ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในความรักมีเพียงเธอตลอดไป

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๔ หน้ากาก

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 49


    บทที่ ๔ หน้ากาก

                ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์  หันมองไปที่กระจกอีกครั้ง  ดำริ คนรับใช้เก่าแก่ยังคงยืนอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจในกับการโต้ตอบกันเป็นภาษาอังฤษระหว่างศาสตราจารย์กับเพื่อนเก่า  หากแต่ใบหน้ากร้านๆนั้นยังคงฉายแววกังวลออกมาอย่างชัดเจน

               ศาสตราจารย์นึกย้อนไปในอดีต  นานเท่าไรแล้วหนอ ที่เขาให้เงินเดือนแก่ดำริ     ตอนที่เขาประสบปัญหาทางการเงินอยู่ช่วงหนึ่งนั้น จนต้องเลิกจ้างคนงานเสียเกือบหมด จะมีเหลืออยู่ก็ดำริ ชายคนรับใช้วัยสี่สิบที่เป็นดั่งบ่าวกึ่งน้อง  ดำริเป็นคนที่ไม่พูดมาก แต่ทุกคำที่พูดนั้นล้วนแต่มีความหมายทั้งนั้น   ตอนที่เขาตัดสินเลิกจ้างคนงานทั้งหมด  ทุกคนล้วนเข้าใจดี พร้อมทั้งยอมรับเงินเดือนสุดท้ายและเงินพิเศษอีกจำนวนหนึ่งสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างหางานใหม่  หากแต่ดำริพิเศษกว่านั้น เขาบอกปัดไม่รับเงินจำนวนใดเลย  และพูดออกมาสั้นๆว่า 

                  "ไม่เป็นไรครับนาย หากนายต้องอดทนทำงานอย่างลำบากเพื่อคนอื่นถึงขนาดนี้แล้ว ผมว่าสำหรับตัวผมเองแล้ว  แค่นี้ ถือว่าไม่ลำบากหรอกครับ  นายเก็บเงินไว้ทำโครงการเถิดครับ  ผมไม่เอา หรอกครับ ผมจะอยู่กับนายต่อไปครับ"                  

                พอเขานึกถึงเหตุการณ์นี้เมื่อใดก็หัวเราะออกมา  ในคราวนั้น เขาต้องคะยั้นคะยอให้ดำริรับเงินเดือน ซึ่งกว่าจะยอมรับกันได้  ก็เล่นเอาเขาเหนื่อยทีเดียว

                 เงินเดือนก้อนนั้นเป็นก้อนสุดท้ายที่ดำริยอมรับ และเขาก็อยู่แบบไม่มีรายได้นับแต่นั้นเป็นต้นมา                         

                  "ออกไปก่อนเถิด  ดำริ" ศาสตราจารย์เอ่ยปากพูดกับคนสนิท

                  "ฉันไม่เป็นไรหรอก ออกไปก่อน" เขาปรามเมื่อเห็นคนรับใช้ มีท่าทีแข็งขืน

                   ดำริ คนรับใช้เก่าแก่จึงค่อยๆเดินออกนอกห้องอย่างจำใจ

                  "คุณต้องการอะไร ฟิลิปเป้" เขาถามหลังจากคนรับใช้ปิดประตูลง

                  "ผมยืนยันคำเดิมน่ะ ผมต้องการคนมาช่วยโครงการนี้ คุณเป็นคนริเริ่ม คุณควรทำมันให้สำเร็จ"  ชายชราที่แก่เกินวัยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ

                  "ฟิลิปเป้ ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่า โครงการนี้ ผมทำเพื่อมนุษย์โลก ไม่ใช่เพื่อคุณ เมื่อคุณบอกว่าอยากจะเห็นผมต่อสู้กับพระเจ้า เพื่อชาวโลกทั้งหมด  ผมก็ทำแล้ว แต่หากเจตนาที่แท้จริงของคุณที่ซ้อนไว้ไม่ใช่สิ่งนั้น   ผมบอกตรงๆ  ผมคงทำงานต่อกับคุณไม่ได้อีกแล้ว"   คนไทยตัวเล็กๆพูดอย่างเด็ดขาด

                  ฟิลิปเป้ไม่ได้แสดงสีหน้าอารมณ์อะไรออกมา   เขาเพียงหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  สายสร้อยเส้นเล็กๆนั้น มีล็อกเก็ตห้อยอยู่  แล้วมือสั่นๆข้างนั้นก็ยื่นออกมาข้างหน้า เขานึกสังเวชในใจไม่น้อย  แล้วฟิลิปเป้ก็พูดออกมา

                  "คุณยังจำมันได้ใช่ไหม พอล ?

                      หน้ากากอันนั้นยังคงอยู่ข้างตัวคุณล่ะสิ

                      แต่สำหรับผมไม่แล้ว"

                      

                       ศาสตราจารย์ชาวไทยยื่นมือออกไปรับสร้อยคอและลอกเก็ตนั้น    เขาจับมันได้ดี  กว่ายี่สิบปีแล้วสิน่ะ ลอกเก็ตนี้  ฟิลิปเป้ยังคงเก็บอยู่กับตัว  มันเป็นของขวัญที่เขาให้กับฟิลิปเป้เอง  เขาตัดสินใจเปิดลอกเก็ตออก   ภาพสีซีดๆของชายหนุ่มต่างเชื้อชาติสองคนที่ยืนกอดคอกันกลมหน้ามหาวิทยาลัยในอเมริกา ในตอนนั้น ฟิลิปเป้ผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในอุดมการณ์เพียงใด จะว่าไปแล้ว  เขาเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว   เขาคิดต่อ  ฟิลิปเป้ตอนนั้นดีเสียเกินกว่าจะอยู่ได้บนโลกใบนี้  หากแต่ตอนนี้  ในยุคโลกบูชาเงินตราและระบบทุนนิยม  จึงเปลี่ยนตัวตนของเพื่อนรักคนเก่าไปเสียหมดสิ้น    

                 

                  ฟิลิปเป้มองเขา และชี้ไปที่มัน แล้วถามต่อว่า

                 "คุณคิดว่าคุณต่างจากผมอย่างนั้นหรอกหรือ ?

                   คุณไม่ได้ต่างจากผมเลย พอล

                   คุณดีแต่เลือกจะสวมมันเอาไว้ตลอดต่างหาก

                   หากแค่ผมเพียงเลือกต่างจากคุณ  ผมพอใจที่จะถือมันมากกว่าจะสวมไว้

                   มันจะเป็นเพียงหน้ากากใบเล็กๆที่ผมคือเจ้าของ

                   คุณก็เลือกได้น่ะ  พอล

                   ในใจคุณไม่อาจปฏิเสธความจริงไปได้หรอก

                   คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะถอดมันออกจากหัว"

                   ศาสตราจารย์อนุพงศ์ ราชศักดิ์ หันหน้ามองเกลอเก่าอย่างชิงชัง เขาเลือกพูดโต้ตอบกลับไป

                    " อาจจะจริงอยู่ที่ผมเลือกจะสวมมันไว้ตลอด

                        หากแต่ผมไม่เหมือนคุณหรอกที่เลือกทิ้งหน้ากากดีๆ

                        แล้วหันไปถืออันใหม่ที่แสนสกปรกและเน่าเหม็น

                        คุณทำมันลงไปได้อย่างไร  ฟิลิปเป้ ? ผมอยากรู้จริงๆ"

                  

                      ชายชราที่ถูกพาดพิง เงยหน้าขึ้นมาสบตาศาสตราจารย์คนไทย แล้วก็พูดออกมาเบาๆ 

                    " อย่าตั้งคำถามอย่างนี้สิ  พอล

                       คุณก็รู้ว่าดี

                       คำตอบที่คุณจะได้ยิน มันก็อาจเป็นเหมือนเพียงคำแก้ตัวของผม

                       จริงอยู่ ผมอาจจะขายชีวิตให้ฝั่งปิศาจไปแล้ว

                       หากแต่คุณนั้นแหละที่ทำให้พรรคพวกของซาตานมีความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง                  

                       คุณย่อมรู้ดีอยู่ว่าพระองค์ทรงไม่ชอบการกระทำของคุณขนาดไหน  พระองค์ทรงขัดขวางทุกวิถีทางที่จะไม่ให้มนุษย์ได้อยู่เป็นอมตะ ทั้งการเจ็บ  การป่วย  การตาย  การแก่งแย่ง  และชิงดีชิงเด่นกันที่ถูกผูกติดตัวมาก่อนเราจะเกิดทุกคนเสียอีก  วันหนึ่ง   เมื่อคุณมาบอกผมถึงโครงการที่ปฎิเสธความเห็นชอบจากพระองค์ เมื่อคุณเลือกที่จะต่อกรกับพระองค์   วันนั้น  ผมมีความสุขมากทีเดียว คุณไม่รู้ตัวหรอกเหรอว่า  คุณนั้นแหละย่อมเป็นปรปักษ์พระองค์  หาใช่ผม ผมเป็นเพียงอีกคนหนึ่งจากบรรดาคนถูกสาปที่พยายามเดินตามคุณ  และยังหวังในตัวคุณอยู่………"

            

                        ชายชราชาวไทยถอนหายใจออก  แล้วสูดเข้าไปใหม่อย่างช้าๆ  แล้วจึงพูดปราม     

                       "ผมว่าความคิดของคุณ ล้าสมัยไปน่ะ ฟิลิปเป้ พระเจ้าทรงรักพวกเราทุกคน และต้องการให้พวกเราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข แม้ว่าพวกเราบางคนจะเลือกออกนอกเส้นทางที่ขีดไว้ของพระองค์  และการคิดค้นวิจัยของผมก็ไม่อาจเทียบไปได้การดลบันดาลเพียงพริบตาของพระองค์หรอกน่ะ"

                     คนเฒ่าต่างชาติเบิกตา แล้วพูดค้านขึ้น

                    "หากคุณเชื่อมั่นในเรื่องที่คุณเล่า ก็คงจะดีไม่น้อยทีเดียว  พอล  

                       อาจจะจริงที่พวกเราทำนั้นเป็นเพียงเถ้าธุลีของพระองค์

                       แต่การที่มนุษย์เราเริ่มต้นจากการเดินกึ่งคลานจากเท้าทั้งสี่  แล้วนำไปสู่การวิ่งอย่างรวดเร็ว

                       ด้วยเท้าหลังทั้งสองข้าง

                      การเลือกละถิ่นฐานจากในถ้ำไปสู่การปักหลักบนดาวอังคารในปัจจุบันล่ะ

                      นับเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

                      คุณว่ามนุษย์เราไม่เคยขัดใจพระองค์เลยอย่างนั้นเหรอ                    

                      แต่จะว่าไปแล้วพฤติกรรมหลักของคนเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย พอล

                      ทั้งการแก่งแย่ง และชิงดีชิงเด่นกัน

                      หากเราอาจจะเบี่ยงเบนพฤติกรรมทั่วไปได้มากกว่าต้นกำเนิดเท่าใดก็ได้

                      แต่เรานั้นยังคงซ้อนความดิบเถื่อนเอาไว้ภายในตัวตนอย่างเต็มขั้น

                      และรอวันที่มันจะระเบิดประทุออกมา

                      ขอเพียงให้ได้หัวเชื้อดีๆเถอะหน่า พอล"    

                     

                       ศาสตราจารย์ชาวไทย ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วพูดเตือนออกไป

                      "คนเราต้องอยู่กันด้วยความเข้าใจน่ะ   ฟิลิปเป้   หากคุณเข้าใจคลาดเคลื่อนขนาดนี้  ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จึงจะทำให้คุณกลับเป็นคนเดิมได้"

                       

                      ฟิลปเป้ มองหน้าเพื่อนเก่าอย่างลำพอง แล้วพูดต่อไปอีก

                      "มนุษย์เราถูกพระเจ้าสร้างให้มีชั่วชีวิตมีเพียงแค่การสร้างสรรค์และทำลายล้างเท่านั้นน่ะ พอล  หากแต่ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว  พระองค์ทรงริบเอาไปจากตัวเรา"

                      เขาสูดลมหายใจลึกๆอย่างช้าๆ  ก่อนจะพูดประโยคต่อไป

                      "มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอามันคืนจากพระองค์  เราจะต้องเป็นคนลิขิตช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวนี้   พระเจ้าไม่เข้าข้างใครหรอก นอกจากตัวเอง  พอล   พระองค์ทำตัวเองมาตลอด พระองค์คอยแต่จะขโมยความสามารถจากพวกเราทุกๆคนเท่าที่มีโอกาส"

                      สหายต่างชาติมองหน้าคู่สนทนาอย่างใจเย็น  พลางพยักหน้า   แล้วกล่าวต่อ

                       "พอล  โอกาสของคุณได้มาถึงแล้ว   คุณจะต้องทำให้พระองค์รู้ถึงความสามารถที่เรามีเหนือพระองค์   คุณต้องทำน่ะ เพื่อชาวโลกทุกคน"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×