ตอนที่ 7 : ความจริงที่ซ่อนอยู่
บทที่ 7
ความจริงที่ซ่อนอยู่
อยากหยุดเวลาไว้แค่นี้...
เสี้ยวหนึ่งของความคิดผุดแทรกขึ้นมาในห้วงแห่งปรารถนาลึกเร้น ขณะกำลังโอบกอดร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาวที่เขาเกลียดชังไว้ในอ้อมอกราวกับเป็นร่างเดียวกัน พาเธอเต้นรำเคล้าคลอไปตามจังหวะของหัวใจที่เต้นอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่องกระจ่างสวย และสายลมเย็นฉ่ำจากท้องทะเลที่กำลังกราดเกรี้ยว โดยมีดวงตาเกือบร้อยคู่ที่แหงนมองขึ้นมาด้วยความสนใจและอิจฉาในความรักของทั้งคู่เป็นประจักษ์พยาน
ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงคิดอะไรงี่เง่าแบบนี้นะ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากเสียของเล่นไป ของเล่นราคาถูกที่คว้ามาจากตลาดสด ของเล่นส่วนตัวที่ทำให้เขาสนุกทุกครั้งที่ได้เล่น ของเล่นที่เขายังไม่รู้สึกเบื่อ ก็เลยนึกลังเลขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง เขาไม่ควรหวั่นไหวกับการตัดสินใจของตัวเองแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว
“คืนนี้...” จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้อิงแอบแนบชิดในฐานะคู่รัก และจะเป็นคืนแรกของการเป็นศัตรูที่แสนเกลียดชังกันตลอดชาติ “ทุกคนจะเป็นพยานให้เราสองคน”
ใบหน้าสวยซ่อนเศร้าผละออกจากอกกว้างของเขาแล้วแหงนเงยมองคนร่างสูง เจ้าของอ้อมกอดที่เคยอบอุ่นและปลอดภัยสำหรับเธอ แต่บัดนี้ กลับกลายเป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย
“ค่ะ ทุกคนจะเป็นพยาน ว่าเราสองคนนั้น...”
“รักกันมากแค่ไหน”
“เราควรลงไปหาเพื่อน ๆ ที่งานปาร์ตี้ซะที” เธอบอกพลางขยับถอยห่างจากเขาหนึ่งก้าว แต่เขากลับคว้ามือเธอไว้แล้วดึงร่างเธอเข้าไปกอดแนบอีกคราว หัวใจเต้นหนักจนได้ยินชัดหู เขาคงกำลังเลือดสูบฉีดแทบคลั่ง อะดรีนาลีนหลั่งไปทั่วทั้งร่าง เมื่อเวลาแห่งชัยชนะใกล้เข้ามา
“บัว...” เขากระซิบใกล้หู ด้วยน้ำเสียงสับสน ราวกับกังวลและตื่นตระหนก “ผม...”
“อะไรคะ” เขาไม่จำเป็นต้องตะล่อมเธอด้วยคำพูดหวานหูหรือชักแม่น้ำทั้งห้าในเธอหลงเชื่ออีกแล้ว เพราะเวลานี้เธอกลายเป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเหมือนคนคิดหนัก สายตาเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่เธอไม่อาจหยั่งถึง เขาคิดอะไรอยู่ หรือกำลังวางแผนทำอะไรอีก
“ผมหล่อรึยัง” เขากำลังแสดงให้รู้ว่าเขานั้นแสนจะตื่นเต้นกับการออกไปปรากฏตัวต่อหน้าแขกเหรื่อทุกคนพร้อมกับว่าที่เจ้าสาวคนนี้...อย่างนั้นหรือ...ไม่เลย...อยู่ๆเขาก็พูดไม่ออกขึ้น เหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
“ผม...”
“เฮ๊ยเมฆ!” เสียงของราเมศดังขึ้นอีกครั้ง ปลุกเขาให้หลุดจากภวังค์อันปั่นป่วน หมอนั่นกลับขึ้นมาเพื่อจะเตือนสติเพื่อนรักให้รู้ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ หลังจากที่เพื่อนรักใช้เวลากับเหยื่อนานเกินไปหน่อย “เพื่อน ๆ รออยู่นะ มากันเต็มงานแล้ว พาว่าที่เจ้าสาวของนายลงไปได้แล้ว”
สายตาของราเมศพูดกับเขาว่าอย่ามัวแต่ถ่วงเวลาอยู่เลย มันถึงเวลาที่ต้องแสดงฉากสุดท้ายแล้ว ซึ่งเป็นฉากที่ทุกคนรอย เขาไม่ควรทำให้เพื่อนผิดหวัง
“ก็กำลังจะลงไปนี่ไง!!” อิศราส่งสายตากร้าวใส่เพื่อน น้ำเสียงเข้มนิดหน่อย เพราะรู้สึกไม่พอใจที่โดนเพื่อนตำหนิทางสายตา หากทุกคนคิดว่าเขายื้อเวลาเพราะเกิดใจอ่อนให้กับเหยื่อขึ้นมาล่ะก็ ทุกคนคิดผิดแล้ว “ไปเถอะบัว”
มือแกร่งแต่เย็นเยียบและชุ่มเหงื่อพอชื้นคว้าจับมือนุ่มเธอไว้อย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ได้เวลาแล้ว”
“เอ่อ...” แต่เธอมีบางเรื่องต้องทำก่อน “คุณลงไปก่อนเถอะ บัวขอเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ แล้วจะรีบตามลงไป”
เธอปลดมือเขาออกจากมือของเธอด้วยตัวเอง ราวกับปลดพันธนาการออกจากชีวิต
“อ้อ โอเค งั้นผมลงไปก่อนนะ”
“ค่ะเมฆ”
เขาโน้มหน้าเข้าหาเธอ แล้วหอมแก้มเธออีกครั้งอย่างอ่อนหวาน เธอยิ้มให้เขาก่อนจะเดินห่างออกมา โดยไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีก เธอกลัวจะเห็นรอยยิ้มเยาะสะใจจากเขา เธอยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้
บัวบูชาตรงไปยังห้องนอนใหญ่บริเวณชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องที่ถูกตระเตรียมเอาไว้สำหรับเป็นห้องหอ
อิศเรศแอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ละสายตาจากหญิงสาวที่เดินหายเข้าไปในตัวบ้านแล้ว ก่อนจะหันมามองเพื่อนตาเขียวปั๊ด
“ทำไมแกทำหน้าแบบนั้น?”
“หน้าแบบไหนวะ”
“ก็หน้า...” เขาชี้หน้าราเมศตรง ๆ อย่างเอาเรื่อง “หน้าแบบนี้ไง แกคิดว่าฉันอยากถ่วงเวลาอยู่กับยัยนั่นเหรอ ได้โปรดอย่าเข้าใจฉันผิดเด็ดขาด มันก็แค่การใช้เวลาช่วงสุดท้ายอย่างสวยงามที่สุด ฉันแค่อยากทำให้ยัยนั่นหลงจนโงหัวไม่ขึ้น พอโดนผลักลงมาจากสวรรค์ จะได้ช็อคจนขาดใจตายไปเลย”
“เปล่าซะหน่อย ใครจะกล้าคิดว่านายพยายามถ่วงเวลา นายเป็นคนคิดแผนและวางแผนเองทุกอย่างนะ” แต่สีหน้าของราเมศกลับตรงกันข้าม นั่นเพราะเขาคิดจริง และไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่คิดแบบนี้ ทิวากรเองก็คิดไม่ต่างกัน หมอนั่นจึงยุให้เขาขึ้นมาตามไงล่ะ “ก็เห็นเต้นรำกันอยู่ตั้งนานสองนานแล้ว คิดว่านายลืมอะไรไปรึเปล่า ก็เท่านั้นเอง เพื่อน ๆ เลยให้ฉันมาปลุกนาย”
“ลืมอะไรวะ”
“ก็ลืมว่าต้องประกาศเรื่องสำคัญกลางงานปาร์ตี้ไง ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย”
“ฉันไม่ลืมหรอกน่า ที่จัดงานนี้ขึ้นก็เพราะเรื่องนี้ ไม่งั้นจะจัดงานทำห่าอะไร อ้อ ที่ว่าเต้นรำนาน มันนานสักเท่าไหร่กันวะ แค่สิบนาทีสิบห้านาทีเอง ทำเป็นใจร้อนไปได้”
“สิบนาทีอะไรวะ นายยืนกอดอยู่กับยัยนั่นเกือบชั่วโมงแล้วนะโว๊ย!!”
“เกือบชั่วโมง!” อิศราตกใจหน้าเหวอ และทำหน้าแทบไม่ถูก ทั้งยังพูดตะกุกตะกักอีกต่างหาก เขาล่ะอยากจะตบปากตัวเองสักที “เฮอะ! พอเหอะ ลงไปเปิดแชมเปญ เตรียมฉลองให้ว่าที่เจ้าสาวของฉันดีกว่า คิดแล้วสนุกฉิบ!”
แต่ใบหน้าของอิศรากลับดูไม่สนุกเอาซะเลย ราเมศแอบหวังว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“ไปสิวะ”
“เออ”
“เตรียมฉลองเหอะ เพราะเกมใกล้จะโอเวอร์แล้ว” เขาพูดจบก็รีบเดินนำเพื่อนไปลงไปชั้นล่างของบ้านด้วยท่าทางมั่นใจเหมือนเป็นคนเดิม แต่สีหน้าแอบเครียดกังวลโดยไม่รู้ตัว เขาพยายามในทุกย่างก้าวที่จะปลุกตัวเองให้หลุดออกจากภาวะอารมณ์ของผู้แพ้ เพราะเขากำลังจะชนะ
ขณะบัวบูชาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของเขา เธอกวาดสายตามองไปทั่วทุกซอกทุกมุม ด้วยสายตาเศร้าแต่ซ่อนไว้ซึ่งความกล้าแกร่ง
เธอเดินไปยังหน้าโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง มองตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมอง จับจ้องที่แหวนหมั้นเรียบหรูบนนิ้วนางข้างซ้าย
“มันเป็นของปลอม” ถึงแม้มันจะเป็นเพชรแท้ แต่ความหมายของมันก็ปลอมอยู่ดี เธอตัดสินใจถอดแหวนวงนั้นออกจากนิ้ว ทว่า พยายามจะดึงเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมหลุดออกมา ราวกับมันได้สลักตัวอยู่บนนิ้วนางของเธอไปแล้ว
“ทำไมถอดไม่ออกเนี่ย!”
เธอพยายามอีกหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล จนเธออ่อนอกอ่อนใจให้กับความโชคร้ายของตัวเอง เธอเพียงแค่อยากคืนมันให้แก่เขาเท่านั้น แต่กลับไม่มีสิทธิ์
“หลักฐานของความโง่สินะ มันคงอยากจะอยู่กับเรา เพื่อคอยย้ำเตือนให้เรารู้ว่าเราเคยโง่แค่ไหน”
เมื่อเธอไม่สามารถถอดแหวนหมั้นออกจากนิ้วนางข้างซ้ายได้ เธอจึงหันไปมองประตูบานเล็กที่เชื่อมกับห้องทำงานของเขาเอาไว้
เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น เพราะมันมีประตูอีกบานที่ซ่อนอยู่หลังผนังห้อง ห้องที่ต้องใช้รหัสเปิดเข้าไป ห้องเก็บสมบัติส่วนตัวในวัยเด็กที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไป เขาบอกว่าจะให้เธอเข้าไปในห้องนี้หลังจากแต่งงานกันแล้ว
แต่มันไม่มีวันนั้นน่ะสิ...เพราะเธอกับเขาจะไม่มีวันได้แต่งงานกัน
บัวบูชาอยากรู้มานานแล้วว่าเขาซ่อนอะไรไว้ข้างใน แต่เธอไม่อยากก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของเขา จึงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวและซักไซ้ แต่วันนี้เธออยากรู้แล้วล่ะว่าเขามีความลับอะไรซ่อนอยู่
เธอคิดถึงตัวเลขสำคัญของเขา ทั้งวันเกิดของเขา และวันเกิดของมารดา แต่ประตูก็ยังไม่ยอมเปิด กระทั่งลองใช้วันเกิดของเธอเอง แล้วมันก็ได้ผล
“ใช้วันเกิดฉันเหรอ...อืม...ฉันต้องเตรียมใจสินะ”
เพราะมันคงไม่ใช่ขาวดีแน่ เธอทำใจครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในซึ่งค่อนข้างสลัว พอไฟเปิดสว่างก็มองเห็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก ออกแบบเหมือนห้องเธียเตอร์ส่วนตัว มีจอหนังขนาดเล็กบนฝาผนัง ชุดโซฟาหรูวางอยู่กลางห้อง โต๊ะไม้เข้าชุดโซฟาดูเก่ากึก
“อ่า...” เธอก้าวเข้าไปยืนข้างในด้วยสายตาตะลึงงัน กวาดสายตามองดูภาพถ่ายและข้อมูลของตัวเองติดอยู่เต็มห้องและวางเกลื่อนบนโต๊ะ เขาเก็บเรื่องราวของเธอไว้มานานมากแล้ว นับตั้งแต่จบจากมัธยม กระทั่งตอนนี้ แม้หลายปีที่เขาไปเรียนต่อเมืองนอก เขาก็ยังจับจ้องมองเธอตลอดเวลา ด้วยการส่งใครบางคนมาเฝ้าเธอห่าง ๆ คนผู้นั้นตามติดเธอในทุกฝีก้าว คอยถ่ายรูปเธอในทุกที่ที่เธอไป
“อะไรกันนี่...นี่คุณ...วางแผนมานานแล้ว...คุณเฝ้ามองฉันมาตลอดเลย...คุณทำแบบนี้ทำไม??”
หัวใจของเธอสั่นรัวไปหมด เพราะนอกจากเขาแล้ว ยังมีใครบางคนตามติดเธอทุกฝีก้าวอีกด้วย โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลย โดยที่เธอไม่สงสัยเลยสักนิด
“เขากับเพื่อนสนิทของเขาไปเรียนด้วยกันนี่นา แล้วใครคอยถ่ายรูปเราส่งให้เขา???”
บัวบูชาพยายามตั้งสติแล้วรีบออกจากห้องนั้นมา เธอบอกให้ตัวเองใจเย็นและสู้กับทุกสิ่งที่กำลังจะเผชิญในไม่ช้า ไม่ว่ามันจะร้ายแรงและอันตรายแค่ไหนก็ตาม
“โอเคบัว..อย่างน้อย...เธอก็ไม่ต้องเป็นคนโง่ต่อไปไง เธอต้องทำได้ ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว!!!”
เธอก้าวลงจากชั้นบนของบ้าน แล้วเดินตรงไปยังปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำ ซึ่งกำลังครื้นเครงและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ใจเธอยิ่งสั่นเทา เธอเดินผ่านเพื่อน ๆที่มีแต่รอยยิ้มยินดีส่งมาให้ แต่เธอไม่อาจวางใจใครได้เลย เพราะภายในงานนี้ คงมีใครสักคนที่ทำหน้าที่เป็นกระจกให้แก่อิศรา ใครสักคน...
“เฮ๊! ว่าที่เจ้าสาวมาแล้ว!!!” เสียงของราเมศดังต้อนรับเธอโหวกเหวก ก่อนจะเป็นเสียงปรบมือตามมาราวกับนัดหมายกันไว้ “ปรบมือต้อนรับว่าที่เจ้าสาวหน่อยครับ”
อิศรายืนอย่างสง่า รอเธออยู่กลางฟลอเต้นรำริมสระว่ายน้ำ ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนสนิทและสักขีพยานคับคั่ง ขณะเสียงเพลงบรรเลงจากเปียโนหวานจับใจทีเดียว
“บัว!” ลลิตาและกอบกุลโบกมือให้เธอพร้อมรอยยิ้มสดใสยินดี ขณะที่เพื่อนทุกคนต่างยกแก้วไวน์ในมือขึ้นแสดงความยินดีแทนคำพูด
บัวบูชาเพียงแค่ยิ้มพอเป็นพิธี ขณะก้าวช้า ๆ เพื่อไปหาว่าที่เจ้าบ่าวผู้สง่าที่ยืนรอเธออยู่ด้วยใจจดจ่อ รอยยิ้มร้ายที่เต็มไปด้วยความหมายอย่างลึกล้ำและสายตาเย้ยเยาะที่บ่งบอกถึงความสุขสมหวังของเขา ทำให้เธอรู้สึกเศร้ามากกว่าเสียใจเสียแล้ว ความทุกข์ของเธอคือความสุขของเขา
“บัว!” อิศราตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงมั่นใจ พร้อมกับยื่นมือมาหาเธอ รอให้เธอก้าวไปหาเขา
แต่หญิงสาวกลับหยุดเดินแล้วยืนนิ่งเหมือนหุ่นไร้ชีวิตและวิญญาณ ท่ามกลางสายตายิ้มแย้มของทุกคนที่มาร่วมงานและกำลังจ้องมองเธอเป็นตาเดียว...
“เมฆ...เราเลิกกันเถอะ!!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จัดไปคะ จบไปเลย
ฝากเป็นกำลังใจให้บัวด้วยจ้าาาา