คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ นักวิทยาศาสตร์
บทที่ ๒ นักวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ ก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ อายุที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายเขาร่วงโรยลง การเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว ผิวหนังที่ยับย่นนั้นก็บ่งบอกให้รู้ถึงความเสื่อมที่มาเยือนได้เป็นอย่างดี ในใจเขาก็คิดไปต่างๆนาๆ เขายังคงนึกทบทวนถึงการกระทำของตนเอง กับบางสิ่งซึ่งมันไม่เป็นการสมควรเลย แต่ก็ทำลงไป เขาถอนใจหายออกมาอีกคราหนึ่ง คงไม่นานนักหรอก การกระทำอันน่ารังเกียจจะสร้างประโยชน์ให้แก่มนุษย์โลกที่ยังมีชีวิตอยู่เท่าที่ดวงดาวนี้จะเคยรับรู้มา
ชายชาวต่างประเทศรูปร่างสูงใหญ่สองคนในสูทชุดสีเข้มเดินออกมาจากมุมมืดของห้องโถงขนาดใหญ่ แล้วมายืนประจันหน้าตรงด้านหน้าเขา ทั้งคู่ต่างมีสีหน้าเรียบเฉย
เขาเดินตามชายสองคนไป หรือจะเรียกว่าถูกคุมตัวไปก็ย่อมได้ การได้พบกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่สมัยเรียนปริญญาเอกด้วยกันที่ต่างประเทศอีกครั้ง อาจเป็นเรื่องที่ดีก็จริง แต่ในใจตอนนี้ยังคงนึกปฏิเสธอยู่ หากแต่เมื่อเดินตามจนไปสุดอีกริมด้านหนึ่ง ก็พบห้องสีน้ำเงิน หนึ่งในสองคนนั้น เปิดประตูแล้วผายมือเชิญให้เข้าข้างใน
ฟิลิเป้ยืนอยู่บนชั้นลอยสูงเหนือหัวคนทั้งสาม เขายังคาบไปป์ แล้วปล่อยควันอันตรายออกมาไม่เปลี่ยนแปลง เวลาต่างไปยี่สิบปี เขาดูแก่ลงไปมาก จากความทุ่มเทค้นคว้างานด้านวิทยาศาสตร์อย่างหนัก ทำให้เขาดูแก่เกินอายุจริงไปพอสมควร
ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ เริ่มนึกทบทวนถึงตัวเอง และคำตอบต่างๆก็วนเวียนไปมา จนเขาเริ่มนึกสงสัยตัวเองอีกครั้ง คำพูดเดิมๆของฟิลิปเป้ก็ลอยกลับมาในหัวเขาอีกครั้ง
“พอล คุณคิดถูกแล้วที่ไว้ใจผม ผลงานของคุณจะทำให้โลกได้รับประโยชน์มากที่สุด แต่
โดยผ่านทางองค์กรของเราเสียก่อน องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรอย่างเราจะทำให้สิ่งที่คุณค้นพบมีประโยชน์ต่อคนนับล้านๆคน คุณจะได้ช่วยคนมากมายเกินกว่าที่คุณนึกคิดได้”
เขาสูดลมหายใจลึกๆ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ บางที่ฟิลิปเป้อาจเป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาจะไว้ใจได้
ในประเทศไทย การค้นพบของเขากลับไม่เป็นที่ยอมรับกัน สื่อมวลชนต่างขนานนามเขาว่าเป็น หมอผีแห่งวงการวิทยาศาสตร์ และโครงการเขาก็เกือบจะพับไป หากแต่เขาตัดสินใจใช้เงินตนเองเพื่อทำการค้นคว้าต่อ หลังจากเกษียณตัวเองจากงานราชการ เงินทองก็เริ่มร่อยหรอลง ในที่สุดเขาตัดใจยอมรับเงินจากองค์กรที่เพื่อนเก่าคนนี้เป็นเจ้าของมาทำวิจัยต่อ โดยมีข้อแม้ว่าต้องแลกกับ การเป็นเจ้าของสิทธิงานวิจัยนี้ครึ่งหนึ่ง
ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ นึกถึงอดีต ฟิลิปเป้ ในตอนนั้น กับตอนนี้ช่างต่างกันเสียจริง ตอนนั้น อำนาจของเงินทองและชื่อเสียงที่ไม่ยั่งยืน ไม่ได้ทำให้จิตใจที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของเด็กหนุ่มที่มาจากครอบครัวที่ยากจนแถบเมดิเตอร์เรเนียนหวั่นไหวแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อกาลเวลานั้นล่วงเลยผ่านไปหลายต่อหลายปี ฟิลิปเป้ ผู้นั้นก็ถูกกลืนหายไปตามวัย เขากลับกลายเป็นเจ้าขององค์กรวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่หนังสือธุรกิจตีพิมพ์ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ หรี่มองไฟด้านบน ตาเขาเริ่มฝาฟางเมื่อมองขึ้นไปกระทบกับแสงไฟ จริงอยู่ เขาอาจมีชีวิตเหลืออีกไม่มากแล้ว แต่ผลงานของเขานั้นจะทำให้โลกจดจำชื่อของ ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ คนไทยคนแรกที่คิดค้นผลงานล้ำค่าที่ทำให้มวลมนุษย์ทั้งหลายลดอาการเจ็บไข้และหยุดความตายได้สำเร็จ
ฟิลิปเป้เดินลงมาหาเขาอย่างช้าๆเหมือนกัน โลกของคนยุคเขากำลังจะสิ้นไป เมื่อแก่ตัวลง เขาก็ต้องยอมรับสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า คนเราเกิดมาก็ต้องเจ็บ และตาย หากจะไม่คิดโทษพระเจ้าก็ต้องนึกโทษตัวเราเองที่รักษาชีวิตให้ยืนยาวเป็นอมตะไม่ได้ หากเมื่อเราสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว ยังมีโอกาสไปตั้งถิ่นฐานยังดาวดวงอื่นได้แล้ว ทำไมเราจึงหยุดยั้งอาการเจ็บป่วยและความตายไม่ได้ มือซ้ายของเขาสั่นเทาอีกครั้ง มันมักเป็นเช่นนี้ ยามคิดถึงการต่อกรกับพระเจ้า หากแต่เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่แข็งแรง อดทนต่อการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยได้เหมือนเช่นเคยแล้ว ทั้งที่ยามนี้ จะไม่มีภรรยามาคอยบ่น คอยเตือน ยามที่เขาโหมงานอย่างหนักเหมือนเช่นเคยแล้ว
ฟิลิปเป้คงเป็นเช่นเขา วัฎจักรขาลงคงคล้ายกัน การทำงานอย่างเกินกำลัง จนก่อร่างสร้างองค์กรขนาดมหึมาที่มีคนยอมรับนับถือได้ นับว่าเป็นการลงทุนเกือบจะทั้งชีวิตของเขาเลยทีเดียว ผมที่บางจนเกือบเห็นหนังศีรษะ คงเป็นคำตอบได้ดี อย่างหนึ่ง เมื่อครั้งหนึ่งการทดลองของเขากับสารเคมีเกิดผิดพลาดขึ้น มันจึงถูกจารึกลงบนตัวและเป็นร่องรอยแห่งความเจ็บปวดอีกบทหนึ่ง ฟิลิปเป้ เพื่อนยาก ที่น่าสงสาร........
‘ทำไมชีวิตของคนที่สู้อย่างคุณจึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้หนอ’ ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ คิดอย่างเวทนา
“ คุณแทบไม่เปลี่ยนไปเลยน่ะ พอล ” ภาษาอังกฤษของฟิลิปเป้ยังคงยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาจะไม่ใช่เจ้าของภาษาที่แท้จริง
ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ มองหน้าเจ้าของคำพูดอย่างใจเย็น ก่อนพูดกลับไปอย่างเนิบๆว่า
“ คุณคงคิดว่าผมใกล้ตายล่ะสิ จริงอยู่ที่มะเร็งร้ายในตัวผมเกือบกลืนกินชีวิตผมไปเสียแล้ว หากแต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก การลุกขึ้นสู้กับมันเพื่องานวิจัยที่มีค่าต่อมนุษย์ชาติโลก มันช่างคุ้มค่ายิ่งนัก และ จะว่าไปแล้ว หากนำสุขภาพผมมาเทียบกับคุณในตอนนี้ ยังนับว่าเป็นโชคของผมที่ก้อนเนื้อร้ายนั้นไม่ได้คร่าทุกอย่างไปหมด ผิดจากคุณ ฟิลิปเป้ คุณเปลี่ยนไป .........”
เจ้าของชื่อโบกมือไปมาราวกับไม่อยากฟัง มือขวายังคงกำไม้เท้าแน่น ราวกับกลัวหกล้ม หลังจากแกว่งมือไปในอากาศได้สักพัก มือซ้ายสั่นๆนั้นก็ลงมาจับที่พนักบันไดตามเดิม เขาเอ่ยพูดอย่างช้าๆ
“ คุณ
ศาสตราจารย์ อนุพงศ์ ราชศักดิ์ ก้มหน้าลง แม้ว่าในใจเขาจะไม่เชื่อฟิลิปเป้แม้แต่น้อย แต่ก็ไม่คิดจะพูดแย้งกลับไป เขาตัดสินใจเลือกพูดระบายความอัดอั้นออกมาแทน
“ แล้วที่คุณทดลองกับคน ผลเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฟิลิปเป้ส่ายหน้าอย่างเย็นชา
“ลูกน้องผมคงทำอะไรผิดพลาดสักอย่าง ผมกำลังตรวจสอบอยู่ อีกไม่เกินสามวันหรอก เราจะได้รู้ความจริง แล้วทำดำเนินการค้นคว้าต่อไป”
ศาสตราจารย์ชาวไทยย่นหน้า ใบหน้าฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาในทันใด
“ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่า ขอให้การทดลองกับคนป่วยคนนี้เป็นคนแรก และเป็นคนสุดท้าย เราควรเริ่มต้นค้นหาสมมติฐานอีกครั้งกับสัตว์เซลล์เดียวก่อนถึงจะถูกต้อง ผมยังมีเวลาให้กับงานวิจัยอยู่น่ะ”
ฟิลิปเป้มองสหายเก่าแก่ด้วยสายตาแปลกๆแวบหนึ่ง แล้วจึงยิ้มละเมียดออกมา แล้วจึงพูดออกมาว่า
“แต่ผมไม่มีเวลาแล้ว พอล เวลาของผมนั้นมีค่ามากที่คุณคิดหลายเท่านัก ถึงแม้อะไรจะเกิดก็ตาม ผมยังต้องการคุณกลับมาเหมือนเดิมน่ะ พอล คุณเป็นคนเดียวที่เข้าใจมันมากที่สุด”
ความคิดเห็น