คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : แม่เลี้ยง
“คุณหมอครับทำไมคุณหมอพูดกับริณเขาแบบนี้ล่ะครับ” เอกต่อว่าต่อขานพร้อมกับแสดงท่าทีฮึดฮัดขึ้นมาจนฉันนึกหวั่น ปกติเขาไม่ใช่เป็นคนใจร้อนหรือบุ่มบ่ามอะไรนัก แต่นี่คงกลัวว่าฉันจะเสียใจถึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเช่นนี้
“เอก…ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร” ฉันตอบด้วยความรู้สึกกล้ำกลืนพลางรั้งแขนเขาไว้ ก่อนจะหันไปมองใบหน้าขึงขังภายใต้กรอบแว่นแล้วส่ายศีรษะเบาๆ เป็นเชิงห้ามปราม
พอดีกับที่น้าสายทิพย์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ประตูห้องน้ำเปิดผางออกดังปึงพร้อมกับร่างเพรียวระหงที่ย่างกรายออกมาในชุดผ้าฝ้ายคอกลมสีเขียวขี้ม้าซีดๆ พลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเผ้าที่เปียกหมาดๆ อย่างสบายอารมณ์
“คุณทิพย์” คุณหมอผินหน้าไปทักทายเธอทันที
“เอ้า…คุณหมอ!” เธอกล่าวตอบ “มาตรวจเหรอคะ เด็กๆ หาน้ำหาท่าให้ทานรึยังคะเนี่ย?”
คุณหมอวิเชียรผุดลุกขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาวและคลี่ยิ้มราวกับเจ้าบ่าวที่เห็นเจ้าสาวแสนสวยเดินตรงเข้ามาหา
“ไม่เป็นไรครับไม่ต้องหรอกเดี๋ยวผมก็กลับแล้วล่ะ มีคนไข้รอผมอยู่เยอะครับ”
“แหมริณเนี่ยไม่ได้เรื่องจริงๆ อยู่ที่นู่นไม่มีใครบอกมั่งหรือไงว่าถ้ามีแขกมาที่บ้านควรทำยังไง ดูสิมัวแต่ชวนคุณหมอคุยเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่รู้เด็กหนอเด็ก” เธอค่อนว่าแล้วจึงหัวเราะคิก เดินกรีดกรายเข้ามาโดยวางผ้าเช็ดตัวคล้องอยู่ที่แขน ฟังแล้วมันน่าเคืองชะมัด แต่ฉันก็ไม่อยากต่อปากต่อคำกับแกเลยทำเป็นนิ่งปล่อยให้ผู้ใหญ่สองคนเขาคุยกัน
“โทษทีนะคะคุณหมอพอดีทิพย์อาบน้ำอยู่
“ครับ” คุณอาวิเชียรกล่าวรับคำ
“ทิพย์ว่าเราไปคุยกันในห้อง…”
พอได้ยินคุณน้าพูดแบบนี้เข้าพวกเราก็พากันหูผึ่ง ตาโตด้วยอารามตกใจ ซึ่งเธอคงทันสังเกตเห็นจึงรีบพูดเสริม
“เอ่อ…ห้องสามีดิฉันดีกว่าคะ”
“ดีครับ” คุณอาวิเชียรกล่าวสั้นๆ ก่อนจะก้มหยิบหมวกหยิบกระเป๋า แล้วเดินตามแม่เลี้ยงฉันเดินเข้าไปในห้องนอนของคุณพ่อ
“เชอะ…” ยัยแก้วสะบัดหน้าพรืดใส่ ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลงดังปึง
“เธอนี่เก่งจริงๆ นะที่ทนยัยแม่เลี้ยงพูดจาเหน็บแนมประชดประชันแบบนี้ได้ เป็นฉันนะไม่ยอมหรอก ตอนแรกฉันก็นึกว่าเธอน่ะคิดมากไปแต่สุดท้ายแม่เลี้ยงก็คงเป็นแม่เลี้ยงวันยังค่ำ ” แสงพลอยพูดพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“แต่เราว่าอย่าเพิ่งไปว่าอะไรคุณน้าเขาเลยดีกว่า แกก็ดูใจดีออกนะ” เอกเห็นแย้ง “จริงๆ แล้วแกอาจจะไม่มีพิษมีภัยอะไรก็ได้”
“เชอะ งั้นก็รอดูต่อไปละกันย่ะ” เพื่อนสาวของฉันพูดพลางค้อนขวับให้ทีหนึ่ง
“ฉันว่าพรุ่งนี้พวกเธอกลับบ้านเถอะนะ” ฉันกล่าวเป็นห่วงทั้งสองคนขึ้นมา รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
“ริณทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” ชานนท์ท้วงติง
“ฉันรู้สึกว่าที่นี่มันอันตรายยังไงไม่รู้ เธอก็น่าจะได้ยินที่คุณอาวิเชียรบอกคนในหมู่บ้านนี้ป่วยด้วยโรคบ้าๆ นี่ไปหลายคนแล้ว เรื่องของพ่อฉันคิดว่าน่าจะจัดการเองได้พวกเธอกลับไปบ้านน่าจะสบายและปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่นะ” ฉันพูดออกไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาจากใจจริง
“โถ่ยัยริณไม่เป็นไรหรอกคิดมากน่า” แสงพลอยเขยิบตัวเข้ามาโอบไหล่ แล้วเอียงหัวมาซบที่หัวไหล่ฉันเบาๆ “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ แค่ลำบากนิดๆ หน่อยๆ ฉันทนได้น่า ถึงอาจจะขี้บ่นไปมั่งก็เถอะนะ”
“เราอยากจะอยู่เป็นเพื่อนริณนะ” ชานนท์บีบมือฉันไว้ “พวกเราก็เพิ่งจะมาถึงเอง เราสองคนก็อยากจะมารู้จักบ้านของริณเหมือนกัน จริงมั๊ยแก้ว”
“อ้อ…ช่ายจ้ะ” แก้วรับลูกทันควันก่อนจะลงท้ายด้วยเสียงออดอ้อนเหมือนเช่นเคย “ช่วงนี้ปิดเทอม ฉันมีเวลาว่างให้เธออยู่แล้ว นี่บอกที่บ้านไว้แล้วนะว่าจะมาค้างบ้านเธอสักสองสามวัน นะ นะ นะ”
“ขอบใจมากนะแก้วแต่เธอไม่ต้องฝืนใจเพื่อฉันก็ได้นะ” ฉันพูดดักเพราะรู้ดีว่ายัยแก้วรู้สึกอย่างไร ใจจริงเธอคงอยากกลับไปตั้งแต่เหยียบย่างมาถึงที่นี่ด้วยซ้ำละมั้ง ฉันแอบนึกน้อยใจ แต่ก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างดี
“เอ่อ…” แสงพลอยมีท่าทีอึกอักไปเล็กน้อย ด้วยความที่เธอเก็บอารมณ์ทางสีหน้าไม่ค่อยเก่ง ฉันจึงค่อนข้างแน่ใจว่าความรู้สึกเบื้องลึกของเพื่อนแท้จริงคงไม่ผิดไปจากที่ฉันพูดเลยแม้แต่น้อย
“โถ่…ริณ ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า อย่าคิดมากดิ” เธอกล่าวก่อนจะผินหน้าไปมองโทรทัศน์แล้วแกล้งทำเป็นเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “อุ๊ยๆ ดูรายการนี้สิขำอ่ะ”
พวกเรานั่งจุ้มปุ๊ก อยู่หน้าโทรทัศน์เพียงไม่นาน คุณหมอวิเชียร ก็เปิดประตูห้องออกมาพร้อมกับคุณน้าสายทิพย์
ฉันลุกพรวดขึ้น ยืนมองทั้งสองที่อยู่ห่างออกไป สังเกตเห็นแม่เลี้ยงพูดอะไรงึมงำอยู่ข้างๆ อาวิเชียร ก่อนที่เขาจะผงกศีรษะนิดหนึ่ง แล้วทั้งสองก็เดินตรงเข้ามาพร้อมกับอาการกระซิบกระซาบกันตลอดทางจนฉันอดสงสัยไม่ได้
“คุณอาคะ พ่อริณเป็นยังไงบ้างคะ?” ฉันรีบถามไถ่อาการของพ่อทันใด เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้
ชายในชุดเสื้อสูทลำลองลายสก็อตพยักหน้าอีกคำรบหนึ่ง ก่อนจะหยุดการสนทนากับอีกฝ่ายแล้วจึงผินหน้ามาพูดคุยกับฉัน
“ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอกหนู” เขากล่าวสีหน้าเรียบจนฉันนึกแปลกใจ
“เรื่องยาคุณก็จัดให้แกทานเหมือนเดิมละกันนะ” คุณหมอหันไปบอกน้าสายทิพย์ที่ยืนทำตาหวาน แย้มยิ้มอยู่ข้างๆ “ไว้คราวหน้าผมจะมาเยี่ยมใหม่”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง” เธอกล่าวแล้วจึงพาอาวิเชียรเดินเอื่อยเฉื่อยผ่านพวกเราไปโดยไม่หันมาแลมองแม้แต่ปลายหางตาราวกับเห็นพวกเราเป็นเพียงอากาศธาตุ
เมื่อประตูปิดลงพร้อมกับร่างของทั้งสองที่ออกไปยังทางเดินตรงเฉลียงหน้าบ้าน ยัยแก้วก็ปากกล้าขึ้นมาทันที
“นี่มันแม่เลี้ยงหรือแม่เล้าวะเนี่ย” เธอท้าวสะเอวบอก
“โหยยแรงว่ะแก้ว!” เอกอุทาน
“อย่าบอกนะว่านายไม่เห็นอาการเล่นหูเล่นตา ออเซาะฉอเลาะนั่นน่ะ”
“ดูแม่เลี้ยงของเธอคนนี้จะไม่เบานะ” เพื่อนสาวของฉันเปรย
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ ช่างเขาเถอะ” ฉันกล่าวเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แม้จะเห็นว่าน้าสายทิพย์จะมีท่าทีแบบนั้นจริงๆ ก็เถอะ “ฉันเข้าไปหาพ่อก่อนนะ”
พูดเสร็จก็รีบก้าวอาดๆ เข้าไปหาท่านพร้อมกับแสงพลอยและชานนท์ที่ขอตามไปด้วยอย่างไม่รีรอ ภายในห้องดูสว่างจากแสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ผาดผ่านเข้ามาจนฉันสามารถมองเห็นสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เตียงสี่เสา ตู้เสื้อผ้าไม้ประดู่สีน้ำตาลเข้ม และผ้าม่านที่ถูกรูดเปิดออกให้เห็นกำแพงรั้วก้อนหิน หรือมุ้งที่ถูกเลิกขึ้นไปเก็บอย่างเป็นระเบียบ
กลิ่นอับชื้นแปลกๆ ที่ลอยมาแตะจมูกส่งผลให้แสงพลอยถึงกับต้องรีบยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้นบีบจมูก คิ้วขมวด ส่วนชานนท์ก็เบ้หน้าโดยอัตโนมัติ
“กลิ่นอะไรเหม็นจัง” เธอบ่น
“เงียบน่าแก้ว” เอกส่งเสียงเอ็ดเบาๆ ทำให้คนถูกว่าหน้างุ้มงอขึ้นมาทันที แต่แล้วสีหน้านั้นก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้เตียงที่พ่อของฉันนอนอยู่
ฉันจับสีหน้าอันตะลึงงันของเพื่อนออกเมื่อแก้วได้เห็นหน้าพ่อที่ซีดเซียวและใบหน้าก็ซูบตอบอย่างถนัดชัดเจน ขณะที่เราสามคนยืนทอดสายตามองดูท่านอยู่ริมขอบเตียง เอกและแก้วยกมือไหว้ผู้ใหญ่ก่อนจะกล่าวสวัสดีด้วยเสียงแผ่วๆ ราวกับคำพูดได้ถูกกลืนหายไปในลำคอ
พ่อยกมือขวาอันผอมแห้งขึ้นแล้วจึงกล่าวทักทายทั้งสองเพียงเล็กน้อย
“หวัดดีจ้ะ”
“โทษทีนะที่อาจทำให้พวกหนูลำบากกันนิดหน่อย ที่นี่มันไม่ค่อยมีอะไรเจริญหูเจริญตานักหรอกนะฮะฮะฮะ” ท่านหัวเราะร่วนก่อนจะยกมืออันอ่อนเปลี้ยขึ้นปิดปาก และตามด้วยการไอแห้งๆ ออกมาเป็นชุด ฉันเห็นสภาพของพ่อในตอนนี้แล้วก็อดสะเทือนใจจนน้ำตาคลอไม่ได้
“พ่อคะ หมอวิเชียรเขาว่ายังไงบ้างคะ พ่อกำลังดีขึ้นใช่มั๊ยคะ?”
“หนูจะพาหมอเก่งๆ มารักษาพ่อนะคะ” ฉันพูดออกมาจากความตั้งใจ หากเพียงมีแพทย์มาวินิจฉัยโรคของพ่อ และดูแลรักษากันอย่างจริงจัง ฉันเชื่อว่าพ่อจะหายได้ในที่สุด
“นั่นน่ะสิคะ มัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในห้องนี้อาการก็คงจะไม่ดีขึ้นหรอกค่ะ” แก้วเสนอความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา แล้วจึงผินหน้ามาคุยกับฉัน “ริณฉันว่าเราควรจะพาท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกลางในตัวจังหวัดจะดีกว่านะ ที่นั่นคงมีหมอเก่งๆ ที่จะช่วยคุณพ่อของเธอได้ เดี๋ยวรอให้พ่อกับแม่ฉันกลับมาจากต่างประเทศก่อนเถอะ ฉันว่าพวกเขาต้องช่วยเธอได้แน่”
“ไม่เป็นไรหรอกหนูอย่าลำบากเลย” พ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและแผ่วเบาๆ ก่อนจะไอโขลกๆ ขึ้นมาอีกหน จนยัยแก้วถึงกับเผลอทำสีหน้าแขยง เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้ฉันน้ำตาไหลเรื่อยลงมาเป็นสายด้วยความสงสารท่านจับใจ
ความคิดเห็น