ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในความรักมีเพียงเธอตลอดไป

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๓ เวลาบนรถไฟ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 49


                                                                      บทที่ ๓ เวลาบนรถไฟ
                     
    บนรถไฟในยามนี้ เสียงล้อรถไฟกระทบรางเหล็กดังกึกกักเป็นจังหวะ แต่ก็ไม่ได้ปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้นจาการหลับไหลเลย  ผมอาจจะรู้สึกเช่นเดียวกับผู้อื่นที่ยังคงหลับไหลอยู่  ผมมักจะตกอยู่ในพะวังคนเดียว การคิดอะไรต่างๆนานาไปคนเดียว และหลุดจากภายนอกนั้นทำให้ผมรู้สึกงุนงงกับตัวเองจริงๆ  การเป็นนักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียงหรือคนรู้จักทำให้ผมรับรู้ได้ถึงการมีชีวิตอยู่อย่างยากไร้ และอับจน  อันทำให้การเขียนนิยายเต็มไปด้วยความอัตคัด ขัดสน  หากแต่ผมก็ไม่เคยคิดท้อถอย อาจเพราะรักมันมากเหลือเกิน หรือคงเพราะมีอุดมการณ์สำหรับตัวเอง การเป็นนักเขียนที่ดีก็เป็นอย่างนี้แหละ หากเราพอใจกับมัน เราก็มักจะกินความสุขแทนอาหารได้ หากแต่ท้ายที่สุดแล้วการเลือกจะมีชีวิตต่ออย่างสบายกายก็อาจทำให้บางคนเปลี่ยนความคิดไปก็เป็นได้ แต่สำหรับผมคงไม่...

                ผมยังนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา นับเป็นครั้งแรกที่ผมต้องเดินทางมาไกลถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มอายุราวสี่สิบเศษได้ รูปร่างผอมสูง ใบหน้าคมเข้ม แต่สีดอกเลานั้นเริ่มผุดออกมาตามไรผมบ้างแล้ว นัยน์ตาเขาชวนคิด และดูคล้ายคนซึ่งผ่านการใช้ชีวิตมาเกินกว่าที่ผมจะคาดเดาได้  หากผมยังต้องนั่งรถไฟไปอีกอย่างน้อยสิบสี่ชั่วโมง บางทีผมคิดว่า ผมควรเลือกจะเริ่มหาเพื่อนคุยได้แล้วล่ะ

    เออ ขอโทษทีครับ คุณพี่ ตอนนี้ กี่โมงแล้วเหรอครับ  ผมถามขึ้น

    หนุ่มใหญ่ผู้นั้นขยับตัวอย่างช้าๆ เขาหยิบนาฬิกากลมๆเล็กๆออกจากกระเปำเสื้อ นัยน์ตามีประกายของความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ที่ผมจับต้องไม่ได้

                    สี่ทุ่มสิบครับ  เขาตอบอย่างสุภาพ

                  คุณนั่งรถไฟคนเดียวเสมอหรือครับผมชวนคุยต่อ ผมไม่ได้จริงจังกับคำตอบหรอก  ความจริงแล้ว ผมก็มีนาฬิกาอยู่ในกระเป๋าเสื้อเช่นกัน  เขาอาจดูเงียบมากในความรู้สึกของคนเฮฮาอย่างผม แต่กับความรู้สึกที่เป็นมิตรของเขานี้สิ  เป็นสิ่งประหลาดที่แล่นผ่านมาทางความรู้สึกได้ดีเลยทีเดียว

                 สวัสดีครับ ผม ชัยครับ มาจากกรุงเทพ ผมเอามือชี้อกแนะนำตัวเองก่อน

                  เขาหยุดนิ่ง ดูเหมือนจะลังเล  แต่สักพัก เขาก็พูดออกมา

                 ผมกระทิงครับ ผมเห็นคุณตั้งแต่ก่อนขึ้นรถไฟแล้วล่ะ

               แววตาที่มุ่งมั่น ส่อแววไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆนั้น ช่างสมกับชื่อเล่นเขาจริงๆ  ผมคิดในใจ

                อ้าว! คุณเห็นผมด้วยหรือครับ ?ผมอุทานพลางสงสัย

                 ผมชอบมองผู้คน และพยายามจดจำมันไว้น่ะครับ  เขาอธิบาย แล้วก็เงียบไป

                 เขายังคงนั่งนิ่งๆ  และเงียบลงไป  แล้วก็เลือกหันหน้าออกไปมองภาพนอกหน้าต่าง            

                 ดูท่าทางคุณมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับรถไฟขบวนนี้น่ะครับ 

                 ผมพยายามชวนคุยต่อ  

                 เขาไม่ตอบออกมา  แต่ผมสังเกตได้ เขาเลือกที่จะอมยิ้มแทนการพูด  แม้ว่าเขาจะดูเป็นสุขจากการได้ระลึกหรือรื้อฟื้นความทรงจำบางอย่าง  การที่ผมได้ถามบางสิ่งที่ตรงใจเขานั้น  เหมือนทำให้เขาได้เปิดประตูบานใหญ่ออกไป โดยมีคำพูดผมเป็นกุญแจไข  หากแต่เขาก็เลือกที่จะอมยิ้ม และหันกลับไปมองที่หน้าต่างบานนั้นอีกครั้ง แล้วยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ดูอุ่นนั้นยังคงไม่จางหายไปจากความรู้สึกผมเลย

                เขาหันหน้ามาอีกคราว และการสนทนาของเราก็เริ่มขึ้นจากตอนนั้นเป็นต้นไป       

                และรถไฟขบวนนี้ก็แล่นอย่างหวานเย็นไปเรื่อยๆ  แต่ว่าเราทั้งสองกลับคุยถูกคออย่างไม่น่าเชื่อ มันเหมือนกับเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานมนาน  นี้หล่ะกระมังที่ชาวบ้านเรียกว่า ถูกชะตา

     

                การสนทนาของเราเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นไปด้วยดีทีเดียวตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านไป ผมมีความสุขเสียจริง การเป็นนักเขียนที่อับจนการเงิน ความสุขนั้นก็คงมาจากการได้ผ่อนคลายตัวเองโดยการนั่งฟังเรื่องราวคนอื่นที่เล่าอย่างตั้งใจกระมัง

               

                เรื่องหนึ่ง ที่ผมประทับใจ ก็คงเป็นเรื่องที่เขาเล่าเรื่องราวตอนเป็นเด็กให้ผมฟัง  ดูราวกับเขาอยากให้ผมฟังแล้วคิดเห็นต่างไปหรือไหม

                

               ครั้งหนึ่งตอนผมยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ผมมักจะถามแม่เสมอว่า ทำไมถึงเลือกพ่อ ทุกคราว ที่ผมถาม แม่มักจะบอกว่า รอให้ลูกโตกว่านี้ก่อน  หากแต่ผมเพียรถามแม่อย่างสงสัยอยู่เสมอในทุกครั้งที่นึกออก และแม่ก็จะมองหน้าผมด้วยสายตาที่เหมือนส่งยิ้มละไมให้  แต่ไม่เคยตอบกลับมาเลย  ดูเหมือนแม่ได้รับความสุขจากตัวผมไว้เต็มล้น  หากมีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่เลือกที่จะเม้มปากอยู่นาน  นั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่แม่เลือกจะพูดออกมาแทนการตอบด้วยสายตา  คงเพราะต้องนึกหาคำพูดที่เหมาะสมกับผมในสมัยนั้นกระมั้ง เพื่อจะได้สื่อสารให้ผมเข้าใจได้ง่ายที่สุด 

     ในที่สุด แม่ก็เลือกคำพูดออกมา

                    การที่แม่เลือกพ่อนั้น ไม่ได้แปลว่าแม่โง่หรือพ่อของลูกไม่ดีหรอกน่ะจ้ะ  การที่ลูกจะใช้ชีวิตร่วมกับคนๆหนึ่งที่ลูกรัก ที่ลูกคิดว่าทั้งชีวิตก็ยอมเสียสละให้ได้  มันต้องมาจากหัวใจ มันไม่ได้มาจากตรงนั้นหรอก  แม่ชี้ไปที่ศีรษะผม แล้วกล่าวต่อ

                    สักวันเมื่อลูกมีความรักที่แท้จริง ลูกย่อมรู้จักการให้…”

           

                    แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา    

                     แม่พูดอธิบายออกมา  ผมมักเลือกจดจำคำพูดของแม่มานั่งคิดอยู่เสมอ อาจเพราะผมไม่เคยคิดจะเข้าใจมัน ใครจะไปเข้าใจความหมายที่แท้จริงที่แฝงไว้ในคำพูดของผู้ใหญ่ได้เล่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×