัยกลับมาใช้เทียนไข หรือตะเกียงน้ำมัน (อย่างจำใจ) แทนการใช้แสงสว่างจากหลอดไฟในตอนกลางคืน ไม่ใช่เป็นเพราะไฟดับ หรือคุณน้าไม่มีสตางค์จ่ายค่าไฟหรอกนะ หากแต่เป็นเพราะความเชื่อแปลกๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในหัวของพวกชาวบ้านมาช้านานต่างหาก ที่ทำให้สรรพชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านสีหกรณ์แห่งนี้ถึงได้บิดเบี้ยวไม่สมประกอบเหมือนใครคนอื่นเขา
‘ท่านอลานฯ
ไม่ปรารถนาแสงสว่างล่อลวงจอมปลอม ท่านโปรดแต่แสงอันบริสุทธิ์จากสุริยาและดวงดารา
จันทรา , ท่านมิชอบเสียงอึกทึกครึกโครม อื้ออึง…และยึดความสงบเงียบเป็นสรณะ เพราะหากเราสงบเราจะไม่วุ่นวาย
ไม่มีการติฉินนินทาว่าร้าย ไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด หรือความริษยา ใดใด…
เราควรพูดให้น้อย ถามให้น้อย และอย่าสงสัยให้มาก การคิดแย้งต่อพระองค์ ถือเป็นความชั่วช้า ผิดบาป พวกท่านต้องเชื่อเรา แล้วพวกท่านจักมีความสุข สุขกว่าผู้คนที่อยู่ภายนอกนั่น ที่ต่างแก่งแย่งชิงดี และมีจิตใจอันโสมมนั้นอีก
จงมีชีวิตอยู่เพื่อรอคำตัดสินอันเที่ยงธรรมจากพระผู้เป็นเจ้าเถิด ผู้ที่เชื่อในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านอลานฯ เท่านั้นจึงจะได้ไปอยู่ ณ สรวงสวรรค์สุขพิมานในวาราสุดท้ายยามเปลวไฟดวงน้อยนั้นมอดแสงลง’
‘มันคือความจริงอันเที่ยงแท้ เราคือผู้นำสาสน์จากพระองค์…เชื่อเรา จงเชื่อเรา นบนอบต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยกายของท่าน วาจาของท่าน และใจของท่านเถิด’
คำพร่ำพูดของนักบวชชราผู้มีศักดิ์อันสูงส่งดังกึกก้องตามหลอกหลอนฉันมาตั้งแต่ยังเยาว์ราวกับเงาอดีตที่ไม่มีวันลบเลือน
นี่เป็นกฎเกณฑ์อันสำคัญที่ผู้เคารพต่อพระเจ้าอลานซาโรเน่พึงยึดถือปฏิบัติ และแน่นอนนั่นหมายรวมถึงลูกหลานของคนในหมู่บ้านแห่งนี้ทุกคน ก็ยินยอมพร้อมใจทำตามๆ กันมาโดยไม่ปริปากบ่นมานับสามสิบปี
บางทีความศรัทธาและความงมงายก็อยู่ใกล้กันจนเราแยกแยะไม่ออก
เพียงแต่ว่าเพื่อนของฉันอาจจะยังไม่คุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้ก็เท่านั้น
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
แก้วถึงกับมีท่าทีอึ้งกิมกี่เมื่อตอนที่เธอเดินไปกดสวิตช์ไฟที่ผนังห้อง แล้วน้าสายทิพย์ก็ปรี่เข้ามาปิดมันทันควันพร้อมกับปริปากร่ายยาวราวกับอัดอั้นตันใจมาแต่ชาติปางไหนว่า
“อ้อ…ต้องขอโทษด้วยนะจ้ะที่น้าไม่ได้บอกหนูไว้ก่อน” เธอพูดพลางเอามือทาบอก
“น้าคิดว่าเราควรอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจะดีกว่า คนที่นี่น่ะต่างเชื่อกันว่าการใช้ไอ้เจ้าไฟจอมปลอมพวกนี้มากๆ มันจะทำให้จิตใจของเรามีมลทินจ้ะ” เธอชี้แจงด้วยรอยยิ้มละไม
“สิ่งพวกนี้เป็นพลังงานที่ไม่บริสุทธิ์ ยิ่งเราใช้มันมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งตกเป็นทาสของมันยิ่งขึ้นเท่านั้น…พวกทีวีก็เหมือนกันวันๆ เสนอแต่เรื่องไร้สาระ ยัดเยียดวัตถุสิ่งของ คำโฆษณาชวนเชื่อ ค่านิยมผิดๆ ทำให้เรามีแต่ความละโมบโลภมากไม่รู้จักจบจักสิ้น มนุษย์เราห่างไกลจากธรรมชาติเข้าไปทุกทีทุกที ก็เพราะไอ้เจ้าพวกนี้นี่แหละ”
จากนั้นเธอจึงเดินนวยนาดไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตามเดิม ขณะที่ปากก็พูดไป มือก็หยิบทัพพีตักข้าวไม้พยุงจากโถสีขาวลายดอกชบาสีชมพูหวานใส่จานตนเองไปด้วย
“ที่นี่น่ะพอหลังทุ่มหนึ่งไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยเปิดไฟกันแล้วล่ะจะ น้าอยากให้พวกหนูรู้เอาไว้ พวกเราใช้มันเพื่อการดำรงชีวิต ใช้เพราะต้องใช้ แต่ไม่เคยชื่นชมหลงใหลมันหรือปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือเรา”
หลังจากที่ตักข้าวใส่จานไปสองทัพพี คุณน้าก็บรรจงวางมันใส่โถตามเดิม แล้วค่อยเอื้อมมือไปยกเหยือกแก้วใสเนื้อดีซึ่งวางตั้งอยู่กลางโต๊ะขึ้นรินน้ำเย็นใส่แก้วเปล่าของเธอ กลุ่มก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ที่อัดแน่นอยู่เต็มภาชนะกรูลงมาที่ปากซึ่งเป็นจะงอยก่อนจะหล่นตุ๋ม ตุ๋ม ลงแก้วทีละน้อยๆ
“เพราะฉะนั้นเราควรใช้มันอย่างระมัดระวังนะจ้ะ แต่ถ้าหนูอยากจะดูละคงละครก็เชิญตามสบายเลยนะน้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก็แล้วกัน”
คุณน้าสรุปจบบทของเธอได้อย่างน่าฟังจนฉันเองก็แอบเคลิ้มตามไปด้วยเหมือนกัน
“อ๋อ..ค่ะ ค่ะ ค่ะ” เพื่อนสาวที่ยืนรับข้อมูลเสียจนเต็มหัวได้แต่พยักหน้ารับคำหงึกหงัก แล้วเดินทำสีหน้างงงวยพลางเกาศีรษะแกรกๆ มานั่งลงตรงเก้าอี้ทางทิศตะวันออกซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของฉันด้วยอาการงงงัน แต่ก็มิวายแอบป้องปากเมาท์ระยะเผาขนให้ฉันฟัง
“นี่แม่เลี้ยงของเธอกลัวว่าฉันจะใช้ไฟเปลืองขนาดนั้นเลยเหรอยะ มิเตอร์ขึ้นเท่าไหร่เดี๋ยวฉันใช้บัตรรูดให้ล่วงหน้าสามเดือนเลยเอ้า…ชิ” เธอบ่นอุบอิบ มีอาการชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจให้เห็นอยู่บางๆ
ฉันหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยนึกขันกับวาจาเสียดสีของเธอก่อนจะแก้ต่างว่า
“ก็คิดซะว่าคุณน้าเค้ากลัวว่าพวกแมลงเม่าจะบินเข้ามาก็แล้วกัน”
แต่ถึงอย่างไรแสงพลอยก็ยังคงข้องใจอยู่ดี
“สรุปจะให้ฉันเปิดไฟใช้ตอนกลางวันใช่มั๊ยยัยริณ” เพื่อนสาวตัวดีกระซิบบอกพร้อมกับทำหน้าทำตาปะหลับปะเหลือกชวนให้ขำขันในความเชื่อแปลกๆ ของคนในหมู่บ้านนี้
ฉันเองก็ได้แต่แหงนหน้ามองหลอดไฟดวงน้อยๆ ที่มีฝุ่นตะกอนสีดำเกรอะกรังอยู่ข้างในด้วยนึกเสียดายที่มันคงเป็นได้แค่เพียงร่องรอยความเจริญที่ถูกผู้คนในหมู่บ้านประหลาดแห่งนี้หลงลืม และเมินค่าไปอย่างน่าสงสาร
ดูท่างานนี้ยัยแก้วคงจะจดจำคำพูดพิลึกพิลั่น เหล่านี้ไปจนวันตายเลยทีเดียวเชียวล่ะ
ความคิดเห็น