ด่วนที่สุด พลเอสนธีเตียมปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ - ด่วนที่สุด พลเอสนธีเตียมปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ นิยาย ด่วนที่สุด พลเอสนธีเตียมปฏิวัติล้มราชบัลลังก์ : Dek-D.com - Writer

    ด่วนที่สุด พลเอสนธีเตียมปฏิวัติล้มราชบัลลังก์

    30 พฤษภาคม 50นี้ ประเทศไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งร้ายแรงที่สุดเพราะพลเอกสนธิเตรียมทำปฏิวัติซ้อนยึดอำนาจล้มราชบัลลังก์

    ผู้เข้าชมรวม

    372

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    372

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ค. 50 / 15:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ด่วนที่สุด! พลเอกสนธิเตรียมปฏิวัติล้มราชบัลลังก์

    30 พฤษภาคม 50 นี้ ประเทศไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งร้ายแรงที่สุดเพราะพลเอกสนธิ เตรียมทำปฏิวัติซ้ำยึดอำนาจล้มราชบัลลังก์ โดยมีลำดับเรื่องดังนี้

    1.ใน วันฉัตรมงคลตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พลเอกสนธิแค้นมากที่เสนอขอเครื่องราชฯให้ภรรยาเพื่อให้ได้เป็นคุณหญิง แต่ในหลวงไม่โปรดเกล้าพระราชทานเครื่องราชฯ ให้สมาชิกคมช.เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่โดยปกติตามธรรมเนียมประเพณี ภรรยาผู้บัญชาการเหล่าทัพจะได้เป็นคุณหญิงทุกคนแต่นี่เป็นถึงภรรยาผบ.ทบ. และเป็นประธานคมช.ด้วยกลับไม่ได้ แต่ภรรยาพลเอกสุรยุทธ์ ซึ่งเป็นคุณหญิงอยู่แล้วกลับได้เลื่อนขึ้นไปอีกเป็นท่านผู้หญิง เป็นการเสียหน้าอย่างแรงทำให้พลเอกสนธิแค้นมาก ในคืนวันฉัตรมงคลนั้นเอง จึงได้ให้คนไปวางระเบิดที่ซอยราชวิถีตรงข้ามพระตำหนักจิตรลดาฯเพื่อข่มขวัญ พระราชวงศ์ และอาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้างส่งกำลังทหารจากรบพิเศษของตนเองกว่า 1,000 นาย เข้าล้อมวังสวนจิตรฯอ้างว่าเพื่อรักษาความปลอดภัย

    2.ตุลาการศาล รัฐธรรม นูญทั้ง 9 คน พลเอกสนธิเป็นคนตั้งมากับมือโดยมีหน้าที่หลักคือ ยุบพรรคไทยรักไทยและห้าม พ.ต.ท.ทักษิณลงเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกสนธิได้สั่งการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว รอเพียงการประกาศคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ค.นี้เท่านั้น แต่เมื่อในหลวงออกมามีพระราชดำรัสกับตุลาการศาลปกครอง ซึ่งหลายคนเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย และถ่ายทอดออกทีวีทุกช่อง มีนัยยะให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรค พระราชดำรัสนี้เป็นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะพลเอกสนธิ ทำให้พลเอกสนธิสุดแค้นเพราะเกมพลิกไปโดยสิ้นเชิง ขณะนี้พลเอกสนธิไม่มั่นใจว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งยุบพรรคตามคำสั่งของตนหรือไม่ หรือจะมติไม่ยุบพรรคตามพระราชดำรัสในหลวง จึงเตรียมแก้เกมโดยการปฏิวัติ มีการประชุมนายทหารคุมกำลังระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไปกว่า 100 นาย คุมกำลังทหารเกือบแสนคน ทุกวันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 พ.ค.เป็นต้นมา เพื่อซักซ้อมแผนปฏิวัติ โดยกำลังทหารทั้งหมดจะเตรียมพร้อม 100 % ตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าวันที่ 30 พ.ค. ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมกันในช่วงเช้าก่อนจะประกาศมติในช่วงบ่าย แต่จะมีสายส่งข่าวผลการประชุมให้พลเอก สนธิทราบก่อน ถ้ามติมีว่าไม่ยุบพรรค พลเอกสนธิจะสั่งให้แท็กซี่ประมาณ 500 คัน ที่เตรียมไว้ติดธงแดงเพื่อป้ายความผิดว่าเป็นคนของทักษิณ ออกอาละวาดเผากรุงเทพฯทันทีจะได้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติ และจะส่งกำลังทหารเข้ายึดวังสวนจิตร บังคับให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธยรับรองคณะปฏิวัติ และที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดคือ ถ้าสถานการณ์เอื้อ มีการเตรียมการถึงขนาดจะปลงพระชนม์และป้ายความผิดว่าเป็นการชิงบัลลังก์ของ สมเด็จพระบรม ฯเหมือนกรณีเนปาล แล้วในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างที่สุดนั้นก็จะถือโอกาสล้มสถาบันพระมหา กษัตริย์โดยสิ้นเชิง

    3.เหตุ ที่พลเอกสนธิเหิมเกริมกล้ากระทำการอุกอาจถึงเพียงนี้ เพราะพลเอกสนธิเป็นสมาชิกองค์กรลับมุสลิมโลก ซึ่งมีแผนเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศมุสลิมและอาศัยไทยเป็นฐานรุกคืบไป กลืนกัมพูชา ลาว และพม่า เป็นมุสลิมต่อไป หลังจากปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 สำเร็จพลเอกสนธิได้รับการยกย่องจากองค์กรลับมุสลิมโลกนี้อย่างสูง ประเทศแรกที่พลเอกสนธิไปเยือน คือ ปากีสถาน ซึ่งชายแดนปากีสถานบริเวณติดกับอัฟกานิสถาน คือ ฐานใหญ่ในการฝึกผู้ก่อการร้ายขององค์กรลับมุสลิมโลกนี้ ช่วง ปีใหม่ซึ่งไม่ใช่เทศกาลแสวงบุ ญพลเอกสนธิก็เดินทางไปเมกกะโดยลำพังเพื่อ ประชุมลับและหาข้ออ้างไปประเทศมุสลิมเพื่อประชุมลับเป็นระยะๆ มาตลอด แผนขั้นเผด็จศึกประเทศไทยขณะนี้ คือ ยึดอำนาจซ้ำ ล้มสถาบันกษัตริย์และควบคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ในสายตาของต่างชาติหรือผลกระทบการลงทุนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเศรษฐกิจจะพินาศอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่เป้าหมายต้องควบคุม ประเทศไทยให้อยู่มือ และเปลี่ยนเป็นประเทศมุสลิมอย่างเฉียบพลันให้ได้

    4.ชาวไทยทุกคนที่รักชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ พึงกระทำดังนี้

    4.1 กระจายข่าวนี้ให้รู้กันโดยกว้างขวางทั่วถึงที่สุด รวดเร็วที่สุด ก่อนเช้าวันที่ 30 พ.ค. ใครมีศักยภาพทางใดให้ปรึกษาหารือกัน ใช้ศักยภาพของตนป้องกันแก้ไขอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีญาติเป็นนายทหารคุมกำลัง

    4.2 นัดแนะกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องให้พร้อม ถ้าทหารออกมาปฏิวัติเมื่อใด ให้ทุกคนถือพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงออกไปบนท้องถนน เข้าไปถามทหารทุกคนว่าท่านเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเป็น ทหารของมุสลิม ถ้ารักในหลวงให้กลับกรมกองเดี๋ยวนี้ พลังของพวกเราประชาชนทุกคนที่ผนึกรวมเป็นหนึ่งเท่านั้นจ ึงจะปกป้องรักษาชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของเราไว้ได้
    ถึง เวลาแล้วที่พี่น้องไทยทุกคนต้องตัดสินใจว่าเราจะสู้เพื่อความเป็นไทย หรือจะหวาดกลัว เอาตัวรอด เพิกเฉย ดูดายแล้วตกเป็นทาสของทหารมุสลิม


    แผนร้ายมุสลิมยึดประเทศไทย

    พบแผนร้ายสะเทือนขวัญชาวไทยทั้งชาติ มุสลิมมิได้มุ่งยึดครอง ๓ จังหวัดภาคใต้เท่านั้น แต่วางแผนยึดไทยทั้งประเทศอย่างลึกซึ้งแยบยล และได้ดำเนินงานตามแผนมาตามลำดับจนใกล้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ดังนี้

    ๑. วางแผนยึดสถาบันพระมหากษัตริย์เปลี่ยนให้เป็นกษัตริย์มุสลิม

    ได้มีการส่งลูกสาวของแกนนำมุสลิมระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมี
    หน้า ตาดีเข้าไปถวายตัวกับ"เจี่ย" เรียบร้อยแล้ว ถ้ามีลูกเมื่อใด พระราชวงศ์ทุกพระองค์ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และเด็กคนนี้จะถูกอบรมเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นเป็นกษัตริย์มุสลิมที่เคร่งครัด แม้จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ แต่เมื่อองค์กษัตริย์เป็นชาวมุสลิมทั้งตัวและหัวใจแล้ว การจะแก้เรื่องนี้ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และเมื่อยึดสถา
    บันพระมหากษัตริย์ได้ การจะเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศมุสลิมก็ทำได้ง่ายเหมือนที่เคยเกิด ขึ้นมาแล้วในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเคยเป็นเมืองพุทธมาก่อน

    ๒. วางแผนเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม

    เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ทหารมุสลิมขึ้นมาเป็นผบ.ทบ.และเป็นหัวหน้า
    คณะ ปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน มีอำนาจควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ นายทหารที่เป็นชาวมุสลิมจึงได้รับการโปรโมทเลื่อนตำแหน่งกันขนานใหญ่ และขณะนี้กำลังมีการวางแผนลับสืบทอดอำนาจระยะยาวเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็น กองทัพมุสลิม โดยพลเอกสนธิ ผบ.ทบ.ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษลงไป ได้วางตัวนายทหารมุสลิมเตรียมไว้แล้ว และเมื่อถึงจังหวะเหมาะก็จะเซ็นแต่งตั้งนายทหารมุสลิมเหล่านี้เข้ามาเป็น ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพันที่สำคัญกุมจุดยุทธศาสตร์ อาทิ กรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ มีกำลังทหาร ๘,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์มีกำลัง ๖,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๓๑ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๒๑ และหน่วยกำล
    ังสำคัญในกองพลทหารม้าที่ ๒ สนามเป้า เป็นต้น นายทหารมุสลิมเหล่านี้จะจงรักภักดีและเชื่อฟังพลเอกสนธิยิ่งกว่าผู้บังคับ บัญชาตามลำดับชั้นของตน ดังนั้น ผู้บังคับการกรมมุสลิมเพียง ๑๐ ๒๐ กรม คุมกำลังทหารประมาณ ๕๐,๐๐๐ ๑๐๐,๐๐๐ นาย จะทำให้ดุลอำนาจในกองทัพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้พลเอกสนธิจะเกษียณอายุจากตำแหน่งผบ.ทบ. เข้าไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็จะสามารถควบคุมกองทัพได้เช่นเดิม ผ่านนายทหารมุสลิมเหล่านี้ และสามารถขยายการควบคุมออกไปจนเปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพมุสลิมทั้งหมด เพราะแม้ทหารส่วนใหญ่เป็นพุทธ แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นมุสลิม ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังที่เคยเกิดในประเทศเวียดนามมาแล้ว ที่แม้ประชาชนเป็นพุทธกว่า ๙๐% แต่ประธานาธิบดีเหงียนเกากี เป็นคริสต์ และตั้งทหารคริสต์คุมกองทัพ คุมกระทรวงมหาดไทย และปราบปรามกดขี่ชาวพุทธอย่างรุนแรง จนพระภิกษุต้องประท้วงโดยการเผาตัวตาย และเวียดนามต้องสิ้นชาติในที่สุด

    ๓. เข้ายึดกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน

    เมื่อพลเอกสนธิปฏิวัติเสร็จ ได้ตั้งพลเอกสุรยุทธ์ เป็นนายก
    ฯ ขัดตาทัพก่อน เพราะบารมีของตนในขณะนั้นยังไม่เพียงพอ จากนั้นเร่งสร้างฐานอำนาจทั้งในกองทัพ องค์กรอิสระ และวงการเมืองอย่างเต็มที่ เมื่อพร้อมก็กดดันอย่างหนักให้พลเอกสุรยุทธ์ลาออก เพื่อตนจะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง จัดตั้งรัฐบาลมุสลิมชุดแรกในประวัติศาสตร์ ปกครองประเทศไทย ต่อไป
    ข้า ราชการคนไหนเป็นชาวมุสลิม หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว นักธุรกิจคนไหนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามก็จะได้รับความสะดวก ได้การสนับสนุนจากรัฐ การเป็นชาวมุสลิมเป็นสิ่งมีเกียรติ ใครเป็นชาวพุทธ เป็นเรื่องต่ำต้อย ถูกดูถูกเหยียดหยาม วัฒนธรรมชาวมุสลิมจะได้รับการส่งเสริมเผยแพร่ตามสื่อมวลชนทุกแขนง และผ่านระบบการศึกษา สังคมไทยจะถูกดูดกลืนปรับเปลี่ยนเป็นสังคมมุสลิม สอดประสานกับการเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ให้เป็นกษัตริย์มุสลิม

    ๔. สร้างรัฐอิสลามซ้อนขึ้นในรัฐไทยและขยายตัวกลืนรัฐไทยทั้งหมดให้กลายเป็นสาธารณรัฐอิสลาม

    ขณะนี้คณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนาฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ร่าง

    ระราชบัญญัติการบริหารองค์กรอิสลามเรียบร้อยแล้วเตรียมเสนอเข้าพิจารณาใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจะออกมามีผลบังคับใช้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ นี้ พ.ร.บ.กลืนชาติไทยฉบับนี้ เป็นการแก้ไขจากฉบับปี ๒๕๔๐ และมีการหมกเม็ดสาระสำคัญที่จะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินไทยทั้งมวล ๓ ประเด็นหลัก คือ
    ๔.๑ มาตรา ๘ จุฬาราชมนตรีมีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยว กับศาสนาอิสลาม ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดก็คือ ได้เพิ่มข้อความในวรรคท้ายว่า
    คำปรึกษา ความเห็น และข้อวินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีตามความในวรรคหนึ่งใ้เป็นที่สุด ส่วนราชการและมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตาม
    นี่ไม่ใช่คำปรึกษาหรือความเห็นแล้ว แต่มันคือคำประกาศิตที่เป็นที่สุดใครจะโต้แย้งใดๆ
    ไม่ ได้ทั้งสิ้น และบังคับให้ส่วนราชการไทย คือ ทั้งศาล อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ จะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้ ดังนั้นจุฬาราชมนตรี ก็จะกลายเป็นเจ้าชีวิตของมุสลิมทุกคน และบังคับรัฐไทยจะต้องปฏิบัติตามคำประกาศิตของจุฬาราชมนตรีในทุกเรื่องที่ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ซึ่งจะตีความให้กว้างเชื่อมโยงไปมากเท่
    าใดก็ได้ รัฐไทยก็จะเปรียบเสมือนเป็นอาณานิคมของรัฐอิสลามที่เกิดซ้อนขึ้นมาในรัฐไทยนั่นเอง
    ๔.๒ มาตรา ๑๓ เมื่อเห็นสมควร กระทรวงศึกษาธิการอาจจัดตั้ง อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย และอิสลามวิทยาลัยประจำจังหวัดขึ้น เพื่อให้การศึกษาและอบรมทางวิชาการศาสนา วิชาการทั่วไป และวิชาชีพได้
    เพียงแค่โรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา ที่เป็นแหล่งเพาะผู้ก่อการร้ายในปัจจุบัน เราก็รับมือกันแทบไม่ไหวอยู่แล้ว นี่จะขยายขึ้นมาถึงระดับเป็นอิสลามวิทยาลัยและจะตั้งทุกจังหวัด ถามว่า ทั้งผู้เรียน ทั้งครู เป็นมุสลิมทั้งหมด แล้วใครจะเข้าไปตรวจสอบการเรียนการสอนการอบรมในอิสลามวิทยาลัยเหล่านี้ มีอะไรเป็นหลักประกันว่า อิสลามวิทยาลัยนี่จะไม่กลายเป็นสถาบันบ่มเพาะมุสลิมหัวรุนแรงอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย สามารถให้ปริญญาตรี โท เอก โดยดูดเอาทรัพยากรจากภาษีอากรของชาวพุทธไปหล่อเลี้ยง
    ๔.๓ มาตรา ๒๙ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามต่อผู้ว่าราชการ จังหวัด และส่วนราชการภายในจังหวัด
    &n
    bsp; ฉบับเดิมเมื่อปี ๒๕๔๐ ระบุเพียงให้คำปรึกษาต่อผู้ว่าฯ เท่านั้น แต่ฉบับใหม่นี้ เพิ่มว่า และส่วนราชการภายในจังหวัด ด้วย นั่นคือ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด สามารถเข้าไปแทรกแซงสั่งการการทำงานของทุกส่วนราชการในจังหวัด ทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยราชการต่างๆ ได้ทั้งหมด ถ้าสั่งแล้วใครไม่เชื่อก็บอกจุฬาราชมนตรีประกาศิตลงมาบังคับได้ทันที คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจะทำหน้าที่ชี้นำ ดำเนินการกลืนสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมมุสลิมอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม เป็นระบบ
    เราจะเห็นการเตรียมการวางแผนเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่พลเอกสนธิ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยสมาชิกในส่วนตัวแทนทางศาสนาจำนวน ๑๑ คน มีรายนามดังนี้
    ๑. นายกีรติ บุญเจือ (คริสต์)
    ๒. นายวรเดช อมรวรพิพัฒน์ (พุทธ)
    ๓. นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก &nbs
    p; (พุทธ)
    ๔. นายวินัย สะมะอุน (อิสลาม)
    ๕. นายแว ดือ ราแม มะมิงจิ (อิสลาม)
    ๖. นายดำรง สุมาลยศักดิ์ (อิสลาม)
    ๗. นายแวมาฮาดี แวดาโอะ (อิสลาม)
    ๘. นายอับดุลเราะแม เจะแซ (อิสลาม)
    ๙. นายอับดุล รอซัค อาลี &n bsp; (อิสลาม)
    ๑๐. นายอิสมาแอล อาลี (อิสลาม)
    ๑๑. นายอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา (อิสลาม)

    ในประเทศไทยที่ประชากรร้อยละ ๙๔ เป็นพุทธ มีมุสลิมอยู่เพียงร้อยละ ๕ แต่พลเอกสนธิ กล้าที่จะแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เป็น
    ตัวแทนศาสนาเป็นชาวพุทธเพียง ๒ คน แต่เป็นชาวมุสลิมถึง ๘ คน นี่คือการไม่เป็นหัวชาวพุทธเลย และเป็นการเตรียมคนไว้รองรับการออกพระราชบัญญัติฉบับ กลืนชาติไทย นี้นี่เอง
    พี่น้องชาวไทยทุกท่าน ท่านจะนั่งเงียบเฉยมองดูประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา หรือจะลุกขึ้นมาสู้ ช่วยกันปกปักรักษาประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราไว้
    ทหารหาญแห่ง กองทัพไทยทุกท่าน ท่านตอบตัวเองได้หรือยังว่า ท่านเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือเป็นทหารของผู้นำมุสลิม ท่านจะยอมตนลงเป็นทาส หรือจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยชีวิตตามคำสัตย์ปฏิญาณ
    ขณะนี้ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ร้ายแรง ที่สุด เหมือนยืนอยู่ที่ปากเหวแห่งความล่มสลาย แต่ถ้าพี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมรวมพลังไม่เพิกเฉยดูดาย ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะกอบกู้แก้ไขสถานการณ์ร้ายนี้

    ชะตาของชาติไทยอยู่ที่การตัดสินใจสู้ของท่าน


    (โปรดช่วยกันทำสำเนาส่งข่าวนี้ให้รู้โดยทั่วกันให้กว้างขวางที่สุด)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ด่วนที่สุด! พลเอกสนธิเตรียมปฏิวัติล้มราชบัลลังก์

      30 พฤษภาคม 50 นี้ ประเทศไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งร้ายแรงที่สุดเพราะพลเอกสนธิ เตรียมทำปฏิวัติซ้ำยึดอำนาจล้มราชบัลลังก์ โดยมีลำดับเรื่องดังนี้

      1.ใน วันฉัตรมงคลตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พลเอกสนธิแค้นมากที่เสนอขอเครื่องราชฯให้ภรรยาเพื่อให้ได้เป็นคุณหญิง แต่ในหลวงไม่โปรดเกล้าพระราชทานเครื่องราชฯ ให้สมาชิกคมช.เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่โดยปกติตามธรรมเนียมประเพณี ภรรยาผู้บัญชาการเหล่าทัพจะได้เป็นคุณหญิงทุกคนแต่นี่เป็นถึงภรรยาผบ.ทบ. และเป็นประธานคมช.ด้วยกลับไม่ได้ แต่ภรรยาพลเอกสุรยุทธ์ ซึ่งเป็นคุณหญิงอยู่แล้วกลับได้เลื่อนขึ้นไปอีกเป็นท่านผู้หญิง เป็นการเสียหน้าอย่างแรงทำให้พลเอกสนธิแค้นมาก ในคืนวันฉัตรมงคลนั้นเอง จึงได้ให้คนไปวางระเบิดที่ซอยราชวิถีตรงข้ามพระตำหนักจิตรลดาฯเพื่อข่มขวัญ พระราชวงศ์ และอาศัยเรื่องนี้เป็นข้ออ้างส่งกำลังทหารจากรบพิเศษของตนเองกว่า 1,000 นาย เข้าล้อมวังสวนจิตรฯอ้างว่าเพื่อรักษาความปลอดภัย

      2.ตุลาการศาล รัฐธรรม นูญทั้ง 9 คน พลเอกสนธิเป็นคนตั้งมากับมือโดยมีหน้าที่หลักคือ ยุบพรรคไทยรักไทยและห้าม พ.ต.ท.ทักษิณลงเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกสนธิได้สั่งการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว รอเพียงการประกาศคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ค.นี้เท่านั้น แต่เมื่อในหลวงออกมามีพระราชดำรัสกับตุลาการศาลปกครอง ซึ่งหลายคนเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วย และถ่ายทอดออกทีวีทุกช่อง มีนัยยะให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยุบพรรค พระราชดำรัสนี้เป็นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะพลเอกสนธิ ทำให้พลเอกสนธิสุดแค้นเพราะเกมพลิกไปโดยสิ้นเชิง ขณะนี้พลเอกสนธิไม่มั่นใจว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งยุบพรรคตามคำสั่งของตนหรือไม่ หรือจะมติไม่ยุบพรรคตามพระราชดำรัสในหลวง จึงเตรียมแก้เกมโดยการปฏิวัติ มีการประชุมนายทหารคุมกำลังระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไปกว่า 100 นาย คุมกำลังทหารเกือบแสนคน ทุกวันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 พ.ค.เป็นต้นมา เพื่อซักซ้อมแผนปฏิวัติ โดยกำลังทหารทั้งหมดจะเตรียมพร้อม 100 % ตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าวันที่ 30 พ.ค. ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมกันในช่วงเช้าก่อนจะประกาศมติในช่วงบ่าย แต่จะมีสายส่งข่าวผลการประชุมให้พลเอก สนธิทราบก่อน ถ้ามติมีว่าไม่ยุบพรรค พลเอกสนธิจะสั่งให้แท็กซี่ประมาณ 500 คัน ที่เตรียมไว้ติดธงแดงเพื่อป้ายความผิดว่าเป็นคนของทักษิณ ออกอาละวาดเผากรุงเทพฯทันทีจะได้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติ และจะส่งกำลังทหารเข้ายึดวังสวนจิตร บังคับให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธยรับรองคณะปฏิวัติ และที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดคือ ถ้าสถานการณ์เอื้อ มีการเตรียมการถึงขนาดจะปลงพระชนม์และป้ายความผิดว่าเป็นการชิงบัลลังก์ของ สมเด็จพระบรม ฯเหมือนกรณีเนปาล แล้วในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างที่สุดนั้นก็จะถือโอกาสล้มสถาบันพระมหา กษัตริย์โดยสิ้นเชิง

      3.เหตุ ที่พลเอกสนธิเหิมเกริมกล้ากระทำการอุกอาจถึงเพียงนี้ เพราะพลเอกสนธิเป็นสมาชิกองค์กรลับมุสลิมโลก ซึ่งมีแผนเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศมุสลิมและอาศัยไทยเป็นฐานรุกคืบไป กลืนกัมพูชา ลาว และพม่า เป็นมุสลิมต่อไป หลังจากปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 สำเร็จพลเอกสนธิได้รับการยกย่องจากองค์กรลับมุสลิมโลกนี้อย่างสูง ประเทศแรกที่พลเอกสนธิไปเยือน คือ ปากีสถาน ซึ่งชายแดนปากีสถานบริเวณติดกับอัฟกานิสถาน คือ ฐานใหญ่ในการฝึกผู้ก่อการร้ายขององค์กรลับมุสลิมโลกนี้ ช่วง ปีใหม่ซึ่งไม่ใช่เทศกาลแสวงบุ ญพลเอกสนธิก็เดินทางไปเมกกะโดยลำพังเพื่อ ประชุมลับและหาข้ออ้างไปประเทศมุสลิมเพื่อประชุมลับเป็นระยะๆ มาตลอด แผนขั้นเผด็จศึกประเทศไทยขณะนี้ คือ ยึดอำนาจซ้ำ ล้มสถาบันกษัตริย์และควบคุมสื่อแบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ในสายตาของต่างชาติหรือผลกระทบการลงทุนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเศรษฐกิจจะพินาศอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่เป้าหมายต้องควบคุม ประเทศไทยให้อยู่มือ และเปลี่ยนเป็นประเทศมุสลิมอย่างเฉียบพลันให้ได้

      4.ชาวไทยทุกคนที่รักชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ พึงกระทำดังนี้

      4.1 กระจายข่าวนี้ให้รู้กันโดยกว้างขวางทั่วถึงที่สุด รวดเร็วที่สุด ก่อนเช้าวันที่ 30 พ.ค. ใครมีศักยภาพทางใดให้ปรึกษาหารือกัน ใช้ศักยภาพของตนป้องกันแก้ไขอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีญาติเป็นนายทหารคุมกำลัง

      4.2 นัดแนะกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องให้พร้อม ถ้าทหารออกมาปฏิวัติเมื่อใด ให้ทุกคนถือพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงออกไปบนท้องถนน เข้าไปถามทหารทุกคนว่าท่านเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเป็น ทหารของมุสลิม ถ้ารักในหลวงให้กลับกรมกองเดี๋ยวนี้ พลังของพวกเราประชาชนทุกคนที่ผนึกรวมเป็นหนึ่งเท่านั้นจ ึงจะปกป้องรักษาชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของเราไว้ได้
      ถึง เวลาแล้วที่พี่น้องไทยทุกคนต้องตัดสินใจว่าเราจะสู้เพื่อความเป็นไทย หรือจะหวาดกลัว เอาตัวรอด เพิกเฉย ดูดายแล้วตกเป็นทาสของทหารมุสลิม


      แผนร้ายมุสลิมยึดประเทศไทย

      พบแผนร้ายสะเทือนขวัญชาวไทยทั้งชาติ มุสลิมมิได้มุ่งยึดครอง ๓ จังหวัดภาคใต้เท่านั้น แต่วางแผนยึดไทยทั้งประเทศอย่างลึกซึ้งแยบยล และได้ดำเนินงานตามแผนมาตามลำดับจนใกล้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ดังนี้

      ๑. วางแผนยึดสถาบันพระมหากษัตริย์เปลี่ยนให้เป็นกษัตริย์มุสลิม

      ได้มีการส่งลูกสาวของแกนนำมุสลิมระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมี
      หน้า ตาดีเข้าไปถวายตัวกับ"เจี่ย" เรียบร้อยแล้ว ถ้ามีลูกเมื่อใด พระราชวงศ์ทุกพระองค์ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และเด็กคนนี้จะถูกอบรมเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นเป็นกษัตริย์มุสลิมที่เคร่งครัด แม้จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ แต่เมื่อองค์กษัตริย์เป็นชาวมุสลิมทั้งตัวและหัวใจแล้ว การจะแก้เรื่องนี้ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และเมื่อยึดสถา
      บันพระมหากษัตริย์ได้ การจะเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศมุสลิมก็ทำได้ง่ายเหมือนที่เคยเกิด ขึ้นมาแล้วในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเคยเป็นเมืองพุทธมาก่อน

      ๒. วางแผนเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม

      เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ทหารมุสลิมขึ้นมาเป็นผบ.ทบ.และเป็นหัวหน้า
      คณะ ปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน มีอำนาจควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ นายทหารที่เป็นชาวมุสลิมจึงได้รับการโปรโมทเลื่อนตำแหน่งกันขนานใหญ่ และขณะนี้กำลังมีการวางแผนลับสืบทอดอำนาจระยะยาวเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็น กองทัพมุสลิม โดยพลเอกสนธิ ผบ.ทบ.ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษลงไป ได้วางตัวนายทหารมุสลิมเตรียมไว้แล้ว และเมื่อถึงจังหวะเหมาะก็จะเซ็นแต่งตั้งนายทหารมุสลิมเหล่านี้เข้ามาเป็น ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพันที่สำคัญกุมจุดยุทธศาสตร์ อาทิ กรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ มีกำลังทหาร ๘,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์มีกำลัง ๖,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๓๑ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๒๑ และหน่วยกำล
      ังสำคัญในกองพลทหารม้าที่ ๒ สนามเป้า เป็นต้น นายทหารมุสลิมเหล่านี้จะจงรักภักดีและเชื่อฟังพลเอกสนธิยิ่งกว่าผู้บังคับ บัญชาตามลำดับชั้นของตน ดังนั้น ผู้บังคับการกรมมุสลิมเพียง ๑๐ – ๒๐ กรม คุมกำลังทหารประมาณ ๕๐,๐๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ นาย จะทำให้ดุลอำนาจในกองทัพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้พลเอกสนธิจะเกษียณอายุจากตำแหน่งผบ.ทบ. เข้าไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็จะสามารถควบคุมกองทัพได้เช่นเดิม ผ่านนายทหารมุสลิมเหล่านี้ และสามารถขยายการควบคุมออกไปจนเปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพมุสลิมทั้งหมด เพราะแม้ทหารส่วนใหญ่เป็นพุทธ แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นมุสลิม ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังที่เคยเกิดในประเทศเวียดนามมาแล้ว ที่แม้ประชาชนเป็นพุทธกว่า ๙๐% แต่ประธานาธิบดีเหงียนเกากี เป็นคริสต์ และตั้งทหารคริสต์คุมกองทัพ คุมกระทรวงมหาดไทย และปราบปรามกดขี่ชาวพุทธอย่างรุนแรง จนพระภิกษุต้องประท้วงโดยการเผาตัวตาย และเวียดนามต้องสิ้นชาติในที่สุด

      ๓. เข้ายึดกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน

      เมื่อพลเอกสนธิปฏิวัติเสร็จ ได้ตั้งพลเอกสุรยุทธ์ เป็นนายก
      ฯ ขัดตาทัพก่อน เพราะบารมีของตนในขณะนั้นยังไม่เพียงพอ จากนั้นเร่งสร้างฐานอำนาจทั้งในกองทัพ องค์กรอิสระ และวงการเมืองอย่างเต็มที่ เมื่อพร้อมก็กดดันอย่างหนักให้พลเอกสุรยุทธ์ลาออก เพื่อตนจะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง จัดตั้งรัฐบาลมุสลิมชุดแรกในประวัติศาสตร์ ปกครองประเทศไทย ต่อไป
      ข้า ราชการคนไหนเป็นชาวมุสลิม หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว นักธุรกิจคนไหนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามก็จะได้รับความสะดวก ได้การสนับสนุนจากรัฐ การเป็นชาวมุสลิมเป็นสิ่งมีเกียรติ ใครเป็นชาวพุทธ เป็นเรื่องต่ำต้อย ถูกดูถูกเหยียดหยาม วัฒนธรรมชาวมุสลิมจะได้รับการส่งเสริมเผยแพร่ตามสื่อมวลชนทุกแขนง และผ่านระบบการศึกษา สังคมไทยจะถูกดูดกลืนปรับเปลี่ยนเป็นสังคมมุสลิม สอดประสานกับการเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ให้เป็นกษัตริย์มุสลิม

      ๔. สร้างรัฐอิสลามซ้อนขึ้นในรัฐไทยและขยายตัวกลืนรัฐไทยทั้งหมดให้กลายเป็นสาธารณรัฐอิสลาม

      ขณะนี้คณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนาฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ร่าง

      ระราชบัญญัติการบริหารองค์กรอิสลามเรียบร้อยแล้วเตรียมเสนอเข้าพิจารณาใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจะออกมามีผลบังคับใช้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ นี้ พ.ร.บ.กลืนชาติไทยฉบับนี้ เป็นการแก้ไขจากฉบับปี ๒๕๔๐ และมีการหมกเม็ดสาระสำคัญที่จะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินไทยทั้งมวล ๓ ประเด็นหลัก คือ
      ๔.๑ มาตรา ๘ "จุฬาราชมนตรีมีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยว กับศาสนาอิสลาม" ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดก็คือ ได้เพิ่มข้อความในวรรคท้ายว่า
      "คำปรึกษา ความเห็น และข้อวินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีตามความในวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด ส่วนราชการและมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตาม"
      นี่ไม่ใช่คำปรึกษาหรือความเห็นแล้ว แต่มันคือคำประกาศิตที่เป็นที่สุดใครจะโต้แย้งใดๆ
      ไม่ ได้ทั้งสิ้น และบังคับให้ส่วนราชการไทย คือ ทั้งศาล อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ จะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้ ดังนั้นจุฬาราชมนตรี ก็จะกลายเป็นเจ้าชีวิตของมุสลิมทุกคน และบังคับรัฐไทยจะต้องปฏิบัติตามคำประกาศิตของจุฬาราชมนตรีในทุกเรื่องที่ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ซึ่งจะตีความให้กว้างเชื่อมโยงไปมากเท่
      าใดก็ได้ รัฐไทยก็จะเปรียบเสมือนเป็นอาณานิคมของรัฐอิสลามที่เกิดซ้อนขึ้นมาในรัฐไทยนั่นเอง
      ๔.๒ มาตรา ๑๓ เมื่อเห็นสมควร กระทรวงศึกษาธิการอาจจัดตั้ง "อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย และอิสลามวิทยาลัยประจำจังหวัด"ขึ้น เพื่อให้การศึกษาและอบรมทางวิชาการศาสนา วิชาการทั่วไป และวิชาชีพได้
      เพียงแค่โรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา ที่เป็นแหล่งเพาะผู้ก่อการร้ายในปัจจุบัน เราก็รับมือกันแทบไม่ไหวอยู่แล้ว นี่จะขยายขึ้นมาถึงระดับเป็นอิสลามวิทยาลัยและจะตั้งทุกจังหวัด ถามว่า ทั้งผู้เรียน ทั้งครู เป็นมุสลิมทั้งหมด แล้วใครจะเข้าไปตรวจสอบการเรียนการสอนการอบรมในอิสลามวิทยาลัยเหล่านี้ มีอะไรเป็นหลักประกันว่า อิสลามวิทยาลัยนี่จะไม่กลายเป็นสถาบันบ่มเพาะมุสลิมหัวรุนแรงอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย สามารถให้ปริญญาตรี โท เอก โดยดูดเอาทรัพยากรจากภาษีอากรของชาวพุทธไปหล่อเลี้ยง
      ๔.๓ มาตรา ๒๙ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามต่อผู้ว่าราชการ จังหวัด และส่วนราชการภายในจังหวัด
      &n
      bsp; ฉบับเดิมเมื่อปี ๒๕๔๐ ระบุเพียงให้คำปรึกษาต่อผู้ว่าฯ เท่านั้น แต่ฉบับใหม่นี้ เพิ่มว่า "และส่วนราชการภายในจังหวัด" ด้วย นั่นคือ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด สามารถเข้าไปแทรกแซงสั่งการการทำงานของทุกส่วนราชการในจังหวัด ทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยราชการต่างๆ ได้ทั้งหมด ถ้าสั่งแล้วใครไม่เชื่อก็บอกจุฬาราชมนตรีประกาศิตลงมาบังคับได้ทันที คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจะทำหน้าที่ชี้นำ ดำเนินการกลืนสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมมุสลิมอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม เป็นระบบ
      เราจะเห็นการเตรียมการวางแผนเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่พลเอกสนธิ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยสมาชิกในส่วนตัวแทนทางศาสนาจำนวน ๑๑ คน มีรายนามดังนี้
      ๑. นายกีรติ บุญเจือ (คริสต์)
      ๒. นายวรเดช อมรวรพิพัฒน์ (พุทธ)
      ๓. นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก &nbs
      p; (พุทธ)
      ๔. นายวินัย สะมะอุน (อิสลาม)
      ๕. นายแว ดือ ราแม มะมิงจิ (อิสลาม)
      ๖. นายดำรง สุมาลยศักดิ์ (อิสลาม)
      ๗. นายแวมาฮาดี แวดาโอะ (อิสลาม)
      ๘. นายอับดุลเราะแม เจะแซ (อิสลาม)
      ๙. นายอับดุล รอซัค อาลี &n bsp; (อิสลาม)
      ๑๐. นายอิสมาแอล อาลี (อิสลาม)
      ๑๑. นายอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา (อิสลาม)

      ในประเทศไทยที่ประชากรร้อยละ ๙๔ เป็นพุทธ มีมุสลิมอยู่เพียงร้อยละ ๕ แต่พลเอกสนธิ กล้าที่จะแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เป็น
      ตัวแทนศาสนาเป็นชาวพุทธเพียง ๒ คน แต่เป็นชาวมุสลิมถึง ๘ คน นี่คือการไม่เป็นหัวชาวพุทธเลย และเป็นการเตรียมคนไว้รองรับการออกพระราชบัญญัติฉบับ "กลืนชาติไทย" นี้นี่เอง
      พี่น้องชาวไทยทุกท่าน ท่านจะนั่งเงียบเฉยมองดูประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา หรือจะลุกขึ้นมาสู้ ช่วยกันปกปักรักษาประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราไว้
      ทหารหาญแห่ง กองทัพไทยทุกท่าน ท่านตอบตัวเองได้หรือยังว่า ท่านเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือเป็นทหารของผู้นำมุสลิม ท่านจะยอมตนลงเป็นทาส หรือจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยชีวิตตามคำสัตย์ปฏิญาณ
      ขณะนี้ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ร้ายแรง ที่สุด เหมือนยืนอยู่ที่ปากเหวแห่งความล่มสลาย แต่ถ้าพี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมรวมพลังไม่เพิกเฉยดูดาย ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะกอบกู้แก้ไขสถานการณ์ร้ายนี้

      "ชะตาของชาติไทยอยู่ที่การตัดสินใจสู้ของท่าน"


      (โปรดช่วยกันทำสำเนาส่งข่าวนี้ให้รู้โดยทั่วกันให้กว้างขวางที่สุด)

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×