ตอนที่ 3 : ยิ้มทั้งน้ำตา
บทที่ 3
ยิ้มทั้งน้ำตา
หลังจากดื่มกินกับกลุ่มเพื่อนสนิทจนพวกมันเมาเละแล้วแยกย้ายกันไปนอนตามห้องต่าง ๆ ภายในบ้านหรูซึ่งมีห้องหับมากมายเพียงพอสำหรับเพื่อนทุกคน เขาก็เดินออกมารับลมที่ริมสระว่ายน้ำหลังบ้าน ซึ่งสามารถมองเห็นวิวชายหาดและท้องทะเลสีฟ้าครามได้กว้างไกลสุดสายตา
“อืม...ใกล้แล้ว...ใกล้จะจบแล้ว”
หลังจากไม่ได้ติดต่อกับว่าที่เจ้าสาวแสนสวยมาเกือบหกชั่วโมงเต็ม นับตั้งแต่เธอขึ้นเครื่องเมื่อช่วงสิบโมงเช้าของวันนี้ กระทั่งเกือบสี่โมงเย็น เขาก็ควรสลัดอาการมึนเมาจากไวน์สี่แก้วมาทำหน้าที่ว่าที่เจ้าบ่าวเสียหน่อย
“ทำอะไรอยู่น๊า...ที่รัก” เขายิ้มมุมปากอย่างหยามหยันเย้ยเยาะให้กับว่าที่เจ้าสาวแสนโง่ของเขา...เจ้าสาวที่โชคร้ายที่สุดในโลก...ใบหน้าคร้ามบ่งบอกถึงความสาสมใจกับความสำเร็จที่ได้มาอย่างง่ายดาย นัยน์ตาแดงก่ำจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมายที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจร้ายกาจ
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดเบอร์ของหญิงสาว ซึ่งถูกพิมพ์ไว้ในชื่อ ‘ที่รัก’ เพื่อความสมจริง
“หึ!” เขารอเธอรับสายอย่างอารมณ์ดี ตั้งใจจะอ้อนเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจับใจ ตั้งใจจะกระเง้ากระงอดทำให้เธอรู้สึกผิดที่ทำให้เขาคิดถึงเธอหนักมากในวันนี้ “รับสิครับที่รัก”
แต่เธอกลับไม่ยอมรับสายเสียที่...
“อ้าว...ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ!”
อิศราถึงกับงง เพราะเธอไม่เคยปฎิเสธสายจากเขา หากติดธุระหรือไม่สามารถรับได้สายได้ เธอจะทิ้งข้อความบอกไว้เสมอ ไม่ปล่อยให้เขาโทรเก้อแบบนี้
“ข้อความก็ไม่ได้ทิ้งไว้” เขาจึงกดโทรไปใหญ่ แต่สายกลับถูกตัดไปเหมือนเดิม “หรือว่าจะงอน...ที่เราไม่โทรหามาหลายชั่วโมง แต่เราก็บอกไปนี่นาว่าวันนี้มีประชุม”
อิศราพยายามใจเย็น แล้วโทรศัพท์กลับไปอีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกหลายครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม เธอไม่ยอมรับสายจากเขา ทั้งที่ก็โทรติดทุกครั้ง
“อะไรกันเนี่ย ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์วะ”
เขารู้สึกว้าวุ่นใจและกังวลอย่างบอกไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหล่อนเมินเฉยใส่สายจากเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเธอมาเกินหกชั่วโมงแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ก่อกวนจิตใจของเขาจนแทบบ้า หากเธอรู้ว่าเขาไม่เคยโทรหาผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน เธอจะรู้สึกผิดบ้างมั้ยเนี่ย
“ทำอะไรอยู่นะบัว! ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ผม ทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง คุณเป็นใคร ผมเป็นใครหา???”
เขารู้ว่าเธอจะไปเยี่ยมน้าสาวที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เขารู้เท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่ม เพราะไม่ได้อยากจะรู้จักญาติโกโหติกาของเธออยู่แล้ว แต่การที่เธอไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขานี่สิ เขาอยากจะรู้จริงๆว่าเธอทำอะไรอยู่ วินาทีนี้มีอะไรที่สำคัญกว่าว่าที่เจ้าบ่าวอย่างเขางั้นหรือ
“ข้อความก็ไม่อ่าน ! มันจะมากไปแล้วนะ !” เธออยากให้เขาหงุดหงิดมากใช่มั้ย เขาหงุดหงิดจนเริ่มจะโมโหแล้วนะ
“หรือว่า...ได้รับอันตรายอะไรรึเปล่า?” อยู่ ๆ ความคิดนี้ก็พุ่งเข้ามาในสมอง ซึ่งทำให้เขาชะงักไปเกือบนาทีเหมือนกัน ก่อนจะคิดได้ว่ามันใช่กงการอะไรของเขาเสียหน่อย “ยัยนั่นจะเป็นอะไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่หว่า”
เขาควรหยุดโทรศัพท์แล้วกลับเข้าไปกินเหล้าต่อ หรือไม่ก็ไปนอนให้สบายอุรา เพราะถือว่าเขาได้ทำหน้าที่คนรักอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว อย่างน้อยเขาก็โทรหาเธอไปมากกว่าสิบครั้งและส่งข้อความไปมากกว่าห้าข้อความ ซึ่งมันหมายความว่าเขาได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ได้ปล่อยปละละเลยหรือไม่สนใจว่าที่เจ้าสาว
“แต่...ถ้ายัยนั่นเป็นอะไรไป...แผนของเราก็ไม่สำเร็จจน่ะสิ เราควรทำอะไรสักอย่างนะ” เขานิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเผลอถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายรำคาญใจที่หัวใจมันเอาแต่กังวลและว้าวุ่นใจอยู่ได้ “ช่างเหอะว่ะ ช่างเหอะ ช่างมัน ไปจ๊อกกิ้งดีกว่า !”
แทนที่จะกลับไปนอนพักที่ห้อง เขาเลือกออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่บริเวณชายหาดเพราะอยากระบายความเครียดกังวลที่สุมทุมในหัวออกมาทางเหงื่อ เขาวิ่งหลายรอบจนเหงื่อซกไปทั้งตัว ก่อนจะกลับเข้ามาที่บ้านอีกครั้งตอนที่ดวงตะวันกำลังตกดินพอดี แสงสุดท้ายของวันสาดแสงสีทองไปทั่วทั้งผืนฟ้าและผืนน้ำ ทำให้บ้านหรูหลังงามยิ่งโดดเด่นสะดุดตา
“เฮ่อ ค่อยยังชั่วหน่อย” เขาหวังลึก ๆว่าเธอจะโทรมาหาเขาแล้ว อาจกระหน่ำโทรหลายสายด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกผิดที่ไม่ได้รับสายจากเขา คอยดูเถอะ เขาจะแกล้งทำเหมือนว่าโกรธเธอมาก เขาจะแกล้งงอนจนเธออยู่ไม่ติด ต้องรีบขึ้นเครื่องกลับมาในคืนนี้เลยล่ะ
“อ้าว...” แต่พอเปิดโทรศัพท์ขึ้นดู หัวใจเขาก็เหี่ยวแฟบลงทันตาเห็น นั่นเพราะเธอยังไม่ยอมติดต่อกลับมาตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ จึงทำให้เขาเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง “หายไปไหนเนี่ย ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์เนี่ย !!!”
เขาเกือบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งด้วยความโมโหแล้วเชียว หากไม่ใช่เพราะเสียงริงโทนดังขึ้นเสียก่อน ซึ่งเป็นสายจากเธอนั่นเอง เขาชะงัก สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ตอนที่กดรับโทรศัพท์ ทั้งที่รู้สึกโล่งใจอยู่ลึก ๆ ที่เธอยังปลอดภัยดี
“ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่รู้รึไงว่าผมเป็นห่วง คุณทำกับผมแบบนี้ได้ยังไงบัว !!!”
บัวบูชาหน้าเซียวซีด ดวงตากลัดทุกข์ ยิ้มเหมือนคนหมดแรงหมดกำลัง ขณะฟังเขาพูดถ้อยคำโกหกอย่างไร้ความขัดเขิน หากเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่เธอยังไม่รู้ว่ามันเป็นแค่เกมของเขา เธอก็คงจะหัวใจพองโตที่เขาแสดงความรักและห่วงใยเธอขนาดนี้
“ขอโทษค่ะ...ขอโทษ” เธอพยายามปั้นเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าเธอกำลังตรมตรอมขนาดหนักเพราะโดนความรักหักหลังอย่างเลือดเย็น “พอดีฉันลืมโทรศัพท์ไว้ที่โรงแรม...ฉันออกไป...เยี่ยม...คุณน้าที่...โรงพยาบาลมา...และอยู่คุยกับ...ญาติ...จนเพลิน”
น้ำเสียงอ่อนแรงของหญิงสาวทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย เพราะโดยปกติแล้วเธอจะพูดจาฉะฉานมีชีวิตชีวากว่านี้ แม้ไม่อ่อนหวานเหมือนหน้าตา แต่ก็ไม่พูดเบาพูดค่อยเหมือนคนพูดจาไม่เป็นแบบนี้ ก็เธอมันแม่ค้าขายขนมในตลาดนี่นา ไม่ใช่เลขาหน้าห้องผู้บริหารเสียหน่อย
“น้าคุณโอเครึเปล่าที่รัก”
“อืม...” เพราะคำว่าที่รักมันสะเทือนใจเธออย่างแรง เขาคงฝืนใจมากที่พูดคำนั้นออกมา เธอพยายามจะไม่ร้องแล้วนะ แต่มันก็ทำไม่ได้ น้ำตามันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เธอก็ยังพยายามทำเสียงสดใส เหมือนว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น “ก็ไม่เป็นไรมากแล้วค่ะ ผ่าตัดเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาอะไร”
“แล้วคุณพักโรงแรมอะไรนะ?”
เธอบอกเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังถาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไมใส่ของเขา
“โรงแรมเล็ก ๆ ใกล้โรงพยาบาลค่ะ”
“ผมบอกแล้วไงว่าให้ไปพักโรงแรมของผม คุณก็ดื้อ ไม่เห็นต้องกังวลเรื่องการเดินทางเลย ยังไงก็มีรถรับส่งอยู่แล้ว อย่าลืมนะว่าคุณเป็นใคร”
ใช่ เธอไม่ลืมหรอก เธอจะไม่ลืมเด็ดขาดเลยว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เธอจะไม่ลืม...
“ขอบคุณนะคะเมฆ คุณ...” เธอพยายามแล้วนะ แต่ไม่มีแรงจะพูดกับเขาจริง ๆ “คุณดีกับฉันมากเลย ฉันโชคดีที่มีคุณ โชคดีที่ได้รัก...คุณ....แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเพลียมากเลยค่ะเมฆ ฉันรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย...”
“คุณปวดหัวเหรอ ไม่สบายเหรอ!” น้ำเสียงร้อนรนเพราะความห่วงใยของเขาคงทำให้เธอยิ้มได้ หากเป็นเมื่อก่อน แต่วินาทีนี้ เธอรู้แล้วว่ามันเป็นแค่การแสดง เขากำลังเสแสร้งแกล้งหลอกเธอเท่านั้น เขากำลังปั่นหัวเธอ “ที่รัก...เป็นอะไรบอกผมมาสิ เดี๋ยวผมให้คนของผมไป...”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบปฎิเสธ “ไม่ได้เป็นอะไร แค่เพลียนิดหน่อย อาจเป็นเพราะไม่คุ้นกับอากาศในกรุงเทพฯ”
“โอยที่รัก ผมเป็นห่วงคุณจัง ไม่เอาอ่ะ ยังไงผมก็ต้องให้ใครไปดูแลคุณ ไม่งั้น...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ!” น้ำเสียงของเธอดุดันเด็ดขาดจนทำให้เขาชะงักไปนิดหน่อย “ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก นอนพักผ่อนสักหน่อยก็คงจะหายแล้วล่ะ อย่าลืมสิคะว่าฉันเป็นลูกแม้ค้าตลาดสด ฉันมันอึดถึกทนอยู่แล้ว เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
“อืม...” เขายอมเพราะดูเหมือนเธอจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาจริงๆ อีกทั้งยังยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไรมาก เขาจึงไม่อยากตื๊อเธอให้เสียเวลาอีก “แต่ยังไงพรุ่งนี้ผมจะไปรับที่สนามบินนะ เครื่องลงกี่โมงนะ ก่อนเที่ยงใช่มั้ย”
เธอปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด “ไม่เป็นไรค่ะ คุณทำงานเถอะ ฉันบอกให้เพื่อนมารับแล้วล่ะ”
“เพื่อนคนไหน?” เขาถามเสียงแข็งโดยอัตโนมัติ ลืมตัวว่าไม่ได้เป็นแฟนกันจริง ๆ “ผู้ชายหรือผู้หญิง?”
“กอบกุลน่ะค่ะ” เขาแกล้งทำเป็นหึงอย่างนั้นหรือ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะแสดงละครได้เก่งกาจขนาดนี้
“แล้วไป งั้นผมไปรับคุณที่บ้านตอนเย็นแล้วกัน อย่าลืมใส่ชุดที่ผมซื้อให้นะ ผมอยากเห็นคุณใส่ชุดนั้นแทบแย่แล้ว”
เขาซื้อชุดแบรนด์เนมแสนแพงให้แก่เธอ เป็นชุดแซ็กเปิดไหล่สีขาวสวยเรียบหรู เขาอยากให้เธอใส่ชุดนี้ ชุดที่ไม่เหมาะกับคนอย่างเธอ เพื่อตอกย้ำให้เธอรู้ว่าเธอมันไม่ควรใฝ่สูง เธอมันต่ำต้อยไร้ราคาไม่ควรค่าแก่ชุดนี้
“ทำไมคะ ทำไมถึงอยากเห็น”
“ก็มันสวย เหมาะกับคุณ เจ้าสาวที่สวยที่สุดของผม ทุกคนจะต้องอิจฉาผม ที่ได้คุณเป็นเมีย”
เธอยิ้มไม่ออก รู้สึกอึดอัดและอัดอั้นจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “ฉันอาจไม่ดีพอ...คุณเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”
“คุณน่ะเหรอไม่ดีพอ คุณไม่รู้หรอกบัวว่าคุณน่ะน่ารักขนาดไหน ผมไม่วันปล่อยคุณไปหรอก คุณก็รู้นี่ที่รัก ว่าคนอย่างผม อยากได้อะไรก็ต้องได้”
เขาคงแค้นเธอมาก...แค้นเรื่องอะไรกัน...เธอนึกไม่ออกจริงๆว่าเธอเคยไปทำอะไรให้เขาโกรธเคืองนักหนา
“เย็นพรุ่งนี้ คุณไม่ต้องมารับฉันหรอกนะคะ ฉันจะไปที่งานเอง ฉันอยากให้คุณเซอร์ไพรซ์ในความสวยของฉัน คุณรอฉันที่บ้านของเรานะคะ คอยรับแขกที่มาร่วมงานดีกว่า”
“จะเอาอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะ เจอกันที่งานปาร์ตี้สละโสดของเรานะคะ...แต่ตอนนี้ฉันง่วงจนตาจะปิดแล้ว”
“ก็ได้ที่รัก งั้นผมไม่รบกวนแล้ว แต่ห้ามปิดเครื่อง ห้ามไม่รับสายอีก ไม่งั้น ผมจะ...ลงโทษคุณให้หนักเลย”
เธอกดวางสายจากเขา ก่อนที่โทรศัพท์จะล่วงหล่นจากมือลงไปตั้งอยู่บนพื้น
“เมฆ...คุณจะทำฉันจริง ๆ เหรอ?” น้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยความเสียใจ “คุณจะไม่ปล่อยฉันจริง ๆ ใช่มั้ย”
เธอร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักอยู่เกือบชั่วโมง ก่อนที่เสียงท้องร้องเพราะความหิวจะทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว
“ลูก...จริงสิ” เธอลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองอย่างเบามือ ทะนุถนอม “แม่จะไปงานนี้นะ...เราไปด้วยกันนะ แม่แค่อยากรู้ว่าพ่อเขาโกรธอะไรแม่ แม่แค่อยากรู้ว่าพ่อเขาทำแบบนี้ทำไม ที่สำคัญ ถ้าเขาโกรธอะไรแม่ แม่ก็อยากให้มันจบแค่นั้น หลังจากนี้ไป พ่อจะได้ไม่มายุ่งกับแม่อีกนะ”
หลังจากคิดมาเกือบทั้งวัน เธอก็ได้ข้อสรุปให้ตัวเอง เธอไม่คิดจะหนี หากเขาต้องการให้เกมมันจบที่งานปาร์ตี้สละโสด ต่อหน้าเพื่อน ๆ ทุกคน เธอก็ยินดีที่จะจบเกมที่นั่น ตามที่เขาต้องการ และเมื่อเขาได้สมปรารถนาแล้ว เธอจะขอคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
บัวบูชาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พยายามเข้มแข็งให้ได้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วจัดการล้างหน้าล้างตา ล้างคราบของความเสียใจออกจากใบหน้าจนหมดจด
“เราจะไม่เป็นอะไร เราจะไม่เป็นอะไรนะบัว”
เวลาราวหนึ่งทุ่มตรง เธอตัดสินใจออกจากห้องพัก ลงไปหากอบกุลที่ชั้นสี่
“อ้าวยัยบัว แกกลับมาจากกรุงเทพฯแล้วเหรอ?” กอบกุลในชุดแซ็กสีเหลืองอ่อนสวยตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนรักยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“อืม ทำอะไรอยู่?”
“ลองชุดอยู่น่ะสิ ยัยตาก็อยู่นะ”
“เฮ๊ว่าที่เจ้าสาว!” ลลิตาตะโกนมาจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เจ้าหล่อนสวมชุดสีขาวสวย แบรนด์เดียวกับที่เขาซื้อให้เธอเลยล่ะ เจ้าหล่อนเดินออกมาคว้ามือเธอ ลากพาเข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้นเปี่ยมสุข “มาช่วยดูหน่อยเร็ว ฉันใส่ชุดนี้เป็นไง สวยเกินหน้าเกินตาเจ้าสาวรึเปล่า???”
“สวยสิ แกใส่ชุดไหนก็สวยตา ชุดนี้ดูน่ารักเหมาะกับแกมากเลยนะ”
“แล้วฉันล่ะ” กอบกุลหมุนตัวให้เพื่อนรักดูความงามของตัวเองที่แสนภูมิใจ “สวยพอกับปาร์ตี้ไฮโซมั้ย”
“สวย ใช้ได้เลย สีนี้เข้ากับแกมากเลยกุล”
“แล้วแกล่ะบัว ได้ข่าวว่าชุดแพงมากเว่อร์” ลลิตาแซวเพื่อนใหญ่ “แต่ก็นะ ว่าที่สามีของแกทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนั้น คิดแล้วอิจฉา อยากมีผู้ชายเปย์แบบนี้บ้างจัง”
“อย่างแกต้องหาผู้ชายเปย์อีกเหรอ” กอบกุลพูดด้วยความหมั่นไส้ “ทั้งสวยทั้งรวยขนาดนี้แล้ว จะเลือกผู้ชายแบบไหนก็ได้นี่นา”
“แหม ถึงฉันจะสวยและรวยเว่อร์ แต่ฉันก็ไม่ได้ผู้ชายดีเว่อร์แบบคุณอิศรามาครอบครองเหมือนยัยบัวนะ มีแต่พวกไม่เอาไหนทั้งนั้น นี่แหละนะ ที่เขาเรียกว่าวาสนาใครวาสนามัน แข่งเรือแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาไม่ได้”
คำพูดของเพื่อนรักทำให้บัวบูชาพูดไม่ออก หากสองคนนี้ได้รู้ว่ามันเป็นแค่เกมสนุกของคนกลุ่มนั้น ก็คงจะได้รู้ว่าเธอนั้นมันไร้วาสนากว่าใคร แถมยังโชคร้ายไม่มีใครเกิน
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าแก๊งของเรา ยัยบัวจะได้แต่งงานก่อนใคร ทั้งที่ควรจะเป็นฉัน” ลลิตเข้ามาสวมกอดบัวบูชาจนแนบแน่น “ดีใจด้วยนะแก ขอให้แกมีความสุขมาก ๆเลยนะ”
“ขอบใจมากนะตา” เมื่อผละออก บัวบูชาพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มเพื่อให้เพื่อนได้เห็นความสุขที่จอมปลอมของเธอ “อีกไม่นาน ตาเองก็จะได้เจอกับผู้ชายที่ดี”
กอบกุลเห็นดวงตาของว่าที่เจ้าสาวรื้นออกมา ก็ปลาบปลื้มจนอดร้องไห้ออกมาไม่ได้
“ฉันก็ดีใจมากนะบัว ที่แกจะได้แต่งงานกับคนที่แกรัก เขาโชคดีมากเลยที่ได้แกเป็นเมีย เพราะแกเป็นคนสวย เป็นคนดี เป็นคนน่ารัก และเป็นคนกตัญญู คนอย่างแกสมควรจะได้ของขวัญราคาแพงจากสวรรค์อยู่แล้ว”
บัวบูชายิ้มให้เพื่อนรักทั้งสองคน “ฉันเชื่อว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีเหตุผลของมัน...มันมีเวลาของมัน...ฉันเชื่อว่าสวรรค์กำหนดมาแล้ว”
“ให้แกเป็นคู่กับเขา” ลลิตาเสริมให้
“ให้เขารักแกมากขนาดนี้” กอบกุลคว้ามือเย็นเยือบของเพื่อนรักมาจับแน่น “หลังจากนี้ ชีวิตจริงมันเริ่มต้นขึ้นแล้ว แกต้องเตรียมรับมือกับการเป็นสะใภ้ตระกูลใหญ่ให้ดี ๆนะบัว”
“อย่างยัยบัว ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็เมตตา”
“หยุดชมได้แล้ว ตัวลอยจะติดเพดานอยู่แล้วเนี่ย พวกแกลองชุดกันไปเถอะนะ ฉันขอไปคุ้ยหาอะไรในตู้เย็นกินหน่อย ตอนนี้หิวมากเลย”
“อย่ากินเยอะนะแก เดี๋ยวพุงออก ใส่ชุดแต่งงานไม่สวยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าตา สวยไม่สวยเขาก็แต่งงานกับฉันอยู่ดี แต่ตอนนี้ ขอกินก่อนดีกว่า”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะรอนะคะ