ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชีวิต - Life
หลังจากโลกใหม่เกิดขึ้นมาประมาณ 500 ปี...
    ในปี R.Y. 495 นับเป็นเวลาเพียงไม่นานนัก สำหรับชีวิตใหม่ของโลกใบนี้ แต่โลกที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับมีสภาพย่ำแย่กว่าที่ควรจะเป็น มนุษย์ใช้ธรรมชาติเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง เหยียดชาติพันธุ์กับชนเผ่าอื่น และแก่งแย่งชิงดีกันเอง โดยใช้ความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดบนโลก ในการข่มเหงสิ่งมีชีวิตอื่น
    ณ ทวีปมาทาเรีย (Mataria) ทวีปที่แบ่งแยกพื้นที่ออกจากทวีปอื่นๆโดยสิ้นเชิงด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบทวีปทั้งทวีปเอาไว้ โดยมีมหาพฤกษาอิกดราซิล ตั้งตระหง่านอยู่กลางทวีป และลำธารรอบต้นอิกดราซิลนี้เองที่ส่งน้ำออกมาล้อมรอบทวีปเอาไว้ไม่เคยขาดช่วงตลอดทั้งปี ทวีปนี้จึงเป็นทวีปที่เล็กที่สุดบนโลกก็ว่าได้ ภายในทวีปนี้ ชนเผ่าและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ผู้คนที่นี่มีชีวิตด้วยความพอเพียง ไม่ดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ และช่วยเหลือกันเมื่อยามยากลำบากโดยไม่เกี่ยงเผ่าพันธุ์ใดๆ ที่นี่จึงเป็นดั่งสวรรค์บนดินของคนที่นี่ทีเดียว เนื่องจากทุกเผ่าพันธุ์เชื่อว่าตนมีมารดาเป็นคนเดียวกันนั่นคือมหาพฤกษาอิกดราซิลนั่นเอง และนับถือเทพบาลเดอร์ ผู้ให้แสงสว่างแก่โลกใบนี้ เป็นเทพเจ้าสูงสุด และเคารพดั่งบิดาผู้ให้ชีวิตในเวลาเดียวกัน ทุกคนในทวีปนี้จึงมีมหาพฤกษาอิกดราซิลเป็นแม่ ผู้ให้ความสงบร่มเย็นและที่พึ่งพิงอาศัย และมีเทพบาลเดอร์เป็นพ่อ ผู้ชี้ทางให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ดีงาม ดั่งแสงสว่างที่สาดส่องให้แก่ทุกคนบนโลกโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นผู้ใด ผู้คนบนทวีปนี้จึงมีน้ำใจอย่างเปี่ยมล้นดังเช่นแม่น้ำที่รายรอบทวีปมาทาเรีย
ณ หมู่บ้านแมนิสมอร์ (Manismor) หมู่บ้านที่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันมากที่สุด...
    ยามเช้าของวันหนึ่ง แสงสว่างสาดส่องลอดผ่านช่องเล็กๆระหว่างผ้าม่านเข้ามาในห้องนอนของบ้านโฟรมีนอีลีน เด็กหนุ่มคนหนึ่งยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน แต่แสงสว่างที่ลอดเข้ามานั้นดูเหมือนจะปลุกเขาจากห้วงนิทรา เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนและขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
    \"อ้าว อรุณสวัสดิ์จ้ะวิล วันนี้ตื่นแต่เช้าเลยนะจ๊ะ\" ผู้เป็นแม่ของเด็กหนุ่มผู้นั้นทักขึ้นทันทีที่เห็นวิลเดินลงบันไดมาขณะที่ตนกำลังนำอาหารเช้าไปวางที่โต๊ะรับประทานอาหาร
    \"อรุณสวสดิ์ครับแม่\" วิลกล่าวอย่างร่าเริง \"เช้านี้ผมตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นแถวๆป่าทางตะวันตกหน่อยน่ะครับ\"
    ผู้เป็นแม่ชะงักขึ้นทันที \"ไปฝึกเวทย์มนต์นั่นอีกแล้วเหรอลูก\" แม่กล่าวอย่างเป็นห่วง \"ปีนี้ลูกก็อายุ17ปีแล้วนะ ถ้าลูกไม่หัดทำงานทำการเสียบ้าง โตขึ้นไปลูกจะลำบากนะ\"
    \"แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน\" วิลกล่าวอย่างเป็นผู้ใหญ่เกินตัว \"และผมก็เชื่อว่าพ่อจะต้องเชื่อในตัวผมเช่นกัน\" เด็กหนุ่มกล่าวพลางมองไกลออกไป เกินกว่าผู้เป็นแม่จะล่วงรู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เกิดการสนทนาเช่นนี้ขึ้นในบ้าน แต่เป็นการตักเตือนอย่างเป็นห่วงของแม่ที่พูดอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน เพราะตั้งแต่พ่อของวิล ซึ่งเป็นนักเวทย์ที่เสียชีวิตในสนามรบตั้งแต่ที่วิลยังเป็นเด็กมากนัก วิลก็เอาแต่ฝึกฝนการใช้เวทมนต์อยู่ตลอด ถึงแม้หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หมู่บ้านแมนิสมอร์และหลายๆชนเผ่าในทวีปมาทาเรีย จะต่อต้านการเข้าร่วมสงครามทุกๆสงครามก็ตาม
    \"จ๊ะๆ แม่เข้าใจก็ได้ มากินข้าวเช้าก่อนเถอะ เดี๋ยวถ้าไปหมดแรงกลางป่าจะแย่เอา\" แม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น แต่ในแววตายังคงแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงในตัวลูกชายคนเดียว เพราะครั้งหนึ่ง วิลเคยฝึกอยู่ในป่าจนเย็นและเผลอหลับไป จนต้องวานให้เซนทอร์ช่วยพาตัวกลับมา
    ทั้งคู่รับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบเชียบ เมื่อวิลกินเสร็จแล้วจึงนำจานไปเก็บและเดินตรงออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว วิลแตกต่างจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นราวคราวเดียวกันทั่วไปในหมู่บ้าน เพราะโดยส่วนมากแล้ว เด็กชายในวัยนี้ จะเริ่มฝึกฝนงานที่ตั้งใจจะทำในอนาคต โดยอาจไปฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้ที่ชำนาญด้านอาชีพนั้นๆ หรือฝึกฝนกันในครอบครัวที่มีงานหลักอยู่แล้ว แต่ในครอบครัวที่ปลูกพืชผักประทังชีวิตอย่างครอบครัวของวิลแล้ว เขากลับเลือกที่จะฝึกฝนเวทย์มนต์ด้วยตนเอง เนื่องจากในหมูบ้านนี้และหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่มีผู้ชำนาญด้านเวทย์มนต์เลย เขาจึงปรึกษาการดึงพลังจากธรรมชาติจากผู้เฒ่าในหมู่บ้าน และขอยืมหนังสือเกี่ยวกับเวทย์มนต์จากบ้านของผู้เฒ่าไปฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งการใช้เวทย์มนต์นี้ไม่เป็นที่นิยมของหมู่บ้าน ก็เพราะทวีปนี้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่เคยเข้าร่วมสงครามใดๆ การกระทำของวิลจึงเสมือนเป็นการกบฏเล็กๆทางความคิดของคนในหมู่บ้าน
    เมื่อวิลเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้ฝึกเวทย์มนต์เป็นประจำก็หยุดเดินและพบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว...
    \"อรุณสวัสดิ์จ้ะ วิล\" เด็กสาวร้องทักอย่างร่าเริง เธอเป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ไว้ผมยาวเลยบ่าเล็กน้อย เธอมักแต่งตัวด้วยสีสันสดใสแต่เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา วันนี้เธอใสชุดสีชมพูอ่อนกับขาว ซึ่งดูรับเข้ากับดวงตาที่สดใสกลมโตของเธอและผิวพรรณสีขาวอมชมพูที่ดูสะอาดสะอ้านเปล่งปลั่ง เธอจึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้านไม่น้อยเลยทีเดียว
    \"อรุณสวัสดิ์ เอลลี่ เธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ\" วิลถามกลับด้วยความแปลกใจ
    \"ก็ฉันเห็นเธอมาที่นี่ทุกวันนี่นา พอดีว่าวันนี้ฉันผ่านมาแถวนี้ เลยแวะมาเผื่อว่าเธอจะมา...\" ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูของเธอเอ่ยตอบ แต่แล้วแก้มทั้งสองของเธอก็เจือด้วยสีแดงระเรื่อ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงมองเธออยู่อย่างนั้น \"ก็...ก็...ฉันคิดว่าถ้าเธอยังไม่มา ฉันก็กำลังจะกลับอยู่พอดี\" เอลลี่พูดออกไปเพื่อกลบอาการเขินอาย พอดีกับที่มีกระต่ายสีขาวขนปุยมาช่วยเธอไว้
    \"ว้าว ดูนี่สิ น่ารักจังเลย\" เอลลี่กล่าวขึ้นพลางคว้ากระต่ายผู้โชคร้ายตัวนั้นชูขึ้นทันที ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
    \"เอ่อ...ฉันมาฝึกใช้เวทย์มนต์ที่นี่นะ เธออย่ามารบกวนการฝึกฉันก็แล้วกัน\" เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างเขินอายเช่นกัน พลางหันหลังไปหยิบคฑาอันเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในร่องเปลือกไม้บนต้นไม้ใหญ่นั้น แล้วก้มหน้าก้มตาเปิดหาหน้าที่อ่านค้างไว้ในหนังสือเวทย์มนต์เล่มหนานั้นอย่างตั้งใจ
    \"อ๊ะ หน้านี้ล่ะ\" วิลกล่าวขึ้นเมื่อพบหน้าหนังสือที่ต้องการแล้วถอยห่างออกจากต้นไม้นั้นไกลพอสมควร เขาถือหนังสือในมือซ้ายและคฑาในมือขวาแล้วเริ่มท่องคาถาตามในหนังสือเล่มนั้น
    \"ข้าแต่เทพผู้ครอบครองสายลมแห่งทิศตะวันตก โปรดมอบพลังเปลี่ยนแปลงสายลมที่พัดผ่านกายข้า เป็นคมดาบตัดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าด้วยเถิด...Wind Charge !\" เมื่อสิ้นเสียงร่ายคาถา สายลมรอบตัววิลก็พัดมารวมอยู่ตรงหน้าเขา และพุ่งเข้าไปที่ยอดไม้นั้น แล้วฉับพลัน ยอดกิ่งไม้เล็กๆก็ถูกตัดขาดและกระเด็นออกไป
    \"ว้าว เธอทำได้ยังไงกันน่ะ สุดยอดไปเลย\" เด็กสาวกล่าวด้วยความตื่นเต้น
    \"ที่จริงถ้าเป็นไปตามหนังสือเล่มนี้ วงของลมน่าจะกว้างกว่านี้นี่นา อืม....\" วิลกล่าวด้วยสีหน้ากังวล ที่ทำไม่ได้ตามที่หวังไว้
    \"แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะนะ\" เอลลี่กล่าวให้กำลังใจวิล \"เธอรู้มั้ย อีกสองวันแม่ของฉันจะพาฉันไปฝากตัวเรียนวิชาเวทย์มนต์สายช่วยเหลือที่วิหารในหมู่บ้านใกล้ๆนี้ด้วยนะ\"
เอลลี่กล่าวอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนเธอก็จะสนใจในพลังเวทย์มนต์ไม่น้อยไปกว่าวิลเลย แต่ต่างกันตรงที่ เวทย์มนต์สายช่วยเหลือยังคงมีผู้ชำนาญสอนให้ที่วิหารต่างๆบ้าง แต่เวทย์มนต์สำหรับการสู้รบอย่างเขากลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมขณะที่ผู้ชำนาญเวทย์มนต์ช่วยเหลือได้รับความเคารพยกย่องจากการที่ช่วยเหลือผู้อื่น
    วิลฝึกเวทย์มนต์ต่อไปอีกสักพัก แล้วจึงนั่งลงคุยกับเอลลี่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น สักพัก เมื่อเขารู้สึกว่าเอลลี่เงียบไป เขาจึงพบว่าเธอผล็อยหลับไปแล้ว เขาจึงงีบหลับบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันที่ลมเย็นสบายเหลือเกิน...
    เมื่อใบไม้จากต้นไม้ใหญ่นั้น ร่วงโรยลงมาสู่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขารู้สึกว่าได้หลับไปนานเหลือเกิน เมื่อมองท้องฟ้าก็พบว่าได้เวลาบ่ายคล้อยใกล้เย็นแล้ว แต่เมื่อจะหันไปปลุกเอลลี่ ก็พบว่า เธอไม่อยู่เสียแล้ว...
    มีไม่กี่ครั้งนักที่เธอจะมางีบหลับใต้ต้นไม้เช่นนี้กับเขา แต่เธอก็ไม่เคยจากไปโดยที่ไม่บอกให้เขารู้ก่อน เขาอดเป็นห่วงเอลลี่ไม่ไหว จึงรีบเก็บของและกลับไปที่หมู่บ้านทันที เขาตรงไปที่บ้านของเอลลี่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก เขาเดินผ่านรั้วที่มีดอกไม้หลากหลายชนิดที่เอลลี่ปลูกไว้ ผ่านทางเดินบนสนามหญ้าหน้าบ้านเข้าไปที่หน้าประตูแล้วจึงเคาะประตูเบาๆ 3 ครั้ง
    \"อ้าว วิลเองเหรอ มีอะไรเหรอจ๊ะ\" แม่ของเอลลี่เปิดประตูออกกว้างและกล่าวทักทายเขา
    \"เอลลี่อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ\" วิลรีบถามอย่างร้อนรน
    \"อ้าว เมื่อเช้าเอลลี่ออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าจะไปหาเธอ ไม่ได้เจอกันหรอกเหรอจ๊ะ\" แม่ของเอลลี่ตอบพลางถามวิลกลับ
    \"ขะ..ครับ ขอบคุณครับ ผมไปก่อนนะครับ\" วิลกล่าวลาแล้วรีบเดินออกจากสวนหน้าบ้านของเอลลี่ เขาไม่กล้าพอที่จะบอกกับแม่ของเธอว่า เขาปล่อยให้ลูกสาวของเธอหายตัวไป เขาต้องแก้ปัญหานี้เอง เขาต้องหาเธอให้เจอให้ได้!
    เขาวิ่งไปทุกๆที่ที่เธออาจจะอยู่ แต่เขาก็หาเธอไม่พบเลย เขาคิดออกเพียงอย่างเดียวว่า...
    เธออาจถูกจับตัวไป!
                                                        ***************************                                               
    ในปี R.Y. 495 นับเป็นเวลาเพียงไม่นานนัก สำหรับชีวิตใหม่ของโลกใบนี้ แต่โลกที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับมีสภาพย่ำแย่กว่าที่ควรจะเป็น มนุษย์ใช้ธรรมชาติเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง เหยียดชาติพันธุ์กับชนเผ่าอื่น และแก่งแย่งชิงดีกันเอง โดยใช้ความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่มีมากที่สุดบนโลก ในการข่มเหงสิ่งมีชีวิตอื่น
    ณ ทวีปมาทาเรีย (Mataria) ทวีปที่แบ่งแยกพื้นที่ออกจากทวีปอื่นๆโดยสิ้นเชิงด้วยแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบทวีปทั้งทวีปเอาไว้ โดยมีมหาพฤกษาอิกดราซิล ตั้งตระหง่านอยู่กลางทวีป และลำธารรอบต้นอิกดราซิลนี้เองที่ส่งน้ำออกมาล้อมรอบทวีปเอาไว้ไม่เคยขาดช่วงตลอดทั้งปี ทวีปนี้จึงเป็นทวีปที่เล็กที่สุดบนโลกก็ว่าได้ ภายในทวีปนี้ ชนเผ่าและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ผู้คนที่นี่มีชีวิตด้วยความพอเพียง ไม่ดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ และช่วยเหลือกันเมื่อยามยากลำบากโดยไม่เกี่ยงเผ่าพันธุ์ใดๆ ที่นี่จึงเป็นดั่งสวรรค์บนดินของคนที่นี่ทีเดียว เนื่องจากทุกเผ่าพันธุ์เชื่อว่าตนมีมารดาเป็นคนเดียวกันนั่นคือมหาพฤกษาอิกดราซิลนั่นเอง และนับถือเทพบาลเดอร์ ผู้ให้แสงสว่างแก่โลกใบนี้ เป็นเทพเจ้าสูงสุด และเคารพดั่งบิดาผู้ให้ชีวิตในเวลาเดียวกัน ทุกคนในทวีปนี้จึงมีมหาพฤกษาอิกดราซิลเป็นแม่ ผู้ให้ความสงบร่มเย็นและที่พึ่งพิงอาศัย และมีเทพบาลเดอร์เป็นพ่อ ผู้ชี้ทางให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ดีงาม ดั่งแสงสว่างที่สาดส่องให้แก่ทุกคนบนโลกโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นผู้ใด ผู้คนบนทวีปนี้จึงมีน้ำใจอย่างเปี่ยมล้นดังเช่นแม่น้ำที่รายรอบทวีปมาทาเรีย
ณ หมู่บ้านแมนิสมอร์ (Manismor) หมู่บ้านที่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันมากที่สุด...
    ยามเช้าของวันหนึ่ง แสงสว่างสาดส่องลอดผ่านช่องเล็กๆระหว่างผ้าม่านเข้ามาในห้องนอนของบ้านโฟรมีนอีลีน เด็กหนุ่มคนหนึ่งยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน แต่แสงสว่างที่ลอดเข้ามานั้นดูเหมือนจะปลุกเขาจากห้วงนิทรา เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนและขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว
    \"อ้าว อรุณสวัสดิ์จ้ะวิล วันนี้ตื่นแต่เช้าเลยนะจ๊ะ\" ผู้เป็นแม่ของเด็กหนุ่มผู้นั้นทักขึ้นทันทีที่เห็นวิลเดินลงบันไดมาขณะที่ตนกำลังนำอาหารเช้าไปวางที่โต๊ะรับประทานอาหาร
    \"อรุณสวสดิ์ครับแม่\" วิลกล่าวอย่างร่าเริง \"เช้านี้ผมตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นแถวๆป่าทางตะวันตกหน่อยน่ะครับ\"
    ผู้เป็นแม่ชะงักขึ้นทันที \"ไปฝึกเวทย์มนต์นั่นอีกแล้วเหรอลูก\" แม่กล่าวอย่างเป็นห่วง \"ปีนี้ลูกก็อายุ17ปีแล้วนะ ถ้าลูกไม่หัดทำงานทำการเสียบ้าง โตขึ้นไปลูกจะลำบากนะ\"
    \"แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน\" วิลกล่าวอย่างเป็นผู้ใหญ่เกินตัว \"และผมก็เชื่อว่าพ่อจะต้องเชื่อในตัวผมเช่นกัน\" เด็กหนุ่มกล่าวพลางมองไกลออกไป เกินกว่าผู้เป็นแม่จะล่วงรู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เกิดการสนทนาเช่นนี้ขึ้นในบ้าน แต่เป็นการตักเตือนอย่างเป็นห่วงของแม่ที่พูดอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน เพราะตั้งแต่พ่อของวิล ซึ่งเป็นนักเวทย์ที่เสียชีวิตในสนามรบตั้งแต่ที่วิลยังเป็นเด็กมากนัก วิลก็เอาแต่ฝึกฝนการใช้เวทมนต์อยู่ตลอด ถึงแม้หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หมู่บ้านแมนิสมอร์และหลายๆชนเผ่าในทวีปมาทาเรีย จะต่อต้านการเข้าร่วมสงครามทุกๆสงครามก็ตาม
    \"จ๊ะๆ แม่เข้าใจก็ได้ มากินข้าวเช้าก่อนเถอะ เดี๋ยวถ้าไปหมดแรงกลางป่าจะแย่เอา\" แม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้น แต่ในแววตายังคงแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงในตัวลูกชายคนเดียว เพราะครั้งหนึ่ง วิลเคยฝึกอยู่ในป่าจนเย็นและเผลอหลับไป จนต้องวานให้เซนทอร์ช่วยพาตัวกลับมา
    ทั้งคู่รับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบเชียบ เมื่อวิลกินเสร็จแล้วจึงนำจานไปเก็บและเดินตรงออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว วิลแตกต่างจากเด็กหนุ่มวัยรุ่นราวคราวเดียวกันทั่วไปในหมู่บ้าน เพราะโดยส่วนมากแล้ว เด็กชายในวัยนี้ จะเริ่มฝึกฝนงานที่ตั้งใจจะทำในอนาคต โดยอาจไปฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้ที่ชำนาญด้านอาชีพนั้นๆ หรือฝึกฝนกันในครอบครัวที่มีงานหลักอยู่แล้ว แต่ในครอบครัวที่ปลูกพืชผักประทังชีวิตอย่างครอบครัวของวิลแล้ว เขากลับเลือกที่จะฝึกฝนเวทย์มนต์ด้วยตนเอง เนื่องจากในหมูบ้านนี้และหมู่บ้านใกล้เคียง ไม่มีผู้ชำนาญด้านเวทย์มนต์เลย เขาจึงปรึกษาการดึงพลังจากธรรมชาติจากผู้เฒ่าในหมู่บ้าน และขอยืมหนังสือเกี่ยวกับเวทย์มนต์จากบ้านของผู้เฒ่าไปฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งการใช้เวทย์มนต์นี้ไม่เป็นที่นิยมของหมู่บ้าน ก็เพราะทวีปนี้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่เคยเข้าร่วมสงครามใดๆ การกระทำของวิลจึงเสมือนเป็นการกบฏเล็กๆทางความคิดของคนในหมู่บ้าน
    เมื่อวิลเดินมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้ฝึกเวทย์มนต์เป็นประจำก็หยุดเดินและพบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว...
    \"อรุณสวัสดิ์จ้ะ วิล\" เด็กสาวร้องทักอย่างร่าเริง เธอเป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ไว้ผมยาวเลยบ่าเล็กน้อย เธอมักแต่งตัวด้วยสีสันสดใสแต่เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา วันนี้เธอใสชุดสีชมพูอ่อนกับขาว ซึ่งดูรับเข้ากับดวงตาที่สดใสกลมโตของเธอและผิวพรรณสีขาวอมชมพูที่ดูสะอาดสะอ้านเปล่งปลั่ง เธอจึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้านไม่น้อยเลยทีเดียว
    \"อรุณสวัสดิ์ เอลลี่ เธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ\" วิลถามกลับด้วยความแปลกใจ
    \"ก็ฉันเห็นเธอมาที่นี่ทุกวันนี่นา พอดีว่าวันนี้ฉันผ่านมาแถวนี้ เลยแวะมาเผื่อว่าเธอจะมา...\" ริมฝีปากเรียวบางสีชมพูของเธอเอ่ยตอบ แต่แล้วแก้มทั้งสองของเธอก็เจือด้วยสีแดงระเรื่อ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงมองเธออยู่อย่างนั้น \"ก็...ก็...ฉันคิดว่าถ้าเธอยังไม่มา ฉันก็กำลังจะกลับอยู่พอดี\" เอลลี่พูดออกไปเพื่อกลบอาการเขินอาย พอดีกับที่มีกระต่ายสีขาวขนปุยมาช่วยเธอไว้
    \"ว้าว ดูนี่สิ น่ารักจังเลย\" เอลลี่กล่าวขึ้นพลางคว้ากระต่ายผู้โชคร้ายตัวนั้นชูขึ้นทันที ซึ่งดูเหมือนมันจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
    \"เอ่อ...ฉันมาฝึกใช้เวทย์มนต์ที่นี่นะ เธออย่ามารบกวนการฝึกฉันก็แล้วกัน\" เด็กหนุ่มตอบกลับไปอย่างเขินอายเช่นกัน พลางหันหลังไปหยิบคฑาอันเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในร่องเปลือกไม้บนต้นไม้ใหญ่นั้น แล้วก้มหน้าก้มตาเปิดหาหน้าที่อ่านค้างไว้ในหนังสือเวทย์มนต์เล่มหนานั้นอย่างตั้งใจ
    \"อ๊ะ หน้านี้ล่ะ\" วิลกล่าวขึ้นเมื่อพบหน้าหนังสือที่ต้องการแล้วถอยห่างออกจากต้นไม้นั้นไกลพอสมควร เขาถือหนังสือในมือซ้ายและคฑาในมือขวาแล้วเริ่มท่องคาถาตามในหนังสือเล่มนั้น
    \"ข้าแต่เทพผู้ครอบครองสายลมแห่งทิศตะวันตก โปรดมอบพลังเปลี่ยนแปลงสายลมที่พัดผ่านกายข้า เป็นคมดาบตัดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าด้วยเถิด...Wind Charge !\" เมื่อสิ้นเสียงร่ายคาถา สายลมรอบตัววิลก็พัดมารวมอยู่ตรงหน้าเขา และพุ่งเข้าไปที่ยอดไม้นั้น แล้วฉับพลัน ยอดกิ่งไม้เล็กๆก็ถูกตัดขาดและกระเด็นออกไป
    \"ว้าว เธอทำได้ยังไงกันน่ะ สุดยอดไปเลย\" เด็กสาวกล่าวด้วยความตื่นเต้น
    \"ที่จริงถ้าเป็นไปตามหนังสือเล่มนี้ วงของลมน่าจะกว้างกว่านี้นี่นา อืม....\" วิลกล่าวด้วยสีหน้ากังวล ที่ทำไม่ได้ตามที่หวังไว้
    \"แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะนะ\" เอลลี่กล่าวให้กำลังใจวิล \"เธอรู้มั้ย อีกสองวันแม่ของฉันจะพาฉันไปฝากตัวเรียนวิชาเวทย์มนต์สายช่วยเหลือที่วิหารในหมู่บ้านใกล้ๆนี้ด้วยนะ\"
เอลลี่กล่าวอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนเธอก็จะสนใจในพลังเวทย์มนต์ไม่น้อยไปกว่าวิลเลย แต่ต่างกันตรงที่ เวทย์มนต์สายช่วยเหลือยังคงมีผู้ชำนาญสอนให้ที่วิหารต่างๆบ้าง แต่เวทย์มนต์สำหรับการสู้รบอย่างเขากลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมขณะที่ผู้ชำนาญเวทย์มนต์ช่วยเหลือได้รับความเคารพยกย่องจากการที่ช่วยเหลือผู้อื่น
    วิลฝึกเวทย์มนต์ต่อไปอีกสักพัก แล้วจึงนั่งลงคุยกับเอลลี่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น สักพัก เมื่อเขารู้สึกว่าเอลลี่เงียบไป เขาจึงพบว่าเธอผล็อยหลับไปแล้ว เขาจึงงีบหลับบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันที่ลมเย็นสบายเหลือเกิน...
    เมื่อใบไม้จากต้นไม้ใหญ่นั้น ร่วงโรยลงมาสู่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขารู้สึกว่าได้หลับไปนานเหลือเกิน เมื่อมองท้องฟ้าก็พบว่าได้เวลาบ่ายคล้อยใกล้เย็นแล้ว แต่เมื่อจะหันไปปลุกเอลลี่ ก็พบว่า เธอไม่อยู่เสียแล้ว...
    มีไม่กี่ครั้งนักที่เธอจะมางีบหลับใต้ต้นไม้เช่นนี้กับเขา แต่เธอก็ไม่เคยจากไปโดยที่ไม่บอกให้เขารู้ก่อน เขาอดเป็นห่วงเอลลี่ไม่ไหว จึงรีบเก็บของและกลับไปที่หมู่บ้านทันที เขาตรงไปที่บ้านของเอลลี่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก เขาเดินผ่านรั้วที่มีดอกไม้หลากหลายชนิดที่เอลลี่ปลูกไว้ ผ่านทางเดินบนสนามหญ้าหน้าบ้านเข้าไปที่หน้าประตูแล้วจึงเคาะประตูเบาๆ 3 ครั้ง
    \"อ้าว วิลเองเหรอ มีอะไรเหรอจ๊ะ\" แม่ของเอลลี่เปิดประตูออกกว้างและกล่าวทักทายเขา
    \"เอลลี่อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ\" วิลรีบถามอย่างร้อนรน
    \"อ้าว เมื่อเช้าเอลลี่ออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่าจะไปหาเธอ ไม่ได้เจอกันหรอกเหรอจ๊ะ\" แม่ของเอลลี่ตอบพลางถามวิลกลับ
    \"ขะ..ครับ ขอบคุณครับ ผมไปก่อนนะครับ\" วิลกล่าวลาแล้วรีบเดินออกจากสวนหน้าบ้านของเอลลี่ เขาไม่กล้าพอที่จะบอกกับแม่ของเธอว่า เขาปล่อยให้ลูกสาวของเธอหายตัวไป เขาต้องแก้ปัญหานี้เอง เขาต้องหาเธอให้เจอให้ได้!
    เขาวิ่งไปทุกๆที่ที่เธออาจจะอยู่ แต่เขาก็หาเธอไม่พบเลย เขาคิดออกเพียงอย่างเดียวว่า...
    เธออาจถูกจับตัวไป!
                                                        ***************************                                               
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น