ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Risen Age

    ลำดับตอนที่ #3 : ป่าเหมันต์ - Winter Forest

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 48


        วิลเหงื่อแตกท่วมหน้า ทั้งจากความเหน็ดเหนื่อยในการวิ่งตามหาเอลลี่ และเพราะความคิดภายในสมองของเขาวิ่งวนชนกันเต็มไปหมดแต่สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าเขาพอจะทำได้ในตอนนี้คือ ต้องตามหาตัวเอลลี่ให้พบก่อนที่ครอบครัวของเธอจะตามหาเธอ เพราะมันอาจทำให้เขากลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ และเรื่องนี้จะใหญ่โตและเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง และเขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเอลลี่บ้าง



        เขาเริ่มต้นวิ่งจากหน้าบ้านของเอลลี่ตรงไปยังป่าทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน และเริ่มต้นหาตัวเธอจากจุดที่เขาเห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเขามาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม ก็เป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว เขารู้ดีว่าใกล้เวลาอาหารเย็นเข้ามาทุกทีๆ แต่สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่อาหารเย็น หากแต่ถ้าเอลลี่และเขาไม่อยู่ที่บ้านในเวลาระฆังตีหนึ่งครั้งล่ะก็ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นทั่วทั้งเมืองเป็นแน่ ข่าวเรื่องคนหายของที่หมู่บ้านเล็กๆนี้ไม่ใช่ข่าวเล็กๆเลย



        เด็กหนุ่มมองหาร่องรอยของเด็กสาว แต่ก็ไม่พบเลย ราวกับว่าเธอถูกลมหอบเอาตัวไป ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน หรือของตกทิ้งไว้สักชิ้น วิลพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อให้สมองปรอดโปร่งพอที่จะคิดวิธีการต่างๆออกมาได้ เขาหลับตาลงยืนนิ่งสงบท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของเขาให้ลู่ไปตามแรงลม

        ชั่วขณะที่สมองของเขานิ่งสงบนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงลึกลับที่เขาไม่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นเสียงเล็กๆของบางสิ่ง ที่กำลังพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ไม่ไกลนัก แต่ในเวลาเย็นย่ำเช่นนี้ จะมีใครที่ไหนมาพูดคุยกันอยู่อีกเล่า ขณะนี้เขาหันหน้าเข้าหาต้นไม้ใหญ่ เสียงกระซิบนั้นอยู่ไม่ไกลออกไปทางขวา ที่มีคลองเล็กๆอยู่ มันเป็นคลองตื้นๆที่มีต้นอ้อขึ้นอยู่หนาแน่น เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาจึงตั้งใจฟังจับใจความเสียงกระซิบนั้น

        \"เธอเห็นเด็กสาวนั่นมั้ย ที่มาที่นี่เมื่อตอนเช้า\"

        \"อ๋อ เด็กสาวที่ใส่ชุดสีชมพูขาวเมื่อเช้าน่ะเหรอ\"

        \"ใช่ๆ เมื่อตอนบ่ายจัดฉันเห็นพวกกองโจรก๊อบลินจากป่าเหมันต์ผ่านมาด้วยนะ\"

        \"มันพาตัวเธอไปเหรอ\"

        \"ใช่ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะพาเธอไปทำไม\"



        เสียงลึกลับจากกลุ่มต้นอ้อสองเสียงนั้น พูดคุยตอบโต้ไปมา ทำให้วิลพอจะรู้ได้บ้างว่าเอลลี่หายตัวไปได้อย่างไร พวกก๊อบลินเป็นชนเผ่าที่แยกตัวอยู่อย่างสันโดษ พวกมันจะอยู่รวมกันเป็นหมู่มากเสมอ ถึงแม้ก๊อบลินจะตัวเล็กและไม่มีแรงพอที่จะสู้กับคน แต่แผนการและความสามัคคีของพวกมันนี้เอง ที่ทำให้มันอยู่รอดได้ การจะเอาชนะก๊อบลินที่อยู่รวมกันมากๆจึงเป็นไปได้ยากทีเดียว



        วิลตั้งสติมั่นแล้วจึงเริ่มต้นตามหาเอลลี่อีกครั้ง ที่เดียวที่เขาคิดว่าพวกก๊อบลินจะพาตัวเอลลี่ไปไว้ก็คือ ป่าเหมันต์ที่เป็นที่อยู่หลักของพวกมัน ที่ป่าเหมันต์นี้ เขาเคยเห็นครั้งหนึ่ง เป็นป่าที่อยู่ไกลออกไปจากป่าทิศตะวันตกที่เขามาเป็นประจำ เมื่อเขาเล่าให้แม่ฟังแล้ว แม่ของเขาก็ห้ามไม่ให้เขาเดิน ออกไปไกลกว่าต้นไม้ใหญ่นี้อีก ซึ่งเขาก็ทำตามโดยดี เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากไปที่นั่นสักเท่าไรนัก



        แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป หากเขาไม่เข้าไปในป่านั้น เขาอาจไม่ได้พบหน้าเอลลี่อีกเลยก็เป็นได้ ป่าเหมันต์นี้ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย มีเพียงชนเผ่าบางพวก อย่างชนเผ่าก๊อบลิน ที่หลีกหนีจากมนุษย์และความวุ่นวายมาอยู่เท่านั้น ที่ป่านี้ได้ชื่อว่าป่าเหมันต์นั้นก็เพราะ แม้ในตอนกลางวัน ที่ป่านี้ก็จะมืดครึ้มตลอดทั้งวันด้วยเงาจากต้นวิลโลว์สูงใหญ่ที่ปกคลุมทั่วทั้งป่า ทำให้ป่านี้ชุ่มชื้นตลอดทั้งปี จึงมีหมอกหนาในตอนเช้าตลอดไปจนถึงช่วงเย็น เมื่อค่ำแล้วก็ยิ่งไม่สมควรเข้าไปใกล้อย่างยิ่ง เพราะที่ป่านี้ทั้งรกทึบ และมีสัตว์ป่าดุร้ายมากมายที่ออกหากินในเวลากลางคืน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ที่ป่าเหมันต์นี้ก็ไม่ใช่ป่าที่มนุษย์และชนเผ่ารักสงบสมควรจะเข้ามายุ่มยามเลย

        

        วิลล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา แล้วล้วงเทียนไขเล่มใหญ่ออกมาเล่มหนึ่ง พร้อมทั้งเครื่องมือจุดไฟ เขาจุดเทียนไขด้วยเวทย์มนต์จุดไฟพื้นฐาน

    แล้วจึงเริ่มเดินโดยใช้มือป้องเทียนไขเล่มนั้นไว้อย่างระมัดระวังที่สุด เพราะแม้เวลานี้พระอาทิตย์จะยังไม่ตกดิน แต่ในป่าเหมันต์นั้นกลับมืดมิดราวกับ

    เวลาที่ป่านี้เร็วกว่าโลกภายนอกถึงสามชั่วยาม



        เขาก้าวข้ามเขตป่าเหมันต์ด้วยใจสั่นระทึก เขารู้ได้จากต้นวิลโลว์ต้นแรกที่เขาเดินผ่าน เป็นสัญญาณว่า เข้าตกอยู่ในสถานที่อันตรายแล้ว เขาจึงค่อยๆเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง พลางใช้มือป้องเปลวเทียนจากสายลมที่พัดส่งเสียงหวีดหวิวชวนให้ขนทั่วทั้งกายลุกชันอยู่ตลอดเวลา เสียงสัตว์ป่าที่เห่าหอนดังมาไกลๆในป่าแห่งนี้ ไม่อาจทำให้เขาล่วงรู้ได้เลยว่า เขาจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าที่ดุร้ายเมื่อไร



        บรรยากาศรอบๆตัวเขาเริ่มมืดลงเรื่อยๆ วิลระแวงระวังรอบตัวเขาอยู่ตลอดเวลา เขาละสายตาจากต้นไม้รอบๆตัวเขาไม่ได้เลย เพราะรอบตัวเขานั้นมีแต่ต้นวิลโลว์เต็มไปหมด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ที่เหมือนๆกันไปหมด ทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาไกลเพียงใดแล้ว

        ขณะที่ความคิดต่างๆกำลังประดังเข้ามาให้หัวของเขานั้นเอง ก็มีบางสิ่งบางอย่างกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ตรงข้างทางอย่างรวดเร็ว!

    เขาตกใจมากและทำเทียนไขตกจากมือในทันที ก่อนที่จะทันได้สังเกตว่าสิ่งที่กระโจนออกมานั้น เป็นเพียงลูกแมวป่าตัวเล็กๆเท่านั้น... วิลโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก พลางตำหนิตัวเองที่ตกใจมาเกินเหตุขนาดนั้น ขณะที่เขากำลังโน้มตัวไปเก็บเทียนไขที่ทำตกอยู่นั้นเอง ก็มีบางสิ่งที่เขาไม่อยากพบเจอที่สุดในป่านี้ปรากฎตัวขึ้น!

        

        เสือดำจากัวร์ตัวใหญ่กระโจนออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง มันมีขนสีดำขลับเป็นมันวาว ขาทั้งสี่ที่แข็งแรงกำยำ อีกทั้งดวงตาทั้งสองที่เป็นมันวาวอยู่ในความมืดนั้น จ้องมองมาที่เขา เดิมทีมันอาจต้องการเพียงอาหารว่างยามค่ำเท่านั้น แต่บัดนี้มันคงได้พบกับอาหารมื้อใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ามันแล้ว และมื้อนี้ของมัน อาจต้องเป็นเขาเอง...



        วิลรู้สึกราวกับเกิดช่องว่างระหว่างเวลาอันยาวนานขึ้น มันใช้ดวงตาที่ใสเงาวาวราวกับลูกแก้วนั้นมองมาที่เขา เขาเองก็จองมองตามันกลับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาไม่เคยต้องเผชิญหน้าต่อสัตว์ป่าดุร้ายตามลำพังเช่นนี้เลย เหงื่อทั่วตัวของเขาไหลซึมทั่วกาย แต่เขาเองกลับรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัว ขาที่สั่นเทิ้มของเขานั้น ไม่รู้ว่าควรจะก้าวสู้หรือถอยหนีดี เพราะตอนนี้ขาของเขาขยับไม่ออกแล้ว...



        เมื่อวิลรู้สึกกลับมาใช้ขาได้ตามปกติแล้ว กำลังจะถอยหลังมาตั้งหลัก เพราะตอนนี้ ตัวเขาเองและเสือดำจากัวร์ห่างกันไม่ถึงสิบก้าวเท่านั้น แต่แล้วเมื่อขาขวาของเขากำลังขยับไปข้างหลังนั้นเอง ส้นเท้าของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับกิ่งไม้แห้ง เกิดเสียงดัง \"แกร๊ก\" อันเป็นเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบในป่านี้ มันอาจเป็นเพียงเสียงที่เบาที่สุดที่ควรจะเกิดขึ้นก็ได้ แต่วินาทีนี้ มันกลับส่งเสียงก้องกังวาลลั่นสนั่นโสตประสาทของเขา



        เมื่อเสือดำนั่นได้ยินสัญญาณที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวของเหยื่อ ก็เริ่มก้าวขาซ้ายของมันออกมาเตรียมพร้อมสำหรับการปรุงอาหารค่ำมื้อนี้ มันตั้งท่าเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้ามาหาวิล ซึ่งเขาเองก็รู้ตัวดีเช่นกัน มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกว่าตัวเขาเองนั้นทำได้ ไม่ใช่การวิ่งหนีอย่างแน่นอน เพราะช่วงขาของเขากับเสือดำขนาดใหญ่ช่างห่างไกลกันมากเหลือเกิน แต่มันเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด การกระทำนี้ของเขาอาจพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ไร้ค่า แต่หากเขานั้นทำมันไม่สำเร็จ เขาคงต้องถูกประณามจากทุกคนในหมู่บ้านว่าทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ แล้วยังนำความเดือดร้อนมาสู่คนรอบข้างอีกด้วย และที่สำคัญคือ เขาต้องตาย!



        เขาใช้มือขวาล้วงเข้าไปใต้เสื้อคลุมเพื่อหาคฑาเวทย์มาต่อกรกับเสือดำนั่น อย่างน้อยก็อาจช่วยยืดชีวิตของเขาออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ขณะเดียวกัน เจ้าเสื้อดำนั่นก็ตั้งท่าเตรียมจะกระโจนเข้าเต็มที่เช่นกัน

        ชั่วพริบตาที่มันกระโจนเข้ามาหาวิล เขาก็ชูคฑาเวทย์ขึ้นตรงหน้าแล้วชี้ไปที่เสือดำนั้น เขาหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธิพร้อมกับร่ายคาถาที่เขาคิดว่าพอจะช่วยเขาได้

        \"ข้าแต่จิตวิญญาณที่ทุกข์ทนในดินแดนน้ำแข็งร้างอันหนาวเหน็บ ขอโปรดส่งพลังให้แก่ข้าได้หยิบยืม เพื่อหยุดยั้งอริศัตรูแห่งข้าให้จมอยู่ในความหนาวเหน็บตลอดกัลปาวสาน... Infinity Frigidy Frost !!\"



        ลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ที่มีดวงวิญญาณนับร้อยนับพันที่ต้องตายด้วยความหนาวเหน็บ สาดพุ่งเข้าสู่ตัวเสือดำจากัวร์ที่กำลังพุ่งตัวเข้าใส่วิล วินาทีนั้นเขาคิดว่าคงสิ้นหวังแล้ว เพราะเสือดำมันยังคงพุ่งตรงมาที่เขา จนตัวมันและเขาอยู่ห่างกันเพียงเอื้อมมือเท่านั้น แต่พลัน ขนที่ดำขลับทั่วตัวมันก็ถูกหุ้มด้วยเกร็ดน้ำแข็งทั่วตัวและหยุดชะงักกลางอากาศพร้อมร่วงลงสู่พื้นเบื้องหน้าเขาทันที!











                                                             ***************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×