ตอนที่ 14 : คนที่ซ่อนอยู่
บทที่ 14
คนที่ซ่อนอยู่
ณ.คฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้งดงามและกว้างไกลสุดเส้นขอบฟ้า บ้านของตระกูลไวย์ราวัลย์ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมในเครือไวย์ราวัลย์วิลล่ากว่าสิบแห่งทั่วประเทศ
ศิวะ ไวย์ราวัลย์และศรัยฉัตร ไวย์ราวัลย์ นับเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคทางใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ฝั่งอันดามัน ความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ถูกประดับไว้บนผืนดินของเมืองภูเก็ตมานานกว่ายี่สิบปี ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน คนโตเป็นผู้หญิง ชื่อว่า ทิพย์ทิวา ไวย์ราวัลย์ คนกลางเป็นผู้ชายซึ่งถือเป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล เขาเป็นพี่ชายแสนดีที่มีอายุห่างจากอิศราเจ็ดปี อิศเรศ ไวย์ราวัลย์ ชายหนุ่มรูปหล่อมาดเข้มวัย 34 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทไวย์ราวัลย์กรุ๊ป
อิศราซึ่งเป็นน้องคนเล็กสุดของบ้าน ถือเป็นแกะดำของตระกูลก็ว่าได้ ด้วยความที่เขาเป็นคนดื้อ ถือดี และไม่เคยฟังคำสั่งของใคร แม้แต่บิดามารดาผู้ให้กำเนิด ซึ่งนิยมใช้กฎเผด็จการมาเลี้ยงลูก และบงการชีวิตลูกตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่ ก็ไม่มีใครสามารถทำตามใจปรารถนาได้ ทั้งพี่สาวและพี่ชายของเขา ล้วนแล้วแต่เดินตามลิขิตที่มารดาเป็นคนขีดให้ทั้งสิ้น พี่สาวของเขายอมแต่งงานกับคนที่มารดาเลือกให้เพื่อเสริมอำนาจบารมีให้บิดา ส่วนพี่ชายยอมทิ้งคนรักเพื่อจะได้ตำแหน่งผู้บริหารมาครอบครอง
ทุกคนต่างทำเพื่อจะได้อยู่รอดในบริษัทนี้ ทุกคนทำเพื่อจะได้ยังเป็นที่รักของบิดามารดา แต่คงไม่ใช่เขา เพราะเขาตั้งใจเอาไว้ว่า เขาจะทำทุกอย่างที่ขัดใจมารดา โดยเฉพาะการแต่งงาน
“ตกลงตอนนี้แกคบกับใครอยู่หรือเมฆ” มารดาถามขึ้นกลางโต๊ะอาหารขนาดยี่สิบที่นั่งสุดหรูหรา โดยมีบิดานั่งประจำหัวโต๊ะเหมือนเช่นเคย ส่วนลูกทั้งสามคนนั่งถัดกันตามสถานะ เขาโชคดีที่เกิดหลังสุด เลยได้นั่งห่างจากบิดามารดามาพอสมควร ความอึดอัดจึงอาจน้อยกว่าที่พี่สาวและพี่ชายของเขาได้รับ
“ถ้าแกคบกับใครอยู่ล่ะก็ เลิกซะให้หมดนะ เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องแต่งงานขึ้นมาจริง ๆ แม่จะเป็นคนเลือกสะใภ้ด้วยตัวเอง”
อิศรายิ้มมุมปาก ถึงตาเขาแล้วสินะ หลังจากจัดการชีวิตของพี่สาวและพี่ชายเสร็จสิ้นเรียบร้อย
“ตอนนี้ตำแหน่ง CEO ที่โรงแรมสาขาภูเก็ต ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการใช่มั้ย” นั่นคือคำขู่ที่มารดากำลังใช้ควบคุมเขา หากเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เขาจะต้องถูกถอดออกจากตำแหน่ง และอาจถูกตัดออกจากกองมรดก เหมือนที่พี่ชายของเขาเคยโดนมาแล้ว
“จะมีการแต่งตั้งในเดือนหน้าครับ” อิศเรศตอบแทนน้องชายเสียเอง ก่อนที่น้องชายจะพูดอะไรก็ตามที่ไม่เข้าหูบิดามารดาจนเกิดความเสียหาย “ตอนนี้เมฆทำได้ดีมาก แค่ไม่กี่เดือนที่เข้ามาบริหาร ก็ทำให้ผลประกอบการและชื่อเสียงของโรงแรมดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยครับ”
“อืม...” บิดาพยักหน้าพอใจ นั่นเพราะเขาแอบหวังกับลูกคนเล็กเอาไว้ ขณะมารดาทุ่มเทความรักและความหวังทุกอย่างไว้ที่ลูกชายคนโต
“คุณแม่คะ” ทิพย์ทิวาอยากเอาใจมารดาบ้าง เธอก็เลยรีบบอกข่าวดีของครอบครัวตนเองให้ทุกคนได้รับรู้ หลังจากรอมานานจนอายุย่างเข้า 36 แล้ว “หนูท้องแล้วนะคะ”
“จริงเหรอ ในที่สุด ฉันจะได้อุ้มหลานซะที กี่เดือนแล้ว”
“สามเดือนแล้วค่ะ”
“ให้ใช้นามสกุลของเรานะ”
ทิพย์ทิวาแอบหน้าเจื่อน แต่ต้องฝืนยิ้มยอมรับในสิ่งที่มารดาต้องการ..
หลังรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวเสร็จ อิศราตั้งใจจะกลับบ้านพักส่วนตัวของเขาทันที แต่ไม่ทันจะขึ้นรถ พี่ชายรีบเดินตามเขามาและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ช่วงนี้นายดูเครียดไปนะเมฆ มีอะไรรึเปล่า?”
“เปล่านี่ครับ” เขาปฏิเสธแทบจะทันที แต่สีหน้าและสายตาบ่งบอกว่าเขากำลังโกหก
“แล้วเรื่องที่คุณแม่ต้องการให้นายแต่งงานล่ะ”
“ตอนนี้พี่ฟ้ามีความสุขดีอยู่มั้ย” เขาถามกลับ “กับคู่หมั้นของพี่...มีความสุขมั้ย”
อิศเรศยอมรับว่าเขาเองก็ไม่ได้มีความสุขนัก ที่ต้องหมั้นหมายกับคนที่ไม่ได้รัก แต่เขาก็พึงพอใจกับรางวัลที่ได้รับจากการเป็นลูกหัวอ่อน เพราะตอนนี้เขาได้เป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูล และเป็นผู้สานต่อธุรกิจของครอบครัว
“มันอยู่ที่ว่า เรามองว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตเรา ตอนนี้พี่มองเรื่องงาน มากกว่าเรื่องอื่น!”
“งั้นผมก็ยินดีด้วย”
“แกเองต้องคิดให้รอบคอบนะเมฆ คิดให้ดีว่าชีวิตต้องการอะไร พี่ว่าการสู้กับคุณแม่ ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เชื่อพี่เถอะ” เขาตบบ่าน้องชายเพื่อให้กำลังใจ “ว่าแต่ ช่วงนี้ยังมีอาการปวดหัวอยู่บ้างรึเปล่า”
“ก็มีบ้างครับ แต่ไม่มีอะไรน่าห่วง” เขาโกหกอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้พี่ชายเป็นห่วงมากไป
“แล้วยังฝันร้ายบ่อย ๆอีกมั้ย”
“ไม่ครับ” เขาบอกพี่ชายอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อคืนก็เพิ่งจะฝันเห็นกองเลือดอยู่เลย...นี่แหละชีวิตเขา...ของขวัญที่เขาได้รับจากเหตุการณ์ร้ายเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเพื่อนคนนั้น เขาก็จะปวดหัว เขาจะเห็นภาพเลือนรางบางอย่าง และจะฝันร้ายบ่อยครั้ง ฝันเห็นกองเลือด ฝันเห็นภาพเพื่อนกำลังกระโดดลงจากตึก
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่มีอะไรแล้ว”
“ถ้ามีอะไรต้องรีบไปหาหมอนะ”
“ครับ” นี่เป็นความลับระหว่างเขากับพี่ชาย...ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากพี่ชายของเขาคนเดียว แม้แต่พ่อแม่ก็ยังไม่รู้เลยว่าระหว่างอยู่ที่อเมริกา เขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้งเพื่อรักษาอาการประหลาดนี่
“ได้ข่าวว่าวันนี้ไปที่โรงเรียนมาเหรอ”
“ครับ”
“อย่าคิดมากน่า เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของพวกนายหรอกที่ช่วยเพื่อนไม่ได้ ทุกคนต่างมีชะตาเป็นของตัวเอง”
ทุกคนต่างมีชะตาเป็นของตัวเอง แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามันเป็นความผิดของเขาล่ะ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกอย่างนั้น ทำไม...
เช้าวันนี้...อากาศค่อนข้าวเย็นทีเดียว บัวบูชาตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อจะลงมือทำขนมเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา สามสี่ปีมานี้ ถือว่าเธอเป็นตัวหลักของงานเลยก็ว่าได้ เพราะขนมส่วนใหญ่ที่นำไปขายที่แผงในตลาด ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของเธอทั้งสิ้น ส่วนมารดาของเธอมีหน้าที่ขายเพียงอย่างเดียว
เธอทำขนมเสร็จไปหลายอย่างแล้ว ตอนที่มารดาเข้ามาในครัวแล้วนั่งลงใกล้กับเธอ
“วันนี้แม่ไม่ไปนะ เบื่อพวกขี้เม้าท์”
“ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวบัวไปขาย”
“แกไม่อายเขาเหรอ”
“อายทำไมคะ ทำมาหากินสุจริต” เธอแสร้งทำเป็นแข็งแรงดีเพื่อให้มารดาหายห่วง “ใครอยากพูดอยากเม้าท์อะไรก็เม้าท์ไปเถอะค่ะ บัวไม่สนหรอก”
“เฮ่อ...” บัวแดงถอนหายใจออกมาราวกับมีเรื่องกลัดกลุ้มในใจที่ชวนอึดอัด “บัว...”
“คะแม่”
“ถ้าตลาดปิด จะทำยังไงต่อ”
“ก็หาที่ขายใหม่สิแม่ บัวไปติดต่อแผงขายของที่หน้าวัดไว้แล้วนะ พอดีมีแผงวางอยู่ เขาให้ขายได้แค่ช่วงเช้า แต่แถวนั้นขายดีมาก เพราะคนมาทำบุญใส่บาตรกันเยอะ แถมยังใกล้โรงเรียนด้วย”
“แต่ขายได้แค่ช่วงเดียว มันจะพอเหรอ”
“ไว้บัวจะหาที่ขายเพิ่มนะแม่ แล้วก็จะลองติดต่อตามร้านอาหารร้านกาแฟเพื่อจะเอาขนมไปลงขายดู ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ขนมเราอร่อย แถมราคาไม่แพงด้วย ยังไงเราก็ต้องไปได้แน่ แม่เชื่อบัวนะ”
“อืม..” บัวแดงตอบรับแล้วเงียบไป เพราะครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่ในใจ ซึ่งทำให้เธอกังวลและคร่ำเครียดจนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว
“บัว”
“จ๊ะแม่” บัวบูชาจัดเรียงข้าวต้มมัดใส่กล่องใบใหญ่อย่างคล่องแคล่ว
“แม่มีเรื่องจะบอกแก แต่แกอย่าเพิ่งบอกพ่อนะ”
“อะไรจ๊ะ”
บัวแดงถอนหายใจพรึด “พอตลาดปิด แม่คิดว่าจะย้ายไปอยู่สงขลา”
“สงขลา!” บัวบูชาตกใจไม่น้อย เพราะญาติพี่น้องก็ไม่มีที่นั่น อยู่ดี ๆ ทำไมแม่จึงคิดจะย้ายไปที่นั่น
“แม่จะพูดกับแกตรง ๆ นะ” บัวแดงเบาเสียงลง เพราะกลัวผัวจะได้ยิน “แม่มีคนอื่น”
“แม่!”
“แกไม่ต้องตกใจไปหรอกบัว พ่อแกรู้ตั้งนานแล้ว ใช่ แม่เห็นแก่ตัวเอง แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีมากนะ เขาช่วยดูแลครอบครัวเรามาตลอด ตอนที่พ่อแกรถล้ม เขาก็ช่วย ตอนที่แกเรียนโรงเรียนแพงๆ ก็เงินเขาทั้งนั้น แกคิดว่าแม่จะเอาเงินเยอะแยะจากไหนมาส่งแกเรียนที่ดี ๆ ล่ะ แค่ขายขนมมันไม่พอหรอกนะ”
เธออึ้งปนช็อค และอึดอัดไปทั้งใจ น้ำตาไหลพรากออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว ต้องรีบปาดเช็ดก่อนที่มารดาจะทันได้เห็นมัน...
“แล้วแม่จะไปกับเขาเหรอ?”
“ใช่ เขาจะกลับไปทำธุรกิจค้าขายที่บ้านเกิดเขา”
“เขาเป็นใครหรือแม่”
“หาญน่ะ หลานเจ้าของแผงขายอาหารทะเลในตลาดน่ะ”
“เฮียหาญเหรอแม่ ! เขาอายุอ่อนกว่าแม่ตั้งหลายปีนะ”
“แต่เรารักกันมาก รักกันมาหลายปีแล้ว” บัวแดงจับมือลูกสาวแล้วบีบแน่น “แม่รู้ว่าแม่เห็นแก่ตัว บัวจะโกรธเกลียดแม่ก็ได้ แต่แม่อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้จริง”
บัวบูชาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะตั้งสติ
“แล้วแม่จะบอกเรื่องนี้กับพ่อเมื่อไหร่”
“อีกไม่นานหรอก...แม่ฝากพ่อด้วยนะบัว แม่ขอโทษที่มันต้องเป็นแบบนี้ แม่ขอโทษนะลูก”
บัวบูชารับรู้ในสิ่งที่มารดากำลังจะทำแล้ว เธอเพียงแค่รับรู้ไว้เท่านั้นเอง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร วินาทีนี้ เธอแค่นึกเป็นห่วงความรู้สึกของบิดาเท่านั้น เขาจะรับได้มั้ย...เท่านั้นเอง
ระหว่างที่เธอกำลังประจำอยู่ที่แผงขายขนมในตลาด พ่อค้าแม่ค้าที่รู้จักกันก็จะแวะเวียนมาถามไถ่ถึงมารดาที่หายจากตลาดไปสามวันแล้ว ก่อนจะวกมาถามเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งที่ล่มไปของเธออย่างอยากรู้อยากเห็น แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังกลับไป เพราะเธอเพียงแค่ยิ้มและหัวเราะเท่านั้น
ขนมที่ร้านยังคงขายดีเหมือนเช่นทุกวัน ลูกค้ายังเนืองแน่นเหมือนเคย มันจึงทำให้เธอมีกำลังใจที่จะขายขนมต่อไป แม้มารดาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นในเร็ววันนี้ แต่เธอก็จะสานงานร้านขนมยายบัวขาวต่อไป เธอคิดเอาไว้ว่าสักวันจะเปิดร้านเป็นของตัวเอง เป็นร้านขายของฝากที่เน้นขนมไทยจากร้านขนมยายบัวขาวเป็นหลัก
“แม่จะต้องทำให้ได้” เธอสัญญากับลูกน้อยในท้องด้วยความรักและเชื่อมั่น
วินาทีนั้น โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เป็นสายจากเตชินท์นั่นเอง เขาโทรกลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปหนึ่งวัน
“ว่าไงเต...”
เตชินท์นัดให้เธอไปหาที่โรงแรมไวย์ราวัลย์วิลล่า เพราะเขาสัมมนาอยู่ที่นั่นพอดี และเขามีเวลาว่างช่วงเที่ยงประมาณหนึ่งชั่วโมง เธอตอบตกลงที่จะไปพบเขาอย่างไม่ลังเล ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นโรงแรมที่อิศราบริหารอยู่ และเขาอาจไม่พอใจที่เห็นเธอไปโผล่ที่นั่น
บัวบูชาเก็บแผงเรียบร้อยก็ออกจากตลาด โบกรถแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงแรมไวล์ลาวัลย์วิลล่าซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากอ่าวกะตะสักเท่าไหร่นัก
เมื่อถึงโรงแรม เธอเข้าไปนั่งรอเตชินท์ที่คอฟฟี่เล้าจ์ของโรงแรม โดยสั่งน้ำผลไม้มาดื่มระหว่างรอ เธอรออยู่ประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ ก่อนที่เตชินท์จะโผล่เข้ามาในร้านด้วยสีหน้ารู้สึกผิดนิด ๆ เพราะเขามาสายไปเกือบสิบห้านาที
“เต...”
“รอนานมั้ยบัว ขอโทษนะ” เขานั่งลงตรงข้ามกับเธอ “พอดีคุยติดพันอยู่กับผู้ใหญ่ กว่าจะปลีกตัวออกมาได้”
“ไม่เป็นไรเต แค่เตมีเวลาให้บัว บัวก็ต้องขอบคุณเตมาก ๆแล้ว”
เตชินท์มองเธอด้วยสายตาจริงจัง แต่อ่อนหวาน...
“บัวอย่าเครียดนะ ต้องเข้มแข็งนะ เพราะถ้าเราเข้มแข็ง ก็จะไม่มีใครมาทำอะไรเราได้หรอก”
“บัวรู้” เธอกำลังพยายามอยู่ และคิดว่าจะทำได้อย่างแน่นอน “ที่เตบอกว่ามีข้อมูลสำคัญบางอย่างจะบอกบัว มันคืออะไรหรือเต...เตบอกบัวได้มั้ย”
เตชินท์นิ่งไปนิด “คืนนั้นที่บัวถามเราว่า เราคือคนที่เฝ้าตามติดบัว และคอยถ่ายรูปบัวรึเปล่า เรายอมรับว่าเราทำอย่างนั้นจริง ๆ”
“เตทำแบบนั้นทำไม”
“เราจะบอกตรง ๆ ก็ได้ว่าเราชอบบัว เราชอบบัวมานานแล้ว ตั้งแต่เรียนมัธยม พอเราเจอบัวตามที่ต่างๆ เราก็เลยถ่ายรูปบัว และคอยดูบัวอยู่ห่างๆ เราไม่ใช่โรคจิตนะ เราไม่ได้ตามแบบเหมือนพวกสต๊อกเกอร์อะไรแบบนั้น มันก็แค่บางครั้งคราว ที่เราจะไป เพราะบัวมักไปที่เดิมซ้ำๆ เราก็เลยรู้ว่าบัวจะไปที่ไหนเมื่อไหร่”
“แล้วเตได้ส่งภาพหรือข้อมูลของบัวให้ใครมั้ย”
“ไม่นะ ทำไมเตต้องทำอย่างนั้นล่ะ?”
ไม่ใช่เขาเหรอ ทำเธอผิดหวังไม่น้อยนะเนี่ย เธอหวังมากว่าจะได้รู้ว่าใครเป็นสายให้อิศรา
“ที่เตอยากบอกบัวมีแค่นี้เหรอ?”
“ยังมีอีก!” เขาจ้องหน้าเธอนิ่ง สายตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความอึดอัดใจและเห็นใจอยู่ในที เขากำลังพิจารณาอยู่ว่าเธอเข้มแข็งพอจะรับความจริงได้มั้ย “แต่มันอาจทำให้บัวเสียใจมากก็ได้นะ”
“บอกมาเถอะเต บัวเจอเรื่องร้ายมาเยอะกว่าที่เตรู้เสียอีก ถ้ามันจะมีเรื่องอะไรเพิ่มขึ้นมา บัวก็คงต้องยอมรับมัน”
“มีบางอย่างที่ทำให้เตสงสัย เพราะในภาพถ่ายที่เตถ่ายบัวไว้ มักจะติดใครบางคนมาด้วย หลายครั้งมาก เตจะเห็นเขา อยู่ใกล้ๆ โดยที่บัวไม่รู้ตัว เตก็เลยสงสัยว่าทำไมเขาต้องคอยตามบัวด้วย”
หัวใจของเธอเต้นรัวไปหมด “ใครเหรอเต?”
“เตไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรนะ มันอาจจะดีหรือร้ายก็ได้ บัวดูเองสิ”
เขาว่าพลางยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้แก่เธอ บัวบูชารับมาถือไว้ แล้วค่อย ๆ มองภาพใบนั้นด้วยใจที่เต้นแรง
“อะ...” บัวบูชาตกใจแทบช็อค มือสั่นจนทำให้แก้วน้ำหล่นใส่ตัวเองจนเปียกไปทั้งตัว
“เฮ๊ยบัว! เป็นไงบ้าง เปียกหมดเลย”
“ไม่...ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร” เธอบอกด้วยใจสั่นรัว ขณะพยายามตั้งสติให้ได้ “มันอาจเป็นความบังเอิญก็ได้ บางทีเขาอาจไปอยู่ในที่นั้นพอดี”
“บัวอยากดูอีกมั้ยล่ะ ผมมีหลักฐานอีกเยอะเลยนะ แต่อยู่บนห้องนะ”
เธอนิ่งไปครู่ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็ต้องรู้ให้หมดสิ เธอต้องรู้ทุกอย่าง...
“ไปสิ”
“อืม” เตชินท์เดินนำบัวบูชาออกจากคอฟฟี่เล้าจ์ของโรงแรมแล้วเดินเคียงคู่กันไปหยุดยืนรออยู่ที่หน้าลิฟต์
ขณะลิฟต์ที่อยู่ติดกันประตูกำลังเลื่อนออก เผยให้เห็นผู้ที่อยู่ข้างในที่กำลังก้าวออกมา ซึ่งก็คืออิศรา อิศเรศและชายสูงวัยหุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัท
อิศเรศเคียงคู่กับหุ้นส่วนออกมาก่อน ส่วนอิศราก้าวตามหลังทุกคนออกมา...
‘เอ๊ะ...’ หรือเขาจะคิดถึงเธอมากไป ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเธออยู่ใกล้ ๆ ล่ะ
อิศราชะงักฝีเท้า หันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านขวามือของเขาด้วยความรู้สึกร้นรนระทึก แล้วก็ได้เห็นเธอคนนั้นยืนอยู่จริงๆ เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง โดยที่ไม่ทันเห็นเขาด้วยซ้ำ
“บัว....ไอ้เต...” อิศราแทบไม่คิดแล้ว เขาหมุนตัวหันหลังกลับไปที่ลิฟต์ตัวที่บัวบูชากับเตชินท์ใช้ทันที เขาดูเลขชั้นที่สองคนนั้นขึ้นไป ด้วยหัวใจที่ร้อนรนและคุคลั่ง วินาทีนี้ทั้งโกรธและห่วงหวงจนใจมันสะท้านไปหมด
“เลิกกันไม่เท่าไหร่ ก็เข้าโรงแรมกับผู้ชายงั้นเหรอ!!!”
เขากัดฟันกรอด แววตาดั่งเสือร้าย เหมือนพร้อมจะขย้ำคนได้ในวินาทีนั้น ขณะกดลิฟต์ด้วยอารมณ์ร้อนรุนแรงยิ่งกว่าไฟโลกันต์...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทั้งลุ้นทั้งสงสารชีวิตนางเอก
ฝากตอนใหม่ด้วยจ้าาาาาาาาาา