คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ร่างระหง
“ออกไปนะ ออกไป” ฉันหวีดร้องปัดไม้ปัดมือเป็นพัลวัน แล้วจึงซุกหน้าหลับตาลงกับแขนเสื้อ กันไม่ให้มันบินผลุบเข้าตาเข้าจมูก
“แอ๊ดดดด”
เสียงประตูเปิดออก
“สายทิพย์!” คุณอาสุบรรณอุทาน
ฉันเหลือบไปมองคุณน้าที่เปิดประตูผลัวะออกมา ร่างผอมที่ยืนค้ำร่างของฉันอยู่นั้นสวมใส่ชุดนอนผ้าซาติน
พลิ้วบางสีขาวคอกระดุมเล็กๆ สามเม็ดปักลูกไม้ลายดอกและมีกระโปรงยาวลงมาจนถึงตาตุ่ม มือข้างหนึ่งของเธอกำลังถือเชิงเทียนแบบมีครอบแก้วเล่มเล็กๆ ซึ่งสว่างพอให้เห็นแก้มตอบๆ และใบหน้าลึกลับนั่นวับแวมอยู่ในแสงไฟ‘คุณน้า…!’ ฉันเผลออุทานออกมาเบาๆ อย่างตื่นตะลึง เปลวเทียนดวงน้อยๆ ส่องให้เห็นผิวเนียนเกลี้ยงเกลาสีขาวซีด ริมฝีปากบาง จมูกเล็กโด่ง และโหนกแก้มสูง ส่วนคิ้วนั้นบางและคมดั่งวาดด้วยปลายพู่กันข้างหนึ่งกำลังเลิกขึ้นราวกับเจอเรื่องให้ประหลาดใจ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะริณ” คุณน้าสายทิพย์เปล่งเสียงต้อนรับอย่างเยือกเย็น ดวงตาที่หลุบมองฉันซึ่งทรุดกองอยู่กับพื้นแทบเท้าอันเปลือยเปล่าของเธอ ดูเย้ยหยัน และแฝงความนัยอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน
“เอ้ารีบๆ เข้ามาสิเด็กๆ” เธอเชื้อเชิญ “หรือพวกเธอจะอยากสานสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ปีกใสพวกนั้นต่อก็ตามใจนะ”
เอกประคองฉันให้เข้าไปในบ้าน ส่วนแก้วที่ตั้งสติได้ก็รีบจ้ำเท้าตามมาติดๆ
ประตูบ้านปิดลง พร้อมกับเสียงบ่นของอาสุบรรณที่ดังขึ้นมา
“คุณนี่...ทำไมมาช้าจังพวกเด็กๆ เขากลัวกันหมดแล้ว”
“ถอดรองเท้าไว้ตรงหน้าประตูนี่ก่อนนะ” ฉันกระซิบบอกเพื่อนๆ ขณะที่คุณอาเองก็ปลดสายเชือกรองเท้าหนังสีน้ำตาลหุ้มข้อออก
“โทษทีค่ะ พอดีฉันกำลังจัดการอบอาหารไว้ต้อนรับลูกสาวอยู่ในครัวจู่ๆ ไฟก็เกิดดับขึ้นมา” เธอชี้แจงน้ำเสียงเรียบเฉยดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลย “ไอ้ไฟบ้าบอนี่ก็ดับอยู่บ่อยๆ น่าเบื่อมากเลยนะคะดูสิเนี่ยทำให้พวกเด็กๆ ตกอกตกใจไปกันใหญ่”
แก้วดูจะขยะแขยงเจ้าปลวกบินได้พวกนั้นมากถึงขนาดต้องถอดรองเท้าบูทหนังยับๆ สีน้ำตาลสุดหวงของเธอวางแอบไว้ชิดผนังข้างในบ้าน
พวกเราเดินตามคุณน้าเข้ามาสู่ห้องนั่งเล่น แสงสว่างรำไรจากเทียนไขสีขาวขนาดป้อมๆ บนจานรองกระเบื้องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขกไม้สักทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าเตี้ยๆ โลมไล้ลวดลายผ้าปักรูปเถาและพวงองุ่นอันอ่อนช้อยของชุดโซฟาซึ่งประกอบไปด้วยโซฟายาวและเก้าอี้นั่งอีกสองตัวที่เข้าชุดกัน
ส่วนด้านหลังของโซฟายาวนั้นเป็นตู้ไม้ติดกระจกทรงสูงที่มีไว้ใส่ของสวยๆ งามๆ น่ารัก กระจุกกระจิกที่แม่ชอบ จำพวกเครื่องเบญจรงค์ลายไทยวิจิตร และงานหัตถกรรมย่อขนาดชุดเล็กๆ เช่น ชุดขนมไทย การละเล่นเด็กไทย รวมไปถึงงานถักไหมพรม โครเชต์ ฝีมือของท่าน เช่นตุ๊กตากระต่ายตัวน้อยๆ สีขาว ตุ๊กตาหมีแพนด้า หมวกไหมพรม กล่องกระดาษทิชชูสีสันสดใส ฯลฯ
และถัดจากตู้โชว์มาหน่อยก็คือชั้นไม้วางหนังสืออ่านเล่นซึ่งมีหนังสือจำพวกนิยายประโลมโลก และ พวกหนังสืองานหัตถกรรม รวมไปถึงสารคดีท่องเที่ยว หนังสือวิพากษ์วิจารณ์การเมือง สังคม ที่พ่อชอบอ่านวางเสียบสันเรียงกันเป็นตับจนแน่นเต็มทั้งสามชั้น
“พวกเธอนั่งกันอยู่ที่นี่ก่อน”
“ให้ผมไปช่วยมั๊ยครับ” คุณอาสุบรรณขันอาสา “เดี๋ยวผมไปดูคัทเอาท์ให้”
“อุ๊ยไม่ต้องหรอกค่ะ…เดียวฉันไปจัดการเองจะดีกว่า คุณผู้ใหญ่บ้านก็นั่งคุยกับพวกเด็กๆ ไปเถอะ” น้าสายทิพย์พูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ไม่เป็นไรครับไม่ต้องเกรงใจผมยินดีรับใช้ทุกที่ทุกสถานการณ์” คุณอาขันอาสาอย่างเป็นกันเอง ดูท่าทั้งสองจะสนิทสนมกันดีทีเดียว
“แหม….งั้นเชิญทางนี้ค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะหันมาพูดกับพวกเราด้วยโทนเสียงแหบห้าว “โทษทีนะจ้ะ...พอดีน้าไม่รู้ว่าริณจะพาเพื่อนมาด้วยเลยไม่ทันเตรียมอะไรไว้ให้ แต่เดี๋ยวน้าจะไปลองค้นดูว่ายังมีอะไรที่พวกเธอพอจะทานกันได้บ้าง ขอตัวไปจัดการเรื่องฟืนเรื่องไฟประเดี๋ยวนึงนะ” แม่เลี้ยงยืนประสานมืออยู่ทางด้านหลังชุดรับแขกด้วยท่าทีงามสง่า ชุดนอนสีขาวเนื้อบางเบาตัดกับเส้นผมตรงสลวยสีดำขลับ ดูลึกลับและมีเสน่ห์อย่างประหลาด
“ทนร้อนหน่อยนะ แต่พวกเธอคงไม่คิดจะเปิดหน้าต่างกันหรอกใช่ไหม” เธอหันมาพูดกับพวกเราที่มานั่งรวมกันอยู่บนโซฟายาว ก่อนจะเลยมาถึงฉัน
“ริณถ้าเธอยังคงจำได้ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน ก็หาน้ำหาท่าให้เพื่อนๆ ทานสักหน่อยก็จะดีนะ คงจะเหนื่อยกันมามากสิเดินทางมาไกลน่าดู”
“ค่ะคุณน้า” ฉันตอบ พลางมองภาพอันบิดเบี้ยวของตัวเองที่สะท้อนกลับมาจากจอแก้วโทรทัศน์รุ่นโบราณขนาด 21 นิ้ว แบบมีเสาอากาศ และปุ่มหมุนปรับตรงแผงข้างจอ ซึ่งตั้งอยู่บนตู้วางด้านตรงข้ามกับโซฟายาวที่ฉันนั่งอยู่
คุณน้าพูดจากรีดฉันเสร็จก็เดินนำอาสุบรรณตรงเข้าไปทางห้องครัวด้านหลัง ผมตรงยาวที่ระจนถึงกลางหลังของเธอ คลี่ไหวน้อยๆ
“แม่เลี้ยงของเธอนี่ร้ายนะยะ” แก้วโพล่งขึ้นมาทันทีเหมือนกับเก็บงำคำพูดมานาน หลังจากผู้ใหญ่สองคนนั้นเดินออกไป
“แล้วริณเป็นอะไรมากรึเปล่า?” ชานนท์เอ่ยถามฉันอย่างห่วงใย
“ก็...”
“ก็ถ้าเป็นฉันคงอ้วกแตกไปแล้วล่ะยะ” แสงพลอยสอดขึ้นมาพลางแสดงอาการขยะแขยง“ริณพาฉันไปเข้าห้องน้ำหน่อยสิฉันปวดฉี่จะราดแล้ว”
“อืม...ฉันเองก็อยากไปล้างหน้าล้างตาเหมือนกัน” ฉันเออออ รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลย
“เฮ้ยๆ เราไปด้วยดิจะปล่อยเราไว้คนเดียวหรือไงมันมืดนา” ชานนท์สะดุ้งโหยงรีบเอ่ยปากขอตามมาด้วยแต่ยัยแก้วกลับห้ามไว้ก่อน
“ไม่ต้องเลยยะนายเอก นั่งอยู่ที่นี่แหละ”
ฉันลุกขึ้นแล้วจูงมือเพื่อนสาวให้เดินตามไป คุณน้าจุดเทียนไขวางไว้ตามจุดต่างๆ ภายในบ้านจนทั่ว เหตุที่มองจากข้างนอกแล้วดูมืดก็เพราะผ้าม่านหนาทึบที่ถูกรูดปิดจนมิดชิดนั่นเอง ความสว่างจากปลายแสงของเปลวเทียนที่ส่งถึงกันนำพาให้เราสองเดินไปถึงหน้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“แก้วเธอเข้าไปก่อน” ฉันบอก
“ในนั้นจะมีแมลงเม่ารึเปล่าอ่ะเธอ ฉันกลัวนะ” เธอครวญ
ฉันเปิดประตูไม้แผ่นหนาออกแล้วชะโงกหน้าเข้าไปกวาดสายตาจนทั่วห้องน้ำเล็กๆ ที่มีอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า รวมไปถึงโถส้วมแบบกดชักโครกสีขาวอยู่ภายในตัวเสร็จสรรพ ในห้องนี้ก็มีเทียนไขวางอยู่บนแผ่นเซรามิกที่เอาไว้ปิดตรงฝาครอบโถส้วมอีกจุดหนึ่ง
หลังจากแน่ใจแล้วฉันจึงตอบไปว่า
“ไม่มีหรอกอย่าคิดมากเลย รีบเข้าเถอะ”
แก้วชะโงกหน้าเข้ามาดูบ้าง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ดีนะที่เป็นโถส้วม...ค่อยยังชั่วหน่อย...ขอบคุณมากริณ” แสงพลอยกล่าวทำหน้าโล่งอก จากสภาพหมู่บ้านและบ้านของฉันแล้ว การมีห้องน้ำแบบมีชักโครกคงเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายสำหรับเธอมากเลยทีเดียว
ระหว่างที่ยืนคอยแก้วอยู่นั้นฉันก็นึกขึ้นได้ว่าควรตระเตรียมน้ำให้เพื่อนๆ ดื่มเสียหน่อยจึงเดินเข้าไปในห้องครัว ก่อนอื่นฉันตรงรี่ไปที่ซิงก์น้ำ รีบล้างหน้าบ้วนปากไปเสียหลายรอบจากนั้นจึงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าลายหวานในกระเป๋าขึ้นมาซับหน้าเบาๆ
ฉันนึกขอบคุณที่น้ำประปาและไฟฟ้ายังเข้ามาถึงที่นี่ ไม่อย่างนั้นแก้วคงจะบ่นมากกว่านี้แน่ และฉันเองก็คงจะเสียใจไปเหมือนกันที่เป็นสาเหตุทำให้เพื่อนต้องมาตกระกำลำบาก และพบเจอกับเรื่องวุ่นวายที่นี่
ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ตู้เย็นเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งภายในห้องครัว ฉันก็ได้กลิ่นหอมเหมือนพวกไก่ย่างลอยมา ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นเงาอะไรบางอย่างวูบไหวอยู่ตรงหางตา
เมื่อเพ่งมองออกไปตรงช่องหน้าต่าง ก็แลเห็นร่างผอมเพรียวของแม่เลี้ยงที่มีอายุอานามอ่อนกว่าพ่อไปไม่กี่ปีกำลังยืนยกหูโทรศัพท์คุยกับใครสักคนอยู่ สีหน้าของเธอดูเคร่งเครียดวิตกกังวลเหมือนกำลังปรึกษาหารือ หรือถกปัญหาอะไรสำคัญๆ กระนั้นแหละ ท่าทีลับๆ ล่อๆ ไม่น่าไว้ใจสะกิดให้ฉันสงสัย
ฉันพยายามกระเถิบตัวไปให้ใกล้มากที่สุดในระยะที่ฉันคิดว่าเธอจะไม่อาจมองเห็นฉันได้ แม้จะรู้สึกละอายใจอยู่นิดๆ แต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า
“เราจะทำยังไงกันดีคะท่าน...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านังเด็กนั่นจะชวนเพื่อนมาในที่แบบนี้แถมยังไม่บอกดิฉันก่อนสักคำ”
เสียงของน้าสายทิพย์ที่ดังแว่วมาทำให้ฉันรู้สึกตกใจ
แน่นอนว่า ‘นั่งเด็กนั่น’
ที่เธอพูดถึงอยู่ก็คือฉันนั่นเอง
“อีกไม่กี่วันแล้วสินะ...ดิฉันกลัวจะมีปัญหา” เธอกล่าวต่ออย่างคนร้อนอกร้อนใจ
‘นี่มันอะไรกัน…ชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ’ จู่ๆ สังหรณ์ร้ายก็แวบเข้ามาในความรู้สึก
ขณะที่เฝ้ามองพฤติกรรมคุณน้าอยู่นั้น จิตใต้สำนึกก็บอกแก่ตัวเองว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจับจ้องฉันอยู่เช่นกัน
ความกลัวแผ่ซ่านขึ้นมาอีกครั้งพานให้ขนแขนลุกชัน และหัวใจก็เต้นระส่ำ เพียงแต่ในคราวนี้สิ่งที่ฉันกลัวไม่ได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า แต่มันกำลังหลอมรวมก่อร่างสร้างตัวอยู่เบื้องหลังฉันนี่เอง...
ความคิดเห็น