คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๘ จุดเริ่มต้น ๓
บทที่ ๘ จุดเริ่มต้น ๓
ผมเดินชนชายที่ดูทุกข์ร้อนคนนั้น... ผมเคยเห็นเขามาก่อน ราวๆยี่สิบนาที ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตอนที่เขายืนทำหน้าสลดคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ ตอนนั้น ผมยืนต่อคิวต่อจากเขา ห่างออกไปไม่มากนัก เขามีท่าทางแปลกๆ ได้แต่เดินห่อไหล่ ก้มหน้าก้มตา จ้ำเท้าจากไปเมื่อคุยเสร็จ ผมหันตามไปมองเขาตลอดทางด้วยความสงสัย เขายังมองซ้ายทีขวาทีไปมาจวบจนกลืนหายไปกับกลุ่มคน ส่วนผมรีบเดินเบียดเข้าไปในตู้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ามีบางคนจะพยายามแซงคิว
ผมจำเขาได้ แต่ดูท่าเขาคงจำผมไม่ได้ หรืออาจจะไม่เคยจำด้วยซ้ำไป สายตาเขายังคงระแวง มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น อีกข้างยังคงจับกระเป๋าสะพายสีดำไว้ บางที ผมคิด เขาอาจเป็นพวกคนร้ายที่หลบหนีคดีมา ผมเริ่มกลัว ในที่สุดแล้วเท้าผมก็ค่อยๆก้าวเดินห่างออกจากที่ตรงนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุขึ้น
ผมหันไปมองอีกครั้ง หลังจากเดินหลบมา ชายคนนั้นก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน...
สถานีรถไฟแห่งนี้ยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มากมายเหมือนเช่นในวันเก่า มันแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีตไปเลย ผมสูดอากาศเข้าปอดอีกครั้ง บรรยากาศเก่าๆเริ่มผุดขึ้นอย่างช้าๆ มโนภาพของการเดินทางเข้ากรุงเทพครั้งแรกของเด็กชายตัวกระเปี๊ยกกับผู้หญิงคนหนึ่งก็เริ่มที่จะชัดขึ้นๆ
ตอนนั้น ผมพึ่งจะเดินลงจากรถไฟเป็นครั้งแรก และมือของแม่ก็จับข้อมือผมไว้แน่นทีเดียว ผมเริ่มได้ยินเสียงคำพูดอย่างมีความหวังอีกครั้ง
" ที่นี้ เราจะสบายขึ้นจ้ะ ลูก...."
" แม่รู้ได้ไงครับ " เด็กตัวกระเปี๊ยกคนนั้นถามอย่างงงๆ
" ที่นี้น่ะลูก ขอให้เราไม่เลือกงาน แล้วขยันอย่างเราสองแม่ลูก เราจะมีเงินเก็บเยอะๆจ้ะ "
เด็กคนนั้นมีหน้าตาแจ่มใสขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า
" ที่นี้ เราไม่ต้องเอาเงินไปให้คนอื่นใช้แล้วใช่ไหมฮะ "
ผมลืมตาตื่นอย่างช้าๆ กับเสียงตะโกนโหวกเวกของนายสถานีรถไฟที่ร้องเตือนผ่านโทรโข่ง ผมเคลิ้มหลับแล้วฝันไปนั้นเอง แต่ก็ดีแหะ
'บางครั้ง อดีตดีๆก็มีคุณค่าน่าคิดถึงกว่าอนาคตที่ดูน่ากังวลเสียเหลือเกิน'
"ทุ่มสี่สิบแล้วสิน่ะ"
เสียงเจ้าหน้าที่ประกาศออกวิทยุให้เตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้าย รถไฟกำลังจะออกจากหัวลำโพงในอีกไม่ช้า ผมจับกระเป๋าเป้ขึ้นพาดไหล่แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้นั้น แล้วเดินตรงดิ่งขึ้นรถไฟทันที เมื่อมาถึงช่องที่นั่งของผม ปรากฏว่าผมมาถึงเป็นคนแรก ผมจัดแจงเก็บสัมภาระอย่างใจเย็น แล้วจึงเลือกที่นั่งก่อน ผมนั่งรออยู่จนรถไฟออกจากสถานีหัวลำโพงก็ยังไม่เห็นใครเดินมาแสดงสิทธิกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเลย ผมจึงยกเท้ามาวางพาดกับเก้าอี้ที่ว่างเปล่านั้น
ผมหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง เหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า จะว่าไปแล้วมันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบหนึ่งอย่างที่เขาว่าไว้ ความรู้สึกไม่เหมือนกับการนั่งรถทัวร์จริงแหะ มันสุนทรีย์กว่าเยอะ 'เจ้าคนอารมณ์ศิลปินเอ่ย' ผมพึมพำกับตัวเอง แล้วยิ้มออกมาในที่สุด โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีใครเห็นผมยิ้มอยู่คนเดียว
ความคิดเห็น