ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพยุทธพลังแฮกเกอร์

    ลำดับตอนที่ #13 : เอี้ยไป่ออิ๋ง เอี้ยไป่หลง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 61


        หนี้ขนานนั้นคุ้มจริง ๆ เหรอ เรามาที่นี่เพื่อหาความสุขไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องไปเกี่ยวข้องกับตระกูลเอี้ยด้วย วันก่อนเงินที่เสกมาก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว ชีวิตเป็นของเรา หรือ ชีวิตเราเป็นเครื่องผลิดเงินกันแน่

        อี้หนานนั่งจ้องสมุดจดของตัวเอง พลางปลงชีวิต และมองเห็นข้อความใจสมุดจด วันนี้ต้องจ่ายค่าผลึกอีกหมื่นตำลึง

        การซื้อผลึกจริง ๆ ก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร เป็นเหมือนการบังคับฝากเงิน เป็นการกระตุ้นให้เก็บทองในรูปแบบผลึก ถ้าซื้อไม่ไหวก็แค่บอกยกเลิกเพียงเท่านั้น หรือผลัดวันไปก็ได้ อี้หนานไม่อยากให้ตัวเองหย่อนยานขนาดนั้น แต่วันนี้จะวุ่นวายหน่อย มีเอี้ยปี้เฉิน แล้วก็เรื่องเลิกจ้างฮ้วจิ่ว ตอนเย็นนักส่งผลึก เป็นเพราะตัวเองนอนข้ามวันทำให้เงินที่เก็บไว้ไม่เพียงพอ

        "เอาวะ ไหน ๆ วันนี้ก็ต้องนอน เสกให้หมดโควต้าไปเลยดีกว่า ยาก็กินไม่ได้ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น"

        อี้หนานเริ่มทำกานเรียกทองทีละร้อย....เวลาผ่านมาซักพักพลังกลับไม่หมดเมือนที่ตัวเองคิดเอาไว้ แต่ก็ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ กลับกลายเป็นว่า มีโควต้ามากถึงหมื่นหนึ่งพันเศษ

        "เฮ้ยไม่ใช่ว่าได้แค่หกพันกว่า ๆ หรอกเหรอ หรือว่าเพราะการกลายเป็นผู้ฝึกยุทธทำให้แต้มกลายเป็นเท่าตัว อย่างนั้นก็ดี เทียบกับวันที่เสกทองแรก ๆ เราอยู่โลกนี้มาได้เก้าวัน จากที่เสกได้สามพัน กลายเป็นหมื่นแล้ว"

        อี้หนานรู้สึกชื่นชมตัวเองเป็นพิเศษ จึงเดินออกไปบอกคนอื่น ๆ ว่าต้องการพักผ่อนข้ามใครรบกวร จะออกมาอีกทีตอนเย็น ก่อนที่จะเข้าห้องนอนและหลับไป


        "อ่าวท่านน้าปี้เฉินกลับไปแล้วเหรอ" อี้หนานเอ่ยถามเอี้ยวโหยว

        "เจ้าค่ะท่านกลับไปเมื่อตอนเที่ยงวัน และบอกว่าจะกลับมาในวันพรุ่งนี้"

        "แล้วฮัวจิ่วละ"

        "นางกำลังฝึกให้จื่อเอ๋อร์อยู่ค่ะ"

        "อื่อไม่มีปัญหาใช่ไหม แล้วยาต่าง ๆ พอไหม"

        "สมันไพรสำหรับอาบตอนนี้หมดแล้วเจ้าคะ ยาชำระกายเหลือเพียงสองเม็ดสำหรับนายเท่าน ยาสร้างรากฐานเหลือสิบขวด ยาปราณต้นกำเนิดเหลือ สิบเอ็ดขวด"

        "ท่านน้าปี้เฉินรู้เรื่องจำนวนยาที่เหลือแล้วใช่ไหม"

        "เจ้าค่ะ"

        "ตามที่คาดพรุ่งนี้นางน่าจะมาเวลาเดียวกับวันนี้ เราค่อยออกไปซื้อกันทีหลัง"

        อี้หนานมองออกไปข้างนอก "วันนี้ฮัวจิ่วสอนวันสุดท้าย ปริมาณยาที่กินได้ ส่วนมากก็พอรู้แล้ว ป่ะ! ไปบอกฮัวจิ่วและคนอื่น ๆ เราจะไปเลือกซื้ออาวุธไม้สำหรับฝึกกัน"


        ทุกคนเดินทางออกจากคฤหาสน์ มุ่งสู่ร้านขายอาวุธ

        "ว๊าวคุณชาย ๆ มีหุ่นฟาง และหุ่นไม้รุ่นใหม่ด้วย นี่กระบี่ไม้...นี่น่า และนี่ก็ไม้..." เอี้ยเล้งชู่ร่าเริงตาเป็นประกายเหมือนเด็กที่เข้ามาในร้านของเล่น

        "เล้งชู่ อย่าทำคุณชายขายหน้า" เอี้ยโหยวดุ

        "ไม่เป็นไร ได้เจอของที่ตัวเองชอบทั้งที เต็มที่เลย อยากได้ชิ้นไหนก็หยิบได้ตามสบาย"

        ก่อนมาอี้หนานจึงเสกทองไปอีกเจ็ดหีบ ทำให้เหลือโควต้าของวันนี้อีกหกร้อยตำลึงทอง แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่มีตั๋วแลกเงินอยู่เลย  อี้หนานจึงเอาหีบทองมาด้วยถึงสี่หีบ

        ร้านนี้เป็นร้านขายอุปกรณ์ฝึก มากมาย อี้หนานซื้อกระบี่ไม้ กระบี่เหล็กไม่ลับคมที่ผสมเศษผลึก หอกทวนโล่ ธนู อาวุธทุกอย่างที่มีขายในร้าน แบบไม่มีคม เหมาทั้งหมด

        "คุณชายจะตั้งโรงฝึกเหรอ" อี้หนานได้ยินก็หัวเราะ

        สำหรับวาวุธฝึกต่าง ๆ มีราคาไม่แพง อี้หนานจึงเลือกซื้อได้สบาย ๆ จ่ายไปไม่ถึงร้อยตำลึง

        อี้หนานจึงออกจากร้านอาวุธไปร้านขายยา ซื้อยาปราต้นกำเนิดสามสิบขวด ยาชำระกายสามสิบเม็ด ยาอาบยี่สิบชุด และยาแก่นปราระดับหนึ่งหนึ่งเม็ด ทำให้เหลือเงินประมาณแปดร้อยตำลึงจึงนำที่เหลือไปแลกเป็นตั๋วแลกเงินทั้งหมด

        สุดท้ายก็พาสาว ๆ เดินเที่ยวซื้อของเล็ก ๆ น้อยกันอีกพักนึง

        "แม่นางฮัวจิ่วขอบคุณที่ดูแลพวกข้าตลอดสามวันที่ผ่านมา"

        "เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ขอให้คุณชายโชคดี"

        "ท่านก็เช่นกัน ว่าง ๆ ท่านก็มาเยี่ยมพวกนางได้"

        สาว ๆ คนอื่นกล่าวลากับฮัวจิ่วเช่นกัน เอี้ยจื่อถึงกับน้ำตาไหลตอนบอกลา พอได้ถามก็รู้มาว่าเพราะเธอฝึกวิชาไม่ค่อยเก่ง ฮัวจื่อจึงดูแลนางเป็นพิเศษและด้วยที่อายุพวกเธอคือสิบหกเท่ากันจึงสนิดกันเป็นพิเศษ อี้หนานก็ยิ้ม ๆ และลูบหัวเอี้ยจื่อ

        "ไม่ได้ตายจากกันเสียหน่อย ฮัวจื่อก็เป็นคนเมืองนี้ สำนักที่นางฝึกตนก็อยู่ที่นี่ รับรองว่านางมาเยี่ยมเจ้าบ่อย ๆ แน่นอน เจ้าก็ลองขอที่อยู่ เขียนจดหมายไปหานางบ่อย ๆ ก็ได้"

        เอี้ยจื่อได้ยินดังนั้นก็วิ่งไปทางที่ฮัวจื่อจากไป

        "พี่สาวเล้งชู่ตามไปดูแลนางที"

        "ค่ะนายท่าน"

        เอี้ยเล่งชู่ที่ตอนนี้พกกระบี่ไม้ที่ซื้อมาไม่ห่างตัว อี้หนานภาวนาในใจไม่ให้นางเผลอเอากระบี่ไม้ไปตีกับใคร

        เมื่อทั้งสองกลับมา เอี้ยจื่อก็มีรอยยิ้มบาง ๆ จ้องกระดาษในมือไม่วางตา อี้หนานก็ยิ้มให้และพาทุกคนกลับคฤหาสน์



        เมื่อกลับมาถึง ก็พบรถส่งของจากร้านขายอุปกรณ์จอดอยู่หน้าคฤหาสน์ จึงสั่งให้ย้ายของต่าง ๆ เข้าไปเก็บที่ห้องหนึ่ง

        "นายท่าน ข้าขอเอาหุ่นไม้ไว้ด้านนอกซักตัวนึงได้ไหมเจ้าคะ"

        อี้หนานจึงหันไปถามเด็กยกของ

        "พวกนี้กันน้ำไหม" อี้หนานชี้

        "กันน้ำแน่นอนนายท่าน ผลิดจากไม้เน้อแข็งอย่างดีทนแดดทนฝน ยกเว้นแต่พวกหุ่นฟางกับดาบเล็ก ต้องเก็บรักษาในร่ม"

        อี้หนานพยักหน้า อย่างมากก็ซื้อใหม่ ไม่ต้องไปดูแลอะไรมันมากก็ได้

        "ได้ยินแล้วใช่ไหม ข้าให้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบดูแลอุปกรณ์พวกนี้ก็แล้วกัน เอาสมุดไว้เล่มนึงจดข้าวของทั้งหมด อะไรขาดอะไรเสียค่อยมารายงานข้าอีกทีก"

        "ค่ะนายท่าน!"

        อี้หนานก็นั่งฝึกเดินลมปราข้างลานฝึก ที่เอี้ยเล้งชู่ฝึกรำกระบี่

        "พี่เล้งชู่ ฮัวจิ่วสอนท่านใช้กระบี่ด้วยเหรอ"

        "ไม่ได้สอนค่ะนายท่าน ข้ารำมั่ว ๆ แหะ ๆ "

        เอี้ยเล้งชู่เกาหลังศรีษะ อี้หนานก็ยิ้มไม่ว่าอะไรและฝึกตัวเองต่อ

        สาว ๆ คนอื่นก็เริ่มทำอาหารสำหรับมือเย็น เมื่อทำเสร็จก็มานั่งฝึกเช่นกัน

        ปราไหลระหว่างนิ้วนั้นไม่ยากเท่าไหร่หรอก แต่พอพยายามแยกนิ้วก็แยกไม่ได้ เหมือนนิ้วทั้งสองเปลี่ยนเป็นแม่เหล็ก แยกได้เล็กน้อยก็ดูดติดกัน พออี้หนานลองเอาแหวนมาถือด้วยนิ้วชี้และโป้ง แต่ก็ไม่อาจทำให้ปราไหลผ่านไปอีกด้านได้

        กำลังฝึกพลิน ๆ พ่อค้าผลึกเมิ่งก็เอาผลึกมาส่งถามอาการอี้หนานเล็กน้อยและเดินทางกลับ

        ทำโน่นนี่ ส่งการบ้านให้สาว ๆ เสร็จ ก็เสกทองและนอนหลับไป


        หลังจากที่ลำบากเรื่องเงินในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตอนนี้อี้หนานก็รู้สึกโล่งสบายเพราะเสกเงินได้เกินหมื่นตำลึงทองต่อครั้งแล้ว อยากหยุดแค่นี้แล้วนอนเล่นไปวัน ๆ จริง ๆ

        หลังจากกินข้าวเช้า อี้หนานก็มานอนเล่นที่ชานบ้านข้าง ๆ สระบัว หยิบสมุดจดของตัวเองออกมาดู พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรทำอี้หนานก็นอนเส่งพลังผ่านนิ้วของตัวเองและพยายามแยกออกจากกันไม่รีบร้อนไม่ออกแรง แต่ทำไปเรื่อย ๆ ไล่ไปทีละนิ้วทั้งสองมือ

        เอาจริง ๆ ทุกวันนี้เราใช้โควต้าในการเสกทอง โควต้านี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังปราในร่างเรา วันก่อนก็ไม่ได้ลองเดินหลังหลังจากที่โควต้าหมด และไม่เคยฝึกแยกนิ้วก่อนที่จะเสกเงิน อาจจะฝึกได้ง่ายขึ้นก็ได้ ไม่เกี่ยวละมั้งมีมากมีน้อย ต่างกับมีและไม่มี

        นอนหลับตาซักพัก เอี้ยเล้งชู่ก็เดินมา

        "นายท่าน แม่นางเอี้ยปี้เฉินมาแล้วค่ะ"

        อี้หนานลุกขึ้นไปต้อนรับเอี้ยปี้เฉิน

        "อรุณสวัสดิ์เสี่ยวหนาน"

        "อรุณสวัสดิ์ท่านน้าปี้เฉิน สองคนนั่นคือ"

        "นี่คือลูก ๆ ลองน้าเอง น้าตั้งใจมานอนที่นี่เลยพวกเขามาอยู่ด้วยกัน ได้ไหม"

        "ตามสะดวกท่านน้า" อี้หนานนึกไม่ถึงว่าจะมีเด็กเข้ามาอยู่ด้วย แล้วงี้เขาจะทำกับพวกสาว ๆ ก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ...คิดอีกทีมันก็น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน ฮ่า ๆ

        "ลูกสาวน้าไป่อิ๋ง กับลูกชายไป่หลง เป็นเด็กฝาแฝดอายุแปดขวบ อิ๋งเอ่อร์เป็นพี่สาว ทั้งสองคนสวัสดีพี่ชายอี้หนานซิ"

        "สวัสดีอี้หนาน" เอี้ยไป่อิ๋งเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารัก แต่มีแววตาดื้อรั้นไม่ยอมใคร

        "สวัสดีครับอี้หนานเกอ" เอี้ยไป่หลงหน้าตาไม่ต่างจากเอี้ยไป่อิ๋ง แต่ท่าทางซื่อ ๆ และเชื่อฟังแตกต่างจากอีกคน

        "สวัสดีทั้งสองคน พี่ชื่ออี้หนาน" อี้หนานยกมือลูบหัวไป่อิ๋ง แต่ถูกปัดมือ

        "อย่ามาลูบหัวนะ ข้าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว" พร้อมแววตาโกรธ

        อี้หนานก็มองยิ้ม ๆ แล้วไปลูบหัวไป่หลงต่อโดยไม่สนใจ

        "อย่ามาเมินกันนะ!"

        การตอบสนองเหมือนที่คิดไว้ อี้หนานเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่

        "ท่านน้าเราไปคุยกันข้างในเถอะ ให้พวกเด็ก ๆ อยู่กับพวกพี่สาวก็แล้วกัน"

        เอี้ยปี้เฉินพยักหน้า

        "พี่สาวโหยว พี่สาวเล้งชู่ ฝากดูแลเด็กสองคนนี้ด้วย"

        เด็กนิสัยแบบนี้ เอี้ยจื่ออาจถูกแกล้งได้ ส่วนเอี้ยหลานก็อาจชวนทะเลาะ ให้พี่สาวโหยวที่เหมือนแม่ของทุกคนไปจัดการ กับความทิ่มของเอี้ยเล่งชู่ น่าจะได้เห็นอะไรสนุก ๆ มากกว่า

        "อิ๋งเอ่อร์นิสัยออกจะดื้อไปสักหน่อย ช่วยทน ๆ แกหน่อยก็แล้วกัน หลงเอ่อร์เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ว่าติดตรงที่ชอบทำตามอิ๋งเอ่อร์นี่ล่ะ ปีนี้ทั้งคู่ก็อายุได้แปดขวบแล้ว ว่าจะให้ทั้งสองคนไปสอบเข้าสำนักดู"

        อี้หนานพอได้ยินก็มองไปทางที่สีเสียงเด็กทั้งสองคน

        "ไม่เป็นไรหรอก ข้ารับมือได้ แต่เรื่องให้สองคนนี้ไปสอบ ไม่เด็กเกินไปเหรอ"

        "น้าก็ว่าอย่างนั้น แต่พ่อของพวกแกน่ะซิ อยากให้เข้าสำนักไว ๆ เด็ก ๆ จะได้พัฒนาเพราะมีการแข่งขัน"

        "ก็จริง พอคิดดูแล้วเรื่องนี้พูดยากทีเดียว ข้าเป็นคนนอกขอไม่ยุ่งก็แล้วกัน"

        "ไม่ช่วยน้าคิดแผนหน่อยเหรอ น้าว่าอย่างเสี่ยวหนานต้องมีแผนการอะไรดี ๆ แน่"

        "ท่านน้าเห็นข้าเป็นคนยังไงกัน ข้าไม่ได้ชอบวางแผนเสียหน่อย ข้าชื่นชอบความสบายมากกว่า"

        "ทำไมน้าไม่เห็นว่าเป็นแบบนั้นเลย" เอี้ยปี้เฉินมองตาอี้หนานด้วยแววตาเอ็นดู

        "แล้วแต่พวกท่านเลย แต่ถ้าอยากให้เข้าสำนักจริง ๆ ก็อย่าช้าเกินไป ไม่งั้นจะเป็นแบบข้าได้...ว่าไปเด็กสองคนนี้ฝึกถึงขั้นใดแล้ว"

        "ก็พอ ๆ กับเด็กทั่ว ๆ ไปที่ฝึกวรยุทธ ปราก่อราก อิ๋งเอ่อร์ขั้นหก หลงเอ่อขั้นห้า ฝีมือทั้งคู่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อิ๋งเอ่อร์จะมีความกล้ามากกว่าจึงเก่งกว่าเล็กน้อย"

        "เหมือนข้าได้ยินว่ามีอุปกรณ์วัดพลัง ท่านน้าพอจะมีไหม ข้าอยากลองทดสอบดู"

        "ไม่ใช่ว่าเสี่ยวหนานพึ่งจะเลื่อนระดับไม่ใช่เหรอ ร่ายกายยังไม่ปรับสภาพกระมัง พอร่างกายปรับสภาพก็ต้องฝึกเดินพลังปราภายนอกเสียก่อน ถึงจะใช้อุปกรณ์วัดได้"

        "แม่ง!... ขอโทษท่านน้าข้าซื้อแหวนมิติมาได้หลายวันแล้วแต่ยังใช้ไม่ได้เสียที เลยโมโหเล็กน้อย"

        "หึ ข้านึกว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กเสียอีก พอเห็นเจ้าโมโหกับเรื่องแค่นี้ ถึงได้รู้ว่าเจ้าก็ยังมีความใจร้อนเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป"

        "ข้าก็เป็นข้านี่ล่ะ ไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อยจะได้ไร้อารมย์ความรู้สึก"

        "เจ้าก็พูดตรงเกินไป เทพเซียนต้องละซึ่งกิเลส ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีความรู้สึกเสียหน่อย"

        อี้หนานได้ฟังก็ประหลาดใจ โลกนี้เทพเซียนมีตัวตนจริง ๆ ซินะ

        "เทพเซียนนี่ เราสามารถฝึกฝนไปถึงได้ไหม"

        "อันนี้น้าเองก็ไม่รู้ เทพเซียนมีชีวิตเป็นอมตะเปี่ยมด้วยเมตตา การฝึกสามารถทำให้อายุยืนยาวได้ แต่เรื่องที่คนธรรมดาสามารถฝึกกลายเป็นเทพเซียนได้นั้น ก็มีแต่เรื่องที่ลือกันมาในหมู่ชาวบ้าน ถึงเทพเซียนจะมีตัวตนจริง ๆ แต่ก็ไม่ปรากฏตัวมานานมากแล้ว แต่หากมนุษย์เกิดภัยพิบัติ ท่านจะต้องปรากฏตัวอย่างแน่นอน"

        "มีเซียนเทพก็ต้องมีเซียนมาร ท่านน้าเคยได้ยินเรื่องเซียนมารหรือไม่"

        "เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มากจากไหน ห้ามเจ้าพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นได้ยินอีก ข้าขอห้ามเจ้า!"

        อะไรวะ? "นี่เป็นสิ่งต้องห้ามงั้นเหรอ มีแสงสว่างย่อมมีความมืด เอาเถอะเมื่อท่านน้าบอกให้ไม่พูด ข้าก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้" แต่ข้าจะสืบเอาเองให้รู้เรื่องนี้ให้ได้ ตัวท่านน้าเอง ก็เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง

        อี้หนานยกชาขึ้นมาจิบ "อ๋อท่านน้า ข้าอยากลองเข้าสำนักฝึกวิชาเช่นกัน ท่านช่วยบอกข้อดีของการเข้าสำนักฝึกวิชาให้ข้าหน่อย ได้ยินมาว่าแถบนี้มีสำนักอยู่สามแห่ง แต่ละสำนักแตกต่างกันอย่างไร"

        "อายุของเจ้าออกจะเกินเกณไปซักหน่อย แต่ก็สามารถเข้าสำนักได้ การเข้าสำนักจะได้ทรัพยากรมากมาย วิชาเฉพาะของแต่ละสำนักที่ไม่ถ่ายทอดให้บุคคลภายนอก และภารกิจของสำนัก ที่สามารถทำให้จอมยุทธธรรมดากลายเป็นเศรษฐี" พูดถึงตรงนี้เอี้ยปี้เฉินก็มีแววตาที่เศร้า

        เอี้ยปี้เฉินอธิบายต่อ

        "สำนักกระบี่ดาวดึงส์ แน่นอนว่าต้องเด่นเรื่องวิชากระบี่ สำนักนี้ตั้งแต่สร้างขึ้นมาก็ได้รวบรวมวิชากระบี่ อาวุธวิเศษไว้มากมาย 
        สำนักชิงชาน มุ่งเน้นฝึกฝนจิตใจ เป็นสำนักที่เก่าแก่ที่สุด ทำให้มีวิชาและตำราที่สืบทอดต่อกันมามากที่สุด 
        สำนักครามมังกร เป็นสำนักที่เน้นฆ่าสัตว์อสูร รวบรวมยาและวิชาแปลกประหลาดจากดินแดดลี้ลับต่าง ๆ "

        อี้หนานยิ้ม บ้าอาวุธ สํานักสงฆ์ และโรงเชือด

        "ทรับยากรตัดทิ้ง ภารกิจพารวยตัดทิ้ง เหลือเพียงวิชาความรู้เท่านั้นที่ข้าสนใจ วิชากระบี่ วิชาโบราณและความรู้เก่าแก่ วิชาลับที่แปลกประหลาด"

        "ดูเจ้าจะมั่นใจในทรัพย์สินของเจ้าเหลือเกินนะเสี่ยวหนาน"

        "เรื่องอื่นข้าอาจไม่มั่นใจ แต่เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาอี้หนานซะอย่าง ว๊า ฮะ ฮ่า "

        "จริงเหรอ ถ้างั้นขอให้เสี่ยวหนานจ่ายค่าจ้างซักพันตำลึงทองเป็นยังไง" เอี้ยปี้เฉินส่งสายตายั่วยวน

        "ท่านน้าล้อข้าเล่นแล้ว ถ้าข้าจะมีเงิน แต่ข้าต้องเก็บไว้ทำทุนเปิดร้านของข้า ขอท่านน้าโปรดรอซักหน่อย ตอนนี้ข้าจ่ายให้ท่านได้ไม่มากนัก แต่ก็ไม่น้อยแน่นอน"

        "ข้าล้อเจ้าเล่น ทองพันตำลึง เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้า จ่ายให้น้าไม่ไหวหรอก"

        อี้หนานก็ยิ้มตอบ ข้าเรียกทองมาได้วันละหมื่นตำลึง ท่านประเมินข้าต่ำไปแล้ว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×